ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เหตุที่ได้พบกัน
    ใครๆ ก็ว่า ธุรกิจพันล้านพาแต่เรื่องปวดหัวมาให้ แต่ดูท่านักธุรกิจหนุ่ม ภาษกร กมลอำไพ หรือ ภพ คงจะดีใจที่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจพันล้าน
    เมื่อมันทำให้เขาเป็นอิสระอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างวันนี้ ที่พนักงานนับพัน ของบริษัททั้ง 3 แห่งของครอบครัวกมลอำไพ ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเข้าทำงานให้ทัน ตัวเขากลับกำลังมีความสุขอยู่กับการเตรียมตัวขึ้นขับเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว
    “ ภพ รอเครื่องบินก็ได้นี่ลูก ไม่เห็นจะต้องขับ ฮ. ไปเองเลย” คุณนายใหญ่แห่งเครือบริษัทกมลอำไพ บ่นกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ที่ผิวปากอาบน้ำอย่างสบายใจอยู่
    “ โธ่ แม่ครับ รอเครื่องบิน พรุ่งนี้จะไปถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลูกค้ารายนี้รายใหญ่นะครับแม่ อีกอย่างนะ บ้านนอกอย่างนั้น มีสนามบินหรือเปล่าเถอะ ขอผ้าเช็ดตัวหน่อยคร้าบ” ภาษกรโผล่แต่หัวออกมาจากห้องน้ำ พร้อมรอยยิ้มที่ละลายใจสาว แต่กับแม่เขา เธอเห็นแต่ความกวนในรอยยิ้มนั้น
    “ มีจ๊ะเป็นลานบินเล็กๆ ที่ตัวอำเภอ แม่เคยไปที่นั่นแล้ว พ่อของเราน่ะพยายามติดต่อค้าขายกับเขามาตั้งแต่เรายังไม่เกิด” คุณปรางวดีส่งผ้าขนหนูผืนขาวให้
    “ แล้วเขาก็มาตกลงตอนนี้ นี่แหล่ะครับแม่ คือเหตุผลที่ผมต้องไปเอง และไปเดี๋ยวนี้”
    ปรางวดีถอนหายใจ “ อย่างนั้นไปรถทัวร์ก็ได้นี่ลูก หรือไม่ก็ขับรถไปเอง”
    “ กว่าจะถึงกี่ชั่วโมงครับแม่ ผมบอกเขาไปแล้วด้วยว่าจะไปแต่เช้า” ภาษกรหาข้ออ้างไปเรื่อย เพื่อให้ได้ขับเฮลิคอปเตอร์ลำเก่งไปเที่ยวเล่นชมวิว
    เขาได้ยินมาว่าแถวนั้นมองจากด้านบน เห็นทั้งป่าทั้งแม่น้ำสวยงามมาก
    “ ก็ได้ๆ เดี๋ยวแม่ให้เจริญดูแลเรื่องเครื่องให้ แม่ไม่ไว้ใจคนอื่นกับเจ้าเครื่องนั่นเลย แล้วไปคราวนี้ระวังหน่อยล่ะ อย่าไปเกิดอุบัติเหตุเหมือนเมื่อคราวไปทะเลอีก” เธอจำต้องยอมลูกชาย แต่ก็อดห่วงไม่ได้
    “ ผมจะขับเฮลิคอปเตอร์ไปนะครับแม่ ไม่ได้ขับรถ จะได้ไปชนป้ายหาเสียง เหมือนเมื่อครั้งไปทะเล แล้วอีกอย่างมันไม่ใช่ความผิดของผมด้วย ป้ายมัน แม่ โธ่ ออกไปซะแระ” ภาษกรอธิบายยาวยืด แต่แม่ของเขาออกจากห้องไปก่อนที่เขาจะพูดจบ
              *****
    ลานเฮลิคอปเตอร์ บนตึกกมลอำไพ1
    “ คุณภพครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ น้ำมันมีพอไปกลับ ” เจริญคนสนิทของคุณปรางวดี วิ่งเข้ามารายงานภาษกรที่กำลังปีนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลำโปรด
    “ แค่ไปกลับเองเหรอ” ชายหนุ่มทำหน้าผิดหวัง เขาคิดว่าจะได้น้ำมันเต็มถังบวกสำรองอีกนิดหน่อย พอไปแวะพักเที่ยวสักที่สองที่ แต่ดูท่าแม่ของเขาจะรู้ทัน
    “ ครับ คุณนาย ”
    “ ไม่ต้องบอก ผมรู้แล้วว่า คุณแม่สั่งเอาไว้ เอาล่ะ ผมจะเอาเครื่องขึ้นแล้ว ฝากบอกนิรุตด้วยว่า ถ้าคุณอธิปติดต่อมาให้วิทยุมาบอกผมทันที”
    ภาษกรไล่คนสนิทของคุณแม่ไปให้พ้นทาง ก่อนจะพาเฮลิคอปเตอร์ขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปหา ลูกค้ารายใหญ่ ในที่ที่ไม่มีใครในครอบครัวของเขาเคยไปถึง ชนบท
    แต่ดูท่าการเดินทางท่องเที่ยวไปในชนบทครั้งนี้ของเขาจะไม่ราบรื่น สนุกสนานเหมือนที่หวังไว้เสียแล้ว
    “ คุณภพ ได้ยินแล้ว ตอบด้วยครับ นี่นิรุตนะครับ” เสียงคุ้นหูของชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาดังมาจากเครื่องส่งวิทยุ
    “ ว่ามา นิรุต”
    “ ทางคุณอธิป โทรฯ มาบอกปฏิเสธข้อเสนอแล้วครับ”
    “ อะไรนะ ล้อเล่นน่า นิรุต ฉันจะถึงอยู่แล้วนะ” เจ้านายหนุ่มหัวเสียสุดๆ ที่ได้รับข่าวจากคนสนิท
    “ ไม่ได้ล้อเล่นครับ คุณอธิปบอกว่า จะขอปรึกษาลูกชายก่อน แล้วค่อยคุยใหม่”
    “ ปรึกษาลูกชาย แล้วสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือไง นี่นายได้บอกเขาหรือเปล่าว่า ฉันกำลังไป” ภาษกรบ่น ก่อนจะยิงคำถามกลับไปอีกครั้ง
    “ บอกแล้วครับ ลูกชายคุณอธิปเรียนโทอยู่ที่กรุงเทพฯ ครับ จะจบการศึกษาสิ้นเดือนหน้า”
    “ งั้น ฉันขอขับ ฮ. ชมวิวแถวนี้แทนละกัน บอกคุณแม่ด้วยว่า เย็นฉันถึงกลับ”
    “ คุณภพกลับมาเลยดีกว่านะครับ ผมเพิ่งดูพยากรณ์อากาศ เขาว่า แถวนั้นมีโอกาสเกิดพายุฝน” นิรุตเตือนนายด้วยความเป็นห่วง
    ภาษกรมองผ่านกระจกออกไปภายนอก รอบกายเขามีแต่แสงแดดอุ่นๆ กับปุยเมฆบาง ไม่เห็นมีวี่แววพายุอย่างที่ได้รับคำเตือนมา
    “ ฟ้าใสออกอย่างนี้ ไม่มีหรอกน่า พาย้งพายุอะไรน่ะ แต่ฉันจะได้ทำเครื่องตกแน่ ถ้ามัวมาแต่ต่อล้อต่อเถียงกับนายอยู่เนี่ย”
    “ ครับ ขอโทษครับ คุณภพ เลิกการติดต่อครับ”
    “ มีโอกาสเกิดพายุฝน พายุบ้าอะไรจะมาเกิดแถวนี้ อากาศออกสดใส” แต่พูดไม่ทันขาดคำ เมฆดำทะมึนก็เข้าปกคลุมรอบด้านจนมืดมิด
    อะไรมันจะเร็วขนาดนี้วะเนี่ย... ภาษกรเริ่มตระหนักว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อมี (เอ่อ โทษทีนอกเรื่องไปนิด) ทำไงดีล่ะ แถวนี้ไม่มีที่กว้างพอลงจอดด้วย
    ในขณะที่กำลังมองหาที่ลงจอดอยู่นั่นเอง สายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงเข้าที่ใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ ส่งผลให้เครื่องเสียการควบคุม อีกทั้งเกิดไฟลัดวงจรทั่วทั้งลำ
    “ เมย์เดย์ เมย์เดย์” ภาษกรขอความช่วยเหลือ แต่เครื่องส่งวิทยุนั้นได้พังไปตั้งแต่เครื่องโดนฟ้าผ่าแล้ว
    “ ให้มันได้อย่างนี้สิ” เขาพยายามบังคับเครื่องมุ่งตรงไปยังที่ราบที่เขาบินผ่านมาเมื่อ 5 นาทีก่อน
    แต่เฮลิคอปเตอร์ลำนี้ไม่ยอมขยับไปตามที่เขาต้องการเลย มันเอาแต่จะลอยคว้าง และพุ่งหาดงไม้หนาทึบเบื้องล่าง ซึ่งจะว่าไปก็เป็นโชคดีของภาษกร ที่ด้านล่างเป็นผืนป่ารองรับไม่ให้เขาเละเป็นโจ๊ก หรือว่ามันจะเป็นโชคร้าย เมื่อมันทำให้เข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งๆ อีกหลายหลาก
              *****
    ความมืดมิดเข้ามาเยือนย่านชนบทอีกครั้งในรอบวัน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเมฆฝน พระจันทร์ดวงกลมเหลือเพียงเสี้ยวเล็กๆ ห้อยต่องแต่งอยู่บนฟ้า ลมเย็นๆ พัดหวีดหวิวทั่วผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ และลมเดียวกันนี่เองที่พาสติของภาษกรกลับมาสู่ร่างอีกครั้ง
    นี่ที่ไหนเนี่ย ชายหนุ่มทบทวนความจำ เครื่องตก เขามองไปรอบกาย เขายังคงอยู่ในเฮลิคอปเตอร์สีดำลำเดิมที่มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ความจริงมันก็ไม่เละเท่าไร ไม่งั้นเขาคงเละไปด้วยแล้ว แต่ระบบทุกอย่างในเครื่องใช้งานไม่ได้เลย มันก็เลยไม่ต่างจากเศษเหล็กดีๆ นี่เอง
   
    “ ลูกแน่ใจเหรอจ๊ะ ว่าแถวนี้” เสียงหญิงสาวที่อายุไม่มากเท่าไร แถมน่าจะอ่อนกว่าภาษกรด้วยซ้ำดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งในป่าใกล้ๆ เศษนกเหล็กลำนี้
    ...เสียงเพราะจัง... ภาษกรคิด เมื่อได้ยิน
    “ ค่ะ แม่ หนูเห็นตอนฟ้าผ่า” เด็กหญิงตอบแม่
    “ ไม่คิดไปเองนะ กุหลาบ” เสียงชายวัยกลางคนขัด
    ...เสียงคน ไม่น่าจะใช่นะ ต้องหูฝาดแน่ๆ เรา... ภาษกรได้ยินเสียงคนทั้งสาม แม้เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครมาแถวนี้ แต่ก็ยังใช้ความพยายามบังคับหนังตาให้เปิดขึ้นอีกครั้ง และเวลานั้นเองที่เขามองเห็นแสงไฟสีนวลสลัวๆ เป็นดวงกลมอยู่ไม่ไกล
    “ ช่วยด้วย” ชายหนุ่มรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีตะโกนขอความช่วยเหลือ
    แล้วถ้าเป็นแสงจาก ผี ล่ะ... เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่า มีโอกาสที่เสียงที่เขาได้ยิน และแสงที่เขาเห็นจะไม่ได้มาจากมนุษย์
    “ ตาเดช พ่อสี ทางนี้จ๊ะ” หญิงสาววิ่งมาตามเสียงเรียก จนได้เจอกับกองเศษเหล็ก
    “ แม่มะลิอย่าเพิ่งเข้าไปใกล้” ชายวัยกลางคนวิ่งตามเธอมาติดๆ
    “ มีคนอยู่ในนี้ด้วย” หญิงที่ถูกเรียกว่า มะลิ ขยับไฟเข้าใกล้กระจกใสที่เปรอะไปด้วยโคลน
    ภาษกรหรี่ตาที่ลืมไม่ค่อยจะขึ้นอยู่แล้ว เมื่อไฟจากตะเกียงส่องเข้ามา ซึ่งแค่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้มาช่วยเหลือทั้งสาม รวมเด็กหญิงด้วยเป็นสี่ รู้ว่า เขายังมีชีวิตอยู่
    “ พ่อสี รีบช่วยเขาออกมาเถอะจ๊ะ พาไปที่บ้านฉัน เดี๋ยวฉันกับกุหลาบ ช่วยกันดูแลเอง” มะลิรับตะเกียงจากสี ชายผู้มีผมเหลือเล็กน้อยบนศีรษะกลมๆ แล้วหันไปบอกให้เด็กหนุ่มที่ชื่อ เดช เข้าไปช่วย
    “ จะดีเหรอ แม่มะลิ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ บ้านแม่มะลิก็มีกันอยู่แค่แม่มะลิกับหนูกุหลาบ ถ้ามันเป็นโจรห้าร้อยขึ้นมาจะทำไง”
    สีพยุงภาษกรออกมาจากเฮลิคอปเตอร์ แต่ยังคิดไม่ตกว่า จะพาเขาไปที่ไหนดี จะพาไปที่บ้านตัวเอง เขาก็ดูแลคนเจ็บไม่เป็น จะพาไปที่บ้านมะลิตามที่เธอบอกก็กังวล
    “ ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ พ่อสี เดี๋ยวฉันให้ตาเดชค้างที่บ้านคืนนี้ ฉันต้องการคนเฝ้าม้าอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรขึ้นมาจริงๆ ตาเดชก็คงช่วยได้ จริงไหม เดช” มะลิยืนยันกับสีด้วยเสียงหนักแน่น แล้วหันไปหาเสียงสนับสนุนจากเดช ญาติรุ่นน้องของเธอ
    “ แน่นอนครับ พี่มะลิ ถ้ามีอะไร เดชคนนี้จัดการเอง จะต่อยซ้าย ต่อยขวา เตะ เข่า ศอก จระเข้ฟาดหาง เดชเป็นหมด รับรองมีเดชซะอย่าง สบายไปแปดอย่าง”
    “ ข้าจะห่วงเอ็งมากกว่าน่ะสิ ไอ้เดช”
    “ โธ่ พ่อ”
    สี มะลิ และเด็กหญิงกุหลบหัวเราะกันคิกคัก แต่แล้วเสียงหอนลึกลับได้ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันเงียบ
    “ รีบกลับบ้านกันเถอะจ๊ะ พ่อสี มืดกว่านี้เดี๋ยว เอ่อ ” มะลิมองไปรอบด้าน สีหน้าหวาดๆ ตั้งแต่เด็กจนโต เธอถูกสอนเรื่องของสิ่งลี้ลับในป่ามาเสมอ
    “ แม่มะลิไม่ต้องพูดเลย พ่อรู้” ว่าแล้ว สีกับเดช ก็พยุงกึ่งลากภาษกรออกจากป่าริมทะเลสาบ พร้อมสองแม่ลูกที่คอยถือตะเกียงส่องทาง
    แต่ในระหว่างทางนั้น ภาษกรได้หมดสติไปอีกครั้ง
*************
        ฝากนิยายแนวนี้ให้ทุกท่านได้ติชมด้วยนะคะ ก้ออาจจะไม่ใช่รักที่เศร้ามากเท่าไร ส่วนเรื่อง Sorcer Magic ยังไม่ได้ทิ้งหรือเก็บลงกรุ แต่พอดีว่าเรื่องนี้ทำเสร็จก่อนก็เลยเอามาลงให้อ่านกันก่อนน่ะค่ะ ^_^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น