เบื้องหลังความจริง - เบื้องหลังความจริง นิยาย เบื้องหลังความจริง : Dek-D.com - Writer

    เบื้องหลังความจริง

    หญิงสาวคนหนึ่งถูกฆาตกรรม... ริณสิตามีผู้ต้องสงสัยในใจ แต่ตำรวจจับฆาตกรได้แล้ว... เรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่

    ผู้เข้าชมรวม

    504

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    504

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  สืบสวน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ก.ค. 51 / 01:14 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


       นาฬิกานกเขาส่งเสียงกุ๊กกรูบอกเวลาเหมือนที่มันทำมาทั้งวัน ไฟนีออนดวงเล็กสว่างขึ้นเหนือโต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษรกรุงรัง หลายคนที่เห็นสภาพโต๊ะตัวนี้คงคิดว่า เจ้าของมันเป็นผู้ชายอย่างแน่แท้ แต่ริณสิตาเป็นผู้หญิงเต็มตัว แม้เธอจะไว้ผมซอยสั้น และออกจะห้าวนิดๆ จนเพื่อนๆ หลายคนคิดว่าเธอเป็นทอม

       โดยปกติแล้ว ริณสิตาไม่ยอมให้ใคร หรืออะไรมารบกวนเวลานอนอันน้อยนิดของเธอเลย แต่คืนนี้เป็นข้อยกเว้นที่เธอลงทุนย้ายเจ้านาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงทางเดิน เข้ามาส่งเสียงรบกวนเธอทุกๆ ครึ่งชั่วโมงถึงในห้องนอน ไม่ใช่เพราะเธอนึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศอะไรหรอก แต่เธอกำลังรออะไรบางอย่าง

       วันอาทิตย์ที่แล้ว ริณสิตาจำได้ว่านั่งฉลองวันหยุดอยู่กับเพื่อนๆ ของเธอที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้หอพัก ต่างคนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องงาน แต่ริณสิตาได้แต่นั่งฟังคนอื่นๆ เล่าเรื่อง เพราะเธอเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่ยังเรียนไม่จบ และในขณะที่เพื่อนๆ ได้พักยาวช่วงเทศกาล เธอกลับต้องนั่งเคร่งเครียดกับเรื่องที่เธอต้องสอบอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า

        “หมอสิตา ไม่มีอะไรจะเล่าบ้างเหรอจ๊ะ ได้ข่าวว่าเรียนนิติเวชอยู่นี่”

       ริณสิตายิ้มให้เพื่อนสาวแทนคำตอบ มันจะมีอะไรให้เล่าได้ล่ะ เธอคิด แล้วก็นึกถึงสิ่งที่เธอเจอเมื่อวันก่อน – เด็กชายแรกเกิดเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ พ่ออ้างว่าเด็กหยุดหายใจไปเอง แต่ผลการชันสูตรพบว่าเด็กขาดอากาศหายใจเนื่องจากมีการกดทับที่หลอดลม – มันเป็นข่าวภาคค่ำออกโทรทัศน์อยู่ ส่วนกรณีอื่นๆ ที่เจอก็เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ไปเรียบร้อยแล้ว

       “สิตา กลับมาแล้วเหรอ รู้สึกจะมีจดหมายมานะ อยู่ที่ห้อง ไม่รู้ใครส่งมา” ยุวรัตน์ หรือแมว เพื่อนร่วมห้องของเธอแวะเข้ามาทัก แล้วก็ตัดสินใจร่วมวงด้วยตามคำเชื้อเชิญ

       ยุวรัตน์เป็นคนคุยเก่ง ต่างกับริณสิตาที่ค่อนข้างจะเงียบ วงสนทนาที่รื่นเริงอยู่แล้ว เลยยิ่งสนุกสนานมากไปกว่าเดิม แถมยุวรัตน์ยังมีเรื่องมาเล่ามากมาย ทั้งเรื่องตลก เรื่องเศร้า และเรื่องชวนขนหัวลุก เนื่องจากเธอเพิ่งกลับจากการไปฝึกปฏิบัติในโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัด

       เมื่อเวลาเกือบๆ เที่ยงคืน ริณสิตากลับถึงห้องพัก เธอหยิบซองจดหมายสีน้ำตาลบนโต๊ะขึ้นมาเปิดดูด้วยความสงสัย เพราะนอกจากจะไม่มีชื่อที่อยู่ผู้ส่งแล้ว ชื่อผู้รับยังเป็นเพียงแค่หมายเลขห้องพักกับเลขที่ของหอพัก

       ของภายในซองกระดาษนั้น มีแค่ผ้าสีขาวหม่นผืนหนึ่งที่มีรอยเปื้อนสีแดงคล้ำๆ เป็นวงคล้ายหยดเลือด

       ใครเล่นอะไรแผลงๆ อีกแล้วนะ ริณสิตาพับผ้าเก็บใส่ซองสีน้ำตาลเหมือนเดิม บีบมันเป็นก้อนกลม แล้วโยนมันลงถังขยะสีฟ้าข้างประตูอย่างแม่นยำ

      ****

       “วันนี้ผมไม่ว่าง คุณริณสิตาช่วยดูแลเรื่องชันสูตรแทนทีนะ เดี๋ยวผมกลับมาดูอีกทีตอนเย็น”

       ริณสิตาอึ้งกับคำพูดของอาจารย์ เธออ้าปากจะเถียง แต่ช้ากว่าเหตุผลของเขา

       “ไหนๆ คุณที่เป็นที่ 1 ของชั้น แค่วันเดียวคงไม่หนักหรอก ใช่ไหม”  ในมือซ้ายของอาจารย์หนุ่มคือใบคะแนน เขาจรดปากกาลงบนชื่อของริณสิตา ลากเทียบคะแนนแต่ละช่อง… เขาพูดถูก ถ้าไม่รวมคะแนนที่กำลังจะสอบ เธอเป็นที่ 1 ของชั้นจริงๆ

        “ผมฝากด้วยนะ” ว่าแล้วเขาก็หอบเอกสารกองโตเดินหายไป โดยไม่รอคำตอบจากปากของเธอ

       แต่ถ้าเธอรู้เพียงสักนิดว่า เธอจะเจออะไรต่อไป เธอคงจะปฏิเสธเสียงแข็งเลยทีเดียว

       “หมอริณสิตาใช่ไหมคะ อาจารย์ให้เอาเอกสารมาให้” หญิงสาวผู้ช่วยของอาจารย์ยื่นแฟ้มสีน้ำตาลปึกหนึ่งให้ริณสิตา “โชคดีนะคะ” เธออวยพร พร้อมส่งยิ้มที่ดูน่ากลัวมากกว่าเป็นมิตรให้

        ทำไมต้องเป็นเราด้วย รุ่นพี่ก็มีตั้งเยอะแยะ คนอื่นๆ ก็มี  ริณสิตาบ่นอยู่ในใจ แม้จะรู้สึกดีใจที่อาจารย์ไว้ใจเธอ แต่เธอก็ไม่มั่นใจในตัวเองสักเท่าไรนัก

       “ตั้งใจหน่อยสิ” รุ่นพี่ที่ร่วมชันสูตรกับเธอเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มเหม่อ

       “พี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมอาจารย์ให้เธอดูแลแทน ไม่เห็นจะเก่งสักเท่าไรเลย”

       ริณสิตาก้มหน้านิ่ง พยายามบังคับตัวเองไม่ให้พูดอะไรไม่ดีออกไป แต่ใจเธอกำลังเต้นรัวด้วยความโกรธ

       “ผู้ตายเสียชีวิตเนื่องจากได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์มากเกินไป”

       รุ่นพี่คนเดิมยักไหล่ “ใครๆ ก็รู้ ผิวสีชมพูออกอย่างนั้น”

       “ไม่เอาน่า ตาล น้องเขาทำดีแล้วนะ”

       ริณสิตายิ้มให้แทนคำขอบคุณ แต่การที่มีพี่คนหนึ่งเข้าข้างเธอ ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลย เราไม่ได้ขอมาทำสักหน่อย  เธอกำมีดผ่าตัดแน่น ก็ไม่ได้อยากดูแลแทนอาจารย์สักเท่าไรหรอก   คมมีดฝังลงบนเนื้อสีอมชมพู ริณสิตาออกแรงกดเล็กน้อย เธอกำลังจะลากมีดไปตามแนวยาวของลำตัว แต่เธอชะงักไป เพราะสิ่งที่เธอเห็นบนมือของผู้ตาย

       “พี่อ้นคะ สิตาขอมือขวาหน่อยค่ะ” เธอชี้ไปที่มือของศพ

       อรรณพ รุ่นพี่ที่เถียงแทนเธอเมื่อครู่ยกมือข้างขวาของผู้ตายขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ส่งให้ริณสิตาที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียง

       “มีอะไรอีกล่ะ” พี่ตาล หรือนาถนรี ก้มลงมองที่มือด้วยความสงสัย ปนรำคาญ

       “เลือด” ริณสิตาตอบ

       เธอยกมือของผู้ตายขึ้นส่องไฟ และที่ปลายเล็บก็มีรอยสีแดงจางๆ เปื้อนอยู่

       “เก็บตัวอย่างซะสิ” นาถนรียื่นกรรไกรตัดเล็บให้

       ริณสิตาตัดเล็บนิ้วมือทั้งห้าจากมือขวาของศพ ตามด้วยมือซ้ายใส่ถุงแยกกัน

       “ดูแลแทนวันแรกก็เจอคดีฆาตกรรมเลย โชคดีจริงๆ นะ สิตา” อรรณพพูดติดตลก แต่เขาไม่ได้ขำไปกับคำพูดของตัวเองสักเท่าไรหรอก และรุ่นน้องสาวสุดเซอก็ไม่ได้รู้สึกโชคดีอย่างที่รุ่นพี่พูดเลย

      ****

       “ทำได้ดีนี่ คุณริณสิตา” อาจารย์นั่งไขว่ห้างพิงพนัก อ่านรายงานผลการชันสูตรของริณสิตาอย่างสบายใจ “แต่ทำไม...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง เพื่ออ่านรายงานเกี่ยวกับหญิงสาวนิรนาม “คุณถึงได้สรุปว่าคดีนี้เป็นคดีฆาตกรรม”

       ริณสิตาขมวดคิ้ว ...คดีไหน... เธอลืมไปว่านอกจากรายงานของวันศุกร์ที่เธอกลับไปสรุปเป็นการบ้านมาแล้วยังมีรายงานของวันนี้รวมอยู่ด้วย

       “ไม่ต้องมาทำหน้างง วันนี้มีคดีเดียวที่คุณสรุปว่าเป็นการฆาตกรรม หรือว่าคุณจำไม่ได้”

       หญิงสาวนึกออกขึ้นมาทันที  “เพราะพบคราบเลือดที่เล็บของผู้ตายค่ะ”

       “คุณมั่นใจเหรอ ว่ามันเป็นเลือด” เขาพยายามจับผิดเธอเต็มที่

       “สิตาตัดเล็บส่งไปให้ห้องแล็บตรวจสอบแล้วค่ะ เขายืนยันว่าเป็นเลือดจริง”

       “แต่ก็ไม่ได้บอกไม่ใช่เหรอ ว่าเป็นเลือดคน โดยเฉพาะเลือดคนอื่น”

       ริณสิตาเถียงไม่ออก... ทำไมเธอถึงได้คิดว่าเป็นเลือดของฆาตกรนะ... ดูแลแทนวันแรกก็เจอคดีฆาตกรรมเลย ... เธอนึกถึงคำพูดของพี่อรรณพ ที่ทำให้เธอตัดสินใจสรุปไปว่าเป็นคดีฆาตกรรม

       “คุณทำให้ผมผิดหวังนะ ริณสิตา”

       “ขอโทษค่ะ อาจารย์”

       “เอาเถอะ ถือว่าเป็นการถือหางเสือครั้งแรกของคุณ ผมจะไม่บันทึกไว้ว่าคุณทำพลาด แต่ถ้ามีครั้งหน้า... อย่าลืมนะว่าคะแนนการปฏิบัติ มีผลต่อการได้ทุนของคุณด้วย… แล้วได้คุณอรรณพ กับคุณนรีนาถเป็นลูกมือ เป็นไงบ้างล่ะ รู้สึกว่าตัวเองฉลาดไหม”

       หญิงสาวหัวเราะกับมุขตลกของอาจารย์ เขาพูดมาตลอดว่า เด็กใหม่ส่วนมากจะยังมีทฤษฎีอยู่เต็มหัว ถามอะไรตอบได้ แต่พวกผ่านมานานแล้ว จะส่งคืนอาจารย์ไปหมด

       “กลับบ้านได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้เราค่อยมาดูกันว่าข้อสรุปของคุณน่ะถูกหรือผิด”

      ****

       ซองจดหมายสีน้ำตาลแบบเดิม วางรอริณสิตาอยู่ในห้องเหมือนเมื่อ 2 วันก่อน เธอไม่อยากสนใจมันนัก แต่ยุวรัตน์ เพื่อนร่วมห้องของเธอ คะยั้นคะยอให้เธอเปิดอ่าน เผื่อว่ามันจะเป็นจดหมายรักจากบุคคลนิรนาม

       ติ๊ดติ๊ดๆ โทรศัพท์มือถือของริณสิตา ส่งเสียงบอกว่ามีข้อความเข้า

       - หวังว่าคงยังเก็บผ้าเอาไว้ -

       “ผ้าอะไรเหรอ สิตา”

       ริณสิตาทำหน้างง เธอลืมผ้าเปื้อนสีแผ่นนั้นไปแล้ว

       ติ๊ดติ๊ดๆ อีกข้อความหนึ่งส่งเข้ามา

       - สงสัยไหมว่าใครฆ่า -

       เจ้าของโทรศัพท์มือถือ งงกับข้อความทั้งสองอันมาก แต่เมื่อเธอเปิดซองจดหมาย ทุกอย่างก็กระจ่าง

       “รูปใครน่ะ สวยนะ แล้วทำไมต้องปิดหน้าผู้ชายที่ยืนข้างๆ ด้วยล่ะ” ยุวรัตน์ชะโงกหน้าดูรูปหญิงสาวผมยาวในมือของริณสิตา

       มือของริณสิตาสั่นโดยไม่รู้ตัว ไม่น่าเป็นไปได้   เธอเพ่งมองรูป ดูแล้วดูอีก จนแน่ใจว่ายังไงก็ใช่แน่ จึงเปิดปากบอกเพื่อนว่าหญิงสาวในรูปนั้นคือใคร

       “ไม่รู้... แต่ผู้หญิงน่ะ คือ ศพที่ส่งมาชันสูตรวันนี้”

       “บ้าน่า ดูสิใครส่งมา” ยุวรัตน์หยิบซองกระดาษขึ้นมาดู ไม่มีที่อยู่ผู้ส่ง “แล้วข้อความล่ะ ใครส่งมา”

       ริณสิตาส่งมือถือให้เพื่อนสาวดู ชื่อที่ขึ้นอยู่คือ XXX และไม่มีเบอร์โทรศัพท์ขึ้น ซึ่งริณสิตาพอเดาได้ว่าส่งมาทางอินเตอร์เน็ต

       “ผ้า” สุดท้ายเธอก็นึกออกว่าข้อความนั้นพูดถึงอะไร

       เธอลงทุนค้นถังขยะสีฟ้าข้างประตู จนเจอซองกระดาษที่เธอเคยขยำอย่างมันมือ เธอหยิบผ้ามาคลี่ ดูรอยเปื้อนวงกลมนั้น แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่ามันเป็นรอยอะไร ระหว่างรอยเลือด กับรอยหมึก

       ตอนเที่ยงคืนของวันนั้น ริณสิตาได้รับข้อความจาก XXX อีกครั้ง

       - ลองตรวจกับเลือดที่ได้จากศพ แล้วเธอจะรู้เอง

        เธอปิดหนังสือพยาธิวิทยาทันทีที่อ่านข้อความจบ ยกมันเก็บเข้าชั้น แล้วหันไปหยิบเศษผ้าสีขาวๆ เหลืองๆ ขึ้นมาพิจารณาแทน ตกลงมันคือรอยเลือดเหรอเนี่ย

       ความอยากรู้อยากเห็นทำให้หญิงสาวนึกทบทวนหลักการทำลายพิมพ์ DNA ขึ้นมาทันใด... สกัด DNA จากเลือด ใช้เอนไซม์ตัดเป็นท่อนๆ แล้วนำไปทำเจลอิเล็กโทรโฟเรซิส (Gel Electrophoresis) ใช้ไฟฟ้าแยก DNA ตามน้ำหนัก ...

       “ที่ต้องการก็มีแค่อุปกรณ์” ริณสิตาบ่นเบาๆ แต่ยุวรัตน์ก็ไม่วายได้ยิน

       “เธอพูดว่าอะไรนะ สิตา… แล้วนั่นใช่ XXX ส่งข้อความมาหรือเปล่า”

       ริณสิตาพยักหน้าแทนคำตอบ  “แมวรู้ไหมว่าจะหาอุปกรณ์ทำลายพิมพ์ DNA ได้ที่ไหน ขอที่ใกล้ๆ นะ”

       “ก็ที่แล็บคณะไง เดิน 2 ก้าวก็ถึงแล้วมั้ง หรือไม่นะ เธอไปใช้แล็บโรงพยาบาลก็ได้นี่ ไปที่นั่นทุกวัน เขาไม่ว่าหรอกถ้าเธอจะขอใช้ห้องปฏิบัติการใน งานวิจัย

       “ขอบใจนะแมว” ริณสิตาเลือกสถานที่ที่เหมาะสำหรับทำการทดลองของเธอได้แล้ว

       …แต่เธอจะเอาตัวอย่างเลือดที่เก็บได้จากเล็บของผู้เสียชีวิตมาจากไหนล่ะ…

      ****

       “พี่คะ เลือดจากเล็บที่ส่งมาเมื่อวาน ยังอยู่หรือเปล่าคะ” ริณสิตาเข้าไปตีสนิทกับเจ้าหน้าที่ห้องชีวเคมี

       “อยู่ในตะกร้าสีเขียว… อาจารย์ให้มาเอาเหรอ”

       “ใช่ค่ะ” ริณสิตาโกหกไป

       เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้ว “ไม่เห็นอาจารย์บอกพี่ไว้เลยว่าจะเอา”

       “ให้พี่โทรฯ ถามอาจารย์ก่อนนะ ค่อยเอาของไป”

       ริณสิตายืนนิ่ง ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ แต่ไม่ทันที่เจ้าหน้าที่จะต่อสายถึงอาจารย์หมอได้ พระเอกเสื้อกาวน์ขาวก็เข้ามาช่วยเธอ

       “วันนี้ไม่มีเวรเหรอ”

       หญิงสาวแอบยิ้มดีใจ “มีค่ะ พี่อ้น แต่พอดีแวะมาเอาของที่นี่ก่อน”

       “เลือดที่ได้เมื่อวานน่ะเหรอ ก็เอาไปสิ เอาผลไปด้วยไหม เป็นเลือดคนนะ และก็ไม่ใช่เลือดของผู้ตายด้วย”

       “ไม่โทรฯ เช็คกับอาจารย์ก่อนเหรอ หมอ” เจ้าหน้าที่ศูนย์ชันสูตรขัดขึ้น

       “ไม่ต้องหรอก ผมรับรองเองว่าริณสิตา มารับผลแทนอาจารย์จริงๆ แล้วอาจารย์ต้องการให้สิตาเอาอะไรไปอีกไหม”

       ริณสิตาทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะหยิบซองกระดาษยับๆ ออกมาจากกระเป๋า เธอวางแผนไว้แต่แรกแล้วว่า ถ้าเธอตีสนิทกับเจ้าหน้าที่ได้ เธอจะขอใช้อุปกรณ์ทำลายพิมพ์ DNA ด้วย

       “ไม่ต้องเอาอะไรแล้วล่ะค่ะ แค่ทำลายพิมพ์ DNA เทียบกับเลือดบนผ้านี่… จะให้สิตาทำเองก็ได้นะคะ อยากลองอยู่เหมือนกัน”

       “อย่างนั้น ตอนพักเที่ยงมาที่นี่สิ เดี๋ยวพี่ให้เจ้าหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ให้”

       “ได้ค่ะ แล้วเจอกันตอนเที่ยงค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอส่งหลอดเก็บเลือดคืนอรรณพ

       “เดี๋ยวก่อน สิตา พี่ถามอะไรหน่อยสิ เมื่อวานสิตาเห็นพี่ใส่แหวนหรือเปล่าน่ะ วงที่เป็นแหวนโรงเรียน พี่หามันไม่เจอ ไม่แน่ใจว่าถอดไว้ที่ไหน”

       ริณสิตานึกถึงตอนสายๆ ของเมื่อวานที่เธอกับอรรณพที่ห้องพัก เธอจำไม่ได้ว่าเห็นเขาใส่แหวน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาไม่ได้ใส่มัน

        “ไม่แน่ใจสิคะ สิตาไม่ได้สังเกตด้วย รู้สึกว่าจะไม่มีนะคะ”

       อรรณพพยักหน้าให้กับคำตอบของเธอ “สงสัยคงหายไปตอนนั้น” เขาพึมพำ แต่ริณสิตาไม่ได้สนใจมันสักเท่าไร

        ****

       ...บ้าน่า ... ลายพิมพ์ DNA จากเลือดบนผ้า กับเลือดจากเล็บ เป็นของคนคนเดียวกัน…

       “เป็นอะไรหรือเปล่า” อรรณพสังเกตเห็นว่ารุ่นน้องหน้าซีดไป

       “ไม่เป็นไรค่ะ สิตาขอบคุณพี่อ้นมากๆ เลยนะคะ ที่ช่วยสิตา”

       “รุ่นพี่ก็ต้องช่วยรุ่นน้องอยู่แล้ว ว่าแต่สิตาจะบอกพี่ได้ไหม ว่าทำลายพิมพ์ DNA เทียบกันทำไม”

       “งานวิจัยนิดหน่อยค่ะ” ริณสิตารีบเก็บผลที่ได้ลงกระเป๋า ก่อนที่อรรณพจะเดินมาถึงตัวเธอ “แล้วนี่พี่อ้นเจอแหวนหรือยังคะ”

        คนถูกถามส่ายหน้า

        “ลองดูในเสื้อกาวน์หรือยังคะ สิตาว่าคงไม่ได้หายไปไหนหรอก สิตาไปนะคะ สวัสดีค่ะ พี่อ้น”

       อรรณพยิ้มให้ แต่เมื่อริณสิตาลับสายตาไป เขาก็ลอบถอนหายใจเบาๆ

       “หวังว่าคงไม่โดนจับได้ก่อนนะ”

      ****

       ... DNA ตรงกัน แต่มันเป็นเลือดใครล่ะ ...

       ริณสิตาหยิบเอาผ้าเปื้อนเลือดออกมาพลิกแพลงตะแคงหาตำหนิ ที่จะบอกเธอได้ว่าผ้านี้เป็นของใคร

       ติ๊ดติ๊ดๆ... - รู้หรือยังล่ะ ว่าใครเป็นฆาตกร -

       “จะไปรู้ได้ไงเนี่ย” ริณสิตาหยิบผลลายพิมพ์ DNA ที่ได้มาเทียบกัน แล้วเธอก็สงสัยว่า แค่ลายพิมพ์ DNA จะทำให้เธอรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นฆาตกร

       ติ๊ดติ๊ดๆ... - ดูรูปที่ให้ไปหรือยัง -

       หญิงสาวมองรูปที่หนีบอยู่ข้างโคมไฟ แมวนะแมว อยากให้ฉันนอนไม่หลับหรือไง เอารูปคนตายมาไว้ตรงนี้  เธอสังเกตผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ… หน้าของเขาโดนถมด้วยปากกาสีดำจนมองไม่ออกเลยว่าเป็นใคร รู้แค่ว่าค่อนข้างผอม สูง และผิวออกคล้ำๆ หน่อย

       “ก็ดูอยู่เนี่ย ไม่เห็นจะมีอะไรเลย เล่นระบายเสียหน้าดำขนาดนี้” ริณสิตาบ่นกับตัวเอง เธอมองไปที่เตียงว่างเปล่าข้างหน้าต่าง แล้วถอนหายใจ แมวก็ไปต่างจังหวัดแล้ว ... ไม่มีใครช่วยคิดเลย

       ...เราควรไปแจ้งตำรวจไหมนะ หรือควรไปบอกอาจารย์ก่อน ... เธอคิดพลางดึงรูปเล่นไปมา

       ...อะไรน่ะ ... ริณสิตาพลิกดูหลังรูป ‘อย่าบอกใคร ถ้าไม่อยากตาย’

      ****

       ...จับแล้ว รมควันสาวบริษัท เผยทำเพราะหึง...

       ริณสิตาสนใจข่าวพาดหัวของวันนี้เป็นพิเศษ

       “พี่พร สิตาขอดูข่าวนี้หน่อยได้ไหมคะ” เธอเอ่ยปากขอพนักงานธุรการที่นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่เคาน์เตอร์เซ็นชื่อ

       “คดีฆาตกรรมรายแรกของหมอน่ะเหรอ” พรนิลเปิดเนื้อข่าวยื่นให้ริณสิตาด้วยความเต็มใจ เหมือนอาจารย์เลย มีข่าวเกี่ยวกับคดีที่ทำเมื่อไร เป็นต้องขอดู

       “เขาสารภาพแล้วนี่ น่าเสียดายเลือดที่หมอเจอนะ”

       ริณสิตายิ้มแทนคำตอบ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น โล่งใจที่จับตัวฆาตกรได้แล้ว หรือเสียใจที่ไม่ได้เป็นคนไขคดีนี้ได้ แต่ที่แน่ๆ เธอยังคงสงสัยอยู่ว่า XXX คือใคร

       ติ๊ดติ๊ดๆ - อ่านข่าวแล้วใช่ไหม  -

       ...เขาอยู่แถวนี้เหรอ ... ริณสิตามองออกไปทางประตูห้อง ไม่มีใครนี่ แถวนี้ไม่มีเครื่องคอมฯ ด้วย ยกเว้นเครื่องตรงเคาน์เตอร์นี้ เธอชะโงกหน้ามองพรนิล

       “มีอะไรเหรอ”

       “พี่พรเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่หรือเปล่าคะ”

       พรนิลส่ายหน้า มือของเธอไม่แม้แต่จะอยู่ใกล้แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์เลย

       - แพะรับบาป  -  ...อะไรอีกล่ะ... - จำผ้าผืนนั้นไม่ได้หรือไง  -

       “อ้าว คุณริณสิตา มายืนอ่านอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่เข้าไปข้างใน” อาจารย์เอ่ยทักขึ้น เขาเก็บคอมพิวเตอร์มือถือเข้าซองที่กระเป๋ากางเกง แล้วดึงผ้าเช็ดมือออกมาจากช่องชั้นบนสุดของเคาน์เตอร์

       ...เอ๊ะ... ริณสิตานึกอะไรบางอย่างออก ผ้าเช็ดมือ เธอนึกเทียบสี และลักษณะของผ้าเปื้อนเลือดที่วางอยู่บนโต๊ะที่หอ กับผ้าเช็ดมือของแผนกนิติเวช

       “อาจารย์คะ วันนี้สิตาลาป่วยนะคะ รู้สึกเหมือนท้องจะเสีย” ว่าแล้วก็จ้ำพรวดๆ ออกไปจากห้อง แต่เธอไม่ลืมที่จะดึงเอาผ้าเช็ดมือติดตัวไปด้วย

      ****

       ...ใช่จริงๆ ด้วย ... ริณสิตาเทียบผ้าทั้งสองผืน มันเหมือนกันทุกอย่างทั้งสีทั้งขนาด และชนิดของผ้า

       ติ๊ดติ๊ดๆ - จำได้หรือยัง ศุกร์ที่แล้ว  -

       ...ศุกร์ที่แล้ว ... สิ่งเดียวที่ริณสิตาจำได้จากวันศุกร์ที่ผ่านมา นอกจากคดีที่เธอต้องเอามาสรุปเป็นการบ้านแล้ว ก็มีแค่อุบัติเหตุเล็กๆ ตอนเก็บอุปกรณ์... ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่น่าใช่

       เธอหยิบรูปขึ้นมาจ้องชายหนุ่มลึกลับที่ถ่ายรูปคู่กับหญิงสาวผมยาว หุ่นใช่ สีผิวพอได้ ความสูงใกล้เคียง

       รูปถ่ายหลุดมือริณสิตาลงไปอยู่ที่พื้น พร้อมกับตัวเธอที่ทิ้งลงบนเก้าอี้นุ่มอย่างหมดแรง

       ...ไม่ เรายังเชื่อไม่ได้ว่าใช่จริงๆ เราต้องพิสูจน์ก่อน ... ริณสิตาเด้งตัวขึ้น เธอหยิบกระเป๋าถือ แล้วเดินออกจากห้องพักอย่างมุ่งมั่น

       ****

       “พี่พร อาจารย์อยู่ในห้องพักหรือเปล่าคะ”

       “อยู่... เดี๋ยวสิหมอ ไหนว่าท้องเสียไง” พรนิลมองริณสิตางงๆ ในมือเธอมีแก้วน้ำทรงสูงอยู่ และเธอก็กำลังจะเดินไปทางเดียวกับริณสิตาด้วย

       “หายแล้วค่ะ นั่นน้ำอาจารย์ใช่ไหมคะ เดี๋ยวสิตาเอาไปให้เองค่ะ” ไม่ทันได้คำตอบจากพนักงานธุรการ ริณสิตาก็ขโมยแก้วน้ำมาจากเธอ แล้วก้าวยาวหายเข้าไปในห้องอาจารย์

       อาจารย์หนุ่มวางแฟ้มเอกสารในมือ เมื่อได้ยินเสียงประตูห้อง เขากำลังจะสั่งกาแฟเพิ่ม แต่เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นริณสิตาก็เปลี่ยนคำพูดทันที

       “อ้าว คุณริณสิตาหายดีแล้วเหรอ”

       ริณสิตาตอบว่าใช่ แล้วขอนั่งคุยกับอาจารย์ ซึ่งเขาก็อนุญาต

       “มีอะไรล่ะ” อาจารย์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม จนเหลือแค่ครึ่งแก้ว

       “คือ ทุนที่สิตาสมัครไปน่ะค่ะ...” เธอหาเรื่องคุย “มีโอกาสมากแค่ไหนหรือคะ”

       “ดูจากคะแนนโอกาสได้ก็สูงนะ แต่ก็ต้องดูความประพฤติของคุณด้วย ที่ผมต้องเป็นคนรับรอง” แล้วเขาก็ดื่มน้ำจนหมดแก้ว

       ริณสิตาสะดุ้งนิดๆ เมื่อได้ยินว่า การรับรองของอาจารย์มีผลต่อการได้ทุนศึกษาต่อของเธอด้วย

       “สิตาอยากทราบแค่นี้แหล่ะค่ะ อาจารย์จะทานน้ำอีกไหมคะ เดี๋ยวสิตาได้ไปบอกพี่พรให้”

       “ขอเป็นกาแฟแล้วกัน”

       “ค่ะ” ริณสิตารับคำอย่างเต็มใจ เธอยกแก้วน้ำของอาจารย์ไปกับเธอด้วย และบอกกับพรนิลว่าอาจารย์ขอกาแฟ ก่อนจะเสนอตัวจัดการกับแก้วใสใบสูงให้

       หญิงสาวเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำ ดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่นอกจากเธอ แล้วจึงลงกลอนประตู และเริ่มทำงานของเธอ ใช้ผ้าพันแผลซับเอาคราบน้ำลายบนขอบแก้ว แต่มีอย่างหนึ่งที่เธอลืมนึกไป

       …คราบน้ำลายไม่มีลายพิมพ์ DNA เว้นเสียแต่ว่าจะมีเซลล์จากเยื่อบุช่องปากติดมาด้วย…

       ริณสิตาถอนหายใจยาวอย่างผิดหวัง แต่โชคดีที่ลายพิมพ์ DNA ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะใช้พิสูจน์ตัวบุคคล

       ...หมู่เลือด...แต่ขออย่าให้ตรงกันเลยเถอะ … ริณสิตาภาวนาอยู่ในใจ

       เธอเดินหลบๆ ซ่อนๆ ตามมุมตึก เพื่อไม่ให้ใครเห็น ในขณะที่เธอหาทางไปห้องชีวเคมี

       “พี่คะ อาจารย์นภดลให้มา...”

       “จะทำลายพิมพ์ดีเอ็นเออีกแล้วเหรอ” เจ้าหน้าที่พูดแบบรู้ทัน

       ริณสิตายิ้ม “แค่ตรวจหมู่เลือดก่อนก็ได้ค่ะ พี่”

       “เหรอ ไหนล่ะตัวอย่าง”

       “นี่ค่ะ” เธอส่งซองกระดาษสีน้ำตาลให้เขา

       “พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเอานะ วันนี้คิวเยอะ”

      ****

       “อาจารย์นภดล วันนี้มารับผลเองเลยเหรอครับ เห็นทุกทีส่งหมอใหม่มา” เจ้าหน้าที่ศูนย์ชันสูตรที่ริณสิตาไปตีสนิทด้วยเอ่ยทักอาจารย์หนุ่ม

       “ริณสิตาน่ะเหรอ ผมส่งมาแค่ครั้งเดียวเอง”

       “เธอเพิ่งมาเอาผลตรวจหมู่เลือดจากคราบน้ำลายไปเองนะครับ ครั้งก่อนก็มาเอาผลทำลายพิมพ์ DNA”

       อาจารย์นภดลขมวดคิ้ว... เขาไม่เคยสั่งให้ทำลายพิมพ์ DNA เลย

       “ยังมีสำเนาอยู่ไหม”

       “หมอริณสิตาบอกว่า อาจารย์ไม่ให้ทำสำเนา ผมก็เลยไม่ได้ทำเอาไว้น่ะครับ”

       “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปถามเธอเอาเองแล้วกัน... พรนิล โทรฯ ตามหมอริณสิตาให้ผมหน่อย”

       อาจารย์ยกโทรศัพท์ภายในโทรฯ หาเจ้าหน้าที่ธุรการประจำห้องชันสูตรศพทันที ลูกศิษย์คนนี้ของเขาจะได้นั่งรออยู่ในห้องพอดีเวลาที่เขากลับไป

        ...หวังว่าคงมีคำอธิบายดีๆ นะ คุณริณสิตา ไม่อย่างนั้น คะแนนความประพฤติคุณไม่เหลือแน่ ...

       “คุณริณสิตา” อาจารย์เริ่มด้วยการข่มด้วยเสียง ซึ่งทำให้ริณสิตาตกใจพอสมควร

       “ผมเพิ่งกลับมาจากศูนย์ชันสูตร แล้วรู้ไหม ว่าเขาถามผมว่าอะไร”

       ริณสิตาชิงพูดก่อน “ขอโทษค่ะ อาจารย์ คือสิตามีงานวิจัย ไม่รู้จะใช้ห้องทดลองที่ไหน”

       “คุณก็น่าจะบอกผมสักคำนะ”

       “จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วค่ะ”

       “แล้วให้ผมรู้ได้ไหมว่าทำวิจัยอะไร หรือกลัวผมจะขโมยงาน”

       ริณสิตาอึกอัก “อาจารย์อย่าเพิ่งรู้เลยดีกว่าค่ะ เอาไว้เสร็จแล้ว สิตาจะเอามาให้อาจารย์พิจารณาแก้ไข”

       อาจารย์พยักหน้าเข้าใจ มือใหม่ก็อย่างนี้ล่ะ อยากทำอะไรด้วยตัวเอง

       “ไม่มีงานต้องทำหรือไง” เขาไล่

       แต่ก่อนที่ริณสิตาจะเดินออกจากห้อง เธอสังเกตเห็นแผลที่แขนข้างซ้ายของอาจารย์

       “อาจารย์ไปโดนอะไรมาเหรอคะ”

       นภดลมองแผลตรงปลายแขนเสื้อที่เขาพับขึ้นถึงข้อศอก

       “แมวข่วนน่ะ” เขาตอบแบบไม่ต้องคิด “โดนตั้งแต่วันอาทิตย์แล้ว คุณนี่ไม่ช่างสังเกตเลยนะ คุณริณสิตา อย่างนี้จะเป็นหมอนิติเวชที่ดีได้ไงเนี่ย”

       “ใช่สิคะ อาจารย์” ริณสิตายิ้มแก้เขิน แต่รอยยิ้มค่อยจางหายไป เมื่อเธอนึกขึ้นได้ พบเลือดกับเศษเนื้อใต้เล็บผู้หญิงคนนั้น ผ้าที่เปื้อนเลือดเหมือนผ้าเช็ดมือในห้องชันสูตรศพ เธอตายช่วงคืนวันอาทิตย์ถึงเช้าวันจันทร์

       “สิตาไปก่อนนะคะ อาจารย์” เธอจ้ำอ้าวออกจากห้องอาจารย์กลับห้องพักพร้อมผลตรวจ ที่เธอรู้แน่ว่าเป็นของใคร แต่ใจเธอยังภาวนาขอให้มันไม่ตรงกับที่เธอมีอยู่

       ติ๊ดติ๊ดๆ “ได้ความจริงแล้วสิ... คงยังไม่เชื่อสินะว่าใช่”

       “ใครมันจะไปเชื่อได้ล่ะ” ริณสิตาโวยวายอยู่ในห้อง

        จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้เปิดเทียบหมู่เลือดของอาจารย์ กับผลที่ได้จากเล็บของผู้ตาย เพราะเธอมัวแต่ค้นหนังสือทุกเล่มเพื่อหาความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้

       …มันก็แค่หมู่เลือด… หญิงสาวคิด …ใครๆ ก็มีหมู่เลือดเหมือนกันได้…

       เธอต้องได้ลายพิมพ์ DNA เท่านั้น

      ****

       ริณสิตามีโอกาสร่วมชันสูตรศพกับอาจารย์หนุ่มของเธออีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

       เธอได้วางแผนเอาไว้แล้วว่าเธอจะต้องได้เลือดของอาจารย์มาทำลายพิมพ์ DNA ให้ได้ และในวินาทีที่เธอจับมีดผ่าตัดขึ้นมา เธอก็เผลอตวัดมันไปโดนแขนของอาจารย์นภดล…อย่างตั้งใจ

       “ขอโทษค่ะ อาจารย์”

       เลือดไหลซิบๆ ออกมาจากบาดแผลที่ไม่ค่อยลึกเท่าไร

       ริณสิตารีบใช้ผ้าสะอาดที่เธอบังเอิญหยิบติดมือมาด้วยซับลงบนแผล และเก็บมันเข้ากระเป๋าอย่างแนบเนียน

       “อาจารย์ไปทำแผลก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมดูแลต่อเอง” อรรณพเอ่ยขึ้น

       “เดี๋ยวสิตาช่วยค่ะ” เธอก้าวตามอาจารย์หนุ่มออกไปจากห้อง แต่เขากลับหันมาบอกให้เธออยู่ช่วยอรรณพ

       เมื่ออาจารย์ออกจากห้องไปก็เหลือเพียงอรรณพกับริณสิตา

       “เอาใส่ซองนี่สิ…” อรรณพยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลให้ “…ผ้านั่นน่ะ”

       หญิงสาวทำหน้างง แต่ก็รับซองกระดาษมาใส่ผ้าเปื้อนเลือดของอาจารย์

       “ขอบคุณค่ะ”

       “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าสิตากำลังทำอะไร แต่ก็ระวังหน่อยแล้วกัน มันชักจะโจ่งแจ้งเกินไปหน่อยแล้วนะ”

       …ถ้าเขาไม่รู้แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันโจ่งแจ้ง … คิ้วบางๆ ของริณสิตาขมวดเข้าหากันเป็นปม

       “แหมเสื้อนี่มันรุ่มร่ามจริง ไม่ค่อยถนัดเลย” เสียงบ่นของอรรณพดังขึ้น

       ริณสิตาเงยหน้าขึ้นทันเห็นนายแพทย์หนุ่มดึงแขนเสื้อของตัวเองขึ้น แล้วเธอก็สังเกตเห็นรอยแผลเป็นทางยาวที่แขนซ้ายของเขา

       “พี่อ้นเลือดกรุ๊ปอะไรเหรอคะ” เธอถามออกไปโดยไม่คิด

       “บี ทำไมเหรอ”

       …เลือดที่พบก็เป็นกรุ๊ปบี…

       หญิงสาวนึกถึงอุบัติเหตุเมื่อวันศุกร์ที่เธออยู่ในเหตุการณ์ด้วย วันนั้นอาจารย์นภดลเผลอทำมีดบาดตัวเอง แต่วันนั้นไม่ได้มีชันสูตรศพแค่ศพเดียว และเธอก็ไม่ได้อยู่ช่วยตลอดเวลาด้วย

       “สิตาอ่านเมล์ทายนิสัยจากกรุ๊ปเลือดมาน่ะค่ะ แต่จำได้แค่ของกรุ๊ปเอบีกับโอ” ริณสิตากลบเกลื่อนความน่าสงสัยของเธอ

      ****

       แล้วริณสิตาต้องกลับมานั่งครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้อีกครั้ง

       เธอนึกถึงภาพที่ติดอยู่บนโคมไฟ …ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เป็นได้ทั้งอาจารย์นภดลและพี่อรรณพ…

       ... ดูแลแทนวันแรกก็เจอคดีฆาตกรรมเลย

       อรรณพเป็นคนแรกที่สรุปกับเธอว่าผู้หญิงคนนั้นถูกฆาตกรรม ทั้งที่มันเป็นไปได้ว่าเธออาจจะฆ่าตัวตาย หรืออาจจะเป็นอุบัติเหตุ

       ติ๊ดติ๊ดๆ - ไม่มั่นใจแล้วล่ะสิ  -

       “ใช่น่ะสิ” ริณสิตายอมรับกับตัวเอง

       แต่หลักฐานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งยังคงอยู่กับเธอ …ผ้าที่เปื้อนเลือดของอาจารย์นภดล…

       ริณสิตาหยิบซองกระดาษในกระเป๋าออกมาดู แล้วตัดสินใจไปที่ห้องชีวเคมี

       “พี่คะ…”

       “ทำลายพิมพ์ DNA…” เจ้าหน้าที่เอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน “…อาจารย์บอกพี่แล้วล่ะว่าหมอกำลังทำวิจัยอยู่ พรุ่งนี้บ่ายถึงจะได้ผลนะ รอได้ใช่ไหม”

       “ค่ะ รอได้ค่ะ”

       …แล้วถ้าลายพิมพ์ DNA ของอาจารย์ไม่ตรงกันล่ะ … เธอคิด แต่ก็ไม่ได้หวังให้มันตรงกัน

       “มาทำวิจัยอีกแล้วเหรอ” เสียงของอรรณพดึงเธอจากความคิด

       “ค่ะ พี่อ้น” …เธอต้องการลายพิมพ์ DNA ของอรรณพอีกคน… “ถ้าสิตาจะขอตัวอย่างเลือดของพี่อ้นไปทำวิจัยด้วยจะได้ไหมคะ”

       “จะดีเหรอ” อรรณพมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด

       “ดีสิคะ”

       “ใช้เยอะไหมล่ะ”

       “ไม่มากหรอกค่ะ แค่พอทำลายพิมพ์ DNA”

       อรรณพทำท่าครุ่นคิด แต่สำหรับริณสิตา เธอเห็นว่าเขากำลังกลัวอะไรบางอย่าง

       “ได้ไหมคะ”

       “ถ้าพี่ไม่ให้เนี่ย สิตาจะใช้มีดกรีดพี่แบบที่ทำกับอาจารย์รึเปล่า”

       ริณสิตายิ้มขำ ก่อนจะตอบไปตามที่เธอคิด “ไม่แน่นะคะ พี่อ้น”

       “งั้นพี่ยอมให้เจาะดีๆ ก็ได้” อรรณพยื่นแขนของเขาให้ริณสิตา

       มันยิ่งทำให้เธอเห็นแผลบนแขนซ้ายของเขาได้ชัดเจนขึ้น… ขีดยาวๆ สองขีด

       “แค่เจาะนิ้วก็พอค่ะ” เธอยิ้มกลบเกลื่อนความสงสัยที่มีอยู่ในใจ

      ****

        …ในการทำลายพิมพ์ DNA โอกาสที่คนสองคนจะมีลายพิมพ์ DNA เหมือนกัน โดยที่คนทั้งสองไม่ใช่ฝาแฝดแท้แล้ว แทบจะถือได้ว่าเป็นศูนย์เลยทีเดียว…

       ติ๊ดติ๊ดๆ - คืนนี้จะส่งหลักฐานสำคัญให้ แล้วทุกอย่างจะลงตัว  -

       ...คืนนี้... ริณสิตามองนาฬิกาข้อมือ สามทุ่มแล้ว จะส่งมาให้กี่โมงเนี่ย

       นั่งอยู่ได้ไม่นาน ริณสิตาก็เริ่มง่วง จนเธอต้องตัดสินใจเดินออกไปขโมยนาฬิกาแขวนที่ทางเดินมาวางไว้บนโต๊ะ และตั้งให้มันร้องปลุกเธอทุกครึ่งชั่วโมง

       ...ตีสามแล้วนะ คืนนี้ที่ว่าเนี่ย จะเป็นรุ่งสางหรือไง ...

       ปึง! เสียงกระแทกประตูห้องทำริณสิตาที่กำลังจะหลับ สะดุ้งตื่นเต็มตัว

       เธอวิ่งไปเปิดประตูห้อง และสิ่งเดียวที่เธอเจอก็คือแฟ้มพลาสติกสีฟ้าขุ่น

       ...อะไรกันเนี่ย ... ริณสิตาหยิบภาพถ่ายและจดหมายออกมาดูทีละชิ้น มันเป็นภาพของที่เกิดเหตุและหลักฐานที่ทางตำรวจพบ

       ริณสิตาดูมันผ่านๆ อย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไร แต่หลักฐานชิ้นที่ 2 ซึ่งตกอยู่บนเก้าอี้ข้างศพของผู้เสียชีวิตทำให้เธอต้องตะลึง

       …แหวนเงินที่มีสัญลักษณ์โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง…

       น้ำหยดหนึ่งไหลเปียกแก้มเธอโดยไม่รู้ตัว ไม่จริงน่ะ ริณสิตาเกือบขยำภาพในมือ แต่เธอนึกได้ว่ามันคือ หลักฐาน

        ติ๊ดติ๊ดๆ  - เธอจะทำไงต่อไป ริณสิตา เมื่อเธอรู้ความจริงแล้ว  -

       “มีสิ่งเดียวที่จะทำได้สินะ”

       ริณสิตารวมเอกสารทั้งหมดและแฟ้มสีฟ้าใส่กระเป๋าเป้ถือออกจากห้องไป

      ****

       “อาจารย์คะ”

       “คุณริณสิตา มาทำไมแต่เช้าเนี่ย วันนี้ออกข้างนอกไม่ใช่เหรอ”

       “สิตามีเรื่องอยากจะปรึกษาค่ะ” ริณสิตาทำหน้าเครียด

       เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตรงข้ามโต๊ะของอาจารย์ และวางกระเป๋าเป้ลงบนพื้นข้างตัว แต่สายตาเธอกลับสะดุดเอาภาพถ่ายที่ตั้งอยู่บนตู้เอกสารข้างโต๊ะทำงานของอาจารย์

       “อาจารย์เรียนจบมัธยมที่เดียวกับพี่อรรณพเหรอคะ”

       นายแพทย์หนุ่มเจ้าของห้องส่งเสียงตอบในลำคอว่าใช่ และถามกลับว่าทำไม

       ริณสิตานึกถึงแหวนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ… มันเป็นแหวนโรงเรียน… ซึ่งหมายความว่าอาจารย์นภดลก็มีแหวนแบบเดียวกันนี้เหมือนกัน

       “สิตาขอดูแหวนโรงเรียนของอาจารย์หน่อยได้ไหมคะ”

       นภดลเลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจ

       “คุณจะดูไปทำไมล่ะ คุณริณสิตา”

       “คือ พี่อรรณพทำแหวนหายน่ะค่ะ เขาให้สิตาช่วยหา แต่สิตาไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง”

       อาจารย์หนุ่มทำหน้าเข้าใจ “ของผมก็หายไปแล้วเหมือนกันนะ คงจะช่วยอะไรคุณไม่ได้”

       “อาจารย์เป็นคนฆ่าเธอใช่ไหมคะ” ริณสิตาตัดสินใจเดินหมากเกมสุดท้าย ถ้าใช่เขา เธอก็พร้อมกดโทรศัพท์หาอรรณพ และตะโกนร้องให้ช่วยอย่างสุดเสียงหากเขาทำอะไรเธอ แต่ถ้าไม่ใช่เขา เธอก็จะได้บอกข้อสงสัยให้เขาได้รับรู้ และช่วยเธอหาทางออก

       นภดลทำหน้างง “คุณริณสิตา คุณไม่สบายหรือเปล่า”

       “อาจารย์สารภาพมาเถอะค่ะ ยังไงวันนี้สิตาก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี จากลายพิมพ์ DNA ที่ทางแล็บทำให้อยู่”

       อาจารย์แพทย์หนุ่มยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยน์

       “คุณหมายถึงลายพิมพ์ DNA นี้น่ะเหรอ” นภดลหยิบผลอ่านจากห้องปฏิบัติการขึ้นมาวางบนโต๊ะ “บังเอิญว่าผมไปห้องแล็บเมื่อเช้านี้ น่าสนใจมากนะ ที่คุณทุ่มเทถึงขนาดใช้มีดกรีดผมเพื่อเอาเลือดไปทำงานวิจัยเล็กๆ ของคุณ แล้วยังมาหาว่าผมเป็นฆาตกรอีก”

       ริณสิตาเริ่มรู้สึกกลัว เธอใช้มือที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋ากดโทรฯ ออก 2 ครั้ง... เบอร์สุดท้ายที่เธอโทรฯ หา... อรรณพ...

       “แล้วใช่ไหมล่ะคะ อาจารย์” หญิงสาวยังคงทำเป็นกล้า ทั้งที่น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่น และใจของเธอได้เปลี่ยนจากเต้นรัวเป็นเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว

       เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นไม่ไกลออกไป

       ริณสิตามองหาว่าใครอยู่ในห้องนี้อีกนอกจากเธอ และชายหนุ่มที่เธอปักใจเชื่อว่าเป็นฆาตกร

       “ออกมาเถอะ อรรณพ เธอรู้แล้วล่ะว่าคุณอยู่ตรงนั้น”

       อรรณพก้าวออกมาจากหลังตู้เอกสารเหล็ก พร้อมกดตัดโทรศัพท์ เขามองริณสิตา และผลแล็บที่วางอยู่บนโต๊ะอาจารย์ ก่อนจะถามขึ้นเรียบๆ “อาจารย์จะเอายังไงครับ”

       อาจารย์นภดลทำทีครุ่นคิด ขณะที่อรรณพเดินเข้าใกล้ริณสิตาเรื่อยๆ จนมาอยู่หลังเก้าอี้ที่เธอนั่งพอดี และมือทั้งสองของเขาก็จับอยู่บนพนักพิง

       ริณสิตาทำอะไรไม่ถูก เธออยากจะตะโกนร้องให้คนช่วย แต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร เพราะไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้แล้วนอกจากเธอ... หรือถ้าเธอจะโทรศัพท์หานาถนรี หรือคนอื่นๆ ที่เธอรู้จักก็คงจะทำได้อยาก เพราะเบอร์เหล่านั้นไม่ได้อยู่เป็นชื่อแรก และเธอก็ไม่ได้ตั้ง speed dial ชื่อของใครไว้เลย

       เสียงถอนหายใจของอาจารย์หนุ่มดังก้องห้องที่เงียบยิ่งกว่าป่าช้า เขาไม่เคยตัดสินใจอะไรยากๆ แบบนี้มาก่อน... อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับลูกศิษย์ที่เขาเอ็นดูเป็นพิเศษอย่างเธอ

       “เสียใจด้วยนะ คุณสอบปฏิบัติไม่ผ่าน ผมคงต้องให้คุณสอบใหม่โอกาสหน้า” เขายิ้มให้เธออย่างเห็นใจ

       แต่ริณสิตายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น... เธอกำลังจะกล่าวหาสองคนนี้ว่าเป็นฆาตกร ฆ่ารมควันหญิงสาวน่าสงสารคนหนึ่ง แต่เขากลับบอกกับเธอว่าเธอสอบตก... เขาพยายามจะขู่หรือไง...

       “ผมขอบอกว่าคุณทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ยังดีไม่พอ ตอนแรกคุณคิดว่าอรรณพเป็นฆาตกรใช่ไหมล่ะ แล้วก็มาคิดว่าเป็นผม...” เขาหยุดดูปฏิกิริยาของเธอ ก่อนจะพูดต่อ “...แล้วตอนนี้คุณก็คิดว่าทั้งผมและอรรณพช่วยกันฆ่าเธอ...” เขาหยุดอีกครั้ง “... ผมพูดถูกไหม ริณสิตา”

       ...เขารู้ทั้งหมดนี้ได้ยังไง ...

       “คุณยังทำงานพลาดอยู่เยอะนะ ริณสิตา ตั้งแต่เรื่องที่คุณเขียนสรุปไปว่าเป็นการฆาตกรรม คุณก็รู้นี่ว่าไม่ควรสรุปแบบนั้นลงไป แล้วเรื่องคาร์บอนมอนอกไซด์อีก คุณลืมไปแล้วหรือไงว่ายังมีไซยาไนด์อีกตัวที่ทำให้ผิวศพเป็นสีชมพูอย่างนั้นได้ อากาศที่เย็นจัดก็เหมือนกัน...” อาจารย์นภดลยกแก้วน้ำขึ้นจิบ “...และถ้าคุณสงสัยผมนัก ทำไมไม่เอาคราบน้ำลายผมไปตรวจดีเอ็นเอตั้งแต่แรก... รอทำไม กลัวไม่เจอเหรอ... พี่ที่ห้องชีวเคมีก็หลุดไปแล้วว่าจะตรวจดีเอ็นเอให้ คุณก็ไปบอกเขาว่าไม่... คุณรู้ไหมว่าทุกคนรู้เรื่องการสอบของคุณหมด และก็พยายามช่วยกันเต็มที่ แต่คุณน่ะไม่ช่วยเหลือตัวเองเลย” เขาส่ายหน้าไปมา

       ...ทุกคนรู้กันหมดเหรอ... พี่อ้น พี่กล้วย พี่เจ้าหน้าที่... แม้กระทั่งพี่พรนิลก็รู้...

       ริณสิตานั่งนิ่ง... เธอนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอาจารย์ของเธอจะทำถึงขนาดนี้

       “อาจารย์จะบอกว่านี่เป็นแค่การสอบเหรอคะ”

       นายแพทย์หนุ่มพยักหน้า “ไม่เชื่อถามพี่คุณดูก็ได้” เขาเสริม

       อรรณพพยักหน้าบอกว่าใช่ และแอบบ่นว่าอาจารย์เอาใครก็ไม่รู้มาเป็นผู้ต้องสงสัยให้เขาตามตรวจจนหัวหมุน แถมยังดึงตำรวจมาร่วมแกล้งเขาอีกด้วย

       “ก็ตอนนั้นคุณได้ทุนไปแล้วนี่ ผมก็ต้องมั่นใจหน่อยว่าคุณทำได้จริงๆ” นภดลยิ้มภูมิใจ

       “แล้วอาจารย์ทำยังไงคะ... คำใบ้ทั้งหมด ของทุกอย่าง”

       “คุณริณสิตาคิดว่า XXX คือใครเหรอ แล้วคิดว่าใครที่เข้าออกหอหญิงได้ ยังมีน้ำแก้วนั้นของคุณพรนิลอีก ทุกอย่างวางแผนมาอย่างดีทั้งนั้นแหล่ะ”

       ริณสิตาเริ่มเข้าใจ... XXX ส่งข้อความให้เธอทางอินเตอร์เน็ต – ใครที่มีคอมพิวเตอร์ติดตัวก็ทำได้ทั้งนั้น เพราะเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย – และเขารู้ความเคลื่อนไหวของเธอทุกฝีก้าว ก็มีแค่อาจารย์ กับพี่อรรณพที่เธอเจอบ่อยๆ เท่านั้น และคนที่จะเข้าหอหญิงได้ก็ต้องเป็นผู้หญิง… พี่นาถนรี

         “แต่ผู้หญิงคนนั้น เธอตายจริงนะคะ แล้วแผลบนแขนอาจารย์กับพี่อรรณพอีก”

       อาจารย์หมอเลิกคิ้วสูง “แผลผมน่ะเหรอ ก็โดนเจ้ากระปุกที่บ้านข่วนจริงๆ ส่วนของอรรณพน่ะ รู้สึกจะโดนรั้วบ้านขูดเอามั้ง ใช่ไหม อ้น”

       “ประตูบ้านครับ อาจารย์”

       “ประตูบ้านเหรอ... เออ ช่างเถอะ คุณริณสิตา ไปตามขอบคุณพี่ๆ เขาด้วยนะ เดี๋ยวผมค่อยหาทางสอบคุณใหม่อีกที... แต่ยังไงผมก็ออกใบรับรองพิจารณาทุนไปให้คุณแล้วนะ...” เขาหยิบสำเนาใบรับรองส่งให้เธอ

       “เตรียมตัวไว้ดีๆ นะ ริณสิตา ถ้าคุณได้ทุนขึ้นมาล่ะก็... ผมจะออกข้อสอบให้โหดกว่านี้อีก” อาจารย์นภดลหัวเราะร่าอย่างมีความสุข


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×