คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chess piece 11
ทุกคนล้วนมีของที่ตัวเองลืมแล้วอยากที่จะจำมันให้ได้ กุญแจบ้านที่ดันไปลืมวางไว้ที่ไหนก็ไม่รู้หรือถุงเท้าที่มักอยู่เป็นคู่แต่พอเวลาซักเข้าเครื่องเท่านั้นแหละ เจ้าถุงเท้าตัวดี ี่อยู่เป็นคู่ก็มักจะหายไปข้างนึงในหลุมดำซะงั้น
เรื่องเล็กน้อยพวกนั้นเธอไม่สนเลยสักนิด จะถุงเท้าหรือกุญแจบ้านก็ช่างมันสิแค่หาที่เก็บจัดวางให้เป็นระเบียบก็พอแล้ว
ขอแค่เรื่องนั้นเดียว เรื่องเดียวเท่านั้นที่เธออยากจะลืมมันไปให้จากหัวสมองเธอ จากความทรงจำของเธอ เสียงหญิงสาวที่สั่นเครือกับกลิ่นเหม็นสาปคาว กลุ่มสายตานับร้อยที่กำลังจ้องมองมาที่พวกเธอ
"ฉันอยู่นี้แล้ว"
"ปล่อย.....ไป ปล่อย....ฉันไป"
"......ขอโทษ"
"...ก...ล.."
ลูกแก้วสีท้องฟ้าสว่างค่อยๆปรือลืมขึ้นจากความมืด สายตาคู่สวยปรัปโฟกัสเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น แสงแดดลอดผ่านมูลี่ข้างเตียงเป็นลายทาง หยดเหงื่อไหลตามซอกคอไปจนถึงร่างกายเบื้องล่างจนชุ่มจนหน้าแปลก ทั้งๆที่แอร์ก็ทำความเย็นของมันดี ตามหน้าที่แท้ๆ แขนข้างซ้ายค่อยๆเอาขึ้นมาเกยหน้าผากมน เธอผ่อนลมหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อเรียบเรียงสติอีกครั้ง
ความรู้สึกหงุดหงิดและสับสนปนเปจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นความรู้สึกได้ มือขวาที่วางไว้ข้างตัวกำผ้าห่มไว้แน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นมาฉับพลัน
กลิ่นหอมของเบค่อนในกระทะถูกเทลงบนจานพร้อมกับไข่ดาวและออมเล็ตลอยฟุ้งแตะจมูกทันทีเมื่อเด็กสาวเปิดประตูห้องนอนพร้อมกับชุดนักเรียนสีฟ้าอ่อน โบว์สีแดงที่ตัดกันบนคอระหงส์กับกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเคลือบเงาใหม่เอี่ยมในมือ
ร่างบางสาวเท้ามายังห้องนั่งเล่นและห้องกินข้าวที่รวมกันอยู่กลางบ้าน มันเป็นคอนโดที่ไม่เล็กมากจนเกินไป อันที่จริงขนาดพื้นที่แค่คนสามคนก็ถือว่าเหลือล้นอยู่แล้ว
"อรุณสวัสดิ์ ชิยูกิ" ชินระตะโกนมาจากห้องครัวที่อยู่ติดกัน ชิยูกิไม่ตอบอะไร เธอทำแค่โบกมือตอบตามปกติก่อนจะรินน้ำส้มคั้นใส่แก้วเดินไปยังโต๊ะกินข้าว
ภาพบนโต๊ะกินข้าวนั้นมีร่างหญิงสาวไร้หัวในชุดนอนสีดำสนิทที่ตับกับสีผิวขาวซีดกับควันเขม่าสีดำที่ลอยฟุ้งไปมาไร้ทิศทาง ถ้าหากเป็นคนอื่นคงหัวใจวายเป็นที่เรียบร้อยแต่กับชิยูกิที่เจอมาตั้งแต่เด็กแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสุดๆ
'อรุณสวัสดิ์' เธอพิมพ์ข้อความทักทายเธอ
"ไง" เธอกล่าวตอบสั้นๆก่อนจะย่อนตัวนั่งข้างๆสาวไร้หัว
"พอจะคุ้นเคยกับญี่ปุ่นบ้างยัง" ชินระในเสื้อกาวด์คุณหมอและผ้ากันเปื้อนได้วางอาหารเช้ากลิ่นหอมกรุ่นไว้ตรงหน้าเด็กสาวก่อนจะวางอีกจานแล้วนั่งร่วมโต๊ะสามคน
"อืม ก็ดี" เธอตอบกลับก่อนจะตักเบค่อนเข้าปาก เสียงตอกแต้กดังอยู่ข้างหูเด็กสาวสั้นๆ
'เป็นอะไรไป' เซลตี้พิมพ์คำพูดในมือถือก่อนจะยื่นโชว์ให้เด็กสาวดู เธอละสายตาจากมื้อเช้ามองสาวไร้หัวที่ถูกนับเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว ควันสีดำลอยสั่นไว้ไปมาราวแทนสีหน้าของมนุษย์ที่ตัวเธอไม่มี
"ฝันน่ะเลยทำให้นอนไม่ค่อยหลับเท่าไร ไม่มีอะไรหรอก"
'ฉันเองก็ฝันเหมือนกัน'
"ฝันว่าอะไรละ" เมื่อเซลตี้ได้ยินเช่นนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์รัวๆไม่หยุด เธอยกมือถือให้เด็กสาวรับไปอ่าน สองพี่น้องเขยิบเข้าใกล้พร้อมกับอ่านเรื่องราวที่หญิงสาวคราบทมิฬอ่านอย่างตั้งใจ
‘ฉันฝันนว่ากำลังขี่เจ้าชูตเตอร์ในร่างของม้าสีดำทมิฬที่กำลังผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวในยามเช้ากับหมอกบางๆและอากาศเย็นยามเช้าบนถนนลูกรั่งกลับกลิ่นชื่นของดินและหญ้าเปียก’
สองพี่น้องยกยิ้มที่มุมปากเอ็นดูว์สาวไร้หัวที่ทุกคนในอิเคบุคุโระต่างหวาดผวาและกว่างหาว่าตัวเธอนั้นเป็นปีศาจ แต่ถ้าพวกเขาได้รู้ว่าเซลตี้นั้นน่ารักและเป็นคนที่กลัวเอเลี่ยนแล้วละก็ ฉายานักบิดไร้หัวที่แสนน่ากลัวนี่จะหายไปไหมนะ
“ดูเป็นฝันที่ดีเลยนะ เซลตี้” ชินระเท้าคางมองเซลตี้อย่างหลงใหล เซลตี้เองก็พยักตัวตอบรับชายหนุ่มอย่างกระตือรือร้น เมื่อเซลตี้ได้รับมือถือก็พิมพ์ต่อสั้นๆแล้วยื่นให้ชิยูกิดูอีกครั้ง
‘แล้วเธอละฝันว่าอะไร’ เมื่อชิยูกิเห็นสิ่งที่สาวไร้หัวพิมพ์ส่งมาให้ก็ถึงกับทำให้สะอึกจนกลืนข้าวเช้าไม่ลงทันที
"เอ่อ" ชิยูกินิ่งไปสักครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ "สายรุ้งกับม้ายูนิคอร์น"
"คงเป็นฝันร้ายสำหรับเธอสินะ" ชินระหัวเราะในลำคอกับเรื่องราวที่น้องสาวเล่า
"ร้ายสุดๆ"
"วันนี้นายไม่มีงานหรอ" ชิยูกินก้มตัวใส่รองเท้าหนัง โดยปกติแล้วชินระมักจะออกทำงานตอนเช้าตรู่ไม่ก็เขียนตารางงานไว้ตรงตู่เย็นเพื่อให้เธอรู้แต่ทว่าวันนี้กลับไม่มีอะไรแบบนั้น
"อ่าใช่แล้ว ฉันกะว่าจะพาเซลตี้ไปเดตละ" สีหน้าของคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายเรียกได้ว่าไม่น่าไว้ใจสุดๆ ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นอีก
"ขอให้สนุกละ อย่าลืมซื้อของฝากมาด้วย"
"ไปดีมาดีนะ" ชินระกล่าวลาน้องสาวตรงประตูทางออก
“นายก็ด้วย อย่าไปทำเรื่องอะไรให้เซลตี้เขาหงุดหงิดละ”
“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า”
บางทีคนเราก็มักจะลืมนิสัยเสียตัวเองแล้วเผลอไปทำกับคนอื่นโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน
กิจวัตรก็ยังคงดำเนินไปเหมือนเช่นเดิม ตื่นเช้าทักทายคนที่รู้จักกินข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนกับเป็นครอบครัวปกติ พี่ชายที่มีอาชีพเป็นหมอเถื่อน สาวไร้หัวที่มาขออยู่อาศัยเพื่อตามหาหัวที่หายไปและเด็กสาวนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาคนนึง
อากาศร้อนระอุในช่วงต้นฤดูร้อน คนต่างวัยเดินพลุ่งพล่านไปทั่วท้องถนน ความรู้สึกที่เธอเคยสัมผัสจากที่แห่งนี้หลังจากห่างหายไปนานก็ได้ชวนให้นึกถึงเมื่อวันวาน
เวลาที่เธอเคยเดินไปโรงเรียนในครั้งเยาว์วัยโดยต้องมีชินระคอยจูงมือพาเธอไปส่งโรงเรียนทุกครั้ง เสียงพูดคุยหยอกล้อตามประสาพี่น้องและเพื่อนสนิทของชินระที่มักจะเดินมาส่งเธอทุกครั้งเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้เธอโตขึ้นแล้ว ไม่ใช่เด็กวัยห้าขวบที่ต้องให้ใครมาคอยถือกระเป๋าเป้สีแดงหรือเดินจูงมืออีกต่อไปแล้ว
“ชิยูกิใช่ไหม” เสียงทุ้มของชายหนุ่มที่เปลี่ยนไปตามวัยแต่ก็ยังคงจำโทนเสียงได้เป็นอย่างดี เด็กสาวหยุดเดินหันไปตามน้ำเสียง “อรุณสวัสดิ์ชิยูกิ” ชายผมย้อมสีบลอนด์กลบสีน้ำตาลทั้งหัวในชุดบาร์เทนเดอร์กับแว่นกันแดดสีม่วงปกปิดสายตาของชายหนุ่มยกมือทักทายเด็กสาว
“ไงชิสึโอะ”
"ยินดีด้วยนะที่เข้าโรงเรียนมัธยมปลายไรระได้" ชิซึโอะเดินสาวเท้ามายังเด็กสาว เธอโค้งหัวเป็นการรับและขอบคุณกลับอีกฝ่าย
"แล้วก็เรื่องเมื่อคราวที่แล้ว เจ้านั้นไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม" คำว่าเจ้านั้นที่ออกมาจากปากชิซึโอะเรียกได้ว่าขยาดปากเป็นที่สุดและมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่พูดถึง
"มีแค่กวนประสาทตามภาษา นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วละ"
“ถ้าฉันเร็วกว่านี้ละก็คงตามไปกระชากคอเจ้านั้นได้แล้ว” เสียงกรอบแกรบจากมือที่ถูกหักทั้งสองดังจนคิดว่ามือคู่นั้นหักไปแล้วว่าได้
“อย่ากระชากจนคอกับตัวหลุดละ นายก็รู้น่าจะรู้ไม่ว่าฝีมือฉันหรือชินระก็เย็บไม่ติดหรอก ถ้าจะทำเอาแค่เข้าICUก็พอ” เธอเชื่อว่าพลังความสามารถของชิซึโอะนั้นแค่ดึงคอใครหลุดจากบ่านั้นก็เหมือนกับเปิดขวดน้ำนั้นแหละ และถ้าเกิดเขาทำขึ้นมาจริงๆละก็ เรื่องใหญ่แน่
“จะพยายามละกัน” น้ำเสียงที่ดูโกรธเกรี้ยวก็ได้สงบลง เขาหันมาจ้องเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
“หน้าฉันมีอะไรติดรึเปล่า”
“เปล่าๆแค่" ชิซึโอะ"เธอไปอยู่ที่อเมริกาตั้งนาน ตัวโตขึ้นเยอะเลย แบบนี่ฉันคงอุ้มเธอเหมือนเมื่อตอนเด็กๆไม่ได้แล้วสิ" ชิซึโอะลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลนั้นไปมาด้วยความเอ็นดู เพราะครั้งล่าสุดที่เจอเด็กสาวตอนนั้ยังสูงไม่ถึงเอวเขาเลยด้วยซ้ำแต่พอมาตอนนี้ กลับโตเป็นสาวแล้วซะอย่างงั้น
“ไม่ว่าฉันจะตัวโตขึ้นแค่ไหนนายก็อุ้มฉันได้สบายๆอยู่แล้วไม่ใช่รึไง” ชิยูกิยกยิ้มตลก ถ้าชายที่แข็งแกร่งที่สุดยกตัวเธอไม่ได้ละก็มีหวังกลุ่มแก็งที่จ้องจะเล่นงานหัวเราะเยยะแหงๆ "ว่าแต่ได้ข่าวว่านายได้งานใหม่ใช่ไหม" ชึซึโอะเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เบือนหน้าหนีทันที
"อ่า เป็นพวกบอร์ดี้การด์ทวงหนี้…….อะไรทำนองนั้น" เสียงของเขาแผ่วลงเหมือนกับไม่อยากจะเล่าให้เธอฟังสักเท่าไร
“พอดีเลย” ชิยูกิกล่าวเสียงเรียบแต่ถึงกระนั้นก็เผยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากให้ชายวัยทำงานตรงหน้า "ถ้าหากฉันมีลูกค้าหัวหมอที่ชอบเบี้ยวเงินอยู่ ฉันก็จะให้นายไปกระชากคอเจ้าพวกนั้น" ชิยูกิมองมือถือเพื่อตรวจบัญชีผ่านแอป หลังจากการผ่าตัดวันนั้นลุงเจ้าของค้ายานั้นก็ยังไม่ส่งเงินที่เหลือมาให้เธอสักที ทั้งที่เคยเตือนไปแล้วแท้ๆเชียวแต่ช่างมันปะไร ตอนนี้เธอมีวิธีที่จะสั่งสอนคนที่ชอบเบี้ยวเงินให้รู้แล้วรู้รอด
“เธอ….ทำนั้นเหมือนที่ชินระทำงั้นหรอ มันไม่…เอ่อ” ชิซึโอะเปลี่ยนน้ำมาเป็นความกังวลแทน ถ้าหากเด็กสาวตรงหน้าทำงานคล้ายๆเจ้าพี่ชายไม่เต็มเต้งแล้วละก็…
“ไม่ต้องเป็นห่วง ก็แค่งานง่ายๆนั้นแหละ เคสยากๆให้เจ้าชินระจัดการไป"
มีสายตาจับจ้องมาที่พวกเขามากมายด้วยความแปลกใจที่ เฮวาจิม่า ชิซึโอะกำลังเดินข้างๆเด็กสาว คนหลายคนที่มองก็มีถ่ายรูปไม่ก็โทรเรียกตำรวจมาบ้างแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาทั้งสองเดือนเนื้อร้อนใจอะไร เพราะก็เคยเป้นแบบนี้มาก่อน แต่จู่ๆเท้าของชิซึโอะก็หยุดกระทันหัน
“มีอะไร” ชิยูกิถามและเห็นว่าชายหนุ่มกำลังมองไปยังที่ดินว่างเปล่าระหว่างตึกสองตึก
“ตรงนี้มันเคยมีตึกนี่นา” ชิซึโอะพูดพึมพำแต่นั้นก็ทำให้ชิยูกิได้ยินได้อย่างชัดเจน
“ตึกอะไร” ชิซึโอะกอดอกทำท่านึกเค้นความทรงจำเท่าที่จะทำได้แต่ผลลัพธ์สุดท้ายนั้นก็คือ
“ฉันก็จำไม่ได้แล้วเฮะแต่ที่จำได้คือฉันมักจะผ่านตรงนี่ประจำ แต่ทำไมจู่กลับนึกไม่ออกซะงั้น”
คนเราเมื่ออยู่กับสิ่งนั้นนานๆ เราก็จะละเลยไม่สนใจมันอีกต่อไปและเมื่อสิ่งๆนั้นหายไป เราก็มักจะนึกไม่ออกซะงั้น ช่างน่าแปลกจริง
วิชาเรียนแต่ละคาบก็ผ่านไปโดยปกติไม่มีอะไรยากเกินไปส่วนใหญ่ค่อนข้างไปทางน่าเบื่อมากกว่า เธอนั่งเท้าคางฟังอาจารย์บ้างไม่ฟังบ้าง ก่อนจะละสายตามองไปรอบๆและก็ดันมาสังเกตนายช่องแอร์ ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาจดเนื้อหา ดูจากเครื่องแบบและสภาพที่ดูโทรมๆพอสมควร เจ้าตัวได้ลืมเน็คไทแถมดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ลืมแบบนี่คงต้องลืมกระเป๋าตังค์มาแน่ๆ
ทำไมกันนะ ทั้งๆที่เราก็แต่งตัวแบบนี้มาทุกวันแต่ทำไมคนถึงยังลืมได้กันละ
พอมาถึงเวลาเลิกเรียน เด็กนักเรียนทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามเป้าหมาย ตัวเธอเองก็คงจะกลับบ้านไม่ก็แวะกินขนมสักร้านสองร้านก่อนกลับ เมื่อมาถึงตู้เก็บรองเท้า สายตาสีฟ้าก็เผลอไปมองเพื่อนร่วมชั้นสองคนและนายผมเหลืองที่จู่ๆก็วิ่งถลาออกนอกโรงเรียนไป
ดูจากสภาพดารณ์แล้ว เด็กสาวผมสั้นที่มักจะถูกรังแกอยู่กำลังสวมรองเท้าแตะแทนที่จะเป็นรองเท้านักเรียนกำลังยืนจ้องตู้ล็อคเกอร์รองเท้าไม่กระพริบโดยมี นายติดอ่างอยู่ข้างๆคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก
“รองเท้าเธอหายงั้นหรอ” ชิยูกิพูดแทรกกลางวง จนทั้งสองหันหน้าตกใจจากการไม่ให้สุ่มให้เสียงของเธอ
“ค…ค่ะ” โซโนฮาระตอบเสียงแผ่ว
พอมาเห็นคนอื่นโดนแบบนี้ก็ทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อตอนเด็กเลยแฮะ ความทรงจำสมัยเยาว์วัยย้อนกลับมา เธอเองก็เคยโดนอะไรแบบนี้เหมือนกัน เพราะได้นิสัยประหลาดจากทั้งคนพ่อและคนพี่มาเต็มๆเลยมักถูกแกล้งเป็นประจำแต่ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่เธอก็ไม่ได้สนใจเก็บเรื่องพวกนั้นมาคิดเลยด้วยซ้ำ
ผิดกับสองคนนั้น ถ้าหากชินระกับชิซึโอะที่รู้เรื่องเข้าละก็ ทั้งสองแทบจะพกมีดหมอกับเส้าไฟฟ้าไปบุกบ้านเด็กพวกนั้นทุกครั้งถ้าเธอไม่ห้ามซะก่อน
“งั้นเดี๋ยวฉันช่วยหาด้วยก็แล้วกัน”
“คุณคิโนมิยะงั้นหรอ” ริวงามิเนะกล่าวอย่างแปลกใจ
“ฉันมาช่วยด้วยแล้วมันทำไม” เธอกดเสียงต่ำดวงตาสีฟ้าของเธอหมองจนสังเกตได้ชัด
“เปล่าๆ คือไม่นึกว่าคุณคิโนมิยะจะ……”
“จะสนใจคนอื่นงั้นสิ” ชิยูกิพูดตัดบทก่อนจะเดินนำทั้งสองไปโดยทิ้งให้พวกเขาทั้งสองมองหน้ากันเองแล้วเดินตามมาอย่างว่าง่าย
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม ถึงจะมีคนคอยช่วยถึงสามคนแต่ทั้งสามที่ตามหากันทุกที่แทบจะเป็นไปได้ก็ไม่ยังคงไม่เจอ
"ต้องขอบคุณริวงามิเนะคุงกับคุณคิโนมิยะด้วยแต่ว่าพอแค่นี้เถอะ ฉันกลับไปทั้งยังงี้ก็ได้" โซโนฮานะโค้งขอบคุณให้คนทั้งสองน้ำเสียงของเธออ่อนลงแสดงถึงความเกรงใจ
"ถ้าเธอว่าแบบนั้น งั้นฉันกลับก่อนนะ" ชิยูกิกระชับกระเป๋าในมือลุกจากพื้นที่ก้มหารองเท้าขึ้นพร้อมกับมุ่งเดินไปยังประตูห้องเรียน โซโนฮาระที่เห็นแบบนั้นก็ได้ก้มโค้งเป็นครั้งสุดท้ายและกว่าวขอบคุณทั้งสองก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปโดยไม่รอพวกเขา
"ดะ เดี๋ยวสิคุณคิโนมิยะ" ริวงามิเนะเรียกเด็กสาวที่ยังไม่ออกจากห้อง “เราน่าจะหากันต่ออีกสักหน่อยนะครับ”
“ก็เจ้าตัวบอกแบบนั้นเอง” เธอส่งเสียงจิจ๊ะปลายริมฝีปากอย่างรำคาญ "แล้วมันก็ไม่ใช่หน้าที่ฉันที่ต้องมาหาด้วย มาช่วยแค่นี้ก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว"
"ถ้านายอยากหาต่อละก็ตามสบายเลย" เธอโบกบือลาก่อนจะปิดประตูทิ้งท้ายแทน
บางทีของที่คนเราลืมก็ไม่ได้ลืมเพราะตัวเราเองหรอก
ชิยูกิเดินกินโดนัทเคลือบไอซิ่งที่เพิ่งอบมามาดๆจากร้านEmerson's Bake สาขาญี่ปุ่นที่แยกย่อยมาจากอเมริกากำลังเป็นที่นิยมในช่วงนี้และเธอก็โชคดีมากๆที่วันนี้คนไม่เยอะเลยมีโอกาสได้ซื้อ
เธอเดินมาจนถึงสวนสาธารณะของเมืองที่เป็นแหล่งรวมตัวของผู้คน ทั้งแก็งกลุ่มผ้าพันคอสีเหลืองหรือกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นพวกDollarหรือ แก็งวัยรุ่นต่างๆนาๆ
"คุณกำลังตามหาอะไรรึเปล่า" เสียงหญิงสาวสำเนียงเน่อๆผสมกับต่างชาติเรียกร้องความสนใจจากเด็กสาว "คุณกำลังตามหาอะไรรึเปล่า" เธอกล่าวซ้ำอีกครั้งนึง
"ไม่ค่ะ คิดว่าไม่มี" เธอตอบกลับสาวต่างชาติและก็ไปสังเกตป้ายไม้ที่เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นที่เธอเขียน ‘เขียนเพื่อหาสิ่งที่หาย’
“ถ้าเธอคิดว่ากำลังหาอะไรละก็เขียนลงมาบนนี้ได้เลยนะ” สาวต่างชาติยื่นสมุดสเก็ตภาพสีขาวกับปากกาเมจิกสีดำมาให้เธอ
ชิยูกิรับมันมาก่อนจะเปิดดูสมุดแต่ละหน้า ในนั้นมีที่เขียนถึงคนที่ลืมมือถือไว้ในร้านเมดคาเฟ่และกำลังตามหาตัวเขาเช่นกัน เมื่อเปิดหน้าถัดมาก็ต้องทำให้ชิยูกิแปลกใจ นี่มันคุรุริกับมาอิรุ พวกเธอสองคนเป็นน้องสาวฝาแฝดของเจ้าบ้าโรคจิตและที่เขียนอยู่มีเนื้อความว่ากำลังตามหาโคซากะที่เป็นน้องชายของชิซึโอะและกำลังเป็นดาราดังในตอนนี้
ไม่ว่าจะพี่หรือจะน้องก็บ้ากันทั้งคู่สินะ เธอกับชินระเองก็คงจะไม่ต่างกันสักเท่าไร
“ไม่มีอะไรที่ตามหาเลยจริงๆงั้นหรอ สาวน้อย” สาวต่างชาติผมทองยิ้มให้กับเธออย่างเป็นมิตร
“มีแค่อยากให้สิ่งที่มีอยู่หายไปมากกว่า”
“ทำไมไม่ลองเขียนแล้วขย้ำมันทิ้งดูละเผื่อจะลืมมันได้”
ในใจชิยูกิคิดว่าถ้าวิธีนี้มันง่ายเหมือนกับลบข้อมูลในคอมแล้วละก็ คนคงไม่ต้องมานั่งกังวลกับสิ่งที่หายกับสิ่งที่มีอยู่หรอกแต่ถึงจะคิดแบบนั้น แทนที่เธอจะเขีบยแต่เธอกลับดึงแผ่นกระดาษสีขาวเหล่านั้นก่อนจะขยำมันเป็นก้อนกลมให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ หญิงสาวต่างชาติมองเธอชงนใจกับการกระทำของเด็กสาว
“เอ่อ นี่คือสิ่งที่คุณอยากลืมงั้นหรอ”
"มั้งนะ”
ถ้าการลืมอะไรสักอย่างมันเหมือนกับการฉีกหน้ากระดาษหนังสือได้ละก็คงดีใช่น้อย
"ชินระ เซลตี้ กลับมาแล้ว" ไม่เสียงตอบรับเมื่อชิยูกิกลับถึงบ้าน
"มีใครอยู่บ้านไหม"เธอลองเรียกอีกครั้งแต่ภายในบ้านก็มืดสนิท เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายตัวดีบอกว่าจะพาเซลตี้ออกไปเดต สงสัยคงดึกกระมั้งกว่าสองคนนั้นจะกลับ เมื่อคิดได้เช่นนั้น อาหารมื้อค่ำวันนี้เธอคงต้องทำทานเองเสียแล้ว
ทั้งขี้เกียจทำแล้วก็มานั่งล้างจานและอยากจะกินเร็วๆคงหนีไม่พ้นบะหมี่ถ้วยกึ่งสำเร็จรูป เมื่อคิดได้เช่นนั้นร่างบางจึงเดินไปที่ตู้กับข้าวนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและรอเครื่องทำน้ำร้อนจนได้ที่และเมื่อเตรียมวัตถุดิบเสร็จจึงลงมือทำและปิดฝารอ6-7นาที ที่ต้องปิดนานไม่ใช่อะไรหรอก เพราะชิยูกิชอบกินเส้นหนาๆอืดๆเป็นพิเศษอยู่แล้วโดยเฉพาะเส้นราเมงนี่ของโปรดเจ้าตัวเลย
ในระหว่างที่รอก็พลางเช็คมือถือฆ่าเวลาไปพลาง แต่จู่ๆกลับมีเบอร์ปริศนาที่ไม่คุ้นตาขึ้นมา ในคราแรกเธอกดตัดสายไปโดยไม่คิดอะไรแต่ไม่นานนักเจ้าเบอร์เจ้ากรรมก็โทรมาหาเธออีกที คิ้วเด็กสาวขมวดเข้ากันเป็นปมในใจเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา หรือนี่จะเป็นฝีมืออิซายะ
คนๆนี้ชอบทำอะไรแผลงให้คนอื่นเขาปวดหัวอยู่ด้วย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเธอขอรับสายด่าตอกหน้ากลับหน่อยละกันว่า เธอรู้ทันหมดแล้ว เมื่อกดรับสายและพร้อมจะง้างปากแต่ทว่าก็ต้องหยุดการกระทำไปเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย
"สวัสดีครับคุณคิโนมิยะ เอ่อ..นี่ผมริวงามิเนะเองนะครับ” น้ำเสียงที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองกับการพูดที่ตะกุกตะกัก
“นายได้เบอร์ฉันมาได้ไง" นั้นคือสิ่งแรกที่เด็กสาวพูดและน้ำเสียงของเธอเองก็แสดงความไม่พอใจสุดๆ
“ผะ ผมไปถามอาจารย์ประจำชั้นน่ะครับ” รู้งี้น่าจะใส่เบอร์คนอื่นไปมั่วๆยังจะดีซะกว่า เธอคิดในใจ
“โทรมามีเรื่องอะไร” ชิยูกิพูดเข้าเรื่องและแสดงน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร
“เรื่องวันนี้ผมขอโทษด้วยครับ”
“ขอโทษเรื่อง?” เธอขมวดคิ้วงงงันกับสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว
“ที่ผมพูดตอนที่คุณจะช่วยคุณโซโนฮาระทำรองเท้าหาย น่ะ…..ครับ"ริวงามิเนะกล่าวน้ำเสียงเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ชิยูกินิ่งชะงันเมื่อได้ยินเหตุผลจากเสียงปลายสายไปชั่วครู่
“คุณคิโนมิยะ ยังอยู่ไหมครับ” ริวงามิเนะร้องเรียกจากปลายสายอีกครั้งเพราะไม่มีเสียงตอบกลับเป็นเวลานาน
“เรื่องแค่นี่อ่ะนะที่ต้องทำให้นายเสียค่าโทรมาหา” เธอกล่าวพร้อมกับแง้มฝาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปพลาง
“อ่า ครับ ขอโทษนะครับ”
“แล้วสรุปเจอม่ะ รองเท้า” ชิยูกิเปลี่ยนหัวข้อเรื่องแทน
“ครับๆ ผมกำลังจะเอาไปคืนให้คุณโซโนฮาระพอดีเลยครับ” เสียงปลายสายตอบกลับอย่างกระตือรือร้นทันที หาเจองั้นหรอ หมอนี้ถ้าจะชอบโซโนฮาระน่าดูเลยแฮะถึงทำให้ได้ขนาดนี้ แต่ยังไงก็เหอะสิ่งที่หมอนี้ทำมันก็…..
“ฉันเตือนนายอย่างนึงนะ”
“ขะ ครับ”
“อย่าไปแอบส่องประวัติชาวบ้านแบบนี้อีก มันน่าขนลุก” เธอเน้นคำสุดท้ายและแฝงน้ำเสียงทีแสดงถึงความรังเกียจ ใช่มันน่าขนลุกและน่าขยะแขยงมากๆ การกระทำของหมอนี้ทำให้นึกถึงนายนักค้าข่าวคนนั้นไม่มีผิด แค่นึกแล้วยังอยากจะเอาเท้าไปเกยหน้าให้หายแค้นสักปาป
“เอ่อ ขอโทษครับ ขอโทษครับ!!!” ริวงามิเนะกล่าวขอโทษขอโพยเป็นร้อยครั้งว่าได้และดูเหมือนเจ้าตัวจะก้มหัวขึ้นลงขอโทษเธอเพราะน้ำเสียงมันขึ้นๆลงเหมือนกับขึ้นที่ต่ำที่สูง ถ้าใครที่อยุ่แถวนั้นคงต้องคิดว่าหมอนี้ไม่เต็มแน่ๆ
“มีแค่นี่ใช่ม่ะ งั้นฉันไปละ”
“เจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนนะครับคุณคิโนมิยะ”
เธอกดตัดสายโดยไม่พูดอะไรตอบ เธอวางมือถือลงก่อนจะหันไปมองนาฬิกา ให้ตายสิเกินมาสามนาทีหวังว่าบะหมี่ของเธอจะไม่อืดจนกินไม่ได้นะ
ตะเกียบคู่ที่แถมมาถูกดึงออก เส้นบะหมี่ส่งกลิ่นหมอพร้อมกับน้ำซุปปรุงสำเร็จชวนให้น้ำลายสอ ไม่รอช้าเธอก็ได้หยิบมันตักเข้าปากทันที ถึงมันจะร้อนแต่ก็อร่อย ความเค็มและความนุ่มของแป้งที่ลงตัว เธอสดเส้นเสียงดังจนถึงปลายสุดก่อนจะวางถ้วยกับอีกที่เหลือลง
สายตาสีฟ้ามองเงยขึ้นบนเพดานสีครีมสว่างกับความคิดในหัวของตัวเอง ดูเหมือนว่าการเขียนข้อความแล้วโยนทิ้งมันอาจจะได้ผลก็ได้
มั้งนะ?
บางทีเรื่องเล็กๆน้อยที่เพิ่งเจอมาคนเราก็ชอบลืมเหมือนกัน
ความคิดเห็น