ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Attack on titan] I'm only Human (Levi x Oc)

    ลำดับตอนที่ #3 : The 3rd Healing

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 64


     

     


    ***** Warning *****

    ตอนต่อไปนี้อาจมีเนื้อหาที่รุนแรงมีการทำร้ายร่างกาย และอาจจะทำร้ายต่อจิตใจผู้อ่านโปรดใช่วิจารณญาณ์ในการอ่านขอบคุณค่ะ

     

     

    ........................ 

     

     


    ดวงอาทิตย์อัสดงได้ค่อยๆลับฟ้าไปท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มอ่อนจากแสงแดดที่กำลังลับตา ลมโชยพัดมาอ่อนๆ ผู้คนต่างเดินไปมาต่างทำธุระของตัวเอง แม่น้ำสายหลักที่เป็นเส้นทางพาไปยังเมืองชั้นในก็ไหลไปตามสายลมที่พัดมา




    ตรงริมกำแพงลำธารจะพบเห็นเด็กๆสี่คนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ เด็กชายผมสีทองที่นั่งอยู่ตรงขั้นบันไดกับคนผมสี่น้ำตาลที่นั้งอยู่ตรงริมขอบกำแพงลำธาร ส่วนเด็กผู้หญิงอีกสองคนนั่งตรงขั้นบันไดเกือบขั้นสุดท้ายก่อนที่จะลงหาแม่น้ำ




    "ผมบอกไปว่ามนุษย์ชาติควรออกไปข้างนอกมากกว่า เลยโดนต่อยและถูกหาว่าเป็นคนนอกรีด"




    "บ้าจริงก็แค่อยากออกไปด้านนอก ทำไมต้องมองว่าเราอย่างเย็นชานั้นด้วย" เอเรนโยนหินขว้างไปที่แม่น้ำเพื่อที่จะระบายอารมณ์โกรธของตัวเอง




    "พวกที่คิดนอกกรอบมักจะเป็นพวกแกะดำ คนส่วนใหญ่เค้าก็เป็นยังงี้กันหมดแหละ" เอสเธอร์เสริม 




    "และอีกอย่าง เพราะพวกเราอยู่อย่างสงบในกำแพงมากว่า100ปี ถึงพวกเราไม่ออกไปข้างนอกพวกมันก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะเข้ามาอยู่ดี และทางราชสำนักเองก็สั่งห้ามสนใจโลกภายนอกซะด้วยสิ" อาร์มินที่ใบหน้าตอนนี้มีพลาสเตอร์แปะอยู่ที่ใบหน้า นั่งพูดกอดเข่ามองแม่น้ำที่กำลังไหล




    ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปีคนทางราชสำนักต่างก็ออกกฎออกมาว่าผู้คนที่อยู่ในกำแพง หากริอาจสงสัยในโลกภายนอกจะต้องโทษมหันต์ ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ไร้สาระสิ้นดี ถ้าอยากให้มนุษย์มีชัยชนะมีอิสระไม่ใช่ว่าต้องสนับสนุนความคิดใหม่ๆหรอกหรอ ทำตัวเป็นกบในกะลาแบบนี้คงจะมีสักวันแหละที่เหล่ามนุษย์ชาติจะไปถึงคำว่าเสรีภาพ




    "ชีวิตของเราเลือกเดินเองได้ นี้แหละทางของฉัน" เอเรนเองก็ยังคงจะดื้อดึงกับความคิดการเป็นทีมสำรวจแต่ดูเหมือนมิคาสะจะไม่ยอมจึงได้พูดห้ามเจ้าตัว




    "ไม่ได้เด็ดขาด" มิคาสะพูดขัด




    "แล้วเธอไปฟ้องแม่ฉันทำไมล่ะ" เอเรนตะโกนเอาเรื่องเด็กสาว




    "จำไม่ได้ว่าจะร่วมด้วยซะหน่อย" เมื่อเอเรนได้ยินเช่นนั้นเค้าก็ถึงกับเถียงไม่ออก




    "แล้วเป็นไงบ้าง" อาร์มินถามผลลัพธ์ที่จะออกมา




    "ก็โดนจัดหนักเลยล่ะ แค่ฟังเสียงถอนหายใจของแม่ยังเดาออกเลยว่าแม่ไม่อนุญาติ" เอสเธอร์แย่งคำตอบจากผู้เป็นน้องตอบไปแทน




    "เงียบไปเลยเอสเธอร์ ถึงจะห้ามแต่ยังไงฉันก็จะเข้าทีมสำรวจอยู่ดี แล้วทำไมทีเธอบ้างล่ะ เธอเองก็อยากจะออกไปด้านนอกเหมือนกันแต่ทำไมถึงไม่ช่วยฉันเลย" เอสเธอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆมิคาสะก็เดินไปหาน้องชายตัวแสบ




    "นั้น-ก็-เพราะ" เธอเอานิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของน้องตัวซ้ำๆเน้นตามสามคำแรกที่พูด "ฉันไม่ได้เป็นไอ้บ้าที่ป่าวประกาศจะรนหาที่ตายแบบนายยังไงล่ะ จริงอยู่ที่ฉันสนใจโลกภายนอกแต่ถ้ามีเจ้าปีศาจอยู่ยังด้านนอกนั้น ไม่ทันจะก้าวออกจากกำแพง รู้ตัวอีกทีก็คงจะไปอยู่ในกะเพาะของพวกมันเรียบร้อยแล้ว" ผู้เป็นน้องปัดมือของพี่สาวออกด้วยความไม่พอใจ




    "นั้นสินะ ผมคิดว่าการที่ผู้คนเชื่อว่าจะอยู่อย่างปลอดภัยในกำแพงนี้ไปตลอดก็มีอยู่เยอะล่ะนะ แม้ว่ากำแพงจะไม่ถูกทำลายมาตลอด100ปีจนถึงวันนี้" สายตาของอาร์มินฉายแววจริงจัง " แต่ก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะไม่ถูกทำลาย" เด็กชายร่างเล็กผมบลอนด์พูดข้อเท็จจริงที่น่าฉุกคิดขึ้นมา นั้นทำให้เอสเธอร์หันมาหาเด็กหนุ่ม คนส่วนใหญ่มักจะประมาทในสิ่งที่มันไม่ได้เกิดขึ้นและสิ่งที่อาร์มินเตือนไม่แน่มันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้




    อยู่ดีๆ ลมที่โชยพัดมาก็ได้หยุดลง ก้อนเมฆได้พัดวนมาเป็นวงกลมเป็นจุดศูนย์กลาง ไร้ซึ่งฟูงนกใดๆ




     

    "เปรี้ยง!!!!" เสียงฟ้าผ่ากลับเกิดขึ้นมาโดยไม่ได้มีเมฆตั้งเค้าแต่อย่างใด มันส่งเสียงคำรามดังไปทั่วกำแพงส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศ ทำให้ผู้คนล้มทั้งยืนตึกราบ้านเมืองสั่นไปทั่ว อยู่ดีๆก็มีควันประหลาดลอยผุดขึ้นมานอกกำแพง เด็กๆที่นั่งตรงริมลำธานที่ไม่ได้ตั้งตัวต่างถูกแรงกระแทกของเสียงนั้นทำให้ล้มกันไปคนละทิศคนละทาง




    "เอเรน มิคาสะ อาร์มินเป็นไรไหม" เอสเธอร์ที่ตั้งตัวไหวทันรีบลุกขึ้นหันไปหาเหล่าน้องๆของเธอ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรกันมากนัก




    "เมื่อกี้มันอะไรน่ะ ระเบิดเหรอ" เอเรนลุกขึ้นหันไปตามต้นเสียง




    "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน" เอสเธอร์ตอบ อยู่ดีๆคนกลุ่มใหญ่ก็วิ่งไปทางกำแพงเป็นทางเดียวกัน ทุกคนต่างส่งเสียงร้องด้วยความสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่มีใครสามารถตอบให้ได้ พวกเค้าชี้นิ้วไปที่กำแพงเหมือนกับว่ามีตัวอะไรอยู่ตรงนั้น อาร์มินเห็นแบบนั้นจึงวิ่งเข้าไปรวมกับฟูงชนเพื่อไปดูต้นตอของเรื่องราว




    "นี่ อาร์มินเดี๋ยวก่อน" เอสเธอร์ส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ เด็กๆสามคนที่เหลือจึงได้วิ่งตามเพื่อนของตนเองไป




    ตอนนี้พวกเค้าวิ่งมาตรงถนนใหญ่ของเมืองผู้คนต่างหยุดนิ่งกันเป็นแถวๆ ตั้งตาดูสิ่งที่อยู่เหนือกำแพงนั้น อาร์มินที่วิ่งมาก่อนใครก่อนยืนนิ่งจ้องมองเหมือนกับคนอื่นเช่นกัน เอเรนที่วิ่งตามมาก็ตะโกนถามเพื่อนของตนโดยมีมิคาสะกับเอสเธอร์ที่ตามมาทีหลังอีกที




    "เกิดอะไรขึ้นนายกำลังมองอะไรอยู่ -" เอเรนที่ยังไม่ได้คำตอบจากเพื่อนก็หันไปตามทางที่เพื่อนของตนมอง และสิ่งนั้นเองก็ทำให้เค้าต้องถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ไม่ใช่แค่ตัวเค้าคนเดียวคนอื่นๆก็เป็นเหมือนกัน ทั้งมิคาสะและเอสเธอร์ ร่างกายของพวกเค้านิ่งชะงัก สายตาเบิกกว้างด้วยความกลัวปนกับความตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า




    มือยักษ์สีแดงที่ไร้ซึ่งผิวหนังหอหุ้มกำลังเกาะอยู่ที่มุมกำแพง มือของมันบีบก้อนปูนแตกกระจาย




    "บ้าน่า กำแพงสูงตั้ง50เมตรเชียวนะ" อาร์มินพูด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่ตัวสูงกว่ากำแพงที่ปกป้องมนุษย์ชาติ ในประวัติศาสตร์เองก็ไม่มีบันทึกที่เกี่ยวกับสัตว์ที่สูงเกิน50เมตรด้วยซ้ำ หรือมันเป็นปีศาจตัวนั้นกัน ร่างสีแดงไร้ซึ่งผิวหนังห่อหุ้มร่างกาย รูปร่างที่เหมือนกับมนุษย์แต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายล้านเท่า ปากที่ไร้ซึ่งการปกปิดใดๆเผยให้เห็นฟังซีกใหญ่ดูน่าซะพรึง




    "พวกมันหรือว่าไททัน"




    เจ้าปีศาจที่พูดถึงกันนั้นก็คือไททัน ปีศาจกินคนที่ตอนนี้มันกำลังเกาะกำแพงและมองลงมายังเบื้องล่างอย่างยโสโอหัง มองมนุษย์เหมือนกับผู้คนที่กำลังมองสัตว์ในคอกรอเตรียมเชือดก็ไม่ปาน เสียงการกระแทกกับกำแพงดังสนั่น ตามมาด้วยแรงลมมหาศาล เอสเธอร์รีบขว้าตัวเด็กๆทั้งสามเข้ามากอดไว้พร้อมกับหันหลังของเธอกันไม่ให้พวกเค้าโดนเศษฝุ่นพวกนั้น




    กำแพงที่ถูกตั้งมาเป็นร้อยๆปีกลับถูกทำลายลงในชั่วพริบตา เศษอิฐเศษปูนแตกกระจายเป็นเสี่ยง มันไม่ได้สร้างความเสียงหายแก่กำแพงแต่เศษซากเหล่านั้นกับกระแทกไปโดนตึกราบ้านช่อง แรงลมโหมกระหน่ำที่เป็นผลจากการะทำลายพัดให้ผู้คนตัวจ๋อยที่ติดอยู่กำแพงสุดปลิวไปตามแรง เหล่าเศษซากกระจายตัวไปทั่วราวกับฝนดาวตก มันทับบ้าน ตึกแม้กระทั้งผู้คนให้กลายเป็นมดที่บี้แหลกคามือ ร่างยักษ์สีแดงค่อยๆหายไป เหมือนกับมันทำภารกิจสำเร็จจึงได้หายตัวไปแบบนั้น




    "พวกเธอไม่เป็นไรกันใช่ไหม" เอสเธอร์ถามอาการของเด็กทั้งสาม เอเรนกับมิคาสะพยักหน้าส่วนอาร์มินที่ดูเหมือนเข่าอ่อนก็ลงไปนั่งกับพื้น




    "กำแพงถูกเจาะเป็นรูเลย" เอสเธอร์ที่ได้ยินที่อาร์มินพูดก็หันไปดูสภาพ ร่างกายก็ต้องชาไปทั้งตัวเมืองที่เธอเกิดและอาศัยถูกพังราบเป็นนาบกองแค่ชั่วพริบตามีเศษซากของผู้คนถูกทับตายเศษหินอยู๋ไม่ไกลจากพวกเธอ รูที่กำแพงตอนนี้เป็นรูโหว่ช่องใหญ่ 




    ตึง ตึง ตึง เสียงฝีเท้าขนาดใหญ่ค่อยๆดังขึ้น เสียงนั้นชัดเจนเมื่อมันยิ่งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ร่างที่สูงใหญ่เกินมนุษย์ได้ลอดช่องรูโหว่นั้นมาเช่นกัน ร่างของยักษ์กินคน ร่างของอสูรกายที่ผู้คนต่างหวาดกลัวนานนับ ศตวรรต ไททันได้บุกเข้ามาในกำแพงแหล่งที่อยู่ของมวลมนุษย์ชาติเรียบร้อยแล้ว สถานที่ปลอดภัยที่สุดดุจโอเอซิสตอนนี้ได้ถูกทำลายลงแล้ว เมื่อผู้คนเห็นร่างนั้นทุกคนต่างก็วิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตตามสัญชาตญาณแทบจะทันที




    "พวกเราต้องไปกันแล้ว อะ เอเรน" อาร์มินเห็นเพื่อนของตัวเองกำลังเดินสวนทางกับคนอื่นๆก็เรียกเพื่อนแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะว่า




    "บ้านของพวกเราอยู่ทางนั้น คุณแม่เองก็-" เอสเธอร์พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความกลัว มิคาสะรีบวิ่งตามน้องชายของเธอไปทันที เอสเธอร์ที่ได้สติเองก็วิ่งตามพวกเค้าไปเช่นกันก่อนจะหันหลังตะโกนบอกกับอาร์มิน




    "อาร์มินหนีไปที่ปลอดภัยก่อน เดี๋ยวพวกเราจะตามไปทีหลัง"




    "เอสเธอร์!!" อาร์มินพยายามจะขว้าที่มือของเด็กสาวแต่ก็ไม่ทัน พวกเค้าต่างวิ่งไปตามทางท้องถนนที่มีแต่อันตรายที่จะตายเมื่อไรก็ได้ในเวลานี้

     

     

     

    พวกเค้าทั้งสามคน เอเรน มิคาสะ เอสเธอร์ ต่างวิ่งสวนทางกับคนอื่นๆที่วิ่งหนีภัยพิบัติกัน พวกเค้าไม่สนใจว่าคนที่ชนจะเป็นใคร ไม่สนว่าจะต้องหกล้มถลอกปอกเปิดสักแค่ไหนขอแค่ให้ไปถึงบ้านแสนสุขของพวกเค้า ไม่ว่าจะต้องเจ็บแค่ไหนพวกเค้าก็ยอม 




    ตามทางที่พวกเค้าวิ่ง ต่างก็เห็นซากของคนที่ถูกทับจากลูกหลงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เลือดกระจายไปทั่วตามทาง คนบางคนก็ยังร่ำไห้ให้กับคนในครอบครัวที่ทับจากหินจากกำแพงจนแทบจะดูไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าคนๆนั้นเคยเป็นมนุษย์มาก่อน




    ในใจเล็กๆทั้งสาม ภวานาให้แม่ของพวกเค้าจะไม่เป็นอะไร ภวานาว่าบ้านที่แสนอบอุ่นของพวกเค้าจะต้องปลอดภัย พวกเค้าต่างภาวนาตลอดทาง แต่คำภาวานานั้นก็คงจะส่งไปไม่ถึงต่อพระเจ้าได้




    เมื่อพวกเค้าเลี้ยวตรงหัวมุมถนนที่คุ้นเคย สิ่งที่ปรากฎต่อหน้าของพวกเค้าก็คือ เศษซากของบ้านที่พังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี




    "คุณแม่ครับ/แม่คะ!!" เสียงของเอเรนและเอสเธอร์ตะโกนออกมาเรียกหามารดาของตนเอง พวกเค้าตะโกนซ้ำไปซ้ำมาจนมาถึงตัวบ้าน พวกเค้าก็พบกับร่างของแม่ตัวเองที่โผล่มาครึ่งตัวจากซากปรักหักพังนี้ เมื่อถูกเรียกเข้าหลายครั้งร่างของหญิงสาวก็เริ่มมีสติขึ้นมา เมื่อเธอลืมตาขึ้นก็เห็นลูกของเธอวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล




    "มิคาสะ เธอจับตรงนั้น เอเรนนายอีกด้าน ช่วยกันยกเส้านี้ออก" เอสเธอร์รีบชี้นิ้วสั่งน้องๆของเธอทันที พวกเค้าต่างออกแรงยกคานไม้นั้นออกสุดความสามารถเท่าที่พวกเค้าจะทำได้




    ตึง ตึง ตึง เสียงฝีเท้ายักษ์นั้นเริ่มดังก้องไปทั่ว พวกเด็กๆต่างมองไปตามเสียงนั้นก็พบกับร่างของไททันนับสิบเดินกำลังเดินมาในกำแพงไม่หยุดหย่อน และมีตัวนึงกำลังเดินมาที่พวกเค้ากัน




    "เร็วเข้ามิคาสะ เอสเธอร์!!" เอเรนส่งเสียงเรียกสติกับพวกเธออีกครั้ง ถึงไม่มีใครพูดสั่ง พวกเค้าเองก็ต้องออกแรงช่วยแม่ของพวกเค้าออกมาให้ได้




    "พวกไททันบุกเข้ามาแล้วใช่ไหม" น้ำเสียงสั่นเครือ แม่ของพวกเค้าที่ได้ยินเสียงกับท่าทางของลูกๆก็รู้ได้ทันทีว่า ปีศาจร้ายกำลังจะมาเยือนหาพวกเค้าในไม่ช้า




    "เอสเธอร์ ลูกพาเอเรนกับมิคาสะหนีไปซะ เร็วๆเข้า" ผู้เป็นแม่ออกคำสั่งกับพี่สาว




    "หนูเองก็อยากพาน้องๆหนีอยู่หรอก แต่แม่ต้องไปกับพวกเราด้วย เอเรนนายพามิคาสะหนีไปก่อนเดี๋ยวฉันกับแม่จะตามไป" ใจนึงเธอเองก็อยากพาน้องของเธอพาไปที่ปลอดภัย แต่อีกใจนึงเธอก็ไม่สมารถทิ้งแม่ของเธอไปได้เช่นกัน เธอเลยบอกกับน้องชายของเธอให้พามิคาสะไปแทน อย่างน้อยพวกเค้าก็จะได้ปลอดภัยเป็นแน่ แต่ผลลัพธ์กับไม่เป็นแบบนั้น




    "ยัยพี่บ้าพูดอะไรโง่ๆ ไอ้อยากไปนะมันอยากอยู่แล้ว แต่ว่าแม่เองก็รีบออกมาเร็วๆสิ" เอเรนเถียงผู้เป็นพี่เช่นกัน ตัวเค้าเองก็จะไม่ยอมทิ้งแม่ไปเหมือนกับพี่สาวของตนเช่นเดียวกัน




    "ขาของแม่โดนซากทับจนหักหมดแล้ว ถึงออกไปได้ก็วิ่งไม่ไหวหรอกพวกลูกเข้าใจไหม" เมื่อไม่มีใครยอมถอยผู้เป็นแม่จึงได้เอ่ยอาการบาดเจ็บที่ตนได้รับ เธออาจจะไปเป็นตัวถ่วงของพวกเค้าและหวังว่าเด็กๆจะยอมและหนีไปที่ปลอดภัยกัน




    น้ำตาของเด็กทั้งสามในตอนนี้ค่อยๆคลอฉโลมไปทั่วใบหน้า ดวงตาช่ำไปด้วยน้ำตาและแดงก่ำ เสียงสะอื้นแทนที่ด้วยการออกแรง ความรู้สึกกลัวที่จะสูญเสียคนรักมันมีมากเกินกว่าความตายที่กำลังเข้ามาเสียมากกว่า




    "เดี๋ยวพวกเราจะแบกแม่วิ่งไปเอง" ทั้งเอสเธอร์และเอเรนพูดออกมาพร้อมกัน มือไม้ของพวกเค้าทั้งสามในตอนนี้ต่างก็ถลอกปอกเปิด เนื้อหนังหลุดลอกออกมาแต่ความเจ็บพวกนั้นไม่ได้กระทบต่อพวกเค้าเลยสักนิด แม้จะต้องเล็บหลุดหรือเสียมือไป ถ้าพวกเค้าสามารถแบกเส้าไม้นี้ออกไปได้พวกเค้าก็ยอมจะแลกเพื่อช่วยแม่ของพวกเค้า




    "ทำไมพวกลูกสองคนถึงไม่ยอมฟังกันบ้างเลย ขอร้องล่ะฟังคำขอสุดท้ายของแม่หน่อยเถอะ" น้ำตาของหญิงสาวเองก็ไหลออกมาเช่นกันทั้งความเศร้าทั้งความกลัวที่กลัวว่าลูกๆของเธอจะต้องเป็นภัยมันเอ่อล้นไปทั่วกาย สัญชาตญาณของแม่ทุกคนไม่ว่าจะต้องเจ็บหรือต้องตายลูกๆของพวกเธอจะต้องปลอดภัยเป็นอันดับแรกเสมอ และครั้งนี้เธอเองก็ยอมที่จะสละชีวิตของเธอเพื่อลูกๆของเธอเองเหมือนเช่นกัน




    "มิคาสะ!!" หญิงสาวเองก็ดูเหมือนจะพยายาม หาคนที่จะมาพาตัวเด็กหัวดื้อทั้งสองให้ออกไปจากตรงนี้ก็คงจะเหลือแต่เด็กสาวผมดำคนนี้ที่เป็นคนสุดท้าย




    "ไม่ค่ะ ไม่นะคะ หนูไม่ไป" เด็กสาวเกศาสีดำเองก็ไม่ยอมลดละเช่นกัน เธอเองก็ไม่อยากจะเสียครอบครัว เสียแม่ของเธอไปเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว




    "ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราทั้งสี่คนก็จะ-" เสียงลวดสลิงกับร่างของคนที่ดูคุ้นเคยกำลังมุ่งหน้ามาแต่ไกล ชายวัยกลางคนผมสีทองตัดเกรียนในอุปกรณ์สามมิติกำลังตรงดิ่งมาที่พวกเค้า




    "คุณฮันเนส พาพวกเด็กๆหนีไปเถอะค่ะ" คาร่าที่เห็นคนรู้จักก็ขอร้องให้เค้าพาเด็กๆหนีหรือคุณฮนเนสที่เค้าคนนี้ติดหนี้บุญคุณของคุณหมอเยเกอร์ ตอนนี้เค้าคงจะเป็นความหวังสุดท้าย ณ สถานการณ์อับจนตรอกนี้แล้ว




    "อย่ามาดูถูกฉันนะคาร่า ฉันจะฆ่าเจ้าพวกไททันแล้วช่วยพวกเธอทั้งสี่คนให้ได้" เค้าส่งยิ้มมายังผู้เป็นแม่ของเด็กๆเพื่อให้พวกเค้าได้อุ่นใจขึ้นมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปสู้กับไททันที่บุกเข้ามา




    "เดี๋ยวก่อนอย่าไปสู้กับมันนะ" คาร่าที่เห็นก็ตะโกนเรียก เธอเองก็ไม่อยากให้ใครต้องไปตายต่อหน้าเช่นกันและเธอเองก็อยากจะให้คนๆนั้นพาลูกๆของเธอไปที่ปลอดภัยมากกว่า




    แต่ดูเหมือนนายทหารคนนี้จะมั่นใจในความกล้าของตัวเองที่ฝึกสั่งสมมานานนับ10ปีกับอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ ที่อยู่ในกองทหารคอยปกป้องบ้านเมือง ก็แค่ในกำแพงนี้เท่านั้นแหละ เพราะเค้าเองก็ยังไม่เคยเจอกับสิ่งมีชีวิตปีศาจนี้ได้แต่สู้กับหุ่นจำลองเท่านั้นเค้าไม่เคยสู้หรือมีประสบการณ์แบบครั้งนี้มาก่อน ราวกับสุนัขที่เห่าเก่งแต่ก็ไม่เคยได้กัดใครเลยสักครั้งเดียว




    ร่างของชายวัยกลางคนที่ต้องไปสู้กับไททันเพื่อปกป้องพวกเค้า แต่ตอนนี้ร่างนั้นกลับวิ่งกลับมาพลางอุ้มพวกเด็กๆเพื่อหนีมาจากอันตรายที่กำลังมาถึง ฮันเนสได้ขว้าเอเรนให้มาอยู่ที่เอวของตนพลางใช้มือที่อุ้มตัวเอเรนไว้ไปขว้าเข้าที่คอมือของมิคาสะ ก่อนจะขว้าตัวเอสเธอร์ผู้เป็นพี่ขึ้นบนบ่าของตัวเอง




    "เดี๋ยวสิคุณฮันเนส ทำบ้าอะไรเนี้ย!!" เอเรนตะโกนด่าถอผู้ใหญ่ตรงหน้ากับการกระทำฉุกละหุก




    "ปล่อยหนูนะปล่อยสิ แม่คะ แม่" ทั้งสองพี่น้องดิ้นไปมาจนสุดกำลังตะโกนสุดเสียงเรียกร้องหาแม่ของตน พยายามให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธณาการ แต่มีแค่เอสเธอร์เท่านั้นที่หลุดมาได้ เธอกระโดดเข้าหาแม่ทั้งน้ำตาและเสียงสะอื้นร้องหามารดาผู้เป็นที่รัก




    "เอสเธอร์ไปเถอะลูก หนีไปซะ แม่ไม่เป็นไร" ผู้เป็นมารดามองมาที่เธอพร้อมด้วยรอยยิ้ม เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพยายามกล่อมให้เด็กสาวไป




    "หนูไม่ไป มะ ไม่ไป- ฮึก ฮือ ทั้งนั้น-ฮือออ ถ้า แม่ไม่ไปด้วย" ตอนนี้น้ำตาเสียงสะอื้นและอาการเศร้าโศกเข้าครอบง่ำทำให้เธอพูดไม่เป็นภาษา มือเรียวกอบกุมใบหน้าเด็กสาว ความสากด้านจากการทำงานและความอบอุ่นผ่านผิวสัมผัส มือนั้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าสวย 




    "ลูกเป็นพี่คนโตต้องเข้มแข็งเพื่อน้องๆเข้าไว้นะ และลูกเป็นคนเดียวที่แม่เชื่อใจมากที่สุด แม่ขอฝากดูแลน้องๆด้วยล่ะพี่สาวคนเก่ง" ไม่ทันทีที่เอสเธอร์จะเอ่ยประโยคใดๆคุณฮันเนสก็ได้เข้ามาคว้าตัวของเธออีกครั้ง เค้าคว้าตัวของเธอไว้บนบ่าใช่แรงทั้งหมดเพื่อล็อคตัวเธอไม่ให้หลุดไปไหน




    "ขอบคุณนะ" คาร่าได้พูดคำขอบคุณออกมา เธอไม่เสียใจหรือโกรธแค้นเคืองที่เค้าไม่สามารถช่วยเธอได้แต่เธอรู้สึกขอบคุณที่เค้าสามารถพาลูกๆของเธอหนีไปให้ไกลจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ไปได้




    "คุณแม่ผมยังติดอยู่ ไม่นะ ไม่"




    "แม่ค่ะ แม่เค้ายังอยู่ตรงนั้น เธอยังอยู่ตรงนั้น" เอเรนกับเอสเธอร์ต่างส่งเสียงเรียกหาแม่ของตน พวกเค้าตะโกนสุดกำลังแม้เส้นเสียงจะฉีกขาดจนไร้ซึ่งเสียงใดๆพวกเค้าก็ยังคงจะตะโกนหามารดาผู้เป็นที่รัก




    "เอสเธอร์ เอเรน มิคาสะ ขอร้องล่ะจงมีชีวิตอยู่ต่อไป" แม่ของพวกเค้าตะโกนก้องดังสุดเสียงประโยคคำขอร้องสุดท้ายของเธอ ภาพในหัวเมื่อตอนที่ครอบครัวยังกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาได้พุดขึ้นมาในหัวของผู้เป็นแม่ เธอเอามือปิดปากของตัวเองเพื่อไม่ให้เสียงที่จะพูดไปได้เอือนเอย




    "อย่าไปเลยนะ"




    ตึงงงง เสียงฝีเท้ากระแทกดังอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากตัวพวกเค้าที่วิ่งหนีกันมา ร่างสูงใหญ่ของปีศาจนั้นได้มาเยือนถึงบ้านแสนสุขของพวกเค้าแล้ว ปีศาจนั้นกำลังรื้อบ้านที่พวกเค้าพยายามยกกันจนมืดฉีกได้อย่างสบายๆ มันคุ้ยยกเศษซากนั้นจนกระทั้งได้หยิบสิ่งที่พวกเค้าพยายามช่วยกันมาตลอด




    แม่ของพวกเค้า ร่างของเธอค่อยๆยกลอยสูงจากพื้นภายในกำมือของปีศาจเดรัจฉาน




    "หยุดนะ!!!" เด็กชายหญิงทั้งสองที่เห็นภาพตรงหน้าต่างตะโกนห้ามจนสุดเท่าที่พวกเค้าเกิดมาจะตะโกนได้ หวังว่าเสียงนั้นมันจะสามารถหยุดการกระทำของปีศาจนั้นได้




    แต่มันก็ไม่เป็นผล ร่างแม่ของพวกเค้าที่อยู่ในกำมือนั้นพยายามดิ้นสุดแรงเกิดเท่าที่จะทำได้ ทั้งใช่มือทุบเพื่อที่จะให้มันปล่อยแต่แรงของมนุษย์ตัวเล็กๆนั้นก็เป็นเพียงแค่แรงลมเบาๆสำหรับพวกมัน




    มันใช้มืออีกข้างไปจับลำตัวของหญิงสาวก่อนจะดึงให้กระดูกร่างของเธอหลุดออกจากกัน ร่างของมารดาถูกพับลงราวกับกระดาษไร้ซึ่งการขยับเขยื้อนไหวติงแต่อย่างใด มันค่อยๆยกร่างนั้นเข้าใกล้ปากของมัน




    มิคาสะที่ถูกจูงมือมาด้วยกันเองก็ยังต้องหันหน้าหนีจากภาพตรงหน้าแต่ทว่า เอเรนและเอสเธอร์ที่มองดูเหตุการณ์เช่นเดียวก็อยากจะเบือนหน้าหนีแต่ก็ไม่สามารถทำได้ร่างกายของพวกเค้าเย็นและชาไปทั้งตัว ร่างแม่ของพวกเค้าตอนนี้อยู่ในปากของปีศาจเป็นที่เรียบร้อย มันกัดร่างนั้นขาดเป็นสองท่อนราวกับเป็นขนม เลือดสีแดงชาญกับกลิ่นคาวสดได้กระจายไปทั่วทุกสารทิศ โลหิตนั้นได้ไหลทั่วใบหน้าและร่างกายของมัน ไร้ซึ่งร่างใดๆของผู้เป็นมารดาของพวกเค้าเลยแม้แต่น้อย




    เด็กๆทั้งสอง เอสเธอร์ เยเกอร์ และ เอเรน เยเกอร์ ได้สูญเสียแม่ของพวกเค้าและต้องมาเห็นสัตว์เดรัจฉานนั้นกัดกินแม่ของพวกเค้าทั้งเป็นต่อหน้าต่อตาเด็กทั้งสอง

     

     

     

     

     

     

    ความหน้าสะพรึงกลัวที่ถูกพวกมันปกครอง




    และ




    ความอัปยศเฉกเช่นถูกขังอยู่ราวกับในกรงนก

     

     

     

     

     

     

     

     

    ตอนที่เราดูตอนที่1ครั้งแรกนี้ซึ้งกับคนเป็นแม่มาก เธอยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อลูกๆของเธอทั้งที่ใจจริงๆแล้วตัวของเธอนั้นกลัวมากแค่ไหน

    Rest in peace Kara Jager

     

     

     

     

     

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×