ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Attack on titan] I'm only Human (Levi x Oc)

    ลำดับตอนที่ #2 : The 2nd Healing

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 64


     



     

    รถม้าได้มาเยือนถึงบ้านแสนสุขของเด็กสาว มันเป็นบ้านที่อยู่บนเนินซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดยาวไป เป็นบ้านที่ไม่ได้ดูเล็กหรือใหญ่เกินไปสำหรับครอบครัวสมาชิกห้าคน มันเป็นบ้านสองชั้นที่มีห้องด้านบนเป็นห้องใต้หลังคาส่วนชั้นล่างเป็นที่อยู่อาศัยของคนในครอบครัวและภายในตัวบ้านยังมีห้องชั้นใต้ดินอีกด้วย





    "กลับมาแล้วค่ะ" เอสเธอร์เอ่ยเตือนกับคนในบ้านเพื่อให้รู้ว่าพวกเธอกลับมาแล้ว แม่ของเธอที่กำลังทำความสะอาดห้องนึงก็ได้เดินออกมาต้อนรับ





    "กลับมาแล้วหรอ เหนื่อยกันไหมเอย สองหมอพ่อลูก"





    "ก็นิดหน่อยค่ะ" เธอวางกระเป๋ายาก่อนจะเดินไปที่อ่านล้างจานก่อนจะเปิดก๊อกน้ำล้างมือของตนเอง ตามด้วยพ่อของเธอ





    "วันนี้ก็วุ่นวายเป็นพิเศษเลยละ" ทรีชาพูดพร้อมกับวางข้าวของเช่นกัน





    "สงสัยคงจะหิวกันแน่ๆ วันนี้มีสตูกับขนมปังเยอะเลยละ ถ้ายังไงจะกินก่อนไหม พวกเด็กๆกำลังไปเก็บฟืนกันอยู่" แม่ของเธอพูดพร้อมกับเดินไปดูสตูที่วางไว้บนเตา





    "ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวรอให้พวกเขากลับกันมาก่อนแล้วค่อยทานพร้อมกันเลย" ทรีชาบอกปฎิเสธ





    "เอสเธอร์ลูกละ จะทานก่อนเลยไหม" คาร่าหันมาถามลูกสาวของตน





    "ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูยังไม่ค่อยหิวเท่าไร" เธอพูดก่อนจะไปหยิบจานชามมาตั้งไว้ที่โต๊ะทั้งหมดห้าที่ ทรีชาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวก็ได้ทำการจดโน๊ตเกี่ยวกับการแพทย์ไว้ดั่งเช่นเคย ส่วนคาร่าก็กำลังอุ่นสตู เพื่อที่พวกเด็กๆของเธอกลับมาจะได้ทานพร้อมกัน 





    เอสเธอร์เองก็หยิบตำราทางการแพทย์ของพ่อเธอมานั่งอ่านข้างๆเหมือนเช่นเคย เธอมักจะชอบอ่านตำราเรียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในตอนเด็กๆเธอแค่เห็นพ่อทำแบบนี่บ่อยๆเลยทำตามแต่ไปๆมาๆกลับชอบขึ้นมาซะอย่างงั้น บางครั้งเธออาจจะอ่านหนังสือพวกนั้นมากกว่าอาหารที่เธอทานเสียอีก เวลาผ่านไปได้สักพัก ประตูได้ถูกเปิดออก เด็กสองคนที่กำลังหิ้วฝืนไม้แห้งไว้ด้านหลังเดินเข้ามาในบ้าน





    "กลับมาแล้วครับ" เสียงของเด็กชายกล่าวบอกกับคนในบ้าน เด็กคนนี้ก็คือเอเรนเจ้าน้องตัวแสบของบ้านที่ไม่ยอมฟังใคร เค้าเดินไปที่กล่องไม้ก่อนจะเทฟืนลงในกล่อง





    "ยินดีต้อนรับกลับจ่ะ" คาร่าได้กล่าวตอบกับเด็กชายและเด็กสาวที่พึ่งมาเยือน เอสเธอร์ที่เห็นน้องๆของเธอกลับมา ก็ได้พลิกปิดหนังสือแล้วเดินเข้าไปหาผู้มาเยือน





    "โห้เก็บได้เยอะเลยวันนี้ ผิดคาดแหะ" เธอชะเง้อดูกองฝืนที่เยอะจนผิดปกติ





    "หมายความว่าไงว่าผิดคาด" เหมือนคำพูดจะไม่ค่อยเข้าหูของเด็กชายสักเท่าไร เลยส่งเสียงไม่พอใจออกมา





    "ปกตินายนะมักจะแอบอู้จนต้องให้มิคาสะค่อยช่วยอยู่เสมอจริงไหม" รอยยิ้มที่กวนประสาทซึ่งเป็นสิ่งน้องชายของเธอมักรำคาญเสมอ คงเป็นเพราะรอยยิ้มนั้นกำลังยิ้มแทงใจดำที่กำลังพูดความจริงอยู่





    "อย่ามาพูดมากหน่อยเลย แล้วพี่ละได้ช่วยพ่อทำงานหรือว่าไปเป็นภาระแทนละ" มีสวนกลับด้วยแหะเจ้าน้องคนนี้ แต่คำกล่าวนั้นไม่ระแคะระคายสักนิด





    "วันนี้พี่ของลูกช่วยพ่อได้เยอะมากเลย เอเรน" ผู้เป็นพ่อที่ได้ยินบทสนถนาก็ขอร่วมด้วย เอสเธอร์ที่ดูเหมือนมีผู้สนับสนุนก็แอบแลบลิ้นแหย่ใส่น้องชายของเธอ ซึ่งหน้าที่บูดอยู่แล้วยิ่งบูดนักเข้าไปอีก





    "ไหนๆวันนี้เก็บฝืนมาเยอะอย่างงั้นหรอเอเรน" ผู้เป็นแม่ละจากครัวเดินมาหาลูกชายของเธอ "โอ้โหแม่แปลกใจที่วันนี้ลูกเก็บฝืนได้เยอะอย่างที่พี่ของลูกว่าจริงๆนั้นแหละ" น้ำเสียงของผู้เป้นแม่ดูแปลกใจเหมือนกับผู้เป้นพี่





    "อ่า ครับ" เด็กชายส่งเสียงไม่ค่อยมั่นใจนักแถมยังเบนสายตาจากแม่ของตนอีก ชัดเลยว่าโกหกเห็นๆ คาร่าได้หยิกเข้าที่หูของเด็กชายจนต้องร้องออกมา มันไม่ได้เป็นการหยิกที่แรงแต่เหมือนเป็นการแหย่เล่นๆของผู้ใหญ่มากกว่า





    "อ่ะ โอะ อะไรละครับนั้น"





    "หูของลูกแดงแจ๋เลย ลูกกำลังโกหกอยู่สินะ ให้มิคาสะช่วยอีกแล้วสิท่า" ยังไงซะคนเป็นแม่ก็ต้องจับโกหกลูกของตัวเองได้อยู่แล้ว เหมือนได้ยินแบบนั้นเอเรนก็ไม่สามารถเถียงอะไรออกมาได้ การดำเนินชีวิตที่แสนสงบก็ดำเนินไปด้วยดี ครอบครัวเยเกอร์นั่งทานอาหารเย็นร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อย





    "อ่ะนี้มิคาสะทานสตูเยอะๆเลยนะ เธอยังทานแค่นิดเดียวเอง" เอสเธอร์ที่เห็นจานของเด็กสาวใกล้หมดก็รีบตักเพิ่มให้ทันที





    "ขอบคุณค่ะ" มิคาสะรับสตูเพิ่มจากพี่สาวบุญธรรมก่อนจะนั่งตักคำใหญ่





    "แล้วเธอละไม่ทานเพิ่มหรอ เดี๋ยวตัวก็ไม่โตหรอก" เอเรนที่เห็นพี่สาวของเธอทานได้แค่ชามเดียวก็นึกสงสัยว่าจะอิ่มอย่างงั้นหรอกเหรอ





    "ไม่ละพี่ทานแค่นี้ก็อิ่มแล้ว" เอสเธอร์เอาช้อนจิ้มแขนน้องตัวเอง "นายนั้นแหละที่ต้องกินเยอะกว่าใครเพื่อน แรงจะสู้มิคาสะยังไม่มีเลย" เธอเอามือขยี้หัวน้องชายด้วยความมั่นเคี้ยวเล่น





    "หยุดเลยนะยัยพี่บ้านี้ คอยดูเหอะโตขึ้นฉันต้องสูงกว่าเธอแน่นอน" เอเรนเมื่อได้ยินคำสบประมาทก็รีบตักจ้วงสตูและขนมปังทันที เอสเธอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆพ่อของเธอก็เห็นว่า เค้ากำลังเริ่มเก็บกระเป๋าอยู่ 





    "วันนี้พ่อมีงานอีกหรอค่ะ หนูนึกว่ามีแค่ช่วงเช้าของวันนี้ซะอีก"





    "อ่าใช่แล้วมีคนต้องการให้พ่อไปตรวจไข้ในเมืองชั้นใน อีกสองสามวันเดี๋ยวก็จะกลับ ตอนนั้นลูกกำลังดูแลคนไข้อยู่ พ่อเลยยังไม่ได้บอก"





    "งั้นเดี๋ยวรอหนูแปปนะคะ จะรีบไปเก็บของเดี๋ยวนี้แหละ" เอสเธอร์เดินเก็บจานที่ซิ้งเพื่อที่จะได้ไปเก็บของแต่ก็ต้องถูกขัดไว้ซะก่อน





    "ไม่ต้องหรอก ลูกอยู่นี้แหละ พ่อไปไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับแล้ว"





    "นั้นสินะ ลูกเองก็ออกไปดูงานกับพ่อเค้าบ่อยๆ อยู่บ้านสักหน่อยก็ดีเหมือนกันนะ" แม่ของเธอเสริมขึ้น





    "งั้นหรอค่ะ" เธอคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจ "ก็ได้ค่ะถ้าพ่อกับแม่พูดอย่างงั้น" ก่อนที่พ่อของเด็กจะลุกจากเก้าอี้ ในจังหวะนั้นเองมิคาสะก็ได้พูดบางสิ่งออกมาจนทำให้คนในบ้านต้องถึงกับเงียบตกใจในทันที



    .

    .

    .

    .

    .



    "เอเรนน่ะเค้าอยากเข้าทีมสำรวจค่ะ" คำพูดของเด็กสาวทำให้ทั้งบ้านเข้าสู่ความเงียบ เอสเธอร์ที่รู้มาตั้งนานแล้วว่าเอเรนที่อยากจะออกไปจากกำแพงนี้มากแค่ไหนจึงไม่ค่อยแปลกใจ แต่แม่ของเค้ากลับไม่ได้คิดแบบนั้น เธอรีบละจากซิ้งล้างจานทันที ส่วนคนเป็นพ่อเองได้แต่นั่งนิ่งๆไม่ได้พูดอะไร เสียงจานกับช้อนถูกกระแทกลงกับโต๊ะอย่างแรง เด็กชายหันไปหาเด็กสาวที่เป็นคนปากโป้ง





    "มิคาสะอย่าบอกสิ"





    "เอเรน" ผู้เป็นมารดารับเดินเข้ามาหาตัวเด็กชายทันที "นี้ลูกคิดอะไรของลูกเนี้ย ลูกรู้ไหมว่ามีมนุษย์ชาติที่ออกไปนอกกำแพง ตายไปเท่าไรแล้ว"





    "ผมรู้แล้วครับ" เอเรนเองก็ยังคงเถียงแม่ของเค้าอยู่





    "ไม่รู้หรอก ไม่รู้เลยสักนิด" แต่บทสนถนาก็ได้ถูกขัดขึ้นมาโดยคำถามของผู้เป็นพ่อ





    "เอเรน ทำไมลูกถึงอยากจะออกไปข้างนอกละ" เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะธรรมดาแต่ก็แอบแฝงไปด้วยความอันตรายที่ซ่อนอยู่ การออกไปข้างนอกนั้นมีแต่เปอร์เซนต์ที่จะตายเอาเท่านั้น สำหรับใครหลายคนขอสู้ตายอยู่ข้างในยังจะดีเสียกว่า





    "ผมอยากรู้จักโลกภายนอก ผมไม่อยากจะอยู่ในกำแพงนี้ไปชั่วชีวิต โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกนี้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่มีคนสานต่อไว้กับสิ่งที่คนรุ่นหลังทำไว้ ชีวิตที่พวกเค้าเสียไปมันก็สูญเปล่าหมดสิครับ" เอสเธอร์ที่นั่งฟังน้องชายของเธออย่างเงียบๆนั้นเข้าใจทุกอย่างว่าการอยู่ในกรงขังนี้มันน่าสังเวชมากแค่ไหน ไม่ใช่แค่น้องชายของเธอที่อยากออกไปด้านนอกตัวของเธอเองก็เช่นกันแต่เธอหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูด เพราะที่บ้านคงไม่เห็นดีเห็นงามเป็นแน่ 





    "นั้นสินะ" พูดเป็นพ่อยิ้มพร้อมกับดันแว่นขึ้น "เรือจะออกแล้วพ่อไปก่อนนะ" เค้าลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผู้เป็นภรรยารีบลุดไปหาสามีของตนหวังจะให้ช่วยกล่อมให้ลูกชายนั้นเปลี่ยนความคิด





    "เดี๋ยวก่อนสิค่ะคุณ ช่วยฉันเกลี่ยกล่อมเอเรนก่อน"





    "คาร่า ไม่มีอะไรสามารถห้ามความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ได้หรอกนะ" ชายหนุ่มหันมาหาลูกๆของตนเอง "เอสเธอร์ เอเรน ถ้าพ่อกลับมาแล้วจะให้ดูที่ห้องใต้ดินที่เก็บความลับมาตลอด" เค้าหยิบกุญแจสีทองสวยที่คล้องไว้ที่คอให้พวกเด็กๆดู





    "จริงหรอครับ" ทรีชาพยักหน้าตอบและหันมามองเอสเธอร์





    "เอสเธอร์ พ่อฝากลูกดูแลแม่กับน้องๆด้วยนะ"

     

     

     

     



    เด็กๆออกมานอกบ้านเพื่อมาส่งผู้เป็นพ่อ ทรีช่าหันกลับมามือจับที่ขอบหมวกที่ส่วมอยู่ดึงลงเป็นการบอกลา เอสเธอร์และเอเรนเองก็โบกไม้โบกมือส่งลาให้ ร่างผู้เป็นพ่อได้มุ่งเดินไปยังจุดหมายถัดไปจนลิบตา





    "แม่ไม่อนุญาติที่จะทำตามทีมสำรวจงี่เง่านั้น" บทสนถนาเรื่องทีมสำรวจก็ยังดำเนินต่อ ผู้เป็นแม่ที่ยังไม่ยอมรับกับการตัดสินใจของเด็กชายได้ก็ได้ห้ามปราม





    "งี่เง่าหรอ แต่ผมว่าผู้คนที่คิดว่าอยู่แต่ในฟาร์มในกำแพงนี้น่ะเป็นพวกที่งี่เง่ากว่าซะอีก" เอเรนเองก็ยังหัวรั้นเถียงแม่ของตน ก่อนจะวิ่งหนีไม่ฟังคำใครทั้งสิ้น





    "เอเรน" เอสเธอร์ตะโกนเรียกน้องชายแต่ก็ไม่เป็นผลใดๆทั้งสิ้น น้องชายของเธอเป็นคนหัวดื้อหัวรั้นไม่ฟังใครแล้วยิ่งเรื่องทีมสำรวจอีกไม่ต้องพูดถึง คาร่าหันมาหาเด็กสาวทั้งสองก้มตัวลงต่ำให้เท่ากับส่วนสูงของเด็กๆ สีหน้าของเธอบ่งบอกถึงความเป็นห่วงและกังวลเธอจับที่ไหล่ของเอสเธอร์และมิคาสะ





    "เอสเธอร์ มิคาสะ เด็กคนนั้นชอบหาเรื่องใส่ตัว พวกเราเองก็เหลือกันอยู่แค่นี้ เวลามีปัญหาพวกเราทั้งสามคนต้องช่วยกันนะ" พวกเธอสองคนไม่ตอบอะไรได้แต่พยักหน้ารับความตั้งใจเจตนารมณืของผู้เป้นแม่

     

     



    สถานที่ไม่ไกลจากบ้านตระกูลเยเกอร์มากนัก ที่ตรอกซอยแห่งนึงมีกลุ่มเด็กชายกลุ่มนึงกำลังยืนล้อมร่างเด็กชายตัวเล็กไว้ คนที่ตัวโตที่สุดในกลุ่มได้ทำการกระชากคอเสื้อของเด็กชายผมสีทองและกระแทกเข้ากับกำแพงแบบไม่ยั้งมือ ใบหน้าของเค้าเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้





    "เป็นอะไรไปเจ้านอกรีด ถ้าเจ็บใจนักก็สวนกลับมาบ้างสิ"





    "ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วยหละ ผมไม่ทำตัวเหมือนพวกนายหรอกน่า" เด็กผมทองเถียงสู้กลับ "พวกนายน่ะยอมรับเรื่องที่ผมพูดเป็นความจริง พอเถียงสู้ผมไม่ได้ก็เลยต้องใช่กำลังแบบนั้นก็เท่ากับว่าพวกนายแพ้ผมแล้วไม่ใช่หรอ"





    เด็กชายที่จับคอเสื้อของคนที่โดนรุมไว้เมื่อได้ยินคำขอเท็จจริงก็ไม่สามารถพูดสวนกับได้ มืออีกข้างที่ว่างอยู่เลยง้างไว้เตรียมพร้อมชกอีกฝ่ายเต็มที่





     

    "หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าพวกบ้า" เอเรนที่ตะโกนมาแต่ไกลได้ตะโกนใส่กับเจ้าพวกกลุ่มนักเลงเพื่อให้อีกฝ่ายกลัวแต่กลับกันกลายเป็นว่าเจ้าพวกเด็กหัวไม้พวกนี้กลับชอบใจซะอีก





    "นั้นมันเจ้า เอเรน สงสัยหมอนั้นยังไม่เข็ดกับครั้งที่แล้ว" พวกเด็กนักเลงละจากเด็กชายผมบลอนด์และหันมาตั้งท่าสู้แทนแต่ดูเหมือนคนในกลุ่มจะเห็นบางสิ่งกำลังวิ่งตามเอเรนมาอยู่ "แต่เดี๋ยวนะ อะไรวิ่งตามมันมา"





    "นั้นมัน มิคาสะ" สีหน้าของพวกเค้าเริ่มดูวิตกกังวลมากขึ้นแต่จะยิ่งหนักขึ้นอีกเมื่อเห็นสิ่งที่ตามมาอีกทอดนึง "แล้วก็เอสเธอร์!!" ใช่แล้วละสองสาวสุดโหด มิคาสะที่มีฝีมือการต่อสู้เกินเด็กและเอสเธอร์ตัวแม่ทุกสถาบันที่พร้อมตะลุมบอลกับคนที่มาหาเรื่องน้องๆของเธอ





    "ซวยแล้วตัวแม่มาด้วย หนีเร็วววว" ยังไม่ทันที่จะสู้เด็กพวกนั้นก็ได้วิ่งหนีไปแทบจะทันที





    "ดูนั้นสิเจ้าพวกนั้นพอเห็นฉันก็วิ่งหนีหางจุกตูดเลย" เอเรนที่ดูเหมือนจะไม่ได้รู้เลนว่าที่เจ้าพวกนั้นวิ่งไม่ใช่เพราะเจ้าตัวเลยสักนิด





    "ผมว่าที่วิ่งน่าจะเป็นเพราะ เอสเธอร์กับมิคาสะ มากกว่า" เด็กหนุ่มพูดแก้ความเข้าใจผิดให้กับเพื่อน





    "เป็นอะไรไหม อาร์มิน" เอเรนยื่นมือไปช่วยเด็กหนุ่มหรือ อาร์มิน อาร์เลอร์ท





    เด็กชายผมบลอนด์ทองตาสีท้องฟ้าคราม เค้าเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมีความคิดกลานไกล เป็นคนที่มีไหวพริบที่สุดในกลุ่ม และเป็นคนที่ให้เอสเธอร์ เอเรน และมิคาสะได้ดูหนังสือที่เกี่ยวกับโลกภายนอกครั้งแรก เด็กชายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพวกเธอเลยก็ว่าได้ เป็นคนที่มีความคิดแปลกแหวกแนวและนี้ก็มักจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เค้ามักจะถูกกลั่นแกล้งเสมอ เค้าอาศัยอยู่กับคุณปู่สองคนเนื่องจากพ่อแม่ของเค้าได้เสียไปจากอุบัติเหตุ





    "ผมน่ะยืนเองได้" เค้ามองไปที่มือที่ยื่นมาสลับกับเห็นเด็กสาวผมสีเฮเซลนัทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเค้าดูเจ็บใจไม่ใช่ที่โดนคนพวกนั้นทำร้ายเค้าหรอกแต่อาจจะเป็นการช่วยเหลือของเพื่อนของตนก็ได้ เจ้าตัวปฎิเสธมือที่ยืนมาช่วยทันที





    "ไหนๆมาดูซิ" เอสเธอร์เดินเข้าไปใกล้เด็กชายเพื่อดูแผล แต่อีกฝ่ายดูเหมือนกับหันหน้าหนีพร้อมกับปฎิเสธ





    "เอสเธอร์ผมไม่เป็นไรจริงๆ" เค้าสะบัดหน้าหนีไม่สบตาเด็กสาว เอสเธอร์เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจก่อนจะเอานื้วจิ้มเข้าไปที่แผลของอาร์มินเบาๆ





    "โอ้ย ทำอะไรครับเนี้ยเอสเธอร์" อาร์มินเอามือตัวเองกุมที่แก้มตัวเองไว้จากความเจ็บ





    "ปากบอกไม่เป็นไรแต่แผลเต็มหน้าแบบนี้คงทำให้ฉันเชื่อได้เนอะ ถ้าจะโกหกละก็ช่วยดูสภาพตัวเองหน่อย เอาละอยู่นิ่งๆเดี๋ยวจะทำแผลให้" การปฎิเสธเด็กสาวไปก็คงไม่เป็นผล ถึงเด็กชายจะพูดอะไรออกไป ยังไงเจ้าตัวเองก็ยังดื้อที่จะทำแผลให้อยู่ดีและถ้ายิ่งไปขัดใจเธอคนนี้ล่ะก็ดีไม่ดีการสู้กับเจ้าพวกนักเลงเมื่อกี้อาจจะได้แผลน้อยลงมาก็เป็นได้





    "ขะ ขอบคุณครับ" มือของเด็กสาวได้หยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของตัวเองมาซับเลือดบางส่วนออกจากใบหน้าของอาร์มิน ใบหน้าของเด็กชายขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย สายตาเหล่ไปด้านข้างเพื่อที่จะไม่ต้องมองไปที่ตาของเอสเธอร์ตรงๆ





    "เดี๋ยวเราไปตรงริมน้ำกันเถอะจะได้ล้างแผลนายได้" เมื่อได้ยินแบบนั้นพวกเด็กๆทั้งสามก็พยักหน้าพร้อมใจเดินไปริมแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลมากนัก แม่น้ำที่พ่อของเธอได้ใช้เป็นเส้นทางเดินทางไปยังเมืองชั้นใน

     

     

     

     

    และเป็นแม่น้ำที่จะพาพวกเค้าไปยังเส้นทางชีวิตที่เปลี่ยนไป

     

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×