ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Attack on titan] I'm only Human (Levi x Oc)

    ลำดับตอนที่ #1 : The 1st Healing

    • อัปเดตล่าสุด 21 มี.ค. 64


     

     

     

     

     

    กรงขัง คือสิ่งที่คอยกักกั้นอิสระของสัตว์เอาไว้ คอยกักขั้งเหล่าปศุสัตว์ไว้ รอให้พวกมันโตเต็มที่แล้วค่อยนำพวกมันมากิน ส่วนพวกเราเหล่ามนุนย์มีหน้าที่คอยเลี้ยงดูพวกมันไว้ นั้นคือสิ่งที่พวกผู้ใหญ่คอยบอกเด็กๆ

     




    เหลวไหลสิ้นดี

     


     

     

    ตอนนี้เวลานี้ของเธอและคนหลายๆคนก็มีชีวิตที่ไม่ต่างจากสัตว์พวกนั้นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าปีศาจพวกนั้น

     

     


     

    ถ้าไม่ใช้เพราะเจ้าสัตว์ประหลาดนั้น

     


     

     

     

    พวกเราหลายคนต้องคอยหลบหนีจากพวกมัน หลบอยู่ในกำแพงที่สูงใหญ่ตระหนา ราวกับสัตว์ที่รอคอยเวลาโตเต็มที่รอให้พวกมันมาจับกิน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นชีวิตในกำแพงก็สามารถทำให้ชีวิตหลายคนดำเนินได้อย่างปกติสุข ความสุขจอมปลอมที่สร้างขึ้นมานับหลายร้อยปี

     

     


     

     

    "เอสเธอร์ ลูกเตรียมของเรียบร้อยแล้วใช่ไหม" ชายวัยกลางใบหน้าเรียวยาว พร้อมกับแว่นทรงกลมเล็ก เขาเรียกเด็กสาว มือใหญ่เองก็ตรวจเช็คของในกระเป๋าเดินทาง เขาหยิบขวดยา ผ้าพันแผลและอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆใส่ลงในกระเป๋าสีน้ำตาลใบใหญ่



     

     

     

    "เรียบร้อยแล้วค่ะพ่อ" เด็กสาวเกศาสีน้ำตาลเปลือกไม้อ่อน ที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงขายาวให้คล่องตัว เดินออกมาจากห้องพร้อมกับกระเป๋าข้างกาย เธอเดินออกมาจากห้องของตัวเองตรงไปยังห้องกินข้าวที่อยู่ติดกัน ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของบ้าน เธอเดินไปยืนอยู่ข้างๆของชายวัยกลางคนหรือผู้เป็นพ่อของเธอ

     

     

     

     

    ในเวลาเดียวกันประตูได้เปิดขึ้น เผยให้เห็นหญิงสาววัยกลางคนกับผมเกศาที่มีสีเฉกเช่นเดียวกับเด็กสาว เธอได้เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับตระกร้าผ้าใบใหญ่ กับเด็กสาวตัวเล็กผมสีดำเงาคลับสวยที่สวมผ้าพันคอสีแดงสดเป็นเอกลักษณ์ เธอเองก็ถือตระกร้าผ้าใบเล็กตามมาเช่นกัน


     

     


     

     

    "วันนี้มีงานด่วนรึคะคุณ" ภรรยาสาวของชายหนุ่มถาม


     

     


     

     


    "อืม วันนี้ผมต้องไปดูแลหน่วยสำรวจที่จะกลับมาวันนี้ แต่ไปไม่นานก็กลับแล้วละ"


     

     


     

     


    หญิงสาวพยักหน้ารับและได้เห็นลูกสาวของเธอเองก็ได้หยิบกระเป๋าเองเช่นกัน เธอวางตระกร้าลงและเดินตรงไปหา


     

     


     

     

     

    "เอสเธอร์ ลูกจะไปกับพ่อด้วยงั้นหรอ" สีหน้าผู้เป็นแม่ฉายแววกังวล "แม่ว่าที่แบบนั้นมันไม่ค่อยเหมาะกับเด็กๆสักเท่าไรเลยนะ แถมยังเป็นหน่วยสำรวจด้วย"


     

     


     

     

     

    "แม่คะ ปกติหนูก็ไปกับพ่อตลอดแหละ" เอสเธอร์พูดอธิบาย "ถึงจะเป็นพวกทีมสำรวจ งานของพ่อครั้งนี้เองก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ" เธอพูดไปพลางหยิบขนมปังไปสองสามก้อนขึ้นมาเตรียมไว้เป็นอาหารกลางวันของเธอและพ่อ


     

     


     

     

    ครอบครัวเยเกอร์ประกอบไปด้วย 5สมาชิกครอบครัวด้วยกัน พ่อของเธอมีชื่อว่า ทรีชา เยเกอร์ ซึ่งเป็นคุณหมอมือดีที่หลายๆคนรู้จักกัน 






    ส่วนแม่ของเธอมีชื่อว่า คาร่า เยเกอร์ เธอเคยเป็นสาวเสริฟร้านอาหารมาก่อนแต่พอได้แต่งงานและมีลูกเธอเลยกลายเป็นแม่บ้านธรรมดาคนนึง เด็กสาวผมสั้นสีดำสวยมีผ้าพันคอสีแดงสดพันรอบคอนั้นชื่อว่า 






    มิคาสะ อัคเคอร์แมน เธอเป็นลูกและน้องสาวบุญธรรม หลังจากที่ครอบครัวของเด็กสาวได้เสียไปครอบครัวเยเกอร์เลยรับเธอมาดูแลอุปการะประดุจเป็นลูกสาวในไส้ ส่วนคนสุดท้ายนั้นเรียกว่าตัวก่อเรื่องเลยละ


     

     


     

     

    "เด็กคนนี้หนิจริงๆเลย ทั้งพี่ทั้งน้องนี้เหมือนกันไม่มีผิด" เธอพูดพลางเอามือกุมขมับไว้ ทรีชาได้เดินมาด้านหลังของภรรยาตนเองและจับที่ไหล่ของเธอเบาๆเป็นการปลอบ


     

     


     

     

    "ไม่เป็นไรหรอกคาร่าผมจะดูแลเอสเธอร์ไม่ให้ทำงานอันตรายเอง" เขาเว้นระยะ "งานนี้ก็แค่ไปปฐมพยาบาลเบื้องต้นพอเสร็จแล้วพวกเราจะรีบกลับทันที ไม่ต้องเป็นห่วง" ผู้เป็นแม่ได้ยินก็ต้องยอมถึงห้ามยังไงเจ้าลูกสาวตัวดีของเธอก็ต้องแอบบหนีไปอยู่ดี


     

     


     

     

    "ก็ได้ค่ะถ้าคุณว่ายังงั้น แต่ว่า" เธอหันมาหาเด็กสาว "ลูกจะต้องฟังที่พ่อพูดทุกครั้งเข้าใจไหม" แม่ของเธอเป็นคนขี้กังวลกับเรื่องเล็กๆน้อยๆเสมอเพราะเธอและเจ้าตัวแสบอีกคนชอบทำเรื่องไม่เป็นเรื่องตลอดคงมีแค่มิคาสะคนเดียวที่เป็นเด็กดีที่สุดในบ้านก็ว่าได้  


     

     


     

     

    "เข้าใจแล้วค่ะแม่หนูจะฟังทุกคำของพ่อเลย ให้เดินก็เดิน ให้หายใจก็หายใจ" เอสเธอร์ตอบรับคำของแม่พร้อมพูดติดตลก เธอจัดเตรียมอาหารกลางวันของตัวเธอและของพ่อเรียบร้อยเหลือก็แค่ใส่ตระกร้า


     

     


     

     

    "อยู่ไหนละเนี้ย" มิคาสะที่มองดูอยู่ก็เดินไปอีกตู้ไม้ตู้นึงเพื่อหยิบตระกร้าสานใบเล็กให้ เธอสะกิดชายเสื้อเบาๆให้เด็กสาวรู้ตัว


     

     


     

     

    "ขอบใจนะมิคาสะ มีเธออยู่ด้วยแล้วช่วยได้เยอะเลย" แอสเธอร์ลูบหัวของน้องสาวด้วยความเอ็นดู "แล้วเอเรนละไปไหนแล้วฉันไม่เห็นเขาเลยเช้านี้"


     

     


     

     

     

    "เอเรนเขาไปเก็บฟืน" มิคาสะพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ผู้เป็นพี่ทำปากอ๋อเข้าใจ เอเรน เยเกอร์ น้องชายตัวแสบของแอสเธอร์ เจ้าหัวดื้อหัวรั้นของบ้านที่ชอบสร้างเรื่องไม่มีหยุด


     

     


     

     

     

    "ฉันว่าเขาคงไปแอบหลับที่ไหนสักที่แน่ๆ" แอสเธอร์พูดพร้อมกับขยิบตาให้ นั้นทำให้มิคาสะเผยรอยยิ้มเล็กๆขึ้นมา บทสนถนาได้ถูกขัดขึ้น ทรีชาก้มมองดูที่นาฬิกาพกก่อนเห็นได้ว่าเกือบถึงเวลาที่นัดกับรถม้าที่จะมารับไว้แล้ว


     

     


     

     

     

    "เอาละได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะแอสเธอร์รถม้าน่าจะคอยเราอยู่ด้านล่างแล้ว" ทรีชาตบมือเรียก เธอรีบหยิบขนมปังใส่ตระกร้าแล้วเดินตามผู้เป็นพ่อในทันที


     

     


     

     

    "ระวังตัวด้วยนะทั้งสองคน" ผู้เป็นแม่หอมแก้มลูกสาวตัวเองฟอดใหญ่ และตัวของเอสเธอร์เองก็ทำให้กับผู้เป็นแม่ของเธอเองเช่นกัน


     

     


     

     

    "ถ้าเสร็จแล้วจะรีบกลับนะคะ มิคาสะฝากดูแลแม่กับเอเรนด้วยนะ" เธอพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากบ้านไป

     

     

     

     

     

     

     

    ภายในกำแพงสูงใหญ่นี้มีอยู่สามพื้นที่หลักๆคือ Wall Maria กำแพงชั้นนอกสุดและเป็นที่อยู่ของคนชนชั้นล่างจนถึงปานกลางเป็นที่ๆครอบครัวของเอสเธอร์อยู่





    ชั้นถัดมาคือ Wall Rosé กำแพงชั้นกลางที่อยู่ของชนชั้นกลางและสุดท้ายคือ Wall Sina กำแพงชั้นในสุดมีขนาดซึ่งเล็กสุดแต่ก็เป็นส่วนที่ปลอดภัยสุด มันเป็นที่อยู่ของคนฐานะร่ำรวยมีภูมิฐาน อาหารการเป็นอยู่นั้นสะดวกสบาย เป็นชั้นกำแพงที่ๆใครหลายคนต่างอยากอยู่ทั้งนั้น


     

     


     

     

    เอสเธอร์และพ่อของเธอได้นั่งรถม้า ซึ่งรถม้าที่ว่าไม่ใช่ราชรถหรูอะไรมันก็แค่รถม้าที่เอาไว้ส่งของธรรมดาเฉยๆที่ตามรัฐจัดหามาให้ ตอนนี้มันได้มุ่งหน้าไปยังใจกลางของเมืองเพื่อไปที่ เต้นส์สำหรับดูแลคนป่วยชั่วคราว ซึ่งไว้สำหรับปฐมพยาบาลสำหรับหน่วยสำรวจที่บาดเจ็บเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด ส่วนคนบาดเจ็บสาหัสนั้นจะถูกส่งเข้าการรักษาฉุกเฉินทันทีเมื่อเข้าถึงกำแพงแล้ว

     


     

     


     

     

    เมื่อถึงจุดหมาย สองพ่อลูกก็ได้มุ่งตรงไปยังเต้นส์จุดนัดพบทันที สภาพที่เห็นครั้งแรก เรียกได้ว่าน่าเวทนา มีผู้คนมากมายมีแผลบาดเจ็บตามทั่วตัว บางคนนั่งลงกับพื้นพลางกอดเข่าร้องไห้ บางคนก็นอนบนเตียงที่เตรียมไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง สภาพของพวกเค้าทุกคนมีเลือดสีแดงกับฝุ่นดินเต็มตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจออะไรมาเยอะพอสมควร การสูญเสีย ความน่ากลัว ความสยดสยองและความโล่งใจที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แผลกายนะไม่เท่าไรแต่แผลใจเนี้ยสิน่าจะเอาเรื่องอยู่ 


     

     


     

     

    มีกลุ่มผู้คนมายืนมุ่งดู บ้างก็ซุบซิบนินทาว่าร้าย บ้างก็สงสารไม่ก็สวดภาวนา หน่วยทหารสำรวจนั้นไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในสังคมซักเท่าไร ใครที่เข้าร่วมกับหน่วยทหารนี้มักจะโดนเรียกว่า พวกอยากรีบไปตายบ้าง เป็นพวกทิ้งชีวิตบ้างแหละหรือไม่ก็พวกนอกคอกแต่ถ้ามองในมุมกลับ คนพวกนี่คือวีรบุรุษของมวลมนุษย์ชาติที่คอยเสียสละชีวิตเพื่ออิสระภาพของมวลมนุษย์


     

     


     

     "คุณหมอเยเกอร์ครับ" เสียงทหารหนุ่มหน่วยกองกำลังรักษาการณ์วิ่งมาหาพวกเค้าทั้งสองคน ทหารหนุ่มคนนั้นได้พูดคุยกับทรีชาเพื่อแจกแจงงานที่ต้องทำ มีเอกสารมากมายถูกส่งผ่านมาที่ชายหนุ่ม เด็กสาวไม่พูดอะไร เธอทำเพียงแค่ยืนฟังอยู่เฉยๆเหมือนทุกครั้งไป เมื่อพูดคุยเสร็จ ทหารหนุ่มก็ได้สังเกตร่างของเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกายคุณหมอยืนมองตาปริบๆ


     

     


     

     

    "เอ่อคุณหมอเยเกอร์ เด็กคนนั้นคือ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูแปลกใจ 


     

     


     

     

    "เด็กคนนี้งั้นหรอ ลูกสาวผมเอง" ทหารหนุ่มเมื่อได้ยินแบบั้นก็ถึงกับเหงื่อตกเพราะเด็กผู้หญิงกับการรักษาผู้ป่วยเลือดถ่วมแบบนี้มันออกจะนั้นอ่ะนะ 






    เหมือนทรีชาจะพออ่านสีหน้าออกเลยอธิบายเกี่ยวกับตัวของเด็กสาว "ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เธอเป็นผู้ช่วยมือเก่งของผมเอง ผมพาเธอไปดูงานของผมตลอด เธอมีประสบการณ์ช่วยเหลือคนอื่นมาเยอะมากว่าที่คุณคิดเสียอีก" เอสเธอร์โค้งตัวเล็กน้อยเป็นการทักทาย











    "แล้วจำนวนผู้ปฐมพยาบาลมีกี่คนละครับ" ทรีชาหันซ้ายขวาเพื่อดูเพื่อ ร่วมงานที่จะต้องร่วมด้วยแต่ทว่ากลับมีจำนวนยิบตาเท่านั้น


     

     


     

     

     

    "เรื่องนั้นถ้านับคุณหมอกับเด็กคนนั้นแล้ว 6คนครับ เพราะว่าคุณหมอท่านอื่นเขาติดธุระกับคนไข้ชั้นในอยู่"


     

     


     

     


    "อย่างงั้นหรอกหรอ เข้าใจละ ไว้ที่เหลือเป็นน่าที่ของพวกผมเอง ถ้าขาดเหลืออะไรจะบอกอีกที" ทหารหนุ่มคนนั้นพยักหน้ารับก่อนจะไปปฎิบัติหน้าที่ของตนต่อ


     

     


     

     

    ทรีชาได้บอกกับเอสเธอร์ให้คอยปฐมพยาบาลเบื้องต้นกับคนที่ดูไม่ค่อยได้รับการบาดเจ็บและแจกอาหารก็เป็นพอ ถ้าหากเห็นผู้ป่วยอาการที่ค่อนข้างหนักก็ให้มารายงานกับตัวเขา ส่วนคนที่อาการหนักตัวผู้เป็นพ่อจะเป็นคนจัดการเอง เอสเธอร์เมื่อได้รับคำสั่งก็รีบจัดการใส่ถุงมือกับผ้าปิดปากทำความสะอาดร่างกายก่อนตามปกติเวลารักษาผู้ป่วย


     

     


     

     

    การพยาบาลได้เริ่มดำเนินมาเรื่อยๆ เอสเธอร์ค่อยบริการเติมน้ำ ให้อาหารกับทำแผลที่ไม่ได้ดูหนักมาก บางคนก็โวยวายที่เห็นเด็กตัวเล็กมาปฐมพยาบาล แต่ก็ต้องหยุดเมื่อทหารบางคนบอกว่าเธอเป็นผู้ช่วยของคุณหมอเยเกอร์ ส่วนบางคนก็ไม่มีแรงมากพอที่จะไปเถียงสู้ทำได้แค่ส่งสายตาเคือง ไม่ก็บ่นด่าในใจ สบทออกมาลอยๆให้เธอได้ยิน แต่ถึงยังไงเธอก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาและคำปนด่าพวกนั้น และถึงบ่นยังไงก็ต้องปล่อยให้เด็กสาวดูแลอยู่ดี 

     


     

     


     

     

     

    การพยาบาลดำเนินไปได้สักพักจนเวลาลล่วงเลยไปถึงบ่าย จำนวนผู้บาดเจ็บเริ่มน้อยลงไปบ้าง เอสเธอร์ที่ถือกระเป๋ายาเดินสำรวจไปมาว่าเหลือใครอีกไหมที่ยังไม่ได้ทำการรักษาจนกระทั้งเธอได้มาเจอกับ ทหารหนุ่มคนนึง เขามีผมสีทองสวยกับดวงตาสีฟ้าครามสวย ใบหน้าของเค้าเป็นมีโครงรูปหน้าเรียวคมเหมือนกับชาวยุโรป เขานั่งอยู่ตรงลังไม้ลังนึง มือข้างซ้ายก็ถือถุงที่บรรจุน้ำเค้ายกขึ้นมาดื่มแต่ก็ต้องชะงักเพราะในนั้นไม่เหลือน้ำสักหยด ชายหนุ่มถอดหายใจแต่ก็ไม่ได้ลุกไปไหน เพราะเหนื่อยจากการทำศึกมามากพอแล้ว จึงตัดสินใจนั่งนิ่งๆจนกว่าจะเรียกรวมตัวอีกที


     

     


     

     

    แต่ทว่าจู่ๆ มีมือเล็กปริศนามือยื่นถุงใส่น้ำให้ เขาเงยหน้าขึ้นก็ได้พบกับเด็กสาวผมสีน้ำตาลกับดวงตาสีเขียวมรกตคู่สวย


     

     


     

     

    "นี่ค่ะน้ำ" เอสเธอร์ยื่นน้ำไปให้ชายตรงหน้า เขามองมันสักพักก่อนจะรับมันมา


     

     


     

     

    "ขอบใจมากนะ" เขารับน้ำจากเธอพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง พลางยกน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ เมื่อดื่มเสร็จก็จะยื่นคืนให้เธอ แต่ก็ต้องถูกปฎิเสธ


     

     


     

     

    "ไม่เป็นไรค่ะ คุณเก็บไว้ดื่มเถอะ"


     

     


     

     

    "ถ้าเธอว่ายังงั้นก็ขอรับไว้ก็แล้วกัน ขอบใจมาก" ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณ แต่ตัวเด็กหญิงก็ไม่ยอมเดินไปไหนเสียที เขาหันซ้ายขวาหวังจะหาผู้ปกครองของเธอให้แต่ก็ไม่มีวี่แวว "แล้วเด็กอย่างเธอมาทำอะไรที่นี้ละฉันว่ามันไม่เหมาะที่เด็กสาวอย่างเธอจะต้องมาเห็นอะไรแบบนี้เลยนะ"


     

     


     

     

    "หนูเป็นผู้ช่วยของคุณหมอ คอยช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น" เธอพูดอธิบาย นั้นทำให้ทหารหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย"และคุณเองก็บาดเจ็บอยู่" ชายหนุ่มที่ได้ฟังแบบนั้นก็ถึงกับยิ้มเล็กน้อย


     

     


     

     

    "ฉันไม่เป็นไรหรอก ร่างกายฉันไม่ค่อยมีแผลตามตัวเลยเห็นไหม ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ" เอสเธอร์ส่ายหน้าพลางชี้ไปที่ไหล่ขวาของทหารหนุ่มที่ถูกคลุมด้วยผ้าคลุมสีเขียว


     

     


     

     

    "คุณเจ็บแขนขวาอยู่" เธอพูดต่อโดยไม่ให้อีกฝ่ายพูด "คุณรับน้ำจากหนูด้วยมือซ้ายทั้งที่คุณถนัดขวาและคุณเองก็ค่อยจับไหล่ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา หนูเห็นตั้งแต่เดินผ่านคุณไปมาหลายครั้งแล้ว"


     

     


     

     

    การอธิบายของเธอทำให้ตัวเขาพูดไม่ออก จริงอยู่ที่เขาเจ็บแขนขวาแต่เค้าก็ไม่ได้แสดงอาการสีหน้าที่เจ็บจนผิดสังเกตหรืออะไรให้ใครเห็นจนต้องทัก ขนาดหมอคนอื่นที่เดินผ่านเขาไปมายังไม่ถามเลยสักคำ แต่เธอที่เป็นเด็กตัวเล็กกับคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย


     

     


     

     

     

    "เอาละๆ ฉันยอมแพ้แล้วคุณหมอตัวน้อย" ชายหนุ่มยกมือขึ้นทั้งสองยอมแพ้พร้อมกับถอดผ้าคลุมสีเขียวออก เด็กสาวเดินเข้ามาใกล้ ก็ได้เห็นกลุ่มเลือดที่ซึมออกมาจากเสื้อคลุมสีน้ำตาล ไม่รอช้าเธอเปิดกระเป๋ายาคู่ใจพลางหยิบขวดยาออกมากับผ้าพันแผล ภาพตรงหน้าของชายหนุ่มทำให้ทึ้งเล็กน้อย เด็กตัวแค่นี้กลับหยิบจับยาได้คล่องแคล่วชำนาญราวกับเป็นหมอมืออาชีพ

     

     


     

     

    "คุณช่วยถอดเสื้อคลุมแล้วก็ถกแขนเสื้อขึ้นได้ไหม" ถ้าเป็นคนอื่นที่ได้ฟังคำสั่งจากเด็กอย่างเธอแล้วละก็คงจะตะโกนด่าไล่เป็นที่เรียบร้อยแต่เขากลับไม่เป็นแบบนั้น กลับกันเค้าทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เพราะตัวเขาเองก็อยากจะรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าจะทำยังไงต่อ


     

     


     

     

     

    "คุณแพ้ยาอะไรรึเปล่า" ทหารหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ

     


     

     


     

     


    เอสเธอร์มองแผลที่โดนกรีดยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกมันไม่ได้เป็นแผลที่ลึกมากซึ่งไม่ได้เกินความสามารถเธอที่จะรักษาและเลือดเองก็เริ่มแข็งตัวตามเวลาจนกลายเป็นก้อนสีแดงออกน้ำตาลตามรอยแผล เธอหยิบกระติกน้ำและเทไปที่แขนเพื่อล้างแผล ต่อมาก็ได้ใช้ที่หนีบคีบสำลีขึ้นมาพลางเทของเหลวสีใส





    ดมจากกลิ่นดูแล้วคงเป็นแอลกอฮอล์ เธอใช้สำลีทาไปที่แผลอย่างเบามือ เปลี่ยนสำลีเพื่อล้างแผลไปเรื่อยๆ ทำอยู่อย่างนั้นจนแผลเริ่มสะอาด


     

     


     

     


    เด็กสาวทำแผลอย่างเบามือและปราณีตผิดจากหมอที่ชำนาญหลายคนที่ทำอย่างลวกๆ เหมือนที่เขาเคยเจอมา สายตาของชายหนุ่มไม่ละจากตัวเด็กสาวแม้แต่น้อย เด็กสาวละจากแขนชายหนุ่มก่อนจะหันไปหยิบของในกระเป๋า เธอได้นำผ้าพันแผลขึ้นมาพันแขนของเค้าอย่างชำนาญมือ


     

     


     

     

    "ฝีมือเธอดีนะ เป็นคนแรกเลยมั้งที่มีคนมือเบาจนฉันแทบจะไม่รู้สึกเจ็บเลย" ชายหนุ่มผมทองกล่าวชมเชย


     

     


     

     

     

    "คุณเองก็เป็นคนแรกเลยที่ยอมให้หนูทำแผลโดยไม่บ่นอะไรสักคำ นึกว่าคุณจะด่าตะเพิดไล่หนูไปซะอีก" คำตอบเธอทำให้ชายหนุ่มหัวเราะ 

     

     


     

     

    "อย่างงั้นหรอกหรอ เธอคงเจอมาบ่อยสิท่า" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เอ็นดู 


     

     


     

     

    "ก็ประมาณนั้น มีครั้งนึงหนูเคยเจอผู้ชายคนนึงเขาทำผมลองทรง เป็นคนตัวเล็กอายุน่าจะเด็กกว่าคุณไม่กี่ปีมั้ง รายนั้นน่ะหนักสุดเท่าที่หนูเจอมา พอมาเจอแบบนี้ถือว่าเรื่องเล็ก"


     

     


     

     

    "คงลำบากแย่เลยสินะ"


     

     


     

     

    "ไม่หรอกค่ะเจอจนชินแล้ว หนูเข้าใจนะ พวกคุณหรือใครก็ตามที่ผ่านเรื่องอะไรมาเยอะต้องการที่จะรักษาจากหมอมืออาชีพ แต่พอต้องมาเจอเด็กตัวเล็กๆมาบอกว่าจะรักษาให้ ถ้าหนูเจอแบบนั้นบ้างก็คงมีโกรธกันบ้างแหละ" เมื่อเธอพูดจบก็เป็นจังหวะเดียวที่เธอพันแผลเสร็จ "เสร็จแล้วค่ะ แน่นไปรึเปล่า"


     

     


     

     

    เขาจับที่แขนของตัวเองขยับไปมา ความเจ็บความชาได้บรรเทาลง "ไม่เลยกำลังดีเลยละ ขอบใจมากนะช่วยได้มากเลย" ชายหนุ่มผมสีทองก็ได้เริ่มถามคำถามที่สงสัย "ว่าแต่ว่า เธอรู้ได้ไงว่าฉันถนัดขวา" เอสเธอร์เอามือลูบที่คอก่อนจะเริ่มพูด


     

     


     

     

    "ตอนที่คุณจูงม้าไปพูกก่อนที่จะเดินมานั่ง คุณใช่มือขวาจูง หนูเลยคิดว่าคุณน่าจะถนัดขวา" เธอชี้ไปที่ม้าที่โดนพูกไว้ไม่ไกล


     

     


     

     

    "เธอเป็นเด็กที่ช่างสังเกตดีนี้ ฉันชอบนะ เธอชื่ออะไรละ"


     

     


     

     

    "เอสเธอร์ เยเกอร์" เด็กสาวตอบ


     

     


     

     

    "เป็นชื่อที่เพราะดีนี้ ฉันชื่อ เอล-" เสียงตะโกนของคนบางคนดังขึ้น เรียกความสนใจพวกเค้าทั้งคู่


     

     


     

     

    "พวกหน่วยกองกำลังสำรวจได้เวลาไปกันแล้ว คนที่เดินไม่ไหวขึ้นรถม้าไปส่วนคนที่ยังพอเดินไหวก็เดินตามมา"


     

     


     

     

    ยังไม่ทันที่จะได้รู้จักชื่ออีกฝ่าย เสียงประกาศจากทหารกองกำลังรักษาการณ์ได้พูดเรียกกองกำลังสำรวจทุกคน ตอนนี้เหล่าทหารหน่วยสำรวจได้ลุกขึ้นไปตามคำสั่ง


     

     


     

     

    "ถึงเวลาต้องไปแล้วสินะ น่าเสียดายจัง" ชายหนุ่มพูดสีหน้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาหันมาหาเด็กสาวย่อตัวลงจนเท่าส่วนสูงเธอ พลางลูบหัวของเธออย่างเอ็นดู 

     


     

     


     

     


    "หวังว่าเราจะได้เจอกันเร็วๆนี้นะ ว่าที่คุณหมอเอสเธอร์ เยเกอร์" เด็กสาวไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ เธอมองแผ่นหลังใหญ่ค่อยๆเดินกลมกลืนหายไปกับทหารคนอื่นๆ จนลับสายตา

     

     

     





    เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนเย็น ทรีชาและลูกสาวของเขาได้นั่งรถม้าเดินทางกลับจากงานที่ทำในวันนี้ เงินที่ได้รับมาก็ไม่ได้เยอะมากมายนักเพราะเป็นการว่าจ้างจากรัฐบาล ผู้คนต่างทยอยกลับบ้านตามราตามช่องหน่วยทหารออกมาเดินตรวจตราความเรียบร้อย มีคนไร้บ้านนั้งอาศัยอยู่ตามทางเพราะไม่มีที่อยู่หรือเงินที่เพียงพอ ดีไม่ดีหนึ่งในนั้นอาจจะมีคนนอนตายอยู่ก็ได้


     

     


     

     

    "เอสเธอร์" พ่อของเธอเรียก 


     

     


     

     

    "คะพ่อ?" เธอละสายตาจากวิวทิวทัศษ์อาทิตย์อัสดงกำลังจะลับขอบกำแพง หันมาหาพ่อของเธอ 

     


     

     


     

     

    "ลูกรู้ไหมว่าทำไมหมอหรือหน่วยปฐมพยาบาลถึงมีจำนวนน้อย ทั้งที่มีคนเจ็บเยอะขนาดนี้" เธอนิ่งไปสักพักพลางกอดอก นึกดูกับสถาณการณ์ที่เธอเห็นในวันนี้มีหมอกับหน่วยปฐมพยาบาลน้อยจริงอย่างที่พ่อของเธอพูด

     


     

     


     

     

     

    "เพราะพวกเขาเป็นทีมหน่วยสำรวจละมั้งค่ะ พวกเขาค่อนข้างไม่ค่อยเป็นที่นิยมของใครหลายๆคน" เด็กสาวพูดตามสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์


     

     


     

     


    "ที่ลูกพูดมามันก็ไม่ผิดนะแต่มันมีอะไรมากกว่านั้น ลูกรู้ไหมว่าอะไร" เด็กสาวส่ายหน้าปฎิเสธ เธอนิ่งเงียบรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ  รอยยิ้มของทรีชาหายไปน้ำเสียงที่ดูใจดีเปลี่ยนเป็นโทนเสียงที่ดูจริงจัง เขาตบพื้นไม้เรียกเด็กสาวให้มานั่งใกล้ๆพร้อมกับพูดเสียงกระซิบเพื่อไม่ให้คนขับรถม้าได้ยิน


     

     


     

     

    "ผลประโยชน์ยังไงละ มนุษย์ทุกคนต้องการผลประโยชน์ ที่หมอหลายๆคนปฎิเสธงานนี้ไปเพราะว่าเงินค่าจ้างที่น้อยนิดไม่คุ้มค่ากับค่ายาที่เสียไป และทางรัฐบาลก็ให้แค่ค่าจ้างที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และสภาพบางคนเองก็เป็นตายเท่ากัน สู้ปล่อยให้ตายไปอาจจะดีกว่า" ดวงตาของเด็กสาวเบิกโพลงจากข้อมูลที่ได้ยิน

     


     

     


     

     

    "แต่พวกเขาเป็นหมอ พวกเค้าเป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรา ทำแบบนั้นมันไม่ต่างจากการฆ่าทางอ้อม พ่อบอกว่าหมอทุกคนต้องรักษาทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม" 


     

     


     

     

    "พ่อรู้แต่ในบางครั้งความชอบใจมักมีอำนาจมากกว่าความชอบธรรม การเสียสละคนกลุ่มนี้ไปอาจจะช่วยลดเรื่องอาหารที่ขาดแคลนลงไปก็ได้ ใครจะไปรู้" เด็กสาวเงียบลงใบหน้าของเธอเศร้าหมอง เธอรู้ดีว่าโลกใบนี้มันโหดร้ายมากเพียงใด ผู้ที่แข็งแกร่งและมีอำนาจคือผู้ที่ออกกฎนั้นคือสิ่งที่ทุกคนรู้กันดี แต่การมาได้ยินแบบนี่ ฟังยังไงก็ดูไร้มนุษย์ธรรมเกินไปจริงๆ โลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก้ท่านั้น


     

     


     

     


    "ลูกยังจำจรรยาบรรณหมอที่ลูกชอบได้ไหม" ผู้เป็นพ่อถาม เด็กสาวพยักหน้ารับให้ก่อนจะกล่าวออกมา

     


     

     


     

     


    "มีเมตตาจิตแก่คนไข้ ไม่เลือกชั้นวรรณะ" ประโยคนี้เธอได้ยินมาจากพ่อของเธอมาตั้งแต่จำความได้และเป็นประโยคที่เธอชอบมากที่สุดจากจรรยาบรรณทั้งหมด การรักษาและการดูแลคนไข้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆนั้นคือสิ่งที่พ่อของเธอทำและคอยพร่ำบอกเธอมาเสมอ


     

     


     

     


    "ใช่แล้วละ พ่ออยากให้ลูกจำคำพวกนี้ไว้ ไม่ว่าคนๆนั้นจะดีชั่วเลว รวยจนมาจากไหน เราในฐานะมนุษย์ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" มือใหญ่ลูบไปที่กลุ่มเส้นผมสีน้ำตาลสวยอย่างเบามือ พร้อมกับก้มตัวลงต่ำในระดับเดียวกับใบหน้าของเด็กสาว


     

     


     

     

    "จงช่วยเหลือผู้อ่อนแอ จงพลักดันผู้แข็งแกร่ง และปกป้องคนที่ลูกรักมากที่สุด เมื่อถึงเวลนานั้นลูกจะเป็นคนที่ค้นพบคำตอบของทุกๆอย่าง" ประโยคที่ดูเหมือนเกมปริศนาได้กล่าวออกมา เธอพยักหน้ารับกับคำที่พ่อของเธอพูดมาแต่ทว่า ในประโยคสุดท้ายที่ว่านั้นเธอไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายที่พ่อของเธอจะสื่อสักเท่าไรนักมันหมายความว่ายังไงกัน คำตอบของทุกๆอย่าง

     

     

     

     

     

      

    แต่ทว่าในตอนนั้นเธอยังเด็กนักอาจจะไม่ได้เข้าใจมันเลย แต่เมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนตัวเธอและคนที่เธอรักไปตลอดกาล เธอก็ได้เข้าใจความหมายที่พ่อของเธอต้องการจะสื่อออกมาแล้ว คำตอบของทุกๆอย่างที่เธอคนเดียวเท่านั้นที่สามารถตอบได้

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×