คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The 4th Healing
ร่างของคนสี่คนกำลังวิ่งไปบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยทะเลเลือด เด็กคนนึงถูกผู้ใหญ่อุ้มไว้ที่บ่ากับอีกคนถูกหิ้วไว้ที่เอว ส่วนอีกคนเองก็ถูกจูงมือวิ่งตามมาไม่ขาดสาย พวกเค้าทั้งสี่ในตอนนี้มีสีหน้าที่หม่นหมองใช้คำนี้ก็คงจะยังน้อยไป อันที่จริงไม่ว่าจะคำพูดไหนก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของพวกเค้าในตอนนี้ได้เลย
'หายไปแล้ว ไม่เหลือแล้ว บ้านที่แสนอบอุ่น คุณแม่ที่คอยยิ้มต้อนรับเวลาพวกเรากลับบ้าน คุณแม่ที่คอยอยู่ข้างๆพวกเรา ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว' เสียงในหัวของเอสเธอร์กำลังพร่ำเพ้ออยู่ในใจ ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์รู้สึกใดๆ เอเรนใช้กำปั้นหมัดเล็กกระแทกไปที่หลังของผู้ใหญ่ที่อุ้มอยู่
"อ่ะ อ่ะ โอ้ย เอเรนทำอะไร" ชายที่ถูกทุบก็ต้องหยุดวิ่ง เอสเธอร์เองที่กำลังเหม่ออยู่ก็ต้องได้สติกลับคืนมาอีกครั้งจากเสียงของน้องชาย
"อีกนิดเดียวก็จะช่วยคุณแม่ได้แล้ว อีกนิดเดียว" เอเรนร้องตะโกน เสียงของเค้าสั่นเครือ ความโกรธแค้น เศร้าเสียใจมันอยู่เต็มจนล้นอก เค้าสะบัดตัวทุบตีคุณฮันเนสที่เค้ากำลังแบกเด็กชายไว้ข้างเอว "อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องได้ไหม" เอเรนใช้ข้อศอกแทงไปที่สี่ข้างของเจ้าตัวเต็มแรง ซึ่งนั้นทำให้ความอดทนของชายวัยกลางคนต้องหมดลง เค้าปล่อยมือจากมิคาสะ ก่อนจะขว้างเด็กชายลงกับพื้นอย่างแรง
"เลิกงี่เง่าซะทีเหอะ" ฮันเนสตะโกนเรียกสติเด็กชาย
"เอเรน!" เอสเธอร์ที่เห็นร่างของน้องชายตัวเองกระเด็นไปอยู่กับพื้น ก็กระโดดออกจากร่างของคุณฮันเนสเพื่อมาดูน้องชายของเธอ มิคาสะเองก็วิ่งไปดูอาการของเด็กชายเช่นกัน พวกเธอสองคนก้มตัวลงเพื่อดูอีกฝ่ายที่นอนจมอยู่กับพื้น คุณฮันเนสเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะก้มคุกเข่าลงกับพื้นในระดับเดียวกับพวกเด็กๆ
"เอเรน ที่นายไม่สามารถช่วยแม่ของนายไว้ได้ก็เพราะนายไม่แข็งแกร่งยังไงล่ะ" คำพูดของเค้านั้นเป็นการจี้จุดของพวกเด็กๆ เอเรนลุกขึ้นพยายามที่จะหันไปต่อยปากกับชายวัยกลางคนแต่แทนที่จะเป็นเค้า กับกลายเป็นเอสเธอร์แทนที่ง้างมัดพุ่งไปต่อยแทน แต่ด้วยแรงและความไวที่ผู้ใหญ่นั้นมีมากกว่าคุณฮันเนสจึงสามารถหยุดมัดของเธอได้ง่ายๆ
"คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าเค้าหรือพวกเราว่าอ่อนแอ่ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพูดแบบนี้" เสียงของเด็กสาวแห่บพร่าแต่แฝงไปด้วยความโทสะ "ไหนคุณบอกว่าจะฆ่าเจ้าพวกปีศาจนั้น จะปกป้องประชาชน บอกว่าจะปกป้องคุณแม่แต่ทำไม"เสียงของเธอสั่นเครือ ก่อนจะเค้นเสียงพูดประโยคสุดท้ายออกมา "ทำไมถึงวิ่งหนีกลับมาอย่างคนขี้ขลาดแบบนั้นกัน ทำไม" ฮันเนสลดหน้าต่ำลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองดวงตาสีเขียวสดที่เต็มไปด้วยน้ำตา
"จริงอยู่ที่ฉันเคยพูดไว้อย่างนั้น แต่ตัวฉันน่ะ ไม่สามารถเผชิญหน้ากับไททันได้" เค้าบีบมือเด็กสาวแน่นจนเป็นรอยแดง ก่อนจะตะเบงเสียงครั้งสุดท้าย "เพราะความกล้าในตัวฉันมันหายไปหมดแล้ว" น้ำตาของชายวัยกลางคนหลั่งใหลออกมาแบบไม่อายใคร เค้าไม่โกรธที่เธอพูดออกมาเพราะนั้นคือความจริงที่เค้าเป็น ชั่งอ่อนแอและขี้ขลาดดั่งที่เด็กสาวพูดไว้ไม่มีผิด
เอสเธอร์ได้ยินคำของผู้ใหญ่ตรงหน้าก็ได้ลดมือลง คุณฮันเนสได้เดินไปหาเอเรนก่อนจับมือพาพวกเด็กๆเดินตามกันมาเพื่อไปยังจุดอพยพ
"ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ" ถึงเสียงของชายตรงหน้าจะเบาเพียงใดแต่นั้นก็ทำให้พวกเด็กๆได้ยินได้ มิคาสะที่เดินจูงมือตามเอเรนมา ก็เอามือกุมไว้ที่หัว ภาพในอดีตของเธอแล่นขึ้นมาอีกครั้งภาพในอดีตที่เต็มไปด้วยสีแดงเหมือนกับตอนนี้ 'แบบนี้นอีกแล้วหรอ'
ท่าเรือที่ขนส่งผู้คนชั้นนอกไปสู่ชั้นในเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัดต่างพลักเบียดเสียดกันไปมาเพื่อที่จะแย่งชิงการขึ้นเรือ
"ทุกคนทิ่งสัมภาระไว้ก่อน เราจะได้รับคนลงเรือเพิ่ม" ทหารหนุ่มตะโกนบอกประชาชนเพื่อพยายามให้บรรจุคนบนเรือได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้คนต่างทิ้งสัมภาระลงกับพื้นไม่ก็คลองแม่น้ำตามคำสั่ง ร่างของเด็กชายผมสั้นสีบลอนด์ทองลุกขึ้นจากเรือ พยายามสอดส่องมองหาใครบางคน
"อาร์มินนั่งลงก่อนเถอะนะ" เสียงของชายชราในหมวกสานพูดเตือนหลานชายเพียงคนเดียวของเค้า
"แต่ว่า เอสเธอร์ เอเรนกับมิคาสะเค้ายัง-" เค้าหันไปตรงทางขึ้นเรือที่หัวแถวก็ได้สังเกตคนสามคนที่คุ้นเคย "มาแล้ว" แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตะโกนเรียกก็ยังต้องหยุดชะงัก กับสีหน้าที่ปรากฎบนใบหน้าของพวกเค้า
"ตอนนี้อย่าเพิ่งไปคุยกับพวกเค้าเลย น่าสงสารจริงๆเห็นจากสารรูปก็รู้แล้ว" ชายชราแค่เห็นสีหน้าของพวกเด็กๆเพียงแว็บเดียวก็รู้ในทันทีว่าพวกเค้าต้องประสบพบกับโศกฎนาฐกรรมอันโหดร้ายเพียงใด
เรืออพยพผู้คนได้ออกตัวกลุ่มคนไปบางส่วนแต่ทว่าก็ยังเหลือส่วนมากไว้อยู่เหมือนกัน ผู้คนที่ไม่ได้ขึ้นเรือต่างกระโดดเกอะขอบเรือเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดแต่ก็ไม่สำเร็จ จากนั้นไม่นานเสียงระเบิดดังไปทั่วกำแพง ควันและหมอกต่างฟุ่งกระจายไปทั่ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ทิ้งไว้เพียงความทรมารและความอัปยศของผู้คนไว้เป็นอนุสรณ์ที่พังทลายให้กับมนุษย์ชาติ ว่ามีสิ่งที่รอคอยพวกเค้าอยู่ นั้นก็คือความตาย
ในปีนั้นรัฐบาลกลางได้ตัดสินใจถอยร้นมนุษย์ที่เหลือรอดให้เข้ามาในอาศัยกำแพงโรเซ่ ในตอนนั้นพวกไททันได้กินผู้คนไปกว่า10,000คน
เสียงผู้คนดังแซงแซ่สายตาสีเขียวคู่สวยเหม่อมองผู้คนที่กำลังเดอนไปมา สภาพในตอนนี้เรียกได้ว่าไม่ต่างจากศพเลยก็ว่าได้ ดวงตาที่บวมแดงกับริมฝีปากที่แห้งสนิทหลังจากยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน
ถ้ากลับบ้านไปตอนนี่คงมีสตูเนื้อกำลังรออยู่ที่บ้านแน่ๆ รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นรอต้อนรับกลับบ้าน เพลงกล่อมนอนเมื่อเธอฝันร้าย คุณแม่กำลังรอ....
"เอสเธอร์ เอสเธอร์"
"เอสเธอร์" เสียงของเด็กหนุ่มร้องตะโกนชื่อเด็กสาว
"อ่ะ อืม ว่าไงนะ" คนที่ถูกเรียกได้ถูกดึงจากภวัง เงยหน้ามองเด็กหนุ่มผมสีทองสั้นกับเด็กสาวผ้มสีทมิฬกับผ้าพันคอสีแดง พวกเค้ามองเธออย่างห่วงๆ ดวงตาของเอสเธอร์แดงก่ำเป็นเพราะจากการร้องไห้เป็นเวลานาน
"คือผมเรียกเธอหลายรอบแล้ว เป็นอะไรไหม เธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า" อาร์มินสังเกตเห็นว่าที่ใบหน้าของเธอมีน้ำตาไหลออกมาเล็กน้อย
"โทษทีพอดีเพลียนิดหน่อย ว่าแต่ว่าอาร์มิน เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ" เมื่อถูกถามแบบนั้นเธอเลยเอาแขนเสื้อปาดที่หย้าแบบลวกๆก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติ
"คือเดี๋ยวจะมีคนมาแจกอาหารให้กับผู้อพยพ แต่เอเรนเค้ายังไม่ตื่นขึ้นมาก็เลย"
"เดี๋ยวฉันไปตามให้" มิคาสะอาสาที่จะเป็นคนไปตาม
"มิคาสะ ไม่เป็นไร" แต่เอสเธอร์ลุกขึ้นกำลังจะเดินไปแทนแต่ทว่ามือเล็กของเด็กสาวกลับขว้าไว้ก่อน
"ให้ฉันไปตามให้เถอะ เอสเธอร์น่ะ นั่งพักตรงนี้แหละ" เอสเธอร์ที่จะลุกจากที่นั่งก็ถูกมือของผู้เป็นน้องสาวจำไว้ที่บ่าเป็นเชิงว่าให้นั่งลง
"อ่ะ อืม ขอบใจมากนะ ช่วยได้มากเลย" แต่ดูเหมือนเธอเองก็ต้องยอมและนั่งอยู่
"เดี๋ยวเอสเธอร์นั่งพักตรงนี้นะ เดี๋ยวผมจะไปเอาอาหารกับคุณปู่เอง" ส่วนอาร์มินเองก็จะอาสาไปรับอาหารมาให้พวกเค้าแทน
"ขอบใจนะแล้วก็ขอโทษด้วย" เอสเธอร์ยิ้มขอบคุณ ตอนนี่แค่แรงยิ้มก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว
"ขอโทษอะไรกันละ งั้นเดี๋ยวผมมานะ" อาร์มินเองก็ขอตัวไปเอาอาหารสำหรับพวกเค้าเองกับคุณปู่ของตนผู้คนเบียดเสียดหนาแน่นต่อแถวกันเพื่อรับอาหาร สภาพของแต่ละคนดูหมดอาลัยตายอยาก ไม่ก็แหกปากร้องเสียสติ เมื่อนั่งไปสักพัก เด็กสาวก็ได้เห็นน้องๆทั้งสองกำลังเดินมาทางเธอ
"ไง เอเรน" เอสเธอร์กล่าวทักทายผู้เป็นน้องพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ แต่เจ้าตัวกลับไม่ตอบรับอะไรใดๆทั้งสิ้น ในจังหวะนั้นเองอาร์มินก็วิ่งมาพร้อมกับเบียงในมือ
"มิคาสะ เอเรน เอสเธอร ดูสิได้มาแล้ว คุณปู่ของผมแบ่งมาให้สำหรับเด็กๆ" ในมือของอาร์มินเต็มไปด้วยขนมปังสี่ก้อนที่ใหญ่กว่าเพียงฝ่ามือเด็กแค่นิดเดียว
"ขอบคุณนะ" มิคาสะรับขนมปังจากเด็กหนุ่ม
"ขอบใจมากเลย" เอสเธอร์เองก็รับมาเช่นกัน
"เชอะ" แต่ทว่าก็มีทหารนายหนึ่งเดินผ่านพวกเค้าสายตามองมาอย่างเหยียดหยาม ราวกับเป็นขยะและดู เหมือนเอเรนจะไม่ค่อยพอใจนักสักเท่าไร
"อะไรของเค้าน่ะ" เอเรนถามอย่างหัวเสีย
"ก็คงเป็นเพราะอาหารมีไม่พอสำหรับแจกผู้คน แล้วนี้ก็เป็นส่วนสำหรับวันนี้" อาร์มินพูดอธิบาย ณ เด็กๆและผู้คนต้องประทังชีวิตด้วยขนทปังหนึ่งก้อนเท่านั้น
"อย่าไปสนใจเลย มากินกันดีกว่า" เอสเธอร์พูดเรียกเอเรนไม่ให้ไปใส่ใจคนพวกนั้นแต่ทว่าความโกรธก็ต้องปะทุขึ้นมากับคำพูดของนายทหารคนนั้น
"ทำไมเราต้องแบ่งอาหารให้พวกมันด้วย" เอสเธอร์กับคนอื่นๆทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดสิ้นคิดพวกนั้นแต่ทว่าคำพูดต่อจากนี้ต่างหากที่ไม่สามารถทำให้พวกเค้าต้องทนไว้ได้ "ทำไมเจ้าพวกไททันถึงไม่กินคนให้มันเยอะกว่านี้" ภาพชวนน่าสยองนั้นก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ทั้งกลิ่นเลือด เศษเนื้อพวกนั้นเหมือนมันยังติดตามเธออยู่เหมือนกับเธอยังอยู่ในฝันร้ายนั้นอีกครั้ง เด็หนุ่มผมน้ำตาลวางขนมปังลงก่อนจะเดินไปหาผู้ใหญ่ปากปีจอกลุ่มนั้น
"เอเรน" เอสเธอร์เรียกน้องชายของตนแต่ไม่เป็นผล ร่างของเด็กหนุ่มเดินมุ่งหน้าไปยังทหารพวกนั้น และได้เตะเข้าที่ขาเข้าไปเต็มแรง แต่แรงนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผู้ใหญ่ตรงหน้าล้มลงไปฝาดกับพื้น ฝ่ามือใหญ่ได้ฝาดลงเข้าที่หน้าของเอเรนเต็มแรงจนต้องล้มลงกับพื้น
"แกไม่รู้หรอกว่าพล่ามอะไร แกไม่เห็นนี้ว่าพวกไททันมันกินคนยังไง" เอเรนที่ล้มลงกับพื้นพูดตะโกนด่าถอใส่ ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่ตรงหน้าจะเข้ามาทำร้ายเอเรนอีกครั้ง ร่างของเด็กสาวได้ออกมายืนบังน้องชายของตนไว้
"ต้องขอโทษด้วยนะคะ" เอสเธอร์ยืนกางแขนปกป้องผู้เป็นน้องไว้ ชายทั้งสองจึงได้หยุดการกระทำมองมาที่เธออย่างหัวเสีย แต่ทว่าเจ้าน้องตัวแสบแทนที่จะพูดขอบคุณผู้เป็นพี่แต่กลับด่าเธอแทนซะอย่างงั้น
"แล้วเธอจะไปขอโทษพวกนั้นทำไมกัน ยัยพี่บ้า" เอเรนที่เห็นพี่สาวของตัวเองไปก้มหัวขอโทษพวกปากปีจอก็ยิ่งมีน้ำโหมากกว่าเหมือนกี้อีกด้วยซ้ำ
"เงียบน่าเอเรน" แต่เอสเธอร์ก็ได้ตะโกนดุน้องชายของตนไปจนอีกฝ่ายต้องเงียบไป เธอหันไปมองผู้ใหญ่ตรงหน้าก่อนจะปรับเปลี่ยน้ำเสียงให้ดูอ่อนลง
"ต้องขอโทษจริงๆค่ะ ที่น้องชายของหนูเป็นแบบนี้เพราะเค้าหิวน่ะค่ะ ก็เลยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง" คำพูดตอนท้ายนั้นทำให้เอเรนดวงตาเบิกกว้างไม่เชื่อหูว่าพี่สาวของเค้าจะพูดออกมาแบบนั้นแต่เอสเธอร์ก็ได้พูดต่อ "พวกคุณเองก็เหนื่อยที่ต้องมาช่วยพวกเราด้วย ต้องขอบคุณความเมตตาของคุณจริงๆนะคะ งั้นเราไม่กวนแล้วค่ะ" เธอก้มหัวขอตัวก่อนจะพาน้องๆเดินไปหลบมุมจากสายตาผู้คน
หลังจากความชุลมุนเมื่อกี้ตอนนี้เด็กๆทั้งสี่ได้มาหลบอยู่ใต้ตัวตึกผู้อพยพ
"ฉันจะออกไปนอกกำแพง ไปฆ่าพวกมันให้หมด" เอเรนพูดเสียงเข้มกำเสื้อไว้ที่อกแน่น
"เอเรน นายพูดเล่นใช่ไหม" อาร์มินยิ้มตอบหวังว่าเพื่อนของตนนั้นแค่ล้อเล่นเท่านั้นแต่ว่ามันไม่ใช่
"ไม่ได้พูดเล่น ฉันไม่ใช่พวกที่เก่งแต่ในกำแพงหรอก"
"เอเรนนั่งลง ใจเย็นๆก่อน" เอสเธอร์พยายามพูดกล่อมน้องชายจับไหล่ให้เค้าสงบลง แต่ผลที่ได้คือการสะบัดปัดมินั้นออกแย่างแรง
"เงียบน่า เอสเธอร์ เธอนนั้นแหละทำบ้าอะไร ไปก้มหัวขอโทษเจ้าพวกนั้นทำไม ไม่ได้ยินที่พวกมันพูดรึไงกัน" เค้ามองไปที่ก้อนขนมปังในมือก่อนที่จะขว้างมันใส่เพื่อนชายผมสั้นแทน "ฉันไม่เอาเจ้านี้หรอก"
"นายทำอะไรของนายน่ะ" อาร์มินตอนนี้มีสีหน้าที่ตกใจและเป็นห่วงในเวลาเดียวกัน
"นายไม่ละอายใจบ้างรึไงบ้างหรือไงกัน"
"นี้เป็นสิ่งที่เราทำได้อยู่ตอนนี้นะ" อาร์มินตะโกนบอกข้อเท็จจริงกับเพื่อนของตนแต่ทว่าคนโกรธจะไปฟังอะไรละ
"นั้นมันก็แค่ข้อแก้ตัว งั้นนายก็ใช่ชีวิตอยู่ในฟารม์เน่านี้ไปเหอะ เจ้าคนขี้ขลาด" เมื่อสิ้นประโยค ฝ่ามือเล็กตบเข้าไปที่ใบหน้าเอเรนอย่างจัง ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงไปนอนกับพื้นตามแรง
"เลิกบ้าซะทีเอเรน มองความเป็นจริงซะบ้างเถอะ" เสียงใสตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ใบหน้าของเธอแดงก่ำจากความโกรธ
"เอสเธอร์" อาร์มินพูดพลางหันไปมองร่างเพื่อนของตนที่นอนลงไปกับพื้น มิคาสะเองก็ตกใจกับภาพตรงหน้าเพราะเธอแถบจะไม่เคยเห็นเอสเธอร์เป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
"ถ้า อาร์มินอ่อนแอละก็นายก็ไม่ต่างกันหรอกรวมถึงฉันกับมิคาสะเองก็ด้วย อาหารที่เราได้รับมาวันนี้เรายังต้องพึ่งจากคนอื่นเลยด้วยซ้ำ ฉันขอถามนายหน่อยเหอะว่านายจะมีชีวิตรอดยังไงไม่ให้เจ้าพวกไททันไม่จับนายไปกินก่อนที่นายจะฆ่ามัน" เอเรนมองหน้าพี่สาวของตนจากเบื้องล่าง ถึงพวกเค้าทั้งสองจะมีทะเลาะกันตามประสาพี่น้อง แต่ทว่าตั้งแต่เกิดมาอยุ่ด้วยกันนี้คงจะเป็นครั้งแรกที่เธอลงไม้ลงมือกับน้องชายของตัวเอง
"แล้วที่ฉันต้องก้มหัวให้คนพวกนั้นก็เพื่อตัวนายเอง ตอนนี้เราไม่มีอาหาร เสื้อผ้าหรือแม้กระทั้งที่อยู่ที่จะให้ซุกหัวนอนเลยด้วยซ้ำ ถ้ายังต้องมาคอยระวังพวกทหารนี้คิดหรอว่านายจะอยู่ไปจนถึงวันที่ฆ่าไททันได้" เอสเธอร์อธิบายเหตุผลที่เธอกระทำลงไป "ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป อย่างที่แม่ของของเราเคยบอกไว้" เธอเดินไปขว้าก้อนขนมปังที่เอเรนปาใส่อาร์มินในมือ พลางจับยัดเข้าปากบังคับให้น้องของเธอกิน
"กินซะเจ้าเด็กบ้า มีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันจะไม่ยอมให้นายต้องอดตายแน่นอน ทั้งมิคาสะกับอาร์มินก็ด้วย" น้ำตาของเอเรนค่อยๆไหลจากดวงตา ทั้งความเศร้าความน่าสมเพศ และความโกรธมันไหลผสมปนเปจนไม่สามารถเอื้อนเอยออกมาเป็นคำพูดได้ ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น พวกเค้าทั้งสี่ต้องยอมรับกับชะตากรรมนี้ พื้นที่ที่จำกัด อาหารที่จำกัดและ ชนชั้นที่แบ่งแยกทำให้พวกเราหลายคนต้องปากกัดตีนถีบ เลวร้ายที่สุดนั้นก็คือ ฆ่าฟันกันเอง
"ฉันจะไม่ยอมให้พวกเธอต้องตายเด็ดขาด"
ความคิดเห็น