ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กว่
กริ่ง ๆ กริ่งๆ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเสียงกริ่งนาฬิกาปลุกลูกหมูของฉันดังขึ้นทำให้ฉันที่กำลังนอนหลับอย่างสบายสะดุ้งตื่นขึ้นจนเกือบจะผลัดตกจากเตียงที่แสนจะเล็กๆเหลือเกินเมื่อเทียบกับลำตัวอันแสนยาวเหมือนเสาไปฟ้าของฉัน
“ไม่รู้เมื่อไรป๋าจะซื้อเตียงใหม่ให้สักทีก็ไม่รู้ ไม่รู้จะงกไปถึงไหนซื้อเตียงใหม่ให้ลูกสาวแค่นี้ทำเป็นคิดน๊านนาน เซ่งโว้ยๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ในขณะที่ฉันกำลังนินทาป๋าตัวเองอยู่นั้น อยู่ๆๆประตูห้องนอนของฉันก็ถูกทำร้ายอย่างรุนแรงด้วยฝีมือของคนที่ฉันทั้งรักและทั้งนับถือ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่น้ำหวานพี่สาวสุดสวยของฉันนั้นเอง ทุกคนคงจะสงสัยใช่มั้ยค่ะว่าทำไมคนๆนั้นถึงไม่เป็นแม่ของฉันก็เพราะว่าแม่ของฉันท่านเสียชีวิตตั้งแต่ฉันอายุยังน้อย และคนที่เลี้ยงดูฉันมาก็คือป๋าและพี่น้ำหวานพี่สาวคนสวยของฉันนั้นเอง ฉันสนิทกับพี่น้ำหวานมากจนใครๆที่สนิทกับพวกเราทั้งสองคนได้ตั้งสโลแกนให้กับพวกเราว่า “ที่ไหนมีน้ำหวาน ที่นั้นต้องมีน้ำข้าว”
ปัง !!!!!!ๆ โครม !!!!!!!! ๆ “เฮ้ยไอ้น้ำข้าวแกตื่นยังว่ะ นี้มันสายแล้วน่ะโว้ยแกไม่คิดที่จะตื่นอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนบ้างหรือไงอ่ะ”
เสียงพี่น้ำหวานดังตามเข้ามาหลังจากคุณพี่แก่ได้ทำการประทุร้ายประตูห้องนอนของฉันไปเรียบร้อยโรงเรียนพี่น้ำหวานแล้ว พูดเสร็จ(หรือตะโกนกันแน่)พี่น้ำหวานก็เดินจากไปทิ้งให้น้องน้อยของพี่แกที่ยังอึ่งอยู่กับการกระทำของเธออยู่ไม่หาย แต่ว่าจริงๆแล้วฉันน่าจะชินการกระทำแบบนี้ของพี่น้ำหวานได้แล้วน่ะ ฉันลุกขึ้นจากที่นอนแต่ก็จะแอบหันไปมองที่นอนด้วยสายอันแสดงถึงความเสียดายอย่างสุดซึ่ง ฉันใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการอาบน้ำแต่งตัว เมื่อลงมาถึงด้านล่างฉันก็เห็นป๋าที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วด้วยชุดนายตำรวจต็มยศ อ่ะลืมบอกไปป๋าฉันน่ะเป็นถึงนายตำรวจยศพันตำรวจตรีเชี่ยวน่ะ และก็เพราะงานตำรวจนี้แหล่ะจึงทำป๋าไม่เคยอยู่ติดบ้านเลย ปล่อยให้ฉันสองคนพี่น้ำหวานต้องอยู่ด้วนกันตามลำพังบ่อยๆ ฉันกับป๋าสนิทกันมากต่างกับพี่น้ำหวานที่ดูเหมือนพี่แกจะไม่ค่อยจะสนิทกับป๋าสักเท่าไร นานๆ ครั้งถึงจะพูดดีๆๆกันสักครั้ง
“ป๋าพี่น้ำหวานล่ะ”ฉันเอ๋ยถามพี่น้ำหวานกับป๋าในขณะที่มือก็กำลังควานหาของกินในตู้เย็นอยู่
“ออกไปเรียนแล้ว ว่าแต่แกเถอะทำไมถึงยังไม่เรียนอีกล่ะ นี้มันจะเจ็ดโมงครึ่งแล้วน่ะ”ป๋าตอบคำถามฉันทันทีพร้อมกับลดหนังสือพิมพ์ลงจากหน้าแถมยังถามฉันกลับมาอีก
“จะรีบไปไหนล่ะป๋า เหลือเวลาอีกทั้งครึ่งชั่วโมง บ้านเรากับโรงเรียนใกล้กันแค่นี้เอง” ฉันเงยหน้าจากตู้เย็นแล้วหันมาตอบป๋า
“แก จะบ้าเหรอไอ้น้ำข้าว โรงเรียนใหม่ของแกเค้าเข้าเรียนกัน เจ็ดโมงสี่สิบน่ะ ไม่ใช่แปดโมงอย่างที่โรงเรียนเก่าของแก” เจ็ดโมงสี่สิบเหรอ ตอนนี้เจ็ดโมงครึ่งเหลือเวลาอีก 10 นาที แล้วจะทันไม่ล่ะเนี้ย ตายแน่ฉันคร่าวนี้ พี่น้ำหวานเคยเล่าให้ฟังว่าครูฝ่ายปกครองของโรงเรียนนี้ดุเจ็บเป๋งเลย โรงเรียนที่ฉันจะไปเรียนนี้เป็นโรงเรียนของกรมอาชีวะหรือที่เด็กทั่วไปเขาเรียกกันว่าวิทยาลัยเทคนิคกันนั้น แหล่ะ โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนอยู่ สองระดับ คือ ระดับ ปวช. เปิดสอนทั้งแต่ ปวช.1-ปวช.3 ซึ่งในระดับนี้ก็เทียบเท่ากับ เด็กมัธยมปลาย ม4.- ม.6 และก็อีกระดับหนึ่งคือ ระดับ ปวส ระดับนี้เทียบเท่าอนุปริญญา สาเหตุที่ฉันเข้าเรียนต่อที่นี้ก็เพราะว่าฉันอยากมาเรียนที่เดียวกับพี่น้ำหวาน ตอนนี้พี่น้ำหวานเรียนอยู่ชั้น ปวช.3 คณะบริหารธุรกิจสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ส่วนฉันเรียนคณะอุตสาหกรรมสาขาไฟฟ้ากำลัง วันนี้เปิดเรียนวันแรกเสียด้วยขืนไปสายมีหวังตายแน่นอน ทำไมพี่น้ำหวานถึงไม่รอฉันด้วยล่ะเนี้ย
“ป๋า ไปส่งหนูหน่อยดิ” ฉันเข้าไปอ้อนป๋าอย่าที่เคยทำทุกครั้งเวลาที่จะขอให้ป๋าทำอะไรให้ หรืออยากได้อะไรก็ตาม
“ไม่” คำปฏิเสธคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากของป๋าทำให้ฉันถึงกับยืนอึ่งไปชั่วขณะ แต่พอนึกถึงสาเหตุที่ป๋าไม่ยอมไปส่งฉันขึ้นมาได้ฉันก็จำเป็นต้องยอมรับชะกรรมต่อไป
“งั้นหนูไปล่ะ สวัสดีค่ะ”ฉันยกมือไหว้ป๋าแล้วเดินออกจากบ้านด้วยใบหน้าอันจ๋อยสนิท
นึกย้อนไปเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วตอนที่ฉันบอกกับป๋าว่าฉันจะไปเรียนที่เดียวกับที่พี่น้ำหวานเรียน
“ป๋า หนูจะไปเรียนต่อที่เดียวกับที่พี่น้ำหวานเรียนน่ะ”
“แกว่าไงน่ะ” ป๋าที่นั่งดูข่าวนักการเมืองทะเลาะกัน หันมาถามฉันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตกใจ
“หนูบอกว่าหนูจะไปเรียนที่เดียวกับที่พี่น้ำหวานเรียน” ฉันบอกป๋าซ้ำอีกครั้ง
“ป๋าไม่ให้แก่ไป”
“ทำไมล่ะป๋า” ฉันถามป๋ากลับทันที ตอนนี้ใบหน้าของฉันบ่งบอกถึงความสงสัยเป็นที่สุดว่าทำไมป๋าถึงไม่ยอม
“ก็เพราะว่าที่นั้นมันไม่ดีไง วันๆมีแต่เด็กทะเลาะกัน ยกพวกตีกันบ้างล่ะ ตบตีเพื่อแย่งผู้ชายกันบ้างล่ะ ขี่มอเตอร์ซิ่งบ้างล่ะ ป๋าไม่เห็นว่าที่นั้นมันจะมีอะไรดีเลย ถึงอย่างไงฉันก็ไม่ยอมให้แก่ไปเรียนเป็นอันขาด”พูดจบป๋าก็ลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินกลับห้องของตัวเอง
“แล้วทำป๋าถึงยอมให้พี่น้ำหวานไปเรียนได้ล่ะ”ฉันไม่ยอมแพ้ หาเหตุผลมาเถียงป๋ากลับ
“ก็เพราะว่าพี่แกมันดื้อให้ไงล่ะ ไม่ยอมเชื่อที่ป๋าบอก”
“ถึงหนูจะดื้อแต่หนูก็เรียนจะจบแล้วน่ะป๋า ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่ป๋าพูดสักอย่าง ไอ้น้ำข้าวมันจะไปเรียนทำไมป๋าถึงไม่ยอมให้มันเรียนไปล่ะ ไอ้น้ำข้าวมันไม่ใช่เด็กแล้วป๋า มันเอาตัวรอดได้อยู่แล้วแหล่ะ”อยู่ๆพี่น้ำหวนที่นั่งฟังฉันกับป๋าเถียงกันอยู่นานก็สวนขึ้นมาบ้าง แบบที่คนอย่างป๋าถึงกับอึ่งไปเลยเหมือนกัน ปกติป๋ากับพี่น้ำข้าวก็ไม่ค่อยจะถูกกันแล้วพอมาเจอเอากับบทสนทนานี้ก็ทำให้เกิดความเงียบขึ้นมาในบ้านทันที
“โอเค ฉันจะยอมให้ไอ้น้ำข้าวไปเรียนที่นั้นก็ได้แต่แกกล้ารับปากกับฉันได้มั้ยล่ะว่าแกจะดูแลน้องเป็นอย่างดี” หลังจากเงียบอยู่นานป๋าก็เปิดการสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง
“โอเค หนูรับปากว่าจะดูแลน้องเป็นอย่างดี ป๋าสบายใจได้” พี่น้ำหวานตกลงคำสัญญากับป๋าเสร็จก็หันมายักคิ้วให้ฉันหนึ่งครั้งแล้วหันไปสนใจกับหนังสือนิยายของตนเองต่อปล่อยให้ฉันต้องทนสู้กับสายพิฆาตของป๋าต่อไป
“ส่วนแก” ป๋าที่มองฉันเงียบๆอยู่นานก็พูดขึ้น
“ฉันจะยอมให้แกไปก็ได้” ไชโย !!!!!!!!!!!!! “แต่ฉันจะไม่ยอมไปส่งแกเด็ดขาด เวลาที่แกตื่นสาย”
ตายล่ะงานนี้ใครๆก็รู้ฉันเป็นคนที่ชอบตื่นสายเป็นสุด ขืนป๋าไม่ยอมไปส่งแบบนี้ฉันคงต้องไปเรียนสายทุกวันแน่เลย
“ทำไม ป๋าต้องเอาจุดอ่อนของหนูมาใช้ด้วยล่ะ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ป๋าใจร้ายอ่ะ” ฉันที่เริ่มจะร้องไห้เอ่ยถามป๋าขึ้นด้วยเสียงสั่นๆนิดๆ
“ช่วยไม่ได้!! ตกลงจะเอาอย่างไง”
“ป๋าอย่าคิดน่ะ ว่าเรื่องแค่นี้จะห้ามหนูได้” คงคิดละสิว่าหนูจะยอมเปลี่ยนใจ ป๋าคิดผิดแล้ว เรื่องไปสายเอาไว้หาทางแก้ไขปัญหาเอาทีหลัง ตอนนี้ต้องหักหน้าป๋าให้ได้เสียก่อน
“แล้วไงล่ะ”
“ตกลงค่ะ หนูรับข้อเสนอของป๋า หนูจะไปเรียนที่เดี่ยวกับที่พี่หวานเรียน” เมื่อฉันพูดจบสีหน้าที่ยิ้มอย่างเป็นต่อของป๋าก็เริ่มหุบลงเสียสนิท
“เย้ สุดยอดไปเลยว่ะไอ้ข้าว พี่ไม่นึกเลยว่าแกจะกล้าขนาดนี้ พี่ภูมิใจในตัวแกมากเลยว่ะ”
“แกไอ้น้ำหวาน !!!!!!!!!!!!”ไม่ต้องรอให้ป๋าพูดจบพี่น้ำหวานก็เป่นขึ้นห้องนอนของตนเองทันทีส่วนฉันจะอยู่ทำไมล่ะขืนป๋าเปลี่ยนใจขึ้นเดี่ยวจะแย่
“พี่รีบๆหน่อยดิ หนูสายแล้วน่ะ ซิ่งไปเลย”เมื่อไม่มีทางเลือกแล้วและก็ใกล้จะถึงเวลาเรียนเข้าไปทุกทีแล้ว ฉันจึงจำเป็นต้องใช้ทางเลือกสุดท้ายที่ฉันไม่อยากเลือกที่สุดนั้นก็คือการขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างนั้นเองใช่ว่าฉันจะไม่เคยขี่มอเตอร์น่ะ แต่หลังจากที่ฉันประสบอุบัติเหตุเมื่อ2 ปีก่อน โดยการขี่รถมอเตอร์ไปชนเอากับรถกะบะที่วิ่งสวนทางมา เหตุในครั้งนั้นทำให้มือข้างซ้ายและขาขวาของฉันหักต้องใส่เฝือกนานเดือนด้วยกัน จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ฉันกลัวการขี่รถมอเตอร์เป็นที่สุด ไม่ว่าจะให้ฉันเป็นคนขี่เองหรือให้นั่งซ้อนท้ายคนอื่นฉันก็ยังกลัวอยู่ดี
“เฮ้ยน้องพี่คงขี่เร็วกว่านี้ไม่ได้แล้วแหล่ะ นี้ตั้งแต่พี่ขี่มอเตอร์เป็นน่ะ ครั้งนี้แหล่ะที่พี่ขี่เร็วที่สุดแล้ว”คุณพี่คนขับหันมาตอบฉัน และก็ทำหน้าที่ของแกต่อไปเรื่อยๆๆ
“ความเร็วแค่ 40 นี้น่ะค่ะที่พี่ว่าเร็วที่สุดแล้ว แบบนี้ต่อให้เที่ยงหนูก็คงไม่ถึงโรงเรียนมั่งค่ะพี่” ฉันเริ่มจะหมดความอดทนกังคุณพี่คนขับคนนี้ไม่ไหวแล้ว ขืนปล่อยให้พี่แกขับอยู่อย่างฉันคงต้องไปสายจริงๆแน่
“แล้วน้องจะให้พี่ทำอย่างไงล่ะ”พี่คนขับหันหน้ามาถามฉัน
“งั้นพี่จอดรถเลย”ฉันสั่งให้พี่คนขับจอดรถ ในขณะที่รถกำลังติดไฟแดงอยู่นั้นเอง
“จอดทำไมอ่ะน้อง”
“หนูขี่เอง พี่ลงมาเร็ว หนูขี่พี่นั่ง”สั่งเสร็จฉันก็กระโดดออกจากตัวรถแล้วใช้ให้พี่คนขับออกจากตัวรถ
“จะดีเหรอน้อง”พี่คนขับทำสีหน้าลังเล แต่ฉันก็ไม่ปล่อยให้แก่คิดนานหรอกฉันกระชากแขนพี่คนขับออกจากรถทันทีและขึ้นคร่อมรถทันที โชคดีหน่อยที่ฉันเรียนคณะช่างอุตสาหกรรมเขาให้ใส่กางเกงได้ทำให้สะดวกขึ้นเมื่อขี่มอเตอร์แบบนี้
“เฮ้ยน้องทำอะไร”เมื่อฉันกับคุณพี่คนขับสลับที่นั่งกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น อยู่ๆก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้น และเสียงนั้นก็ไม่ได้ดังมาจากที่ไหนไกลมันดังมาจากรถมอเตอร์อีกคันที่จอดติดไฟแดงอยู่ข้างๆรถของฉัน (แน่ใจนะว่ะว่าเป็นของแก) บนคันนั้นมีผู้ชายสองคนแต่งกายเครื่องแบบนักเรียนแบบเดียวกับฉัน ที่คอปกเสื้อของสองคนนั้นเป็นสีเหลืองเหมือนของฉันเลย แต่ว่าสองคนนั้นน่าจะแกกว่าฉันเพราะดูจากสีเสื้อแล้วนั้นเหมือนมีการใช้งานมานานแล้ว
“แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกนายด้วย”ฉันสวนกลับไปทันที พร้อมกับหันไปจ้องตาไอ้คนพูดอย่างเอาเรื่องไม่ต้องไปสนมันแล้วว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือว่ารุ่นเดียวกัน
“เฮ้ยน้องเพื่อนพี่ถามดีๆ ทำไมถึงตอบแบบนั้นล่ะ”ไอ้คนที่นั่งซ้อนท้ายอยู่พูดขึ้นมาบ้าง หลังจากที่นั่งมองฉันกับไอ้คนขี่จ้องตากันอยู่นาน
“แล้วจะทำไม ใครใช้ให้พวกนายมายุ่งกับเรื่องของฉันล่ะ”อีตาคนที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ถึงกับอึ่งเมื่อเจอกับคำตอบของฉันซึ่งต่างกับอีกคนที่เอาแต่จ้องหน้าฉันไม่ยอมพูดอะไร เหมือนกับโชคเข้าข้างฉัน สัญญาณไฟเขียวมาพอดี ฉันจึงใช้จังหวะนั้นออกรถซิ่งหนี้ไอ้พวกนั้นทันทีขืนอยู่ไปนานกว่านี้ไอ้พวกนั้นเกิดโมโหขึ้นมาฉันสองคนพี่ขับมอเตอร์จะรอดไมล่ะ (แกคิดเหรอว่าเค้าจะช่วยแก)
“เท่าไรค่ะพี่”ฉันหันมาถามพี่คนขับเมื่อฉันขี่รถมาถึงหน้าโรงเรียน แต่ดูเหมือนว่าพี่คนขับคงจะยังไม่หายจากอาการตกใจเมื่อกี้ ก็พี่แก่ยังคงนั่งสะลึมสะลืออยู่เลย พออาการดีขึ้นมาหน่อยพี่แก่ก็ชูสองนิ้วขึ้นมา ฉันจึงเดาว่าหน้าจะเป็นค่าโดยสาร 20 บาท ฉันจึงเอาตัง 20 บาทยืนส่งให้แกไป
“งั้นหนูไปล่ะพี่ ขับรถดีๆน่ะ”พูดเสร็จฉันจึงเดินเข้าโรงเรียนทันที ซึ่งตอนนี้เข็มนาฬิกากำลังจะชี้ที่เวลา 7 โมง 40 พอดี เห็นดังนั้นฉันก็รีบโกยทันที แต่ก็วิ่งไปได้ไม่ไกลทันไร ก็ฉันดันวิ่งไปชนใครก็ไม่รู้ด้วยแรงวิ่งอย่างเร็วของฉันบวกกับอีกฝ่ายก็กำลังวิ่งอยู่เช่นกันจึงทำให้แรงปะทะมีมากพอสมควรทำให้ทั้งสองฝ่ายล้มกันไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง
“โธ่เอ๊ย! เดินบ้าอะไรของเธอเนี้ย ทำไมไม่ดูทางบ้างเลยเนี้ย”เสียงของไอ้คนที่เดินชนฉันดังขึ้น ดูเหมือนว่าหมอนั้นจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร แต่จะให้ทำไงได้ก็คนมันไม่ได้ตั้งใจนี้หว่า
“ไม่ได้เดินโว้ย วิ่งตั้งหากล่ะ”ปากฉันที่ไม่เคยอยู่สุขเลยสักครั้งก็สวนกับไปทันที
“นี้ยัยเซ่อ ผิดแล้วยังไม่ยอมรับผิดอีกเหรอ” หมอนั้นเงยหน้าเอามือชี้หน้าฉัน แต่แฮะทำหน้ามันถึงคุ้นๆหว่า
“เธอ!!!!!!!!!!!!!!!”
“นาย!!!!!!!!!!!!!!!”
ว่าแล้วทำไมหน้ามันถึงได้คุ้นๆ ก็ไอ้คนที่ทะเลาะกับฉันที่ไฟแดงนี้น่า ทำไมชีวิตฉันมันถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ด้วยว่ะ ไม่ทันที่ฉันกับหมอนั้นจะได้วางมวยกัน เสียงอาจารย์ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
“นี่เธอสองคนจะทำอะไรกันน่ะ”เสียงของอาจารย์หน้ากลมตาดุศีรษะโล้นคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมเดินหน้าบึ่งเข้ามาหาฉันกับหมอนั้น
“เปล่า ค่ะ/ครับ”เสียงของฉันกับหมอนั้นปฏิเสธขึ้นพร้อมกัน
“แล้วทำไมถึงมาเดินอยู่แถวนี้ เธอสองคนมาสายใช่มั้ย”พูดจบอาจารย์คนนั้นก็ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตนเอง
“เปล่า น่ะค่ะ/ครับ”ฉันสองคนหมอนั้นปฏิเสธพร้อมกันอีกแล้ว
“ไม่ต้องมาปฏิเสธเลย เธอสองคนตามฉันมาทางนี้”สั่งเสร็จอาจารย์หน้ากลมก็เดินนำหน้าฉันกับหมอนั้นไปทางสนามบาสเกตบอลที่ตอนนี้มีนักเรียนอยู่ 7-8 คน ยืนอยู่ในสนาม
“นี้นายอาจารย์แกพาเรามาทำไมที่นี้อ่ะ”ดูเหมือนว่าฉันจะลืมว่ากำลังทะเลาะอยู่กับหมอนั้น จึงเอามือไปสะกิดถามหมอนั้นเข้า
“ก็พามาลงโทษน่ะสิ”หมอนั้นตอบพร้อมกับทำหน้าหงิกใส่ฉัน
“ลงโทษเรื่องอะไรล่ะ”ไอ้ฉันก็คนความจำสั้นดันลืมอีกแระว่ากำลังทะเลาะกับหมอนั้นอยู่ แต่ก็ยังดันไปถามหมอนั้นเข้าอีกครั้ง
“นี้เธอไม่รู้หรือไงว่ากฎของโรงเรียนนี้ใครมาสายจะต้องโดยลงโทษน่ะ หน้าตาก็ดีไม่หน้าโง่เลยนี้”
“นี้นายว่าฉันเหรอ”
“ใช่”โธ้ไอ้บ้าหน้าตาก็ดีทำปากหมาขนาดว่ะ
“เรื่องกฎของโรงเรียนฉันก็รู้น่ะ แต่ฉันไม่ได้มาสายนี้ ฉันมาตรงเวลาพอดีแป๊ะเลยนี้ 7 โมง 40 น่ะ”ฉันถามหมอนั้นอีกครั้ง
“ใช่ กฎของโรงเรียนนี้บอกไว้ว่าเข้าเรียน 7 โมง 40 แต่ก่อนจะเข้าเรียนนักเรียนทุกคนจะต้องไปเข้าแถวพร้อมกันที่หน้าเสาธงเสียก่อน ถ้าเกิดใครไม่ได้ไปเข้าแถวก็ถือว่าสายจะต้องโดยลงโทษจากอาจารย์ฝ่ายปกครอง
“เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ยัยเซ่อ เพราะเธอ จึงทำให้ฉันต้องโดนทำโทษแบบนี้”
“ช่วยไม่ได้ นายอยากมายืนขวางทางฉันเองทำไมล่ะ”พูดจบฉันก็เดินหนีจากหมอนั้นไปยืนรวมกลุ่มกับนักเรียนคนอื่นๆ แต่ฉันก็เห็นหมอนั้นทำหน้าไม่พอดีสุดๆๆๆ ซะใจดีเลยโว้ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ความคิดเห็น