ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Krieg und Sieg

    ลำดับตอนที่ #5 : ปฐมกาลอินทรีย์ : ศึกแรก

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 64


              ท่ามกลางท้องฟ้าอันปลอดโปร่งไร้ซึ่งเมฆมาบดบังทัศนวิสัย แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่งลงสู่พื้นอย่างทั่วถึง ช่วยให้ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่เบื้องล่างอบอุ่นแม้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเย็น

    ทุ่งหญ้าที่เคยโล่งเตียน บัดนี้กลับเต็มไปด้วยทหารนับหมื่น พวกเขาโบกธงสีฟ้าครามสลักรูปหัวกวางเด่นสง่า กองทัพจากภาคีพันธมิตรนอร์เดียนเรือนหมื่นเริ่มจัดกระบวนทัพอย่างเร่งรีบ

    พวกเขาจัดทัพตามแบบการรบยุคกลาง คือทหารราบถือหอกยาวอยู่หน้าสุด ปีกซ้ายและขวาเป็นพลอาวุธระยะไกล ทัพกลางเป็นจอมเวทย์สายโจมตีระยะไกล และทัพหลังสุดคือทหารม้า

    สิ่งเดียวที่ขวางเส้นทางของพวกเขาก็คือกองทัพของแคว้นแรกตัส ศัตรูตัวฉกาจที่เป็นอุปสรรคของพวกเขามาโดยตลอด กองทัพแรกตัสสวมเครื่องแบบสีเทาโทนมืด ทหารส่วนใหญ่ไม่สวมเกราะ แต่ทุกนายสวมหมวกแบบเดียวกันคือหมวกหนังสีดำประดับด้วยชฎาทองเหลืองอันสง่างามและตราอินทรีย์ สัญลักษณ์ของกองทัพแรกตัสก็คือธงอินทรีย์ผยองบนพื้นธงสีขาว

    กองทัพแรกตัสจัดทัพได้แปลกประหลาดมากสำหรับกองทัพนอร์เดียน เพราะกองทัพทั้งหมดจัดทัพแบบแถวหน้ากระดานตอนลึกแบบกองทัพหอก แต่กลับไม่มีทหารราบนายใดถือหอกสักนายเดียว พวกเขาตั้งแนวรบนิ่งราวกับจะรอให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายบุกเข้าไปหา

    กองทัพนอร์เดียนเป็นฝ่ายเปิดฉากบุก ทหารราบถือหอกเล่มยาวในมือเริ่มชี้หอกไปข้างหน้าในขณะที่แถวหลังๆ ชี้ปลายหอกขึ้นฟ้า ดูไม่ต่างจากป่าหอก กระบวนทัพแบบนี้เรียกว่าฟาแลงซ์(Phalanx) ซึ่งถ้าใช้ดีๆ ล่ะก็ ทั้งทหารราบและทหารม้าข้าศึกยากที่จะฝ่าไปได้

    ก่อนที่ทั้งสองทัพจะประจันหน้ากัน ฝ่ายนอร์เดียนเปิดฉากโดยการยิงถล่มปูพรมด้วยเวทย์มนต์ เหล่าจอมเวทย์ร่ายคาถาแล้วซัดเวทย์ของตนใส่ศัตรูราวกับห่าฝน แต่ว่า...

    "ฮึ่ม......พวกนั้นก็มีจอมเวทย์เหมือนกันสินะ" แม่ทัพนอร์เดียนบ่นอุบอิบขณะมองดูการรบจากแนวหลัง กองทัพแรกตัสเริ่มกางเวทย์ม่านพลังขึ้นมาเพื่อป้องกันเวทย์มนต์ของฝ่ายตรงข้าม และดูจากการป้องกันแล้วคาดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีจอมเวทย์จำนวนพอๆ กัน

    "ช่างปะไร! พวกเราได้เปรียบเรื่องจำนวนอยู่แล้ว!" แม่ทัพคนนั้นพูดอย่างมั่นใจ เพราะกองทัพนอร์เดียนมีทหารรวมกันราวๆ 12,000 นาย ในขณะที่กองทัพแรกตัสมีทหารเพียง 9,000 นาย

    จอมเวทย์ของกองทัพนั้นมีสองสายหลักๆ คือสายโจมตี และสายป้องกัน สายโจมตีจะมีพลังทำลายล้างสูงแต่การป้องกันต่ำ ในขณะที่สายป้องกันนั้นตรงกันข้าม แม่ทัพนอร์เดียนคาดเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะมีจอมเวทย์สายป้องกันเยอะพอสมควร ดังนั้นใช้ทหารโจมตีแนวรบหลักซะ แล้วให้จอมเวทย์โจมตีฝ่ายตนโจมตีใส่ตอนอีกฝ่ายคลายการป้องกันจะเหมาะที่สุด

    ในขณะที่กำลังฝันหวานถึงชัยชนะ ฝ่ายแรกตัสมีเสียงดังมาไกลๆ เหมือนเสียงนายทหารออกคำสั่ง ทหารชุดเทาชี้อาวุธของตนใส่กองทัพนอร์เดียนที่ระยะ 500 เมตร และ

    ปังๆๆๆๆๆๆๆ!!

    "อะไรกัน!!?" แม่ทัพนอร์เดียนคนนั้นถึงกับตกใจกับเสียงกัมปนาทที่ได้ยิน เขาเห็นทหารนอร์เดียนล้มลงมากมาย

    "ปืนคาบชุดงั้นเหรอ!?" แม่ทัพคนนั้นอุทาน

    ในยุคนี้ อาวุธที่เรียกว่า"ปืน"นั้นถือกำเนิดเป็นที่เรียบร้อย แต่ปืนในยุคนี้มีข้อจำกัดมากมาย ส่วนใหญ่เป็นปืนแบบลำกล้องเรียบและจุดดินปืนด้วยสายชนวน ถ้าเจอความชื้นปืนก็จะใช้การไม่ได้ทันที แถมการบรรจุกระสุนก็ใช้เวลานานพอๆ กับหน้าไม้ รวมถึงความแม่นยำที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เพราะแบบนั้นปืนจึงไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไร กองทัพนอร์เดียนเองก็มีปืนคาบชุดใช้ในกองทัพเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้ใช้เป็นอาวุธหลัก

    แม่ทัพคนนั้นเริ่มทำหน้าเครียดเมื่อเห็นว่าศึกนี้คงจะตึงมือมากกว่าที่คิดขณะมองดูทหารของตนกำลังเดินทัพเข้าหาศัตรูอย่างเอาเป็นเอาตาย

    . . . . . . . . . .

              ณ แนวหลังของกองทัพแรกตัส ส่วนนี้ของกองทัพประกอบด้วยทหารม้าเป็นหลัก พวกเขาสวมเกราะเพียงน้อยชิ้นเพื่อความคล่องตัว เอกลักษณ์เด่นนอกจากหมวกชฎาเหล็กกล้าและชุดเกราะแล้ว พวกเขาล้วนสวมผ้าคลุมไหล่สีดำตามหลักนิยมทหารม้ายุคใหม่ของพวกเขาที่เรียกว่า"ฮุสซาร์เรียน(Hussarian)"

    ท่ามกลางทหารม้าท่าทางน่าเกรงขามเหล่านั้น มีร่างของคนๆ หนึ่งขี่ม้าสีขาวสง่างามอยู่ตรงกลาง คนๆ นั้นไม่สวมเกราะเลยนอกจากถุงมือหนังติดข้อนิ้วโลหะ สวมเครื่องแบบสีเทาโทนมืด บนหน้าอกประดับเหรียญตราอันสองอัน ศีรษะสวมหมวกชฎาทองเหลืองติดตราอินทรีย์ประดับอัญมณีเม็ดเล็กๆ อย่างสวยงาม

    สรีระร่างกายบ่งบอกได้ว่าเป็นชายร่างผอมปราดเปรียว ใบหน้างดงามราวกับหญิงสาวจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นใบหน้าของผู้ชาย ผมสีทองยาวสลวยถักเป็นเปียเส้นใหญ่ผูกด้วยริบบิ้นสีฟ้า ดวงตาสีฟ้าครามชวนให้หลงใหล และผิวที่ขาวที่ผ่องราวกับคนเจ้าสำอางค์

    โดร่า แรกตัส วัย 18 ปียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะมองดูกองทัพนอร์เดียนเดินทัพเข้ามารับกระสุนปืนอย่างไม่ลดละ กระบวนทัพที่ชายหนุ่มนำมาจากความทรงจำจากชาติก่อนได้ผลดีเกินคาด

    เพราะปืนคาบชุดมีความแม่นยำต่ำ การจะได้ผลดียิ่งขึ้นจำเป็นต้องให้ทหารถือปืนมายืนเรียงแถวชิดๆ กันแล้วยิงพร้อมกัน และเพื่อให้ข้อจำกัดของปืนคาบชุดที่ยิงได้เพียงทีละนัดแล้วต้องเสียเวลาบรรจุกระสุนหมดไป โดร่าให้ทหารเรียงแถวหน้ากระดานตอนลึก แล้วให้ทหารแต่ละแถวยิงปืนสลับกันในขณะที่แถวด้านหน้าๆ กำลังบรรจุกระสุน กระบวนทัพแบบเดียวกับที่ใช้ในสงครามนโปเลียน

    "นายน้อยครับ พวกข้าศึกเริ่มเตรียมยิงเวทย์มนต์มาอีกแล้วครับ" แม่ทัพสูงวัย แกงเกิล ควบม้ามารายงานชายหนุ่ม

    "จะให้จอมเวทย์ในทัพเราป้องกันต่อไปมั้ยครับ?"

    "ไม่ต้อง....สั่งยิงปืนใหญ่ไปที่แนวรบด้านหลังของข้าศึกเลย" ชายหนุ่มออกคำสั่งอย่างรวดเร็วและฉะฉาน

    เมื่อมีปืนเล็กก็ย่อมต้องมีปืนใหญ่ แต่ปืนใหญ่ส่วนใหญ่ในยุคนี้มีราคาแพงเพราะทำจากสำริด และมีน้ำหนักมากยากต่อการขนย้าย และการบรรจุกระสุนเองก็ยุ่งยากไม่แพ้ปืนเล็ก แต่ปืนใหญ่ของแคว้นแรกตัสนั้นแตกต่าง เพราะมันทำจากเหล็กหล่อผสมตะกั่วซึ่งมีราคาถูกกว่า แต่ก็ยังต้องบรรจุทางปากลำกล้องอยู่ดี

    ตั้งแต่ก่อนการรบจะเริ่มขึ้น โดร่าสั่งให้กองทัพของตนปรับศูนย์เล็งปืนใหญ่เอาไว้ก่อนแล้ว ทำให้ปืนใหญ่หลายสิบกระบอกพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ

    ปืนใหญ่แผดเสียงคำราม ห่ากระสุนตกใส่กองทัพนอร์เดียนส่วนหลัง ปีกซ้าย และปีกขวา ตำแหน่งที่ทหารระยะไกลกับจอมเวทย์ประจำอยู่ ทำให้การร่ายคาถาหยุดชะงัก และแผนการรบปั่นป่วน

    "ความแม่นยำอะไรกันเนี่ย...!?" แม่ทัพนอร์เดียนตกใจกับความแม่นยำของปืนใหญ่ศัตรู เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่เน้นจอมเวทย์สายโจมตี ขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น กองทหารหอกยาวของภาคีพันธมิตรนอร์เดียนก็เข้าสู่ระยะประชิดข้าศึกแล้ว

    "ประจันบาน!!!" เหล่านายกองนอร์เดียนแผดเสียงคำรามและชักดาบออกมา เหล่าทหารถือหอกต่างโห่ร้องและพุ่งเข้าใส่กองทัพแรกตัสที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ตรงหน้าหวังจะล้างแค้นให้สหายร่วมรบที่ตายไปก่อนหน้า

    "ติดดาบ!!" นายทหารแรกตัสเห็นแบบนั้นก็ดึงดาบออกมาแล้วออกคำสั่ง ทหารปืนเล็กยาวดึงเหล็กแหลมที่เหน็บไว้ข้างเอวออกมาสวมเข้ากับลำกล้องปืนคาบชุดของพวกเขาทันที เปลี่ยนให้ปืนเล็กยาวกลายเป็นหอก แล้วเตรียมตัวเข้าปะทะ

    "ตะลุมบอน!!!" กองทัพแรกตัสโห่ร้องแล้วเข้าตะลุมบอนกับทหารนอร์เดียนทันที ฝ่ายนอร์เดียนเริ่มรู้ตัวว่าพวกเขาโดนตัดกำลังไปมากพอสมควรจากการระดมยิงของฝ่ายตรงข้าม แถมอีกฝ่ายยังกระจายแนวรบเข้าโอบล้อมซะอีก พอรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็โดนล้อมเสียแล้ว

    แนวหน้าโดนปิดล้อม แนวกลางและหลังถูกปืนใหญ่ข้าศึกที่ปกป้องด้วยจอมเวทย์สายป้องกันระดมยิง สถานการณ์เริ่มไม่เป็นใจให้กับฝ่ายนอร์เดียนอีกแล้ว

    "ชิ...! ถอยทัพ! ถอยทัพ!!" แม่ทัพฝ่ายนอร์เดียนรู้ดีแล้วว่าไม่มีโอกาสชนะอีกแล้วรีบออกคำสั่งถอยทัพทันที การรบดำเนินไปเพียง 30 นาทีก็รู้ผล ฝ่ายนอร์เดียนสูญเสียไปกว่าครึ่งในขณะที่ฝ่ายแรกตัสเสียทหารไปไม่ถึงพันนาย

    "จบซะแล้วเหรอเนี่ย...?" นายทหารม้าหนุ่มผมน้ำตาลในกองทัพแรกตัสบ่นอย่างเสียดาย

    "แสดงให้พวกเราเห็นว่าพวกนั้นไม่ได้เอาแต่บุกอย่างไร้หัวคิดไงล่ะ..." โดร่าตอบ ขณะมองดูกองทัพของตนกำลังโห่ร้องแด่ชัยชนะ ก่อนจะหันม้ากลับไปยังทิศที่กองทัพตั้งค่าย

    "ไปกันเถอะ เยเซล ขืนชักช้าเดี๋ยวพ่อของนายจะบ่นเอาอีก" โดร่าหัวเราะร่าขณะควบม้าเหยาะๆ กลับค่าย ก่อนที่ทหารม้านายหนึ่งจะควบม้าเข้ามาหา

    "รายงานครับ!" ทหารนายนั้นก้มหัวทำความเคารพแล้วยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้โดร่า

    ชายหนุ่มเปิดอ่านจดหมายทันที ก่อนจะหันไปตะโกนออกคำสั่งกับเหล่าทหาร

    "เร่งถอนกำลัง!! พวกเราต้องรีบกลับไปที่เมืองนอร์เดนเบิร์กด่วนที่สุด!!"

    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×