ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : {BL@cK[G]u@Rd} - คุยกับนาย... สุขจ๊ายยยจริงๆ
----สวัสดีครับทุกท่าน กลับมาแล้นหลังจากไปเหนื่อนมาหลายวัน อิอิชีวิตของเมมิจังช่วงนี้เจอเรื่องอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะฮะ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไปอ่านเลยดีฝ่า----Osaki
    หลังจากเลิกเรียน ฉันก็ต้องวิ่งมาราธอนเพื่อหนีหมอนั่นอีกแล้ว ยังไงก็แล้วแต่ จะต้องวิ่งให้เหนื่อยสักแค่ไหนฉันก็ไม่มีทางปล่อยให้หมอนั่นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด เมื่อมาถึง วันนี้คุณฟุโอกะไม่มาทำงาน เห็นฮาเสะจุนบอกว่าเธอไม่สบาย ฉันก็ได้แต่เป็นห่วงเธอ พอฉันเลิกงานและกำลังจะเปลี่ยนชุด หมอนั่นก็มาที่นี่พอดี ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกยังไม่ได้เปลี่ยนชุด แต่อย่าให้ลูกต้องเสียเงินค่าอาหารวันนี้เยอะนักเลย. . .
    “นี่เธอ”
    หมอนั่นเรียกฉัน
    “มีอะไร”
    “พูดแบบนี้กับลูกค้าได้ยังไง ไม่รู้จักมารยาทบ้างเหรอ”
    หนอยแน่. . . -_-^^ มาว่าฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันน่ะเคยประกวดมารยาทแล้วได้ที่ 1 มาแล้วด้วยนะ เชอะ! แค่นี้ไม่อยากจะคุย
    “วันนี้จะปล้นฉันไปอีกเท่าไหร่หละ”
    “วันนี้ฉันไม่ว่างอยู่เสวนากับเธอเท่าไหร่หรอกนะ. . .”
    แล้วใครเขาอยากเสวนากับนายมิทราบ -_-^
    “แค่อยากจะมาติเรื่องข้าวกล่องนั่นสักหน่อยน่ะ ฉันก็ว่ามันอร่อยดีนะ พรุ่งนี้ฉันอยากจะให้เพิ่มหมูย่างเกาหลีเข้าไปด้วยจะได้มั้ย แบบว่ากำลังอยากกินเลย”
    โธ่เอ๊ย! แค่นี้เองเหรอ
    “ฉันขัดคำสั่งนายได้มั้ยหละ สั่งอะไรมาฉันก็ต้องทำให้อยู่แล้วนี่”
    “อื้อ คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว งั้นฉันไปก่อนก็แล้วกัน”   
    แบล่ๆๆ ไปเลยย่ะ ไม่ต้องมาเจอกันได้อีกทั้งชาติเลยก็ดี ฉันแลบลิ้นใส่หมอนั่น
    พอเลิกงาน เฮ้อ. . .  วันนี้ไม่ต้องเสียงานเลยสักบาท เดินกลับบ้านแค่นี้สบายอยู่แล้ว อืม. . . เดินผ่านตู้โทรศัพท์มาแล้วนี่นา อยากจะโทรไปหาไดคิคุงจังเลย โทรไปตอนนี้ขอให้เขาว่างคุยกับฉันแล้วก็ไม่มีมารผจญมาแถวนี้ก็แล้วกัน ฉันจึงเดินย้อนกลับไปที่ตู้โทรศัพท์ แล้วโทรหาไดคิคุง
    “ฮัลโหล”
    อื้อหือ เสียงยังฟังแล้วมีเสน่ห์เหมือนเดิมเลย
    “คุเซฮาร่านะคะ ไดคิคุงจำได้มั้ย”
    “อื้อ จำได้”
    “เมื่อเช้าต้องขอโทษด้วยนะคะที่โทรไปแล้วจู่ๆ ก็วาง เผอิญเจอมารผจญพอดีน่ะค่ะ”
    “เหรอครับ ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรคุณอยู่แล้ว”
    เฮ้อ ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะต้องมาห่วงมารยง มารยาทเหมือนหมอนั่นซะอีก
    “แต่ว่าไดคิคุงอย่าเรียก คุเซฮาร่าว่าคุณสิคะ มันดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ เรียกว่าคุเซฮาร่าเฉยๆ ก็ได้ หรือว่าจะเรียกเมมิจังก็ได้นะคะ”
    “อ่ะ เอ่อ. . . เอางั้นก็ได้ครับ เมมิจัง”
    “วันนี้กินข้าวรึยังคะ”
    “ยังเลยครับ ช่วงนี้ผมงานเยอะ เลยไม่ค่อยมีเวลา”
    “แต่ก็ยังอุตส่าห์ให้เวลาเมมิได้คุยกับไดคิคุงนี่คะ ใช่มั้ยหละ”
    “เมมิจังก็อุตส่าห์โทรมาเหมือนกัน จะไม่คุยด้วยก็เกรงใจ”
    นี่! สุภาพบุรุษมันต้องเป็นแบบนี้ ไม่เหมือนหมอนั่น จะมีความเกรงใจต่อสุภาพสตรีสักนิดก็ไม่ได้
    “ขอบคุณนะคะ ที่คุยเป็นเพื่อน ไดคิคุงนี่ใจดีจัง ไม่เหมือนใครบางคน”
    “ใครบางคนที่ว่านั่นคือใครเหรอครับ”
    “ช่างเถอะค่ะ นิสัยไม่ดี แล้งน้ำใจแถมยังเห็นแก่ตัวแบบนั้น เมมิไม่อยากจะนึกถึงหรอกค่ะ”
    “เหรอครับ เอ่อ. . . เมมิจัง ผมต้องขอโทษนะครับ ที่คุยต่อไม่ได้ ตอนนี้ผมต้องรีบไปแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ”
    ตู้ด ตู้ด
    ว้า. . . ยังคุยได้ไม่สะใจเลย วางไปซะแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยเสียงของไดคิคุงก็คงจะช่วยให้ฉันได้นอนหลับฝันดีหละนะ
    เมื่อกลับมาถึงห้อง ฉันก็งงๆ ว่าทำไมห้องเราถึงมีรองเท้าเพิ่มขึ้นมาได้ แถมยังเป็นรองเท้าผู้ชายอีกต่างหาก ใหญ่ซะด้วย สงสัยว่าจะเป็นของแฮร์รี่หละมั้ง ว่าแต่ เขาจะมาทำไมกันนะ เอ๊ะ! มีเสียงกุกกัก ดังมาจากห้องของเทรูมินี่นา ตอนนี้เธอน่าจะดูละครทีวีอยู่นี่ แต่วันนี้มันแปลกๆ นะ เข้าไปดูที่ห้องของเธอสักหน่อยดีกว่า
    ก๊อก ก๊อก ก๊อก
    “เทรูมิ ฉันเข้าไปนะ”
    “. . .”
    ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอเลย แต่บานประตูกลับเปิดออก และคนเปิดไม่ใช่เทรูมิแต่เป็น. . .
    “แฮร์รี่!”
    “ชู่ว~ “
    เขาบอกให้ฉันเงียบ แล้วชี้เข้าไปที่เตียงของเทรูมิ เธอกำลังนอนซมอยู่ สีหน้าซีดเผือด หรือว่าเธอจะเป็นไข้กันหละเนี่ย ฉันจึงรีบเดินเข้าไปดูอาการของเธอ
    “ตายหละหว่าตัวร้อนจี๋เลย”
    ฉันเอาหลังมือไปแตะหน้าผากของเธอ ร้อนแบบนี้ทอดไข่ได้เลยนะเนี่ย
    “แฮร์รี่ เทรูมิเขาเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”
    “ก็เป็นไข้ธรรมดาน่ะครับ แต่อุณหภูมิในร่างกายสูงมาก คงต้องนอนพักหลายวันหน่อยน่ะครับ”
    “แล้วทำไมไม่พาเธอไปโรงพยาบาลหละคะ”
    “เธอบ่นว่าไม่อยากไปน่ะครับ ผมก็เลยอยู่เฝ้าอาการเธอตั้งแต่เที่ยงแล้วเนี่ย”
    “เหรอคะ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วอุตส่าห์มาช่วย อยากจะกินอะไรก่อนกลับห้องสักหน่อยมั้ยหละคะ”
    “ก็ดีครับ”
    ฉันวางกระเป๋าลง แล้วไปทำซุปผักร้อนๆ ให้แฮร์รี่กิน เขาเล่าว่า ตอนที่เขากลับมาเอากระเป๋าสตางค์ที่ลืมเอาไว้ ก็เห็นว่าเจอเทรูมินอนสลบอยู่ที่หน้าลิฟต์ เขาก็เลยแบกเทรูมิมาที่ห้อง แล้วดูอาการให้ตลอด แฮร์รี่ยังบอกด้วยว่า เทรูมิเป็นผู้หญิงในสเป็กของเขาเลย  อื้อหือ. . . อิจฉาเทรูมิจัง ถ้าเธอรู้คงกระโดดโลดเต้นจนหายไข้ไปเลยหละมั้ง
    ฉันตั้งนาฬิกาปลุกให้ปลุกเช้าเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้ไปซื้อวัตถุดิบที่ร้านคอนวีเนี่ยนทัน แล้วฉันก็ยังต้องซื้อยาแก้ไข้ไปให้เทรูมิด้วย ฉันทำข้าวกล่องของหมอนั่นกับข้าวกล่องของฉันก่อน จากนั้นก็ค่อยทำอาหารไปให้เทรูมิ ฉันปลุกเธอขึ้นมากินอาหาร แล้วก็วัดไข้เธอ ซึ่งมันก็ลดลงจากเมื่อวานเยอะเลย จากนั้นเธอก็กินยาแล้วนอนพักต่อ  ฉันก็รีบแต่งตัว เตรียมสมุดหนังสือไปโรงเรียน วันนี้เทรูมิไปไหนไม่ได้ ฉันก็เลยต้องเอาเสื้อผ้าทั้งของฉันและเทรูมิไปส่งร้านซักรีดแทน แล้วก็เช่นเคย. . . จะต้องฝากข้าวกล่องเอาไว้ที่คุณลุงยามด้วย
    ชั่วโมงเรียนวันนี้มีแต่วิชาการทั้งนั้น ฉันอยากจะตั้งใจฟังแต่มันก็ชวนให้ง่วงจริงๆ เสียนี่กระไร วิชาวิทยาศาสตร์อาจารย์ก็พูดสาธยายแบบยานๆ นานๆ ซะจนน่าเบื่อ แถมยังมีติดกันตั้ง 2 คาบ ฉันหันหลังไปดูพบว่า คาซาม่ากับนาอิ ต่างคนก็ต่างหลับกันไปแล้ว อิคุมิข้างๆ ฉันด้วยเหมือนกัน ไม่เท่านั้นนะ รู้สึกว่าแถวหลังทั้งแถบก็จะหลับเหมือนกันหมด ถ้าฉันหลับอีกคนคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ง่วงเหมือนกันนี่เรา หลับซะเลยดีกว่า. . .
    ฉันฝันว่าอยู่ในโลกของพวกคาวบอย. . . ไดคิคุงควบม้าได้เก่งมากๆ. . . ฉันก็ยิงปืนเก่ง. . . มีใครบางคนท้าให้ฉันไปดวลปืนด้วย. . . เขาเริ่มนับ. . .  1. . . 2. . .  3. . .
    ปั้ง!
    “ไม่! ไม่นะ ฮือๆ ฉันโดนยิงกลางหน้าผากเลย ตายๆๆ ฉันต้องตาย แน่ๆ เลย!!!”
    “ใครตายกันคุเซฮาร่า”
    “หือ?”
    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ” ทุกคนในห้องต่างหัวเราะขำขันฉันเหมือนกับว่าเป็นตัวตลกกันใหญ่
    อ้าว นี่ฉันไม่ได้โดนยิงหรอกรึนี่ ก็ฉันกำลังดวลปืนอยู่นี่นา ไม่สิ ไม่ได้ดวลปืน แต่กำลังเรียนวิทยาศาสตร์อยู่ แต่ว่าตอนนี้มัน 5 โมงเช้าแล้วเพราะฉะนั้นก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษน่ะสิ แล้วอะไรกันนะที่มาหล่นอยู่บนโต๊ะของฉัน ฉันจึงหยิบมันขึ้นมาดู ชอล์กนี่นา
    “งงอะไรคุเซฮาร่า หลับจนไม่รู้เรื่องเลยรึไง”
    “ขะ ขอโทษค่ะอาจารย์”
    “ไม่ต้องมาสำนึกผิดตอนนี้เลย ออกไปยืนกระต่ายขาเดียวหน้าห้องเดี๋ยวนี้”
    “ค่ะอาจารย์”
    ฉันเดินอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงออกมานอกห้องแล้วยืนกระต่ายขาเดียว นี่ฉันหลับจนฝันเป็นตุเป็นตะแล้วตื่นมายังไม่รู้เรื่องแบบนี้เลยเหรอเนี่ย หลับข้ามชั่วโมงเรียนซะด้วยนะ มิน่าหละถึงได้โดนอาจารย์เอาชอล์กปาใส่กลางหน้าผาก แม่นจริงๆ โอ๊ย. . . ไม่น่านอนเลยให้ตายสิ ถ้านอนแล้วนอนได้ไม่เต็มที่ก็จะทำให้ง่วงหนักเข้าไปอีก แย่จริงๆ เลยนะเราเนี่ย
    ตอนพักกลางวัน พวกคาซาม่าขอหยุดเรียนเพราะว่ามีเรื่องจากทางกรมตำรวจเลยต้องถูกเรียกตัวไปด่วน ฉันไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าพวกเธอกล้าทำเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน เสี่ยงออกแบบนั้น ช่วงเวลานี้ฉันก็เลยต้องนั่งกินข้าวอย่างเงียบเหงาคนเดียวในห้อง ไม่กล้าออกไปไหนเพราะกลัวว่าจะเจอหมอนั่นเข้าอีก
    ที่ร้าน Cougar หลังเลิกเรียน
    “สวัสดีฮาเสะจุน คุณฟุโอกะ นัทสึเมะจัง”
    “สวัสดี!”
    วันนี้ฉันก็มาช้ากว่าทุกคนอีกแล้ว เมื่อวานคุณฟุโอกะไม่สบาย แต่วันนี้เธอก็ดูแข็งแรงดี แต่คนที่ฉันต้องเป็นห่วงแทนตอนนี้ก็ดันเป็นเทรูมิ ช่วงนี้ก็เป็นช่วงฤดูฝน คนเป็นหวัดกันบ่อยชะมัดเลย ฉันว่าฉันก็ต้องดูแลตัวเองบ้างแล้วนะเนี่ย ขืนไม่สบายขึ้นมา ฉันไม่ได้ทำงานจะต้องไม่มีเงินแน่ๆ เลย พูดยังไม่ทันขาดคำสักเท่าไหร่ฝนก็ตกลงมาซะแล้ว คนที่กินขนมอยู่นอกร้านก็เปลี่ยนที่มานั่งในร้านแทน เลยแออัดยัดเยียดไปกันใหญ่ เวลาจะยกอะไรเสิร์ฟแต่ละทีก็ยากลำบากชะมัด ช่วยไม่ได้นี่นา อยากจะเกิดมาอดอยากยากจนเองทำไมหละ
    ฝนตกมาตั้งแต่ 5 โมงเย็น จนตอนนี้ 2 ทุ่มครึ่งแล้วมันก็ยังไม่หยุด ฟ้าดินเจ้าขา ยังไงก็ช่วยให้ฝนหยุดตกก่อนที่ลูกจะกลับบ้านด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นลูกต้องตากฝนแล้วไม่สบายแน่ๆ T T”
   
    แต่แล้ว. . . คำอธิษฐานของฉันก็ไม่เป็นจริง ฉันเลิกงานแล้วแต่ฝนก็ยังไม่หยุดตก ทำให้ฉันต้องขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ฉันนั่งรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์เกือบจะ 10 นาทีเห็นจะได้ ถึงจะมีรถเมล์มา ฉันขึ้นไป คนงี้เยอะเป็นบ้าเลย เอาเถอะ ทนยืนสักหน่อย เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว
    “นี่ๆ เธอรู้ข่าวเรื่องยากูซ่าแกงค์ใหม่มั้ย ที่ข่าวบอกว่าโดนตำรวจจับได้แล้วน่ะ”
    “จริงเหรอ ฉันก็นึกว่าจะอยู่ได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว”
    “เนอะๆ ไอ้คนเลวๆ แบบนั้น ปราบไปซะให้สิ้นซากซะก็ดี”
    เด็กสาว 2 ในชุดเครื่องแบบของโรงเรียนที่ฉันไม่รู้จักยืนคุยกันถึงเรื่องยากูซ่าแกงค์ใหม่ คงจะเป็นแกงค์เดียวกับที่พวกคาซาม่ากำลังตามจับอยู่หละมั้ง ดีจังเลยที่ทลายมันได้แล้ว รวดเร็วดีจังเลยนะเนี่ย ดีแล้วหละ บ้านเมืองจะได้สงบซะที
    เอี๊ยดดดดดดดดดด!
    “โอ๊ะ โอ๊ย!”
    บ้าจริง รถเบรคกระทันหัน ฉันเสียหลักจนล้มลงแล้ว! ขาฉัน! ขาฉันแพลงอ่ะ แล้วมีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาเหยียบเท้าฉันซ้ำเข้าไปอีก ไอ้บ้าเอ๊ย! เอ๊ะ. . . แต่ว่านี่มันถึงบ้านฉันแล้วนี่ ตายหละหว่า รถกำลังจะออกไปแล้ว
    “อย่าเพิ่งออกรถค่ะ! อย่าเพิ่งออกรถ! “
    แล้วฉันก็ค่อยๆ ยันตัวขึ้นยืนได้ คนบนรถเห็นฉันเป็นหุ่นยนต์กันรึไงถึงไม่คิดจะช่วยกันบ้าง สมัยนี้คนญี่ปุ่นแล้งน้ำใจกันหมดแล้วรึไงเนี่ย เฮ้อ. . . กรรมของเวรจริงๆ และพอลงจากรถมาได้ ฉันก็เดินกะเผลกๆ ไปนั่งที่ป้ายรถเมล์
    “โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย! ฮือๆๆ ทำไมมันเจ็บแบบนี้เนี่ย TOT”
    ฉันร้องลั่นออกมาจนสุดเสียงเพราะอยากจะระบายความเจ็บ ดีที่ฝนหยุดตกแล้ว ไม่งั้นฉันคงเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ๆ จะทำยังไงดีหละเนี่ย เดินอีกสักหน่อยก็ถึงอพาร์ตเมนท์แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าฉันเดินไปไม่ไหวแล้วน่ะสิ เอาเถอะ ลองลุกเดินดูก็แล้วกัน
    “เมมิสู้ๆ เมมิสู้ตาย”
    ฉันพูดให้กำลังใจตัวเอง ฮึบ! อ๊ายืนได้แล้ว เดินเลียบๆ ตัวตึกไปคงจะได้อยู่หละ ฉันจึงเดินเกาะผนังตึกแถว ริมฟุตบาทไปเรื่อยๆ
    “นี่เธอ!”
    “. . .”
    “เธอ!”
    ใครมันบ้ามาตะโกนเรียกใครแถวนี้นะ ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับเรา เดินต่อๆ
    “เด็กฮาจิโบคุเอ็น!”
    “หือ?”
    เด็กฮาจิโบคุเอ็น แถวนี้ก็มีฉันคนเดียวน่ะสิ ฉันจึงหันไปมอง เห็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับฉันคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง โอ้โห นี่ถ้าฉันไม่ได้ตาลายเพราะขาแพลงหละก็คงต้องบอกว่าเขาหล่อมากทีเดียวเลยหละ
    “มีอะไรเหรอ”
    “ขาเธอเป็นอะไรรึเปล่า”
    “ขาฉันแพลง โอ๊ย!”
    ฉันคงยืนนานไปหละมั้งเลยเจ็บแปล๊บขึ้นมา ฉันเลยทรุดตัวนั่งลงกับพื้น เด็กหนุ่มคนนั้นก็วิ่งเข้ามาทันที
    “เมื่อกี้ผมว่าผมคงเหยียบเท้าคุณบนรถเมล์เข้าแน่ๆ เลย”
    อ๋อ เป็นนายเองน่ะเหรอ
    “ท่าทางคุณจะเจ็บหนักนะ ไหนผมขอดูเท้าคุณหน่อยได้มั้ย”
    “อะ อื้อ”
    เขาถอดรองเท้าของฉันและก็ถอดถุงเท้าให้ หวา. . . บอมเป่งเลย แถมแดงอีกต่างหาก มิน่าหละถึงได้ทำเอาฉันเจ็บมากขนาดนี้
    “คุณต้องรีบหายามาทาแล้วหละ”
    “ใช่ๆ “
    “บ้านคุณอยู่แถวนี้รึเปล่าหละ เดี๋ยวผมพยุงไปส่ง”
    “ฉันอยู่ที่อพาร์ตเมนท์โดจินนี่เองหละ”
    “เหรอ งั้นให้ผมช่วยพยุงคุณไปส่งเถอะ”
    มันช่วยไม่ได้นี่นา ฉันเดินไปเองมันคงจะลำบากน่าดู ฉันก็เลยส่งมือให้เขาพยุงฉันขึ้น ทีแรกฉันกะว่าถ้าเจอคนที่เหยียบเท้าฉันจะได้ให้เข็ดเลย แต่ว่าเขากล้าทำกล้ารับขนาดนี้ แถมยังช่วยฉันอีก ฉันว่าเปลี่ยนจากคำด่ามาเป็นคำขอบคุณจะดีกว่านะ แล้วเขาก็พาฉันมาส่งที่หน้าลิฟต์ของอพาร์ตเมนท์
    “ขอบคุณมากนะคะที่พาฉันมาส่ง”
    “ครับ ไม่เป็นไรหรอก ผมว่าผมต้องขอโทษคุณมากกว่าที่จู่ๆ ไปเหยียบเท้าคุณเข้า”
    “ไม่หรอกค่ะ ฉันขาแพลงตั้งแต่ก่อนที่คุณจะเหยียบเท้าฉันซะอีก จริงสิ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อคุเซฮาร่า เมมิค่ะ”
    “ผม. . . มามิยะ โคจิ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
    เขายื่นมามาให้ฉันจับ แล้วฉันก็จับมือเขาเพื่อแสดงความเป็นมิตร
    “เช่นกันค่ะ”
    ติ้ง!
    “เอ่อ. . . ลิฟต์มาแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
    “ครับ โชคดีครับ”
    “^_^”
    อื้อหือ. . . คนอะไรเนี่ย ทั้งหล่อแถมยังสุภาพขนาดนี้ ปลื้มใจชะมัดเลยที่ได้เจอกัน จะเหยียบเท้าฉันอีกรอบก็ยอมหละ (ท่าจะบ้านะเนี่ย : Osaki) รู้สึกว่าฉันจะลืมอะไรไปนะเนี่ย ใช่ๆ ฉันยังไม่ได้โทรหาไดคิคุงเลย แต่ว่าเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยโทรดีกว่า ตอนนี้ต้องรีบไปหายามาทาก่อนหละ
    กิ๊งก่อง!
    “ฉันเข้าไปนะ”
    “. . .”
    ไม่ได้ยินเสียงตอบรับของเทรูมิแฮะ รึว่าจะยังหลับอยู่ ฉันจึงเปิดประตูเข้าไป
    แกร๊ก
    ประตูก็ไม่ได้ล็อกนี่นา ฉันถอดรองเท้าแล้ว แต่ก็เห็นว่ารองเท้าของเทรูมิยังอยู่ อ๊ะ เธอนั่งอยู่ที่เดิมนั่นเอง แต่คราวนี้ไม่ได้ดูทีวีอยู่แฮะ
    “เทรูมิ”
    “. . .”
    “เทรูมิ”
    “. . .”
    “เทรูมิ!!!” ฉันตะโกนดังลั่น
    “อ่ะ จ๊ะๆๆ”
    คราวนี้เธอตกใจสุดขีด ก็แหม. . . เรียกตั้งหลายครั้งก็ยังนั่งเฉยอยู่ได้ เลยต้องตะโกนกันหน่อยหละ
    “หลับในเหรอเธอน่ะ เรียกตั้งหลายครั้งถึงไม่ได้ยิน”
    “โทษทีๆ ฉันกำลังตรวจงานอยู่น่ะ”
    “ตรวจงานแล้วเรียกทำไมไม่ได้ยินหละ”
    “อ๋อ. . . ฉันกำลังฟังเพลงอยู่หละมั้ง ใส่หูฟังด้วยเลยไม่ได้ยินนี่ MP3 รุ่นใหม่ แฮร์รี่เขาให้ฉันยืมมา ฟังมั้ยๆ”
    “ไม่หละ ขอบใจ หายดีแล้วเหรอ”
    ฉันพูดพลางเดินไปหยิบกล่องยามาทาขาที่แพลง
    “ก็ดีขึ้นแล้วนะ พรุ่งนี้คงต้องไปทำงานแล้ว ก็เลยเอางานที่ค้างไว้มาตรวจ ฉันโดดสอนหลายวันแล้ว กลัวโดนไล่ออก เลยหยุดนานไม่ได้”
    “งั้นก็ดีแล้วหละ ฉันไปนอนก่อนนะ”
    “อื้อ”
    จบจากบทสนทนาของฉันกับเทรูมินิดหน่อย ฉันก็ไปเอายามาทาเท้า หวังว่าพรุ่งนี้เท้าฉันคงจะกลับสู่สภาพปกตินะ แล้วคืนนั้น. . . สุภาพบุรุศใจดีนามมามิยะ โคจิก็ไม่ได้หายไปจากความคิดของฉันเลย ^_^
    หลังจากเลิกเรียน ฉันก็ต้องวิ่งมาราธอนเพื่อหนีหมอนั่นอีกแล้ว ยังไงก็แล้วแต่ จะต้องวิ่งให้เหนื่อยสักแค่ไหนฉันก็ไม่มีทางปล่อยให้หมอนั่นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด เมื่อมาถึง วันนี้คุณฟุโอกะไม่มาทำงาน เห็นฮาเสะจุนบอกว่าเธอไม่สบาย ฉันก็ได้แต่เป็นห่วงเธอ พอฉันเลิกงานและกำลังจะเปลี่ยนชุด หมอนั่นก็มาที่นี่พอดี ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกยังไม่ได้เปลี่ยนชุด แต่อย่าให้ลูกต้องเสียเงินค่าอาหารวันนี้เยอะนักเลย. . .
    “นี่เธอ”
    หมอนั่นเรียกฉัน
    “มีอะไร”
    “พูดแบบนี้กับลูกค้าได้ยังไง ไม่รู้จักมารยาทบ้างเหรอ”
    หนอยแน่. . . -_-^^ มาว่าฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันน่ะเคยประกวดมารยาทแล้วได้ที่ 1 มาแล้วด้วยนะ เชอะ! แค่นี้ไม่อยากจะคุย
    “วันนี้จะปล้นฉันไปอีกเท่าไหร่หละ”
    “วันนี้ฉันไม่ว่างอยู่เสวนากับเธอเท่าไหร่หรอกนะ. . .”
    แล้วใครเขาอยากเสวนากับนายมิทราบ -_-^
    “แค่อยากจะมาติเรื่องข้าวกล่องนั่นสักหน่อยน่ะ ฉันก็ว่ามันอร่อยดีนะ พรุ่งนี้ฉันอยากจะให้เพิ่มหมูย่างเกาหลีเข้าไปด้วยจะได้มั้ย แบบว่ากำลังอยากกินเลย”
    โธ่เอ๊ย! แค่นี้เองเหรอ
    “ฉันขัดคำสั่งนายได้มั้ยหละ สั่งอะไรมาฉันก็ต้องทำให้อยู่แล้วนี่”
    “อื้อ คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว งั้นฉันไปก่อนก็แล้วกัน”   
    แบล่ๆๆ ไปเลยย่ะ ไม่ต้องมาเจอกันได้อีกทั้งชาติเลยก็ดี ฉันแลบลิ้นใส่หมอนั่น
    พอเลิกงาน เฮ้อ. . .  วันนี้ไม่ต้องเสียงานเลยสักบาท เดินกลับบ้านแค่นี้สบายอยู่แล้ว อืม. . . เดินผ่านตู้โทรศัพท์มาแล้วนี่นา อยากจะโทรไปหาไดคิคุงจังเลย โทรไปตอนนี้ขอให้เขาว่างคุยกับฉันแล้วก็ไม่มีมารผจญมาแถวนี้ก็แล้วกัน ฉันจึงเดินย้อนกลับไปที่ตู้โทรศัพท์ แล้วโทรหาไดคิคุง
    “ฮัลโหล”
    อื้อหือ เสียงยังฟังแล้วมีเสน่ห์เหมือนเดิมเลย
    “คุเซฮาร่านะคะ ไดคิคุงจำได้มั้ย”
    “อื้อ จำได้”
    “เมื่อเช้าต้องขอโทษด้วยนะคะที่โทรไปแล้วจู่ๆ ก็วาง เผอิญเจอมารผจญพอดีน่ะค่ะ”
    “เหรอครับ ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรคุณอยู่แล้ว”
    เฮ้อ ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะต้องมาห่วงมารยง มารยาทเหมือนหมอนั่นซะอีก
    “แต่ว่าไดคิคุงอย่าเรียก คุเซฮาร่าว่าคุณสิคะ มันดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ เรียกว่าคุเซฮาร่าเฉยๆ ก็ได้ หรือว่าจะเรียกเมมิจังก็ได้นะคะ”
    “อ่ะ เอ่อ. . . เอางั้นก็ได้ครับ เมมิจัง”
    “วันนี้กินข้าวรึยังคะ”
    “ยังเลยครับ ช่วงนี้ผมงานเยอะ เลยไม่ค่อยมีเวลา”
    “แต่ก็ยังอุตส่าห์ให้เวลาเมมิได้คุยกับไดคิคุงนี่คะ ใช่มั้ยหละ”
    “เมมิจังก็อุตส่าห์โทรมาเหมือนกัน จะไม่คุยด้วยก็เกรงใจ”
    นี่! สุภาพบุรุษมันต้องเป็นแบบนี้ ไม่เหมือนหมอนั่น จะมีความเกรงใจต่อสุภาพสตรีสักนิดก็ไม่ได้
    “ขอบคุณนะคะ ที่คุยเป็นเพื่อน ไดคิคุงนี่ใจดีจัง ไม่เหมือนใครบางคน”
    “ใครบางคนที่ว่านั่นคือใครเหรอครับ”
    “ช่างเถอะค่ะ นิสัยไม่ดี แล้งน้ำใจแถมยังเห็นแก่ตัวแบบนั้น เมมิไม่อยากจะนึกถึงหรอกค่ะ”
    “เหรอครับ เอ่อ. . . เมมิจัง ผมต้องขอโทษนะครับ ที่คุยต่อไม่ได้ ตอนนี้ผมต้องรีบไปแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ”
    ตู้ด ตู้ด
    ว้า. . . ยังคุยได้ไม่สะใจเลย วางไปซะแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยเสียงของไดคิคุงก็คงจะช่วยให้ฉันได้นอนหลับฝันดีหละนะ
    เมื่อกลับมาถึงห้อง ฉันก็งงๆ ว่าทำไมห้องเราถึงมีรองเท้าเพิ่มขึ้นมาได้ แถมยังเป็นรองเท้าผู้ชายอีกต่างหาก ใหญ่ซะด้วย สงสัยว่าจะเป็นของแฮร์รี่หละมั้ง ว่าแต่ เขาจะมาทำไมกันนะ เอ๊ะ! มีเสียงกุกกัก ดังมาจากห้องของเทรูมินี่นา ตอนนี้เธอน่าจะดูละครทีวีอยู่นี่ แต่วันนี้มันแปลกๆ นะ เข้าไปดูที่ห้องของเธอสักหน่อยดีกว่า
    ก๊อก ก๊อก ก๊อก
    “เทรูมิ ฉันเข้าไปนะ”
    “. . .”
    ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอเลย แต่บานประตูกลับเปิดออก และคนเปิดไม่ใช่เทรูมิแต่เป็น. . .
    “แฮร์รี่!”
    “ชู่ว~ “
    เขาบอกให้ฉันเงียบ แล้วชี้เข้าไปที่เตียงของเทรูมิ เธอกำลังนอนซมอยู่ สีหน้าซีดเผือด หรือว่าเธอจะเป็นไข้กันหละเนี่ย ฉันจึงรีบเดินเข้าไปดูอาการของเธอ
    “ตายหละหว่าตัวร้อนจี๋เลย”
    ฉันเอาหลังมือไปแตะหน้าผากของเธอ ร้อนแบบนี้ทอดไข่ได้เลยนะเนี่ย
    “แฮร์รี่ เทรูมิเขาเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”
    “ก็เป็นไข้ธรรมดาน่ะครับ แต่อุณหภูมิในร่างกายสูงมาก คงต้องนอนพักหลายวันหน่อยน่ะครับ”
    “แล้วทำไมไม่พาเธอไปโรงพยาบาลหละคะ”
    “เธอบ่นว่าไม่อยากไปน่ะครับ ผมก็เลยอยู่เฝ้าอาการเธอตั้งแต่เที่ยงแล้วเนี่ย”
    “เหรอคะ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วอุตส่าห์มาช่วย อยากจะกินอะไรก่อนกลับห้องสักหน่อยมั้ยหละคะ”
    “ก็ดีครับ”
    ฉันวางกระเป๋าลง แล้วไปทำซุปผักร้อนๆ ให้แฮร์รี่กิน เขาเล่าว่า ตอนที่เขากลับมาเอากระเป๋าสตางค์ที่ลืมเอาไว้ ก็เห็นว่าเจอเทรูมินอนสลบอยู่ที่หน้าลิฟต์ เขาก็เลยแบกเทรูมิมาที่ห้อง แล้วดูอาการให้ตลอด แฮร์รี่ยังบอกด้วยว่า เทรูมิเป็นผู้หญิงในสเป็กของเขาเลย  อื้อหือ. . . อิจฉาเทรูมิจัง ถ้าเธอรู้คงกระโดดโลดเต้นจนหายไข้ไปเลยหละมั้ง
    ฉันตั้งนาฬิกาปลุกให้ปลุกเช้าเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้ไปซื้อวัตถุดิบที่ร้านคอนวีเนี่ยนทัน แล้วฉันก็ยังต้องซื้อยาแก้ไข้ไปให้เทรูมิด้วย ฉันทำข้าวกล่องของหมอนั่นกับข้าวกล่องของฉันก่อน จากนั้นก็ค่อยทำอาหารไปให้เทรูมิ ฉันปลุกเธอขึ้นมากินอาหาร แล้วก็วัดไข้เธอ ซึ่งมันก็ลดลงจากเมื่อวานเยอะเลย จากนั้นเธอก็กินยาแล้วนอนพักต่อ  ฉันก็รีบแต่งตัว เตรียมสมุดหนังสือไปโรงเรียน วันนี้เทรูมิไปไหนไม่ได้ ฉันก็เลยต้องเอาเสื้อผ้าทั้งของฉันและเทรูมิไปส่งร้านซักรีดแทน แล้วก็เช่นเคย. . . จะต้องฝากข้าวกล่องเอาไว้ที่คุณลุงยามด้วย
    ชั่วโมงเรียนวันนี้มีแต่วิชาการทั้งนั้น ฉันอยากจะตั้งใจฟังแต่มันก็ชวนให้ง่วงจริงๆ เสียนี่กระไร วิชาวิทยาศาสตร์อาจารย์ก็พูดสาธยายแบบยานๆ นานๆ ซะจนน่าเบื่อ แถมยังมีติดกันตั้ง 2 คาบ ฉันหันหลังไปดูพบว่า คาซาม่ากับนาอิ ต่างคนก็ต่างหลับกันไปแล้ว อิคุมิข้างๆ ฉันด้วยเหมือนกัน ไม่เท่านั้นนะ รู้สึกว่าแถวหลังทั้งแถบก็จะหลับเหมือนกันหมด ถ้าฉันหลับอีกคนคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ง่วงเหมือนกันนี่เรา หลับซะเลยดีกว่า. . .
    ฉันฝันว่าอยู่ในโลกของพวกคาวบอย. . . ไดคิคุงควบม้าได้เก่งมากๆ. . . ฉันก็ยิงปืนเก่ง. . . มีใครบางคนท้าให้ฉันไปดวลปืนด้วย. . . เขาเริ่มนับ. . .  1. . . 2. . .  3. . .
    ปั้ง!
    “ไม่! ไม่นะ ฮือๆ ฉันโดนยิงกลางหน้าผากเลย ตายๆๆ ฉันต้องตาย แน่ๆ เลย!!!”
    “ใครตายกันคุเซฮาร่า”
    “หือ?”
    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ” ทุกคนในห้องต่างหัวเราะขำขันฉันเหมือนกับว่าเป็นตัวตลกกันใหญ่
    อ้าว นี่ฉันไม่ได้โดนยิงหรอกรึนี่ ก็ฉันกำลังดวลปืนอยู่นี่นา ไม่สิ ไม่ได้ดวลปืน แต่กำลังเรียนวิทยาศาสตร์อยู่ แต่ว่าตอนนี้มัน 5 โมงเช้าแล้วเพราะฉะนั้นก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษน่ะสิ แล้วอะไรกันนะที่มาหล่นอยู่บนโต๊ะของฉัน ฉันจึงหยิบมันขึ้นมาดู ชอล์กนี่นา
    “งงอะไรคุเซฮาร่า หลับจนไม่รู้เรื่องเลยรึไง”
    “ขะ ขอโทษค่ะอาจารย์”
    “ไม่ต้องมาสำนึกผิดตอนนี้เลย ออกไปยืนกระต่ายขาเดียวหน้าห้องเดี๋ยวนี้”
    “ค่ะอาจารย์”
    ฉันเดินอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงออกมานอกห้องแล้วยืนกระต่ายขาเดียว นี่ฉันหลับจนฝันเป็นตุเป็นตะแล้วตื่นมายังไม่รู้เรื่องแบบนี้เลยเหรอเนี่ย หลับข้ามชั่วโมงเรียนซะด้วยนะ มิน่าหละถึงได้โดนอาจารย์เอาชอล์กปาใส่กลางหน้าผาก แม่นจริงๆ โอ๊ย. . . ไม่น่านอนเลยให้ตายสิ ถ้านอนแล้วนอนได้ไม่เต็มที่ก็จะทำให้ง่วงหนักเข้าไปอีก แย่จริงๆ เลยนะเราเนี่ย
    ตอนพักกลางวัน พวกคาซาม่าขอหยุดเรียนเพราะว่ามีเรื่องจากทางกรมตำรวจเลยต้องถูกเรียกตัวไปด่วน ฉันไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าพวกเธอกล้าทำเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน เสี่ยงออกแบบนั้น ช่วงเวลานี้ฉันก็เลยต้องนั่งกินข้าวอย่างเงียบเหงาคนเดียวในห้อง ไม่กล้าออกไปไหนเพราะกลัวว่าจะเจอหมอนั่นเข้าอีก
    ที่ร้าน Cougar หลังเลิกเรียน
    “สวัสดีฮาเสะจุน คุณฟุโอกะ นัทสึเมะจัง”
    “สวัสดี!”
    วันนี้ฉันก็มาช้ากว่าทุกคนอีกแล้ว เมื่อวานคุณฟุโอกะไม่สบาย แต่วันนี้เธอก็ดูแข็งแรงดี แต่คนที่ฉันต้องเป็นห่วงแทนตอนนี้ก็ดันเป็นเทรูมิ ช่วงนี้ก็เป็นช่วงฤดูฝน คนเป็นหวัดกันบ่อยชะมัดเลย ฉันว่าฉันก็ต้องดูแลตัวเองบ้างแล้วนะเนี่ย ขืนไม่สบายขึ้นมา ฉันไม่ได้ทำงานจะต้องไม่มีเงินแน่ๆ เลย พูดยังไม่ทันขาดคำสักเท่าไหร่ฝนก็ตกลงมาซะแล้ว คนที่กินขนมอยู่นอกร้านก็เปลี่ยนที่มานั่งในร้านแทน เลยแออัดยัดเยียดไปกันใหญ่ เวลาจะยกอะไรเสิร์ฟแต่ละทีก็ยากลำบากชะมัด ช่วยไม่ได้นี่นา อยากจะเกิดมาอดอยากยากจนเองทำไมหละ
    ฝนตกมาตั้งแต่ 5 โมงเย็น จนตอนนี้ 2 ทุ่มครึ่งแล้วมันก็ยังไม่หยุด ฟ้าดินเจ้าขา ยังไงก็ช่วยให้ฝนหยุดตกก่อนที่ลูกจะกลับบ้านด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นลูกต้องตากฝนแล้วไม่สบายแน่ๆ T T”
   
    แต่แล้ว. . . คำอธิษฐานของฉันก็ไม่เป็นจริง ฉันเลิกงานแล้วแต่ฝนก็ยังไม่หยุดตก ทำให้ฉันต้องขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ฉันนั่งรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์เกือบจะ 10 นาทีเห็นจะได้ ถึงจะมีรถเมล์มา ฉันขึ้นไป คนงี้เยอะเป็นบ้าเลย เอาเถอะ ทนยืนสักหน่อย เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว
    “นี่ๆ เธอรู้ข่าวเรื่องยากูซ่าแกงค์ใหม่มั้ย ที่ข่าวบอกว่าโดนตำรวจจับได้แล้วน่ะ”
    “จริงเหรอ ฉันก็นึกว่าจะอยู่ได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว”
    “เนอะๆ ไอ้คนเลวๆ แบบนั้น ปราบไปซะให้สิ้นซากซะก็ดี”
    เด็กสาว 2 ในชุดเครื่องแบบของโรงเรียนที่ฉันไม่รู้จักยืนคุยกันถึงเรื่องยากูซ่าแกงค์ใหม่ คงจะเป็นแกงค์เดียวกับที่พวกคาซาม่ากำลังตามจับอยู่หละมั้ง ดีจังเลยที่ทลายมันได้แล้ว รวดเร็วดีจังเลยนะเนี่ย ดีแล้วหละ บ้านเมืองจะได้สงบซะที
    เอี๊ยดดดดดดดดดด!
    “โอ๊ะ โอ๊ย!”
    บ้าจริง รถเบรคกระทันหัน ฉันเสียหลักจนล้มลงแล้ว! ขาฉัน! ขาฉันแพลงอ่ะ แล้วมีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาเหยียบเท้าฉันซ้ำเข้าไปอีก ไอ้บ้าเอ๊ย! เอ๊ะ. . . แต่ว่านี่มันถึงบ้านฉันแล้วนี่ ตายหละหว่า รถกำลังจะออกไปแล้ว
    “อย่าเพิ่งออกรถค่ะ! อย่าเพิ่งออกรถ! “
    แล้วฉันก็ค่อยๆ ยันตัวขึ้นยืนได้ คนบนรถเห็นฉันเป็นหุ่นยนต์กันรึไงถึงไม่คิดจะช่วยกันบ้าง สมัยนี้คนญี่ปุ่นแล้งน้ำใจกันหมดแล้วรึไงเนี่ย เฮ้อ. . . กรรมของเวรจริงๆ และพอลงจากรถมาได้ ฉันก็เดินกะเผลกๆ ไปนั่งที่ป้ายรถเมล์
    “โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย! ฮือๆๆ ทำไมมันเจ็บแบบนี้เนี่ย TOT”
    ฉันร้องลั่นออกมาจนสุดเสียงเพราะอยากจะระบายความเจ็บ ดีที่ฝนหยุดตกแล้ว ไม่งั้นฉันคงเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ๆ จะทำยังไงดีหละเนี่ย เดินอีกสักหน่อยก็ถึงอพาร์ตเมนท์แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าฉันเดินไปไม่ไหวแล้วน่ะสิ เอาเถอะ ลองลุกเดินดูก็แล้วกัน
    “เมมิสู้ๆ เมมิสู้ตาย”
    ฉันพูดให้กำลังใจตัวเอง ฮึบ! อ๊ายืนได้แล้ว เดินเลียบๆ ตัวตึกไปคงจะได้อยู่หละ ฉันจึงเดินเกาะผนังตึกแถว ริมฟุตบาทไปเรื่อยๆ
    “นี่เธอ!”
    “. . .”
    “เธอ!”
    ใครมันบ้ามาตะโกนเรียกใครแถวนี้นะ ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับเรา เดินต่อๆ
    “เด็กฮาจิโบคุเอ็น!”
    “หือ?”
    เด็กฮาจิโบคุเอ็น แถวนี้ก็มีฉันคนเดียวน่ะสิ ฉันจึงหันไปมอง เห็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับฉันคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง โอ้โห นี่ถ้าฉันไม่ได้ตาลายเพราะขาแพลงหละก็คงต้องบอกว่าเขาหล่อมากทีเดียวเลยหละ
    “มีอะไรเหรอ”
    “ขาเธอเป็นอะไรรึเปล่า”
    “ขาฉันแพลง โอ๊ย!”
    ฉันคงยืนนานไปหละมั้งเลยเจ็บแปล๊บขึ้นมา ฉันเลยทรุดตัวนั่งลงกับพื้น เด็กหนุ่มคนนั้นก็วิ่งเข้ามาทันที
    “เมื่อกี้ผมว่าผมคงเหยียบเท้าคุณบนรถเมล์เข้าแน่ๆ เลย”
    อ๋อ เป็นนายเองน่ะเหรอ
    “ท่าทางคุณจะเจ็บหนักนะ ไหนผมขอดูเท้าคุณหน่อยได้มั้ย”
    “อะ อื้อ”
    เขาถอดรองเท้าของฉันและก็ถอดถุงเท้าให้ หวา. . . บอมเป่งเลย แถมแดงอีกต่างหาก มิน่าหละถึงได้ทำเอาฉันเจ็บมากขนาดนี้
    “คุณต้องรีบหายามาทาแล้วหละ”
    “ใช่ๆ “
    “บ้านคุณอยู่แถวนี้รึเปล่าหละ เดี๋ยวผมพยุงไปส่ง”
    “ฉันอยู่ที่อพาร์ตเมนท์โดจินนี่เองหละ”
    “เหรอ งั้นให้ผมช่วยพยุงคุณไปส่งเถอะ”
    มันช่วยไม่ได้นี่นา ฉันเดินไปเองมันคงจะลำบากน่าดู ฉันก็เลยส่งมือให้เขาพยุงฉันขึ้น ทีแรกฉันกะว่าถ้าเจอคนที่เหยียบเท้าฉันจะได้ให้เข็ดเลย แต่ว่าเขากล้าทำกล้ารับขนาดนี้ แถมยังช่วยฉันอีก ฉันว่าเปลี่ยนจากคำด่ามาเป็นคำขอบคุณจะดีกว่านะ แล้วเขาก็พาฉันมาส่งที่หน้าลิฟต์ของอพาร์ตเมนท์
    “ขอบคุณมากนะคะที่พาฉันมาส่ง”
    “ครับ ไม่เป็นไรหรอก ผมว่าผมต้องขอโทษคุณมากกว่าที่จู่ๆ ไปเหยียบเท้าคุณเข้า”
    “ไม่หรอกค่ะ ฉันขาแพลงตั้งแต่ก่อนที่คุณจะเหยียบเท้าฉันซะอีก จริงสิ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อคุเซฮาร่า เมมิค่ะ”
    “ผม. . . มามิยะ โคจิ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
    เขายื่นมามาให้ฉันจับ แล้วฉันก็จับมือเขาเพื่อแสดงความเป็นมิตร
    “เช่นกันค่ะ”
    ติ้ง!
    “เอ่อ. . . ลิฟต์มาแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
    “ครับ โชคดีครับ”
    “^_^”
    อื้อหือ. . . คนอะไรเนี่ย ทั้งหล่อแถมยังสุภาพขนาดนี้ ปลื้มใจชะมัดเลยที่ได้เจอกัน จะเหยียบเท้าฉันอีกรอบก็ยอมหละ (ท่าจะบ้านะเนี่ย : Osaki) รู้สึกว่าฉันจะลืมอะไรไปนะเนี่ย ใช่ๆ ฉันยังไม่ได้โทรหาไดคิคุงเลย แต่ว่าเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยโทรดีกว่า ตอนนี้ต้องรีบไปหายามาทาก่อนหละ
    กิ๊งก่อง!
    “ฉันเข้าไปนะ”
    “. . .”
    ไม่ได้ยินเสียงตอบรับของเทรูมิแฮะ รึว่าจะยังหลับอยู่ ฉันจึงเปิดประตูเข้าไป
    แกร๊ก
    ประตูก็ไม่ได้ล็อกนี่นา ฉันถอดรองเท้าแล้ว แต่ก็เห็นว่ารองเท้าของเทรูมิยังอยู่ อ๊ะ เธอนั่งอยู่ที่เดิมนั่นเอง แต่คราวนี้ไม่ได้ดูทีวีอยู่แฮะ
    “เทรูมิ”
    “. . .”
    “เทรูมิ”
    “. . .”
    “เทรูมิ!!!” ฉันตะโกนดังลั่น
    “อ่ะ จ๊ะๆๆ”
    คราวนี้เธอตกใจสุดขีด ก็แหม. . . เรียกตั้งหลายครั้งก็ยังนั่งเฉยอยู่ได้ เลยต้องตะโกนกันหน่อยหละ
    “หลับในเหรอเธอน่ะ เรียกตั้งหลายครั้งถึงไม่ได้ยิน”
    “โทษทีๆ ฉันกำลังตรวจงานอยู่น่ะ”
    “ตรวจงานแล้วเรียกทำไมไม่ได้ยินหละ”
    “อ๋อ. . . ฉันกำลังฟังเพลงอยู่หละมั้ง ใส่หูฟังด้วยเลยไม่ได้ยินนี่ MP3 รุ่นใหม่ แฮร์รี่เขาให้ฉันยืมมา ฟังมั้ยๆ”
    “ไม่หละ ขอบใจ หายดีแล้วเหรอ”
    ฉันพูดพลางเดินไปหยิบกล่องยามาทาขาที่แพลง
    “ก็ดีขึ้นแล้วนะ พรุ่งนี้คงต้องไปทำงานแล้ว ก็เลยเอางานที่ค้างไว้มาตรวจ ฉันโดดสอนหลายวันแล้ว กลัวโดนไล่ออก เลยหยุดนานไม่ได้”
    “งั้นก็ดีแล้วหละ ฉันไปนอนก่อนนะ”
    “อื้อ”
    จบจากบทสนทนาของฉันกับเทรูมินิดหน่อย ฉันก็ไปเอายามาทาเท้า หวังว่าพรุ่งนี้เท้าฉันคงจะกลับสู่สภาพปกตินะ แล้วคืนนั้น. . . สุภาพบุรุศใจดีนามมามิยะ โคจิก็ไม่ได้หายไปจากความคิดของฉันเลย ^_^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น