ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    :+:+:ปิ๊งรักนาย เจ้าชายยากูซ่า:+:+:

    ลำดับตอนที่ #6 : {BL@cK[G]u@Rd} - นายว่าอะไรนะ...

    • อัปเดตล่าสุด 31 ต.ค. 48


    ----ตอนที่หก[เละเทะ]แล้วนะคะ แบบว่าจะไปเข้าค่ายลูกเสืออีกหลายวันเลย คงไม่ได้มาอัพอีกนานน่ะครับ ยังไงก็จูงลูกชวนหลานมาอ่านแล้วส่งต่อกันเยอะๆ หน่อยนะคะ เห็นแก่เด็กอายุสิบสี่ตาดำๆ ปนขาวนิดๆ คนนี้เต๊อะ บ๋ายบายครับ----Osaki



        เช้านี้อากาศแจ่มใสแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาหาฉันแต่เช้า เมื่อคืนมีเรื่องทะเลาะกับนาฬิกาก่อนนอนนิดหน่อย วันนี้มันก็เลยยอมปลุกฉันตรงเวลาแต่โดยดี (ให้มันรู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ) ฉันอาบน้ำ สวมเสื้อผ้าชุดใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ อื้อหือ ชุดก็สวยคนใส่ก็สวย (อุ๊ย!) พอฉันออกจากห้องมาก็กินบะหมี่ถ้วย จากนั้นรีบออกจากห้อง วันนี้ไม่เจอคุณแฮร์รี่แฮะ สงสัยวันนี้เราคงออกจากห้องเช้าเกินไปหละมั้งเนี่ย ถนนยังโล่งแต่คนก็ยังเดินกันให้ขวักไขว่ วันนี้เราลองไปขึ้นรถไฟฟ้าดูดีกว่ามั้ยนะ แต่ไม่ได้สิ อีตานั่นสั่งเอาไว้ว่าให้รออยู่ที่นี่ห้ามไปไหน ตอนนั้นนึกกี่ทีก็ยังสยองไม่หาย จำได้เลยว่าตอนที่ตานั่นเข้ามาใกล้ หัวใจเต้นแรงมากๆ จนแทบจะหลุดออกมา แต่มันก็เป็นแค่คำสั่ง ถ้าเราไม่ทำตามตานั่นจะทำอะไรฉันได้ ฉันไม่สนสักอย่าง ใครจะทำไม วันนี้อุตส่าห์ตื่นเช้าทั้งที เดินไปโรงเรียนดีกว่า แค่ไม่กี่ป้ายรถเมล์เอง แถมยังได้ออกกำลังกายด้วย



        ฉันตัดสินใจ ทิ้งคำสั่งของตานั่นไว้ที่ป้ายรถเมล์ แล้วออกเดินไปโรงเรียน แต่เดินยังไม่เกิน 10 ก้าวสวรรค์ก็ไม่เข้าข้างฉัน ซ้ำร้าย ยังส่งน้ำคลำริมถนนมาให้อีกโครมใหญ่ ฮือๆๆ ชุดนักเรียนของช้านนนนนนนน ~





        กิ๊งก่อง!



        “รอแป๊บนึงนะคะ” เสียงเทรูมิตะโกนมาจากข้างใน ขอร้องหละ รีบๆ มาเปิดเร็วๆ เข้าสิ ฉันเหม็นตัวเองจะแย่อยู่แล้วนะ



        กิ๊งก่อง!



        “จ้า มาแล้วจ้า มาเปิดแล้วจ้า”



        แกรก



        “ตายแล้วเมมิ เธอไปชุบบ่อโคลนที่ไหนมาเนี่ย ชุดนักเรียนเพิ่งซักใหม่ๆ เลอะเทอะหมดเลย”



        “นึกว่าฉันอยากจะชุบบ่อโคลนเล่นนักเหรอ ไอ้รถบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ไม่ยอมขับกลางถนน เสยน้ำคลำมาให้ฉันโครมเบ้อเร้อแบบนี้เนี่ย”



        “ไปเลยเธอ รีบๆ ไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวมันกัดผิวขึ้นมาจะยุ่งนะ”



        “อื้อ”



        “เธอหาชุดนักเรียนอีกชุดนึงใส่ไปก่อนก็ได้ ฉันจะไปทำงานแล้ว เดี๋ยวเอาผ้าไปส่งที่ร้านให้”



        “ฉันมีชุดนักเรียนอีกชุดซะที่ไหนกันหละ ถึงจะเอาผ้าไปส่งที่ร้านซักรีด ฉันก็ไม่มีเงินจ่ายด้วย ตอนนี้ฉันกระเป๋าฉีกแล้วนะ”

        “โอ้โห. . . เธอนี่อับจนสุดๆ ไปเลยจริงๆ นะ อะไรจะโชคร้ายปานนี้ ฉันว่าตอนนี้เธออาจจะมีเคราะห์อะไรอยู่ก็ได้ งั้นเสาร์นี้เราไปทำบุญสะเดาะเคราะห์กันดีกว่า”



        “จะยังไงก็ตามเถอะ ฉันขออาบน้ำก่อนก็แล้วกัน”



        “อื้อ ฉันไปหละ”



        พระเจ้าช่วย ไม่สิ พระเจ้าไม่ช่วยตะหาก ก็อาจจะเป็นอย่างที่เทรูมิว่าก็ได้ ว่าฉันอาจจะมีเคราะห์ เรื่องพวกนี้พิสูจน์อะไรไม่ได้นักหรอก แต่เชื่อเอาไว้บ้างก็ดี พอฉันอาบน้ำเสร็จจนแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นน้ำคลำพวกนั้นแล้ว จึงไปหาชุดไปรเวทที่พอใส่ไปโรงเรียนได้มาใส่



        คราวนี้ฉันจะไม่เดินริมถนนอีกแล้ว ฉันจึงเดินลัดเลาะไปตามตึกราบ้านช่องตามแนวฟุตบาท ต้องเดินเร็วขึ้นด้วยเพราะฉันเสียเวลาอาบน้ำไปครึ่งชั่วโมงแล้ว และอะไรบางอย่างก็ทำให้ฉันสะกิดใจขึ้นมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว เหมือนกับว่ามีใครกำลังจะสะกดรอยตามฉันอยู่ แต่พอหันหลังไปมันก็ไม่ได้มีใครที่ดูมีพิรุธ ฉันพยายามไม่ใส่ใจและเดินต่อไป คราวนี้มีพวกชายชุดดำเหมือนพวกลูกน้องของเจ้าพ่อมาเฟียแกงค์ไหนสักอย่างเดินมาทางฉัน นี่ฉันจะโดนลักพาตัวเหรอเนี่ย จ๊ากกกกกก! ไม่นะ ฉันไม่มีอะไรให้ปล้น ไม่มีใครให้โทรไปเรียกค่าไถ่หรอก มัวมาคิดแบบนั้นอยู่ได้ ต้องวิ่งแล้วหละตอนนี้



        แต่ยังไม่ทันตั้งท่าจะวิ่ง พวกมัน 2 คนคว้าแขนของฉันทั้ง 2 ข้าง แล้วใช้วิธีลากอย่างอุกอาจ ไม่ต่างอะไรจากพวกลักพาตัว



        “อ๊าย พวกนาย ปล่อยฉันนะ ฉันไม่รู้จักพวกแก จะพาฉันไปไหน”



        ฉันโดนลากมาได้สักพัก ขาที่เหลือก็ครูดกับพื้นไปเรื่อยๆ ฉันพยายามดิ้นและสะบัดตัวแต่พวกมันก็ไม่ยอมปล่อย และไม่พูดอะไร จนมันเอาฉันมายัดใส่รถลีมูซีนคันหนึ่ง โจรลักพาตัวแกงค์ไหนเนี่ย แค่จะลักพาตัวต้องใช้รถถึงขั้นลีมูซีน ฉันว่าเอารถคันนี้ไปขายแกก็ใช้ชีวิตที่เหลือได้สบายแล้ว



        “ไง”



        “???”



        ตอนนี้ฉันไม่สงสัยเรื่องรถเรื่องพวกชายชุดดำนั่นแล้ว แตที่น่าสนใจและชวนตกใจกว่านั่นก็คือว่า. . . ฉันมานั่งอยู่ข้างๆ หมอนั่นน่ะสิ

        “นี่นายเองเหรอที่ทำแบบนี้ ลงมาพูดกันดีๆ ก็ได้ทำไมต้องฉุดกระชากลากถูแบบนี้ด้วยยะ ทำแบบนั้นกับสุภาพสตรีได้ยังไง ฉันเป็นคนฉันก็เจ็บเป็นนะยะ”



        “นั่งเงียบๆ เถอะน่า ฉันเตือนเธอแล้วว่าให้รอๆ แล้วเธอหายหัวไปไหน ต้องให้ฉันตามหาซะทั่ว”



        “ตามหาฉันเรื่องอะไรยะ”



        “ก็เรื่องสัญญาของเราน่ะสิถามได้” หมอนั่นหันมาพูดเน้นย้ำใส่หน้าฉัน “เฮ้! ออกรถได้แล้ว ไปที่นั่นนะ”



        “ครับ”



        คนขับรถหันมาตอบเรา ก่อนที่หน้าต่างระหว่างที่นั่งเบาะหลังกับคนขับจะถูกปิดลง รถคันนี้กว้างดีชะมัดเลย ก็แหม. . . ลีมูซีนนี่นา แถมเบาะยังเงาวาว แอร์เย็นฉ่ำ แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ฉันรับไม่ได้ก็คือ ตอนนี้ฉันอยู่กับหมอนี่ 2 ต่อ 2 น่ะสิ แต่วันนี้เขาดูเท่ห์มากเลย เขาไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบของโรงเรียนแต่กลับใส่ชุดสูทสีดำดูราคาแพง ทำให้ราศีเจ้าพ่อจับเลย คนอะไรจะเท่ห์ได้เท่ห์ดีปานนี้



        “นายนี่ก็ท่าทางจะรวยนะ หากินเองไม่เป็นรึไง”



        “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะเธอ เพราะฉะนั้นเธอต้องรบผิดชอบ ไม่มีการฝ่าฝืนคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น”



        “โห… นี่ๆ น้อยๆ หน่อยเถอะ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าพ่ออยู่รึไง (แล้วใครที่คิดอยู่หยกๆ ว่าหมอนี่เป็นเจ้าพ่อกันนะ)”



        เขาหันมาค้อนฉันด้วยสายตาน่ากลัว เหมือนเมื่อวานนี้เลย จริงสิ คราวก่อนที่เจอยังเฮฮาอยู่เลย ไหงตั้งแต่เหตุการณ์นั้นกลายเป็นเสือยิ้มยากไปเลยหละ ฉันว่าตอนนี้พักรบกันสักครู่ดีกว่า ขืนหมอนั่นวู่วามขึ้นมาจะเรื่องใหญ่



        “ทำไมเธอไม่รอฉันอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนท์”



        “ก็. . . ก็ฉันต้องรีบไปโรงเรียนไงหละ ไปสายก็โดนอาจารย์ทำโทษน่ะสิถามได้ ใครจะมารอให้นายโขกสับแต่เช้าหละ”



        อึ๋ย. . . ปากไม่อยู่สุกเลยนะเราเนี่ย เผลอพูดไม่ดีๆ อีกจนได้ >_<”



        “งั้นวันนี้ฉันจะรีบกินรีบไปส่งเธอก็แล้วกัน ถ้าเธอมีปัญหาแบบนี้ทุกวัน ฉันมีข้อแลกเปลี่ยนให้เอามั้ย”



        “ข้อแลกเปลี่ยน? ข้อแลกเปลี่ยนอะไร ถ้าฉันไม่อยากได้ฉันก็ไม่ขอยอมรับนะ”



        “ก็ง่ายๆ แค่เธอทำข้าวกล่องมาให้ฉันทุกเช้า ฉันก็จะยกค่าอาหารมื้อเช้าให้เธอ”



        “โอ้โห… ง่ายแค่นั้นเองเหรอ ตกลงสิ ตกลงอย่างไม่ต้องคิดให้เมื่อยรอยหยักในสมองเลย”



        “แต่มีข้อแม้นะ”



        “อ้าว อะไรหละ”



        “อาหารบังคับ จะต้องมี คาร์เวีย เนื้อเสต็กอย่างดี สึเกโมโนะ (ผักดองญี่ปุ่น) และถั่วหมักด้วยทุกครั้ง”



        “โห. . . แพงๆ ทั้งนั้นเลย คนอย่างนายนี่กินของถูกๆ แล้วมันจะเป็นยังไงนะ แต่ที่ประหลาดแล้วชวนให้น่าสะอิดสะเอียนสุดๆ ฉันไม่นึกเลยจริงๆ ว่านายจะกินถั่วเน่าด้วย”



        “ฉันกินถั่วหมักแล้วมันแปลกด้วยรึไง”



        “ไม่แปลกหรอก ฮ่าๆๆ ไม่ๆๆ ไม่แปลกเลย ฮ่าๆๆ คนหล่อกินถั่วเน่า ฮ่าๆๆ ”



        “เลิกขำได้แล้วน่า”



        “อื้อ ขอโทษที”



        ฉันสงบปากสงบคำแล้วนึกถึงถั่วเน่า เอ๊ย! ถั่วหมัก นึถึงอาหารแบบนี้ขึ้นมาทีไร ก็ชวนให้ขนลุกขนพองทุกที ฉันเคยกินอยู่ครั้งหนึ่งตอนอยู่ป. 2 เพราะโดนโรงเรียนบังคับให้กิน แค่คำเดียวเท่านั้นแหละ อ้วกออกมาหมดไส้หมดพุงเลย ฉันจึงถือว่ามันเป็นคนแปลกสำหรับฉัน และไม่พยายามไปเจอหรือแตะต้องมันอีก สาบานได้เลยว่าให้เงินล้านเยนกับฉันเพื่อแลกกับการกินถั่วหมักฉันก็ไม่เอาหรอก





        สักพักเราก็ไปถึงโรงแรม Keio Plaza Hotel เป็นโรงแรมหรูชั้นหนึ่งราคาแพงของย่าน นิชิ – ชินจูกุ แถบนี้ยังมีโรงแรมอีกมากมาย ล้วนแล้วแต่ ราคามหาโหดทั้งนั้น เขาสั่งบอดี้การ์ดคือพวกชายชุดดำนั่นให้อยู่ในรถ และพาฉันมาที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในโรงแรม มีชื่อว่า The pasta original food Italian ดูท่าทางจะเป็นร้านอาหารอิตาเลียนทั่วไปนั่นแหละ แต่ที่แน่ๆ ราคาแพงชัวร์



        “นี่นาย เงินฉันโดนนายผลาญไปตั้งแต่เมื่อวานจนตอนนี้ไม่เหลือสักบาท ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าคิดจะกินที่นี่ก็จ่ายเองก็แล้วกัน”



        “. . .”



        หมอนั่นไม่พูดอะไร ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไงกันนะ แต่ช่างเถอะ ถึงเวลานั้นเดี๋ยวก็รู้เองแหละน่า



        พอเข้ามาในร้าน พนักงานที่นี่เดินนำเราไปยังที่นั่งริมหน้าต่างของชั้น 32 ซึ่งเป็นที่ตั้งร้าน มองเห็นวิวสวยมาก มันเลยทำให้ฉันอยากจะเดินไปดูวิวรอบๆ ร้านจริงๆ



        “อยากจะกินอะไรมั้ย”



        “หือ”



        เขาพูดว่า. . . ‘อยากจะกินอะไรมั้ย’ กับฉันงั้นเหรอ นี่เราฟังผิดไปรึเปล่านะ หรือว่าผีเข้าหมอนี่ซะแล้ว หูฝาดไปมั้ง



        “เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”



        “อยากจะกินอะไรมั้ย ฉันจะสั่งให้”



        “ไม่เอาหรอก ถ้าฉันสั่งนายก็ต้องให้ฉันเป็นคนจ่ายอยู่ดี ฉันบอกนายแล้วนะว่าตอนนี้ฉันไม่มีเงิน แล้วฉันก็ไม่ยอมอยู่ล้างจานที่นี่เด็ดขาดด้วย”



        “รู้หรอกน่า มื้อนี้ฉันยกให้ก่อนก็ได้ จะสั่งอะไรก็ว่ามา”    



        “พูดจริงๆ เหรอ”



        “จริงสิ คนอย่างฉันไม่ผิดคำพูดหรอกน่า”



        “ตอนนี้จะจริงหรือไม่จริงยังไงฉันก็ไม่สนหรอก แต่ฉันไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้วฉันจะรีบไปโรงเรียน ขอร้องหละ ฉันยอมก้มหัวให้ก็ได้” ฉันพูดพลางลุกขึ้นก้มหัวให้หมอนั่น “ปล่อยฉันไปเถอะนะ กักตัวฉันไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะนะ”



        “. . .”



        หมอนั่นไม่พูดอะไรแถมยังทำหน้าไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม ฉันจึงก้มหัวให้เขาอีกครั้ง



        “จะไปไหนก็ไปเถอะ”



        “ขอบใจมากๆ เลย ฉันจะไม่ลืมข้อเสนอของนายหรอก แต่ตอนนี้ฉันไปก่อนนะ”



        ฉันสะพายกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากโต๊ะอาหารนั่น แต่พอก้มลงดูนาฬิกาข้อมือก็ชวนให้ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ฉันจึงเดินกลับไปหาหมอนั่นอีกครั้ง



        “นี่นาย. . .”



        “. . .” เขาหันมามองหน้าฉัน



        “คือว่า. . . ฉันอยากจะขอร้องให้ช่วยอะไรฉันสักอย่างได้มั้ย”



        “อะไร”



        “ตอนนี้มันก็สายแล้วนะ แถมนายยังลากฉันมาซะไกลด้วย กว่าจะต่อรถเมล์ไปมันก็คงสายโด่เด่แล้ว ถ้าไม่รังเกียจกันก็อยากจะขอค่ารถไฟสักพันนึงได้มั้ย”



        “. . .”



        ความจริงถ้าไม่จำเป็นอย่างยิ่งแบบนี้ฉันจะไม่ไปขอร้องคนหน้าเลือดอย่างหมอนี่เด็ดขาด แต่ช่วยไม่ได้นี่นา มันจำเป็นจริงๆ แล้วนี่นา ยอมอ่อนข้อให้สักหน่อยเพื่อความอยู่รอดของตัวเองดีกว่า และหมอนั่นไม่ยอมพูดอะไรอีกแล้ว แต่เขาก็ยอมควักตังค์ค่ารถไฟให้ฉันจนได้ แถมไม่ใช่แค่ 1 พันนะ ตั้ง 5 พันแน่ะ โอ้โห. . . คิดว่ากลัวคนอื่นเค้าไม่รู้รึไงว่านายน่ะรวย หมอนี่ไปรวยมาจากไหนนักหนานะ ฉันอยากจะได้แค่ 1 พัน แต่ให้ตั้ง 5 พัน แต่เอาเถอะ ตอนนี้อย่ามามัวคิดมากเรื่องนี้ รีบไปโรงเรียนดีกว่า



        ฉันลงลิฟต์อย่างรวดเร็วจากชั้น 32 แล้ววิ่งมาที่สถานีชินจูกุ กว่าจะฝ่าฝูงชนแถวนั้นมาได้ก็แทบแย่ ไม่ใช่ใกล้ๆ นะ ตั้ง 4 – 5 ช่วงตึก โอ๊ย. . . จะเป็นลม ไม่ได้ๆ ยังเป็นลมตอนนี้ไม่ได้ ฉันวิ่งไปที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติแล้วไปที่ชานชาลา คนงี้หยั่งกับมาดูคอนเสิร์ตทักกี้ & ซึบาสะงั้นแหละ รถไฟโตเกียวนี่เป็นแบบนี้เสมอเลยเหรอ ฉันไม่เคยใช้รถไฟที่นี่จะไปรู้ได้ยังไงกัน และเมื่อรถไฟเข้าเทียบชานชาลา คนก็กรูกันเข้าไปในรถไฟอย่างบ้าคลั่ง มีบางคนข้างหลังฉันก็ดันเข้ามาเหมือนกัน ฉันก็เลยเข้าไปในรถไฟได้  นายสถานีก็ดันผู้โดยสารเข้ามาเต็มที่เหมือนกัน นี่ถ้าล้อรถไฟทำด้วยยางคงแตกไปแล้วหละมั้ง ในที่สุด รถไฟก็เคลื่อนขบวนออกจากชานชาลามาได้ สงสารเด็กประถมกลุ่มนั้นจัง ต้องมาขึ้นรถไฟ แล้วต้องมาทนเบียดอยู่แบบนี้ทุกวันอีก ผู้ชายบางคนที่นั่งอยู่ก็น่าจะลุกให้คนเด็กๆ ได้นั่งบ้าง เห็นแก่ตัวจริงๆ แถมหลับอีกด้วยนะ แบบนี้มันน่าจะถอดรองเท้าตบเลยด้วยซ้ำ ร้อนก็ร้อน อึดอัดก็อึดอัด หงุดหงิดแล้วนะโว้ย. . . (ใจเย็นๆ จ้า ใจเย็นๆ)



        ตอนที่มาถึงสถานีกินซ่า คนลงเยอะมาก แต่ก็ขึ้นมาเยอะอีกเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่แล้วคนน่าจะไปลงที่สถานีชิบุย่ามากกว่า เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะเข้าแถวแล้ว ฉันตัวสั่นด้วยความตืนเต้นเพราะลุ้นให้รถไฟไปถึงสถานีฮษราจูกุเร็วๆ และพอมาถึงที่นี่คนก็เยอะพอสมควร แต่ไม่เท่ากับที่สถานีชินจูกุ ฉันรีบวิ่งออกจากสถานีโดยด่วน วิ่งไปอีกสัก 2 ฝั่งถนนก็ถึงโรงเรียนแล้ว นั่นไงๆ เห็นป้ายโรงเรียนแล้ว ไชโย ถึงสักที



        ฉันรีบวิ่งด้วยอึดใจสุดท้ายเข้าประตูโรงเรียน นักเรียนๆ ที่เพิ่งมาในเวลาไล่เลี่ยกับฉันก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน ดีจริงที่มาทัน ฉันคิดว่าแค่นี้คงจะเหนื่อยพอแล้ว ขืนวิ่งต่อไปมีหวังต้องมีอะไรจุกอกฉันตายแน่ๆ เลยเดินขึ้นห้องเรียนอย่างใจเย็น เมื่อมาถึง พวกของคาซาม่าก็กำลังนั่งเมาท์แตกสีหน้าดูเคร่งเครียดกันอยู่ พูดเรื่องอะไรกันเหรอ ขอเอี่ยวด้วยคนสิ



        “สวัสดีทุกคน ทำอะไรกันอยู่เหรอ”



        “อ้าว เมมิจังมาแล้วเหรอ นั่งสิ” คาซาม่าชวนฉันให้นั่งลง



        “เป็นอะไรกันรึเปล่า ทำไมหน้าดูเครียดๆ กันจังเลย”



        “จะไม่ให้เครียดได้ยังไงกันหละ ก็ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นน่ะสิถามได้” นาอิพูดพลางทำท่าออกอาการเซ็งขั้นรุนแรง



        “แล้วมันเรื่องอะไรกันหละ”



        “คือว่าตอนนี้มีพวกยากูซ่าแกงค์ใหม่ได้เกิดขึ้นแล้วน่ะสิ ถึงแม้มันจะยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าแกงค์อื่นๆ แต่มันก็ทำเลยเถิดไปนะ 2 – 3 วันมานี้ทำเอาเด็กโรงเรียนเราและบริเวณใกล้เคียงติดยากันเป็นร้อย แถมยังมาเก็บค่าคุ้มครองอีก ถ้าใครไม่จ่ายมันก็จะถือว่าไม่ให้ความร่วมมือ เอาลูกน้องมารุมซ้อมซะงั้น ฉันกลุ้มใจจะแย่” อิคุมิพูด เธอก็ทำหน้าเซ็งด้วยอีกคน



        “ยากูซ่าเหรอ? มันอาจจะไม่มายุ่งกับพวกเราก็ได้ พวกเธอไม่เห็นจำเป็นจะต้องเครียดขนาดนั้นเลยนี่นา”



        “ไม่ให้เครียดได้ยังไงกัน ยากูซ่าแกงค์นี้ตามจับยากจะตาย พวกเราเลยเหมือนว่าต้องทำงานหนักเป็น 2 เท่า เซ็งจริงๆ ”



        “แล้วมันเรื่องอะไรที่เธอจะต้องไปตามจับพวกมันหละ อยู่เฉยๆ ก็สบายดีอยู่แล้ว” ที่พวกคาซาม่าพูดมาฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี



        “นี่พวกเรายังไม่ได้บอกเธอหรอกเหรอว่าพวกเราเป็นสายตำรวจ” นาอิพูดเนือยๆ



        ฮ๊า!! สะ สะ สะ สาย สาย สาย ตะ ตะ ตำรวจงั้นเหรอ



        “นี่พวกเธอเป็น! อุ๊บ. . .”



        อิคุมิกระโจนเข้ามาปิดปากฉันทันทีเพราะความตกใจ



        “ชู่ว์~ อย่าพูดไปสิ ถ้าใครในห้องนี้รู้สักคนเกิดเรื่องใหญ่แน่ และจะพาลให้พวกเราตกงานกันหมดเลยรู้มั้ย”



        แล้วเมื่อฉันค่อยๆ ควบคุมตัวเองได้เธอก็คลายมือออก



        “นี่พวกเธอเป็นสายตำรวจจริงเหรอ (ฉันพูดเบาๆ) ”



        “ก็จริงน่ะสิ เพราะแบบนี้ไง พวกอาจารย์ถึงไม่ค่อยๆ ชอบเรา เพราะคิดว่าเราจะหลอกให้คนอื่นไปเสี่ยงอันตรายด้วย”



        “ก็นั่นสิ อาจารย์เขาก็พูดถูกนะ งานแบบนี้มันอันตรายจะตายไป วันไหนพลาดขึ้นมามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ”



        “ฉันรู้ เพราะพวกเราก็ตัดสินใจนานเหมือนกันกับงานแบบนี้ แต่เราชอบกันนี่นา แถมเงินดีด้วย เรื่องเสี่ยงๆ น่ะพวกเราไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”



        “ใช่ๆ ไหนๆ เมมิจังก็รู้เรื่องนี้แล้ว สนใจจะเป็นแบบพวกเรามั้ยหละ”



        ฉันตอบได้อย่างทันทีทันใดเลยว่า. . .

        “ไม่เอาหรอก เสี่ยงจะตาย ถึงเงินดีแค่ไหนมันก็ไม่คุ้มกับชีวิตฉันสักเท่าไหร่หรอก อีกอย่างนะ ฉันจะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้เลย ความฝันที่ฉันอยากจะทำก็ยังไม่ได้ทำ ขอมีชีวิตอยู่แบบเรียบๆ อย่างนี้ดีกว่า”



        “โอ้โห. . . พูดเหมือนคนปลงตกเลยนะ” คาซาม่าพูด



        “ฮิๆ “ นาอิหัวเราะคิกคัก



        “ขำอะไรกันหละ ฉันก็แค่พูดตามความจริง ฉันอยากจะทำงานเล็กๆ น้อยๆ เก็บเงินเอาไว้สร้างบ้านหลังใหญ่ๆ อยู่ริมทะเลอย่างที่ฉันเคยฝันเอาไว้ และถ้าฉันมีลูก ก็ขอให้เป็นลูกสาวน่ารักๆ อยู่ในบ้านแสนอบอุ่นริมทะเลกับคนที่เรารัก ใช้ชีวิตเรียบง่าย แบบนี้แหละที่ฉันต้องการ”



        พอฉันพูดจบ ทุกคนทำหน้าแหยกันใหญ่ ทำไมกันหละ ก็ฉันวางแผนชีวิตฉันเอาไว้แบบนี้นี่นา เรียบง่ายดีออกจะตายไป พวกเธออาจจะมองว่ามันไม่มีอะไรให้น่าค้นหาหรือไม่มีอะไรที่ท้าทาย แต่นี่ก็คือความสุขในแบบของฉัน ความสุขของฉันที่พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ขาดไม่เกิน มีคนที่เรารักให้คอยคิดถึง มีคนที่เป็นห่วงให้คอยดูแล แม้จะยากลำบากแค่ไหน ถ้าเรามีความปรองดองซึ่งกันและกัน เราก็จะมีความสุขได้แม้ว่าจะไม่เหลืออะไรก็ตาม. . .

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×