ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    :+:+:ปิ๊งรักนาย เจ้าชายยากูซ่า:+:+:

    ลำดับตอนที่ #4 : {BL@cK[G]u@Rd} - เพื่อนใหม่จอมป่วน[สามสาวสามมุม]

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 48


    ----ตอนที่ 4 แล้วนะงับ แบบว่ามันก็ดำเนินมาเรื่อยๆ นางเอกนี่รันทดจริงๆ คือตอนนี้ผมหาดอกไม้สีเทาอยู่อ่ะครับ ใครรู้จักช่วยบอกผมทีนะ ---- Osaki [โปสเตอร์อาราชิรอแม่ด้วยนะ งืดๆ]



    ฉันเดินเลาะริมถนนไปตามฟุตบาทเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง ฉันเงยหน้ามองป้ายโรงเรียน ที่นี่แหละคือโรงเรียนฮาจิโบคุเอ็น ตอนนี้ฉันยังคงแอบอยู่หลังเสาประตูโรงเรียน ด้านหน้าประตูมียามด้วย ฉันชะโงกหน้าไปดูเห็นนักเรียนชายและหญิงกลุ่มหนึ่งกลุ่นฟุตบอลอยู่กลางสนาม พวกเขาคงเรียนวิชาพละกันอยู่มั้ง ถ้าเดินเข้าไปเลยจะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย แต่คงไม่มีใครสงสัยฉันหรอกมั้ง จะมีก็แต่ยามหน้าโรงเรียนเนี่ยแหละ เข้า. . . ไม่เข้า. . . เข้า . . .ไม่เข้า. . . ฉันใช่เวลา 3 วินาทีก่อนจะตัดสินใจว่าฉันต้องเข้าไป ฉันตั้งสติแล้วเดินอย่างมาดมั่นเข้าไปในโรงเรียน ยามหน้าโรงเรียนนั่นไม่ได้สนใจฉันด้วย ถ้าหากพื้นคอนกรีตที่ลาดยาวไปจนถึงตัวตึกนั่นเป็น      แคทวอล์คหละก็ พวกเด็กนักเรียนที่กำลังเล่นฟุตบอลเสียงดังเอะอะนั่นก็คงจะเป็นพวกช่างภาพนักข่าวสินะ เพราะฉันกำลังสมมุติตัวเองว่าเป็นซุปเปอร์โมเดลอยู่น่ะสิ (หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ยังมีเวลาคิดอะไรแบบนี้อีก  เหรอเนี่ย : Osaki) ฉันเดินบิดซ้ายบิดขวาอย่างมั่นใจ แล้วคิดว่าฉันคงไม่ทำตัวผิดสังเกต เมื่อฉันเดินมาถึงตึก ฉันคาดว่านี่คงจะเป็นตึกที่ใช้เรียนกัน อืม… แล้วห้อง 3 – 3 ที่ฉันอยู่นี่มันอยู่ส่วนไหนของตึกหละเนี่ย



    “เอ่อ. . . คุณครับ”



    “คะ?”



    ฉันหันไปมองคนที่เรียกฉัน เขาคงเป็นอาจารย์หละมั้ง เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เน็คไทค์สีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ดูสุภาพเกินเหตุ แถมยังใส่แว่นหนาเตอะ กับหนังสือภูมิศาสตร์ที่ใหญ่มากๆ อีก 2 เล่ม เห็นแล้วหนักแทน



    “คุณเป็นอาจารย์ฝึกสอนเหรอครับ”



    “อาจารย์ฝีกสอน? “ ฉันทำหน้างง นี่ฉันหน้าแก่ถึงขั้นเป็นอาจารย์ได้เลยเหรอเนี่ย แต่ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าตอบว่าไม่ใช่ก็อาจจะดูมีพิรุธได้ “ค่ะใช่ ฉันเป็นอาจารย์ฝีกสอน ไม่ทราบว่าห้อง 3 – 3 ไปทางไหนเหรอคะ”



    “อ๋อห้อง 3 – 3 เหรอครับ อยู่ชั้น 3 ห้องริมบันไดเลยครับ รู้สึกคาบบ่ายวันนี้ผมก็มีสอนห้องนี้เหมือนกัน”



    เมื่ออาจารย์คนนั้นพูดขึ้นว่าวันนี้ก็มีสอนที่ห้องของฉันเหมือนกัน เล่นเอาฉันทำอะไรไม่ถูกเลยหันหลังให้อาจารย์คนนั้นแล้วเดินขึ้นบันไดฝั่งตะวันตกของตึกไปอย่างรวดเร็วและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์คนนั้นจะจำฉันไม่ได้



    แล้วฉันก็วิ่งขึ้นบันไดอย่างเหนื่อยหอบจนมาถึงชั้น 3 ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่จริงๆ แล้วก็เล่นเอาเหนื่อยสุดๆ ตอนนี้หัวใจฉันเต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากร่างกายยังไงอย่างงั้น เมื่อมาถึงชั้น 3 บริเวณทางเดินไม่มีใครอยู่เลย จึงทำให้ฉันโล่งใจไปอีกเปราะหนึ่ง อาจารย์แว่นคนเมื่อกี้บอกว่าห้อง 3 – 3  อยู่ริมบันได แต่ห้องที่อยู่ริมบันไดมันเป็นห้อง 2 – 5 นะ หรือว่าบันไดที่ว่านั่นจะเป็นฝั่งตะวันออก ลองเดินไปดูละกัน แล้วฉันก็เดินผ่านห้อง 2 – 5 ไปเรื่อยๆ มาถึงห้อง 3 – 1 นี่ต้องก้มสักหน่อยเพราะที่ประตูมีช่องกระจกด้วย ไม่รู้ว่านายนั่นจะอยู่ห้องไหน ยังไงก็ต้องก้มไว้ก่อน เลยห้อง 3 – 2 มาแล้วก็ถึงห้อง 3 – 3 มันอยู่ริมบันไดจริงๆ ตอนนี้ฉันยืนอยู่หน้าประตูสีขาวของห้อง 3 – 3 ใจฉันเริ่มเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง จะเข้าไปแล้วนะ ฉันเอามือจับที่เปิดประตู จะเปิดหละนะ 1. . . 2. . . 3!



    ผ่าง! ผ่าง! ผ่าง! เมื่อประตูห้องเปิดออก ทุกสายตาในห้องล้วนจับจ้องมองมาที่ฉันอย่างตื่นเต้นราวกับว่าฉันจะมาบอกข่าวดีอะไรกับพวกเขา ฉันพยายามหลบสายตาของพวกเขา เลยหันไปพบผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนทำหน้าดุใส่ฉันอยู่ตรงหน้าห้อง คิดๆ ดูแล้วฉันน่าจะรีบปิดประตูแล้ววิ่งหนีออกจากโรงเรียนที่มีบรรยากาศน่าอึดอัดนี่ไปเลยดีกว่า



    “มีอะไร” ผู้หญิงคนนั้นถามฉัน น้ำเสียงเธอทุ้มซะจนน่ากลัวเลยทีเดียว



    “คือ. . . ฉันมาสายน่ะค่ะ” ฉันกลัวจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่รูดสายกระเป่าเป้ขึ้นลง



    ผู้หญิงคนนั้นก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ “ทำไมไม่มาซะเที่ยงเลยหละ”



    พอเธอพูดจบเด็กนักเรียนในห้องก็หัวเรากันคิกคัก แต่ก็ต้องหยุดเมื่อเธอทำหน้าดุอีกครั้ง ฉันพูดอะไรไม่ออก แต่ยังคงรูดกระเป๋าเป้อยู่



    “แล้วทำไมเธอถึงไม่ใส่เครื่องแบบมา ที่นี่เป็นโรงเรียนนะไม่ใช่ชิบุยะ ถึงคิดจะใส่อะไรก็ใส่ตามใจชอบน่ะ”



    “คือ. . . ชุดฉันยังตัดไม่เสร็จน่ะค่ะ  เลยไม่ได้ใส่เครื่องแบบมา”



    จะได้ผลมั้ยเนี่ยแผนนี้



    “เอาเถอะ ฉันขี้เกียจบ่นเธอแล้ว”



    เฮ่อๆ ก็ดีเหมือนกัน น่าจะเลิกจู้จี้ได้ตั้งนานแล้วด้วย สรุปว่าแผนนี้ได้ผลรึเปล่านะ



    “เธอไปนั่งข้างโยชิม่าก็แล้วกัน”



    โยชิม่าที่ว่านี่คงไม่ใช่ผู้หญิงที่นั่งทำสายตาเย็นชาใส่ฉันอยู่คริมหน้าต่างใช่มั้ย ไม่ได้ว่านะแต่ตอนนี้เธอเหมือนแม่มดหรือไม่ก็พวกที่เล่นคาถามนต์ดำ ไสยศาสตร์อะไรพวกนี้มากเลย ยิ่งเธอยังเอาผมยาวๆ มาปิดหน้าปิดตาอีก สาเหตุที่ฉันคิดว่านั่นคือโยชิม่าก็เพราะโต๊ะข้างๆ เธอมันว่างอยู่พอดีแล้วเธอยังจะมองหน้าฉันแบบน่ากลัวๆ อีก เหมือนกับว่าฉันไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจจนเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างนั้นแหละ แต่ฉันก็ไม่เคยไปทำเรื่องบาดหมางอะไรกับใครเอาไว้นี่นา นอกจากนายนั่น O_O คิดแล้วมันน่าเจ็บใจ เอาหละ ฟู่. . . ฉันถอนหายใจแล้วเดินอย่างหวั่นๆ ไปนั่งข้างเธอ ตอนนี้เธอเลิกจ้องฉันแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอนี่สิ โบกไม้โบกมือให้ฉันใหญ่เลย สองคนนั่นจะเป็นพวกเดียวกับโยชิม่ารึเปล่านะ คงจะไม่ใช่หรอกมั้ง เพราะทั้งนิสัยและท่าทางดูน่าจะต่างกันเยอะเลย แล้วฉันก็นั่งลงข้างๆ โยชิม่าและยัดกระเป๋าใส่ในลิ้นชักใต้โต๊ะ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีคนมาสะกิดฉัน ฉันเดาว่าจะต้องเป็นพวกสองคนข้างหลังฉันแน่ๆ เลย



    “นี่เธอ. . . ชื่ออะไรอ่ะ” ผู้หญิงที่นั่งข้างหลังฉันถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น



    “เอ่อ. . .” ฉันกำลังจะบอกแต่. . .    



    “เคียวยามาดะ! ” อาจารย์หรือผู้หญิงคนเมื่อกี้ตะโกนชื่อใครสักคน ฉันเดาว่าคงจะเป็นผู้หญิงที่สะกิดหลังฉัน



    “โธ่อาจารย์คะ หนูแค่จะทักทายเพื่อนใหม่แค่นั้นเอง”



    “ฉันกลัวว่ามันจะไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ ตั้งใจเรียนได้แล้ว”



    ด้วยความที่ไม่มีหนังสือเรียนเลยสักเล่ม ฉันเลยต้องนั่งฟังอาจารย์สาธยายไปเรื่อยๆ แต่ฉันยังสงสัยเรื่องเมื่อสักครู่ที่อาจารย์พูดกับเคียวยามาดะซังว่ากลัวจะไม่ใช่แค่นั้น มันหมายความว่ายังไงกันนะ พวกเธอไปทำอะไรไม่ดีเอาไว้รึเปล่านะ



    พอหมดชั่วโมงเรียน ก็เป็นช่วงพักกลางวันพอดี ทุกคนก็หอบข้างกล่องออกไปกินนอกห้องบ้าง ใต้ต้นไม้บ้าง จะเหลือในห้องก็มีแค่ฉันกับโยชิม่าและผู้หญิงที่นั่งข้างหลังฉันอีก 2 คน





    “นี่เธอชื่ออะไรเหรอ” เคียวยามาดะซังสะกิดไหล่ฉัน



    “คุเซฮาร่า เมมิจ๊ะ” ฉันหันไปตอบ



    “คุเซฮาร่า เมมิ อืม. . .” เธอทำท่าทางครุ่นคิด ”เมมิ. . . เมมิ ฉันเรียกเธอว่าเมมิจังก็แล้วกัน”



    ก็ฉันชื่อเมมินี่นา ถ้าไม่เรียกชื่อฉันแล้วจะเรียกว่าอะไรหละ



    “นี่! ฉันจะแนะนำพรรคพวกของเราให้รู้จักนะ ฉันชื่อเคียวยามาดะ คาซามัตสึ เรียกว่าคาซาม่า เฉยๆ ก็ได้ ส่วนเธอคนนั้นชื่อโนอุเอะ นาอิ” คาซาม่าชี้ไปทางโนอุเอะจังที่กำลัง จัดแจงข้างกล่องอยู่



    “สวัสดีจ๊ะโนอุเอะจัง” ฉันทักเธอ



    “อื้อ หวัดดี แต่ฉันขอร้องเธออย่างนึงนะ ว่าถ้าจะเรียกฉันขอร้องอย่าเรียกนามสกุลนะ”



    “อ้าวทำไมหละ จะให้เรียกนาอิเลยมันก็แปลกๆ ไม่ใช่เหรอ” ฉันถามอย่างงงๆ



    “คือว่า บ้านนาอิเขาญาติเยอะน่ะ อยู่กันตั้ง 10 กว่าคน พอเรียกนามสกุลทีงี้หันขวับกันทั้งบ้านเลย”



    “ฮิๆ เหรอ งั้นฉันเรียกนาอิจังก็ได้”



    “อื้อดี ^_^”



    “ส่วนคนที่นั่งอกหักข้างเธอนั่นชื่อโยชิม่า อิคุมิ”



    “หวัดดีจ๊ะโยชิม่า” ฉันทักทายเธอแต่เธอก็ไม่มีอาการขยับเขยื่อนต่อเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงเอาแต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น



    “เรียกชื่อดีกว่านะ ฉันไม่ค่อยชอบให้เรียกนามสกุลกันสักเท่าไหร่เลย เราก็อายุใกล้ๆ กันไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องถืออะไรมากหรอกน่า” คาซาม่าบอกฉัน



    เออจริงแฮะ ขนาดเทริมที่อายมากกว่าฉันตั้งหลายปีฉันยังเรียกเขาเหมือนเพื่อนเลย



    “อ๋อเหรอ เอางั้นก็ได้”



    “เมื่อเช้าทำไมมาสายหละ” นาอิถามฉัน



    “มีเจ้าหนี้ตามทวงหนี้นิดหน่อยน่ะ เลยต้องไปเลี้ยงข้าวชดใช้เขา” ฉันตอบอย่างเซ็งๆ



    “เจ้าหนี้อันธพาลรึเปล่า หรือว่า. . . หรือว่าเป็นพวกยากูซ่าที่มากลั่นแกล้งเธอ” คาซาม่าถามฉันอย่างเอาจริงเอาจัง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องแค่นี้เธอจะต้องตื่นเต้นด้วย



    “เปล่า ไม่มีอะไรเหรอก” ก็เราดันซวยไปเป็นหนี้เขาเองนี่นา



    “นี่ๆ มากินข้าวกันดีกว่าฉันหิวแล้วนะ” นาอิพูดชวน



    คาซาม่าหยิบข้างกล่องของตัวเองออกมาจากกระเป๋า มันน่ากินมากๆ ถึงจะไม่ตกแต่งเป็นรูปหมีพูห์น่ารักเหมือนของนาอิ แต่ข้าวกล่องของโยชิม่ามีทั้งโทริยากิ (ไก่ราดซอส) ฮินาริซูชิ (เต้าหู้ทอด) โอนิงิริซูชิ (ข้าวปั้น) ทาโกะยากิ (ปลาหมึกย่างราดซอส) แล้วยังมีของหวานเป็นดังโงะ ทำไมวันนี้ฉันถึงเจอแต่ของดีๆ (แต่ไม่ได้กินนะ)



    “อิคุมิมากินข้าวเถอะ นั่งท่านั้นนานๆ เดี๋ยวก็เหน็บกินหรอก” นาอิพูด



    “พวกเธอกินกันไปก่อนเถอะ ขอฉันอยู่อย่างนี้อีกแป๊บนึง”



    นั่นไง เธอพูดแล้วแต่เสียงของเธอฟังดูเศร้ามากๆ เลย เวลาคนเราอกหักแต่ละทีนี่เป็นได้ขนาดนี้เชียว  เหรอ ฉันชักจะไม่อยากมีแฟนขึ้นมาหน่อยๆ แล้วสิ



    “เมมิจัง แล้วข้าวกล่องของเธอหละ” นาอิถามฉัน



    “ฉันไม่มีหรอก เมื่อเช้าฉันตื่นสายเลยไม่ได้ทำน่ะ”



    “อ้าว แล้วเธอจะกินอะไรหละ” นาอิเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นห่วง



    “นี่อิคุมิ ถ้าเธอไม่กินก็เอามาให้เมมิเขาสิ” คาซาม่าพูดกับอิคุมิ



    “เอาไปสิ” อิคุมิตอบเนือยๆ แล้วคาซาม่าก็รีบกุลีกุจอรื้อกระเป๋าของโยชิม่าเพื่อหาข้าวกล่อง



    “อ่ะ นี่ข้าวเที่ยงของเธอ” คาซาม่าพูดแล้วส่งของกล่องของอิคุมิมาให้ฉัน



    “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันลงไปซื้อขนมข้างล่างมากินก็ได้”



    ฉันมันคนขี้เกรงใจซะด้วยสิ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ฉันจะไม่ขอความช่วยเหลืออะไรจากใครหรอก สาเหตุที่ทำให้ฉันเป็นคนขี้เกรงใจคงจะมาจากการพร่ำสอนของคุณย่าของฉันหละมั้ง



    “รับไปเถอะ ของฟรีไม่คิดเงินหรอก” นาอิพูด



    “ฉันเกรงใจน่ะ รับไม่ได้หรอก”



    “เอาน่า… ถือซะว่าเป็น เป็นๆๆ เป็น อ๋อ เป็นการสมาชิกแกงค์คนใหม่ก็แล้วกัน”



    “อื้อใช่เป็นความคิดที่ดี” นาอิเห็นด้วย



    “จะดีเหรอ” ฉันยังคงเกรงใจอยู่



    คาซาม่ายัดข้าวกล่องใส่มือฉัน “ถ้าเธอไม่รับไปนี่ถือว่าเธอรังเกียจพวกเรานะ”



    โห… เล่นงี้เลย ฉันหันไปมองนาอิ เธอก็พยักหน้าให้ฉันเหมือนจะบอกว่า ‘รับๆ ไปเถอะ’ เอาไงดีหละ ถ้าไม่รับก็จะกลายเป็นว่าเราไปรังเกียจเขาอีก แล้วถ้ารับหละ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา รับๆ ไว้คงไม่เสียหายอะไรหรอกน่า



    “เอ่อ. . . ขอบใจนะ”



    “ก็น่าจะรับๆ ไว้ได้ตั้งนานแล้ว มัวเกรงจงเกรงใจกันอยู่ได้ กินๆๆๆ ได้แล้ว หิวแล้ว”



    แล้วพวกเราก็ตั้งวง เอ๊ย! ร่วมวงกันเปิบข้าวกล่องกันอย่างเอร็ดอร่อย ข้างในข้าวกล่องของอิคุมินั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผักนานาชนิด ทั้งแครอทต้ม หน่อไม้ต้ม แตงกวาต้ม เท็มปุระ (กุ้งชุบแป้งทอด) และสุดท้าย. . . ฟักทองต้ม ให้ตายสิ ทำไมฉันจะต้องมาเจอเจ้าผักน่าขยะแขยงนี่ด้วยนะ สีเหลืองๆ นิ่มๆ แหยะๆ อี้! น่าเกลียดที่สุด มาเจอแบบนี้แล้วฉันก็เลยต้องเลือกกินอีกแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงเกลียดฟักทองอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น แล้วไอ้นิสัยเกลียดฟักทองของฉันมันก็แก้ไม่หายซะด้วยสิ  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นผัดฟักทอง ฟักทองต้ม ขนมไส้ฟักทอง หรืออะไรก็ตามที่เป็นฟักทอง จ้างฉันสิบล้านฉันก็ไม่มีทางกินมันเด็ดขาด



    “แปลกนะ ทำไมวันนี้เธอไม่ทำอาหารไทยมาหละ แต่กลับทำทาโกะยากิมาแทน” นาอิพูดไปแทะข้าวหน้าหมีพูห์ไปเรื่อยๆ



    “ก็แม่ฉันน่ะสิ” คาซาม่าพูด “ต้องกลับไปเยี่ยมคุณยายที่ภูเก็ต คุณพ่อก็เลยให้คุณย่าที่อยู่โอซาก้ามาอยู่เป็นเพื่อนฉัน”



    “ภูเก็ตที่ว่านี่อยู่ประเทศไทยใช่มั้ย ที่เคยโดนสึนามิถล่มน่ะ”



    “ใช่เลย คาซาม่าน่ะเขามีแม่เป็นคนไทย บ้านของคาซาม่าก็ขายอาหารไทยด้วยนะ อร่อยมากเลย โดยเฉพาะส้มตำปูปลาร้านี่เด็ดสุดๆ ถ้าเธออยากกินวันหลังเธอไปกับเราก็ได้นะ”



    “จริงเหรอ” ฉันถามอย่างตื่นเต้น



    “นี่นาอิ ทำไมไม่เล่าเรื่องเทพบุตรสุดหล่อของแกงค์เราให้เมมิฟังหละ “คาซาม่าพูดกับนาอิแล้วเหล่สายตาไปมองอิคุมิ ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะทำให้อิคุมิหันมาสนใจในสิ่งที่เธอกำลังพูด



    “อ๋อ… ได้เลย” นาอิก็เหล่สายตาไปมองอิคุมิเช่นกัน ฉันก็เลยหันไปมองบ้าง อิคุมิเองก็เริ่มมีอาการประมาณว่าจะเริ่มสนใจสิ่งที่พวกเรากำลังจะพูดขึ้นมาบ้าง



    “พวกเราน่ะ มีคนที่ปลื้มกันด้วยนะ เขาชื่อเซยามะ ไดคิ หรือที่เราขนานนามกันว่า ‘เทพบุตรสุดหล่อไดคิคุง’ “ นาอิเริ่มเล่าพลางทำท่าฝันหวาน “เซยามะคุงเนี่ยนะ เขาเป็นทั้งดาวโรงเรียน แล้วก็ยังเป็นกับตันทีมฟุตบอลอีกด้วยนะ เขานิสัยดีมากเลย เป็นสุภาพบุรุศสุดหล่อของสาวๆ ในโรงเรียนทุกคน แถมยังหน้าตาเหมือน. . . เหมือนใครหว่า. . . คาซาม่า ฉันจำชื่อไม่ได้เธอช่วยนึกหน่อยสิ”



    “แล้วเขาเหมือนใครกันหละ ฉันก็จำชื่อไม่ได้เหมือนกัน” คาซาม่าก็นึกไม่ออกขึ้นมาซะงั้น



    โอ๊ยรีบๆ บอกเข้าสิ ฉันอยากรู้จะตายอยู่แล้ว นิสัยห้ามไม่ได้อีกอย่างของฉันก็คือชอบไปจีบพวกดาวโรงเรียนทั้งหลายนี่แหละ จะบอกอะไรให้นะ พวกดาวโรงเรียนที่โรงเรียนเก่าของฉันนะ ฉันจีบมาหมดทุกคนแล้วด้วยขอบอก



    “เหมือนดาราไต้หวันอ่ะ หล่อๆ สูงๆ ชื่อดี. . . ดีอะไรสักอย่างนี่แหละ”



    “ดีแลน กัว” อิคุมิพูดหลังจากที่เธอนิ่งมานาน



    “. . .”



    “พวกเธอนี่ไปชอบไดคิคุงเขายังไงถึงจำเรื่องแค่นี้ไม่ได้นะ นี่เมมิจัง ไดคิคุงน่ะนะ เขาเหมือนดีแลน กัวมากๆ เลย” อิคุมิหันมาพูดกับฉัน “ดีแลน เอ๊ย! ไดคิคุงน่ะ เขาเกิดวันที่ 7 มีนาคม วัดส่วนสูงครั้งล่าสุดเขาสูง 183 น้ำหนัก 71 กิโลฯ กรุ๊บเลือด B ได้เกรดเมื่อปีที่แล้วคือ B – สำหรับฉันนั่นคือเรื่องที่รับไม่ได้ในตัวไดคิคุงที่สุด คนเรียนดีมาตลอดอย่างเขาทำไมเกรดปีนี้ถึงย่ำแย่นักนะ แต่ไม่เป็นไร อิคุมิคนนี้พร้อมให้อภัยได้เสมอ ความสามารถพิเศษคือเล่นฟุตบอล นักฟุตบอลในดวงใจคือ เดวิด เบคแฮม ชอบฟังเพลงทุกเพลงของ Maroon 5  และ ARASHI สะสมลูกฟุตบอลทุกยี่ห้อ มีแฟนเป็นทางการมาแล้ว 4 คน ล่าสุดคือยัยเซเลอร์มูนที่อยู่โรงเรียนไดโดคุ จะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่ได้หลงตัวเองหรอก แต่ฉันว่าฉันสวยกว่ายัยเซเลอร์มูนนั่นอีก”



    อืม. . . ข้อนี้ฉันเห็นด้วย -_-“



    “และความลับที่มีเฉพาะพวกเราเท่านั้นที่รู้ก็คือ ไดคิคุงน่ะ เขาชอบใส่กางเกงในสีแดง” อิคุมิพูดจบฉันก็ตกใจทันที



    “เฮ้ย!!!” ฉันอุทานดังลั่นเพราะตกใจกับเรื่องที่โยชิม่าพูด นี่ถ้ามีการจัดแข่งขันแฟนพันธุ์แท้ไดคิคุงนี่ฉันยกรางวัลให้เธอไปเลยนะเนี่ย แต่แหม. . . รู้ถึงขั้นสีกางเกงในนี่มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ



    “อย่าพูดเสียงดังสิ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะสงสัยนะ”



    “แล้วพวกเธอไปรู้เรื่องนี้มาได้ยังไงเหรอ”



    “เรื่องนี้ต้องยกความดีให้คาซาม่าเขาเลยหละ ที่โชคดีได้อยู่ชมรมฟุตบอล ชมรมเดียวกับไดคิคุง เลยได้มีโอกาสเห็นอิคุมิคุงเขาแก้ผ้าบ่อยๆ ”

    เฮ้อ. . . พวกเธอนี่เหลือเกินจริงๆ



    “นี่ๆ ฉันว่าเราพักคุยเรื่องของอิคุมิคุงเอาไว้สักประเดี๋ยวได้มั้ย ตอนนี้ฉันกลุ้มมากๆ เลยนะ”



    “อ้าว มีเรื่องอะไรเหรอ มีใครรังแกเธอรึเปล่า ให้พวกเราจัดการให้ก็ได้นะ” คาซาม่าพูดท่าทางจริงจัง



    “เปล่าหรอก แค่เมื่อเช้าฉันไปหลอกอาจารย์สอนภูมิศาสตร์คนหนึ่งเอาไว้น่ะว่าฉันเป็นอาจารย์พิเศษ ภาคบ่ายนี่เขาจะมาสอนห้องเราด้วยจะเอายังไงดี ขืนเขาจำฉันได้หละก็ยุ่งแน่ๆ เลย”



    “เหรอ. . .” นาอิและอิคุมิรับฟัง



    “ฉันว่าเอาอย่างนี้ละกัน”



    “ยังไงเหรอ” ฉันถามด้วยอาการสงสัย



    “เดี๋ยวก็รู้”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×