ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : {BL@cK[G]u@Rd} - โอ้มายก๊อดเด้ส!!!
----โอย. . . กว่าจะลงตอนนี้เส็ด จุดเยอะเป็นบ้าเลย เราขอร้องเลยนะว่าอย่ามาฝากเรื่องที่ช่อง C O M M E N T เลย เพราะไม่ใช่ว่าเราใจร้ายนะ ถึงไงเราก็ไม่ไปอ่านของใครเด็ดขาด ถึงอ่านก็ไม่เคยฝากเลย ขอร้องหละ เม้นได้แต่จริงใจกันหน่อยดิ แล้วก็ไปงานหนังสือมา เจอเจ๊ปลา (เจ้าปลาน้อย) พี่แตมป์ พี่เดียว (หนุ่งกรุงโซล) นั่งขลุกอยู่ด้วยตั้งนาน ขอบคุงพี่ๆ ด้วยนะครับที่อวยพรให้หนังสือแพรขายดี (อิอิ แต่ยังไม่ได้ออกขายสักหน่อย) ไคได้ไปบูธแจ่มใสจะอึดมาเลย (อึดอัดน่ะ) ไปมาจะรู้ ---- Osaki
    ก๊อก ก๊อก ก๊อก
    “นี่แม่คู้นนนนนน จะรอให้ดีแลน กัวมาปลุกรึไง อยากไปโรงเรียนสายตั้งแต่วันแรกเหรอ”
    “. . .”
    “นี่เมมิ ยังไงซะฉันทำอาหารเช้าไว้ให้ ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมล็อกประตู ฉันไปทำงานแล้วนะ เอ้อ! อีกอย่างเสื้อผ้าเธอฉันจะเอาไปส่งซักให้ก็แล้วกัน ตอนเย็นนี้ไปรับคืนด้วยนะ”
    ปั้ง!
    ไปโรงเรียนสายเหรอ ? มันหมายความว่ายังไงกัน คุณย่ายังไม่มาปลุกเลย นี่มันกี่โมงแล้วนะ ฉันคลำหานาฬิกาปลุกบนหัวเตียงแล้วหยิบมันขึ้นมาดู อ๊ายยยยยยยยยยย! นี่มันจะ 8 โมงอยู่แล้ว ไอ้นาฬิกาบ้า ทำไมแกไม่ปลุกฉัน หึ้ย. . . ฉันจะฆ่าแก อุ๊ย แต่ฉันต้องรีบไปโรงเรียนนี่นา ฝากไว้ก่อนเถอะ คืนนี้แกไม่รอดแน่
    ฉันรีบลุกพรวดออกจากเตียงไปที่โต๊ะอาหารแล้วยัดอาหารเช้าที่เทรูมิทำไว้ให้เข้าปาก (แหม. . . ง่ายนิดเดียวเอง) จากนั้นก็รีบอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัว แล้วกลับมาแต่งตัวที่ห้อง เสื้อคอจีนของฉันมันอยู่ไหนกันนะ ฉันเลยรื้อตู้เสื้อผ้าเละเทะไปหมด นี่ถ้าย่าลงมาจากสวรรค์คงจะด่าฉันเละแน่เลย อยู่ไหนกันนะ
    “อ๊า เจอแล้ว ^-^”
    แล้วฉันก็ใส่มันอย่างทุลักทุเล ว่าแต่จะใส่กระโปรงหรือกางเกงดีหละ ไม่มีเวลาเลือกแล้วนะ ฉันจึงคว้ากระโปรงลายดอกสีชมพูมาใส่ หยิบกระเป๋านักเรียนที่ไม่มีข้าวของอะไรในนั้นเลย วิ่งออกจากห้องมา
    อ๊ะ ผู้ชายคนนั้น หนุ่มห้องตรงข้ามที่เทรูมิชอบนี่นา อยากเห็นหน้าเขาใกล้ๆ จัง เขากำลังจะไหนนะ นั่นเขาเข้าไปในลิฟต์แล้วนี่นา
    “ลิฟต์ตัวนั้นรอฉันด้วยค่ะ”
    ฉันรีบวิ่งไปที่ลิฟต์ ตายหละหว่า มันกำลังจะปิดแล้ว ฉันจึงเบี่ยงตัวเข้าไป แต่ว่า. . .
    “แอ้ก! ไม่เห็นรึไงว่าลิฟต์มันหนีบฉัน ช่วยเปิดก่อนได้มั้ย”
    บ้าจริงดันโดนลิฟต์หนีบซะได้ แล้วเล่นหนีบกลางหน้าอกฉันด้วยนะ เล่นเอาระบมเลย วันนี้จะมีอะไรซวยไปกว่านี้อีกมั้ยนะ
    “ผมขอโทษทีนะครับ แบบว่าผมไม่ทันเห็น คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
    อีตาบ้า หัดสรรหาคำพูดหน่อยนะ พูดมาได้ไม่ทันเห็น ฉันคนนะไม่ใช่มด
    “เอ่อ. . . คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ” เขามองหน้าฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วงเอาเรื่อง ฉันมองหน้าเขาแล้วตาเราก็ประสานกัน โห. . . หมอนี่หล่อชะมัดเลย ผมทองแถมตาสีฟ้า คนญี่ปุ่นเมืองไหนกันนะที่มีตาสีฟ้า สงสัยเขาจะเป็นลูกครึ่งหละมั้ง  แต่ขอบอกเลยว่าตาหมอนี่สวยมากๆ ฉันแทบจะหักห้ามใจไม่ให้ควักลูกตาของเขามาไม่ไหวแล้ว
    “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
    “คุณคือคุเซฮาร่าใช่มั้ย” หมอนั่นมองหน้าฉันอีกครั้ง เขารู้ชื่อฉันได้ยังไงนะ
    “ใช่ค่ะ คุณรู้ชื่อฉันได้ยังไง”
    เขาเอามือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้าง “เทรูมิเขาบอกผมเมื่อคืนก่อน จริงสิคุณ ผมฝากไปขอโทษเทรูมิเขาด้วยนะที่เมื่อคืนก่อนผมทำกับเธอรุนแรงไปหน่อย”
    ไอ้รุนแรงที่ว่านี่มันหมายความว่ายังไงกัน ? นายไปขับรถชนเทรูมิเหรอ ? หรือว่าจะหมายถึงเรื่องแบบนั้น. . . อึ๋ย ไม่เอาๆ อย่าคิดเชียวนะ เรื่องของผู้ใหญ่เขา ขืนฉันคิดต่อไปมันต้องเลยเถิดแน่ๆ เลย
    “ละ แล้วฉันจะบอกให้นะคะ”
    “เอ่อ. . .”
    ติ้ง! เมื่อถึงชั้นหนึ่ง ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันกับหมอนั่นก็ออกมาจากลิฟต์
    “เมื่อกี้คุณจะพูดเรื่องอะไรเหรอคะ”
    คือ เราคุยกันมานานแล้ว ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมแฮร์รี่ ชินครับ”
    “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
    แล้วเราก็จับมือกันแสดงความยินดีที่ได้รู้จักกัน ความจริงฉันอยากจะก้มหัวให้เขาเพราะดูท่าทางแล้วเขาคงแก่กว่าฉัน แต่ในเมื่อเขายื่นมือมาให้ฉันคงต้องจับหละ
    “คุณกำลังไปไหนรึเปล่า ถ้าไม่รังเกียจให้ผมไปส่งคุณก็ได้นะ”
    ฉันเหลือบไปเห็นนาฬิกาคุณปู่ที่อยู่ตรงหน้าลิฟต์ พระเจ้า!!! 8 โมง 10 นาทีแล้ว ฉันไปโรงเรียนสายจนได้ ฉันต้องรีบไปแล้ว
    “ขอโทษจริงๆนะ แต่ฉันต้องรีบไปแล้ว”
    ฉันวิ่งออกมาจากอพาร์ตเมนท์ไปที่ป้ายรถเมล์
    ฉันรอรถเมล์เกือบ 5 นาที แต่ก็ไม่มีรถเมล์สักคัน จะมีก็แต่แท็กซี่ที่จอดเรียงกันเป็นตับ แถวๆ นี้ก็ไม่มีนักเรียนแล้วด้วย สงสัยจะเข้าเรียนกันหมดแล้วมั้ง ฉันควรจะเดินไปดีมั้ยนะ แต่ว่าโรงเรียนมันอยูไกลจะตาย โธ่เอ้ย. . . รู้งี้ฉันสอบเข้าโรงเรียนไดโดคุใกล้ๆ นี่ดีกว่า ทำไงดีๆ
    ปิ้น ปิ้น
    หือ. . . ใครบีบแตร ฉันพยายามมองไปรอบๆ เพื่อหาต้นเสียง แล้วก็มีอะไรมาสะดุดตาฉัน ช็อปเปอร์สีดำนี่ยังไม่เท่าไหร่แต่คนขับเนี่ยสิใส่ชุดหนังสีดำ ถุงมือหนังสีดำ แถมหมวกกันน็อกก็สีดำอีก ใครส่งขบวนการ Men In Black มาที่ญี่ปุ่นเนี่ย อยากรู้จังว่าเจ้าของช็อปเปอร์นั่นคือใคร
    “คุณคุเซฮาร่าครับ”
    นั่นเสียงแฮร์รี่ เขาอยู่ไหนนะ ฉันหันซ้ายหันขวาก่อนที่จะหันไปมองซ็อปเปอร์คันนั้นอีกที คนขับซ็อปเปอร์โบกมือให้ฉันก่อนจะปลดสายหมวกกันน็อกแล้วถอดมันออก คนขับช็อปเปอร์คันนั้นคือแฮร์รี่ ปกติแล้วฉันค่อนข้างจะชอบรถช็อปเปอร์นะ แต่ฉันจะรู้สึกไม่ชอบผู้ชายที่ขี่ช็อปเปอร์ อีกใจนึงฉันก็อยากจะขึ้นไปซ้อนท้ายผู้ชายที่ขี่ช็อปเปอร์ ฟังแล้วงงๆ เนอะ ใครได้ฟังคงคิดว่าฉันประสาทแน่ๆ เพราะฉันเองยังคิดว่าฉันประสาทเลย
    กลับมาที่เรื่องของแฮร์รี่ดีกว่า หลังจากที่เขาถอดหมวก เขาก็ลงมาจากรถแล้วเดินมาหาฉัน เขาเท่ห์มากในชุดนี้ จนฉันอยากจะให้คนที่เดินผ่านไปมาตอนนี้คิดว่าฉันเป็นแฟนของแฮร์รี่จัง (แค่คิดนะ)
    “คุณมีอะไรกับฉันรึเปล่าคะ”
    “ผมว่า. . . ถ้าคุณจะรอรถเมล์หละก็คุณคงไปทำงานสายแน่ๆ เลย ผมให้โอกาสคุณอีกทีนะว่าจะให้ผมไปส่งมั้ย”
    “เอ่อ. . .“ แหม. . . ถึงนายจะหล่อสู้เจ้าชายแฮร์รี่ไม่ได้แต่มาดนายตอนนี้ก็บาดใจฉันสุดๆ ไปเลย ฉันอยากจะตอบตกลงนายไปเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างนั้นก็เถอะ เราเป็นผู้หญิง จะให้ตอบตกลงผู้ชายไปดื้อๆ แบบนั้นได้ยังไง มันก็ต้องมีเล่นตัวกันบ้าง
    แฮร์รี่มองขึ้นฟ้า “คุณคงจะรังเกียจรถผมสินะ ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ” แล้วเขาก็เดินหันหลังไป
    ไม่นะแฮร์รี่ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น
    “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะแฮร์รี่”
    เขาหันกลับมา
    “เอ่อ. . . รถคุณสวยมากเลยค่ะ” เอาไงต่อดีหละ “ดูสิมีไฟท้ายด้วยสวยมากๆ เลย” เอาเข้าไป ให้มันได้อย่างนี้สิเรา รถบ้านเมืองไหนเขาไม่มีไฟท้ายกันบ้างหละ
    “สรุปว่าให้ผมไปส่งคุณนะ”
    “เอ่อ. . .”
    “ผมรู้ว่าคุณไม่กล้าพูด เอาเป็นว่าผมเข้าใจละกัน ไปเถอะเดี๋ยวคุณจะไปทำงานสาย”
    นี่ฉันจะได้ซ้อนท้ายผู้ชายบนช็อปเปอร์แล้วเหรอเนี่ย ฝันที่เป็นจริง ไปสิๆ เรารีบไปกันเลย ฉันแทบจะรอไม่ไหวแล้ว
    “ผมมีหมวกกันน็อกใบเดียว ผมให้คุณใส่ดีกว่า” เขาพูดพลางส่งหมวกกันน็อกสีดำที่เขาใส่เมื่อสักครู่ให้ฉัน ฉันไม่สงสัยเทรูมิถึงชอบแฮร์รี่หัวปักหัวปำ เพราะเขาทั้งหล่อ ทั้งนิสัยดีแถมมีน้ำใจ นี่แหละผู้ชายในฝัน ฉันก็ชักจะชอบเขาขึ้นมาแล้วสิ แต่ไม่ได้เด็ดขาด ฉันจะชอบแฟนเพื่อนไม่ได้
    ฉันใส่หมวกกันน็อกอย่างทะมัดทะแมง (ตอนนี้ที่ฉันอยู่นีงาตะต้องขี่มอเตอร์ไซด์ส่งขนมปังบ่อยๆ เลยชินซะแล้ว) แล้วกำลังจะขึ้นซ้อนท้ายแฮร์รี่ แต่ก็มีใครไม่รู้มาฉุดแขนฉันลงจากรถ ฉันแทบจะล้มให้ได้เลย ไอ้บ้าที่ไหนนะมันทำกับฉันแบบนี้ บังเอิญว่าหมวกของแฮร์รี่มันลงมาปิดตาฉันพอดีเลยทำให้ฉันมองไม่เห็นไอ้บ้านั่น มันลากฉันมาได้สักพักก็หยุด มันคิดจะทำอะไรกันแน่
    แล้วมันก็ถอดหมวกกันน็อกบนหัวฉันออก ทำให้ฉันมองเห็นหน้ามัน ไม่จริง!!!
    “ใช่เธอจริงๆ ด้วย” ไอ้บ้านั่นพูด
    โกหกน่า ไอ้บ้าที่มันลากฉันลงมาจากรถเมื่อกี้นี้คือผู้ชายที่ฉันทำชาหกใส่เขาเมื่อวานนี้ ให้ตายสิ ฉันนึกว่าชาตินี้จะไม่เจอนายคนนี้อีกแล้วเชียวนะ นี่มันเป็นวันซวยประจำปีของฉันรึไงกันเนี่ย
    “นี่คุณ! ทำอะไรเธอน่ะ” แฮร์รี่ตะโกนแล้วเดินเข้ามา
    แฮร์รี่ช่วยฉันที
    “นายเป็นใคร” นายนั่นถามแฮร์รี่ด้วยท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์
    “ผมเป็นเพื่อนเธอ แล้วคุณเป็นใคร” อุ๊ย แฮร์รี่ นายเท่ห์มากๆ เลย ฮิ ฮิ แล้วฉันจะมาหัวเราะทำบ้าอะไร เนี่ย ฉันกำลังลำบากอยู่นะ
    “แล้วทำไมแกต้องรู้ด้วยวะไอ้ฝรั่งขี้นก”
    “นี่นายอย่ามาว่าเพื่อนฉันแบบนี้นะ” ฉันก็เริ่มมีน้ำโหแล้วเหมือนกันนะ
    “เพื่อนเธอ?” นายนั่นชี้ไปที่แฮร์รี่ “ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับฉันนี่ เราไปกันได้แล้ว”
    นายนั่นคว้าข้อมือฉันแล้วกำลังจะยัดฉันเข้าไปในรถคันหนึ่ง
    “นี่คุณ! คุณเป็นใคร แล้วจะพาเธอไปไหน” แฮร์รี่วิ่งตามมา
    นายนั่นหยุดแล้วถอนหายใจก่อนที่จะเอามือไปตบไหล่แฮร์รี่เบาๆ “แกจะปล่อยให้คนเป็นแฟนกันเขาอยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอวะ”
เฮ้ย! นี่ฉันไปตกลงปลงใจจะเป็นแฟนกับนายตั้งแต่เมื่อไหร่กันยะ อย่ามามั่วนะ ไม่ใช่นะแฮร์รี่อย่าไปเชื่อมัน
    “โธ่. . . คุณก็น่าจะบอกผมแต่แรกว่าคุณสองคนเป็นแฟนกัน” แฮร์รี่หันมาที่ฉัน “แฟนคุณมารับแล้ว งั้นผมไปก่อนนะครับ”
    แฮร์รี่โบกมือให้ฉัน นี่ฉันควรจะเรียนนายว่า ตาบ้าหรือตาทึ่มดีเนี่ย นายเซ่อนี่นายเชื่อเรื่องที่นายนั่นพูดได้ยังไงกัน โอ๊ย. . . จะบ้าตาย
    “แฮร์รี่ไม่ใช่นะ เขาไม่ได้เป็น อุ๊บ!. . .” นายนั่นเอามือมาปิดปากฉันก่อนที่จะผลักฉันเข้าไปในรถจากนั้นก็ปิดประตู
    สักพักนายนั่นก็สตารท์รถแล้วขับออกไป
    “นี่นาย” ฉันจ้องหน้านายนั่นเขม่ง “ไปพูดกับแฮร์รี่เขาแบบนั้นได้ยังไง ถ้าเกิดเขาเข้าใจผิดขึ้นมาใจแก้ยังไงยะ”
    “ไอ้ขี้นกนั่นชื่อแฮร์รี่เหรอ” นายนั่นพูดหน้าตาย
    “แล้วไง?”
    “เธอรู้มั้ยว่าแฮร์รี่แปลว่าอะไร”
    “. . .”
    นายนั่นมองมาที่ฉัน “แฮร์รี่ก็แปลว่าขนดกไง ชื่อยังบ่งบอกขนาดนี้แล้วของจริงตรงนั้นจะดกขนาดไหน ฮ่าๆๆ”   
    หนอยยยยยยย อย่ามาว่าแฮร์รี่แบบนั้นนะ “เขาจะดกหรือไม่ดกแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายยะ”
    ตายหละหว่า นี่ฉันพูดแบบนั้นเข้าไปได้ยังไงเนี่ย เอาแล้วไงนายนั่นจ้องหน้าฉันใหญ่เลย
    “เธอชอบไอ้ขี้นกนั่นเหรอ”
    “คำก็ไอ้ขี้นก สองคำก็ไอ้ขี้นก เขาชื่อแฮร์ รี่ย่ะไม่ใช่ไอ้ขี้นก”
    “เธอชอบมันหละสิ”
    “เปล่า”
    “ชอบก็บอกมาเถอะ บนรถคันนี้มีแค่เธอกับฉัน ไม่ต้องอายหรอก”
    “ฟังนะ ฉัน ไม่ ได้ ชอบ” ฉันพูดพลางชี้มาที่ปากตัวเอง
    “เธอชอบ” นายนั่นยังคงดึงดันที่จะให้ฉันบอกว่าฉันชอบแฮร์รี่ให้ได้
    “เอ๊ะ! ฉันบอกว่าไม่ได้ชอบก็ไม่ได้ชอบสิ” ฉันขึ้นเสียง “แล้วนี่ฉันจะมาเถียงกับนายทำไมนะ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ฉันจะรีบไปเรียน”
    “สภาพนี้เนี่ยนะจะไปเรียน แล้วทำไมไม่ใส่เครื่องแบบมา นี่เธอเรียนที่ไหนเนี่ย”
    “ฉันเรียนที่ฮา. . .”
    ฉันเพิ่งจะสังเกตเมื่อกี้นี้เองว่าชุดที่นายนั่นใส่มันเป็นเครื่องแบบของโรงเรียนฮาจิโบคุเอ็น งั้นก็. . . หมอนี่ก็เรียนโรงเรียนเดียวกับฉันหละสิ ทำไมนรกถึงส่งยมทูติมาให้ฉันนะ ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเลย ฉันต้องไม่ให้นายรู้ว่าฉันเรียนที่เดียวกับนาย ไม่อย่างนั้นหละก็ นายต้องตามมาฆ่าฉันแน่ๆ
    “ตกลงเธอเรียนที่ไหนกันแน่”
    “ฉันเรียนที่. . . ที่. . .  ที่. . . “ ที่ไหนดีหละ “มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ฉันจะบอกนาย”
    “จริงสิ เราไม่จำเป็นจะต้องรู้จักกันนี่นา”
    หึ. . . หมั่นไส้ นี่ถ้านายไม่หน้าตาดีเหมือนดีแลน กัวหละก็ ฉันอัดนายไปแล้วนะจะบอกให้
    และหลังจากที่เราสองคนสงบศึกกันได้ไม่นาน รถของนายนั่นก็มาจอดที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ร้านอาหารจีนแห่งนี้เป็นตึกสีแดง 4 ชั้น มีป้ายใหญ่ๆ เขียนเป็นภาษาจีนสีแดงว่า ‘เซี่ยง ไฮ้’ อย่าบอกนะว่านายจะให้ฉันเป็นเจ้ามือนายที่ร้านนี้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยมาที่นี่แต่ในหนังสือท่องเที่ยวมันบอกเอาไว้นะว่า แค่หมี่ซั่วร้านนี้ก็ปาเข้าไปพันกว่าแล้วนะ นายคิดว่าฉันรวยนักรึไงถึงพาฉันมาที่นี่น่ะ
    “เขาว่ากันว่าสุดยอดของอาหาร ก็ต้องเป็นอาหารจีนสิจริงมั้ย” นายนั่นพูด “เราเข้าไปข้างในกันดีกว่า”
    “เฮ้! รอด้วย”
    แล้วฉันก็เดินตามนายนั่นเข้าไปในร้าน แค่ก้าวแรกที่เหยีบเข้าไปกลิ่นเป็นปักกิ่งก็ลอยมาเตะจมูกเข้าให้เต็มๆ ฉันชักหิวขึ้นมานิดหน่อยแล้วสิ คนในร้านนี้เยอะจริงๆ พนักงานเดินกันให้ขวักไขว่ไปหมด โห. . . ดูโต๊ะโน้นสิ กำลังกินซาลาเปาลูกเบ้อเริ่มเลย ฉันอยากกินบ้างจัง ว้าว. . . โต๊ะนั้นก็มีหมูหันด้วย น่ากินๆ
    “นี่เธอ! จะยืนเหม่ออีกนานมั้ย” พูดจบนายนั่นก็เดินขึ้นบันได้ไปเรื่อยๆ
    “ฉันไม่ได้เหม่อนะ” แค่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารพวกนี้ตะหาก แล้วฉันก็เดินตามไป
    “. . .”
    “นี่นายฟังที่ฉันพูดรึเปล่า” ฉันเขย่าแขนนายนั่นแต่เขาก็ไม่ยอมฟัง
    มารู้สึกตัวอีกที ฉันก็มาอยู่ที่ชั้นบนสุดของร้านอาหารแล้ว บนนี้วิวสวยมากๆ เลย จากตรงที่ฉันยืนอยู่นี้มองเห็นโตเกียวทาวเวอร์ด้วยแหละ นายนั่นเดินไปที่โต๊ะว่างริมหน้าต่าง
    “จะปล่อยแขนฉันได้รึยัง”
    ฉันลืมไปเลยว่าฉันจับแขนนายนั่นอยู่ เชอะ นึกว่าอยากจะจับนักรึไง (ความจริงอยากควงเลยด้วยซ้ำ) พอนายนั่นนั่ง ฉันก็นั่งบ้าง นั่นไงพนักงานมาโน่นแล้ว ฉันจะกินซาลาเปา ซาลาเปา
    “ภัตตาคารเซี่ยงไฮ้ยินดีต้อนรับค่ะ รับอะไรดีคะ” พนักงานพูดพลางยื่นเมนูอาหารให้ฉันกับนายนั่น ฉันจะกินซาลาเปา ซาลาเปา
    “ฉันเอา. . .”
    “เป็ดปักกิ่ง หูฉลามน้ำแดง กระเพาะปลา พระกระโดดกำแพงและหมี่ซั่ว” นายนั่นสั่งอาหารได้รวดเร็วปานพายุ ขณะที่ฉันยังไม่ทันเปิดเมนูเลย เดี๋ยวก่อนนะ เป็ดปักกิ่ง 2,980 หูฉลามน้ำแดง 4,100 กระเพาะปลา 1,900 พระกระโดดกำแพง 6,000 หมี่ซั่ว 1,320 ไม่จริงใช่มั้ยเนี่ย ค่าอาหารมื้อนี้เกือบ 20,000เลยนะ เงินที่ฉันมีอยู่ตอนนี้ยังไม่ถึงหมื่นเลยด้วยซ้ำฉันต้องจ่ายค่าอาหารทั้งหมดนี่จริงๆ เหรอ ฮือๆๆ
    “แล้วคุณจะรับอะไรดีคะ” พนักงานคนเดิมถามฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่หน้าฉันตอนนี้มันยู่ยี่จนยิ้มไม่ออกตั้งแต่เจอหูฉลามน้ำแดงแล้ว ฮือๆๆ
    “เอาชาก็แล้วกันค่ะ T T”
    พนักงานทำสีหน้างงๆ ก่อนที่จะเก็บเมนูแล้วเดินจากไป หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งเป็ดปักกิ่ง หูฉลามน้ำแดง กระเพาะปลา พระกระโดดกำแพงและหมี่ซั่วก็ได้เดินเป็นขบวนพาเหรดมาเสิร์ฟที่โต๊ะของเรา รวมทั้งน้ำชาของฉันด้วย โห เป็ดปักกิ่งร้อนๆ กลิ่นหอมน่ากิน โอ๊ย! ไม่ได้ ไม่ได้ เราต้องหักห้ามใจเอาไว้ ต้องปล่อยวาง. . . ปล่อยวาง. . . เมื่อทำใจได้ ฉันก็มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อไม่ให้เห็นภาพอันสุดแสนจะยั่วยวนตรงหน้า แต่ก็มีบ้างที่อดใจไม่ไหวจนต้องหันไปมอง และทุกทีที่น้ำลายเริ่มไหลฉันก็เอาแต่จิบชา จิบไปเรื่อยๆ จนหมด พอดีกับที่นายนั่นกินอาหารบนโต๊ะเรียบพอดี (นี่กินหรือเททิ้งกันเนี่ย)
    “เก็บเงินด้วยครับ”
    เอาหละสิ ถึงช่วงนาทีระทึกขวัญแล้ว ฉันไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าอาหารมื้อนี้หรอกนะ ทำไงดีๆ อ๊าจริงสิ ได้เวลาที่นางเอก KILL BILL VOLUME 1 & 2 อย่างฉันจะออกโรงแล้ว ชักดาบชิ่งเลยละกัน
    “นี่นาย ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
    “ไม่ได้! ”
    ใจแข็งชะมัดเลย นี่ถ้าฉันปวดชิ้งฉ่องจริงๆ ไม่ตั้องราดมันตรงนี้เลยเหรอ
    “นี่นาย ถ้าไม่ให้ฉันไปหละก็ได้เหม็นกันทั้งภัตตาคารแน่” ฉันพูดแล้วทำท่าปวดชิ้งฉ่องสุดชีวิต
    “ถ้าคิดจะชิ่งหละก็ ฝันไปเถอะ นึกเหรอ ว่ามุขโบราณแบบนี้จะมาหลอกฉันได้” นายนั่นทำหน้าตาย
    เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เล่นเอาฉันเก็กแตกเลย เชอะ! ฉันรุ้หรอกน่าว่ามุขของฉันมันโบราณ แต่ไม่นึกว่านายจะรู้เร็วแบบนี้น่ะสิ เฮ้อ. . . แย่จัง
    “ทั้งหมด 16,300 เยนค่ะ”
    “ฮ้า!” ฉันตกใจสุดชีวิต ฉันต้องเป็นคนจ่ายค่าอาหารทั้งหมดนี่เหรอ ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแล้วนับเงินที่อยู่ในนั้น 1,000. . . 1,500. . . 1,520. . . 2,000. . . อ้าวเฮ้! เดี๋ยวสิ
    จู่ๆ นายนั่นก็มาคว้ากระเป๋าสตางค์ของฉันไป
    “นี่นาย! เอากระเป๋าสตางค์ของฉันคืนมานะ”
    นายนั่นไม่สนใจ ไม่หือไม่อือ เอาแต่นั่งนับเงินในกระเป๋าสตางค์ของฉัน
    “เธอมีเงินแค่นี้เองเหรอ” นายนั่นพูดพลางชูกระเป่าสตางค์ของฉันขึ้น
    “ก็ใช่น่ะสิ เมื่อเช้าฉันกินแค่บะหมี่กระป๋องเองนะ ไม่เหมือนนายหรอกล่อกินอาหารจีนทั้งร้านแบบนี้น่ะ”
    “ทั้งหมด 16300 เยนค่ะ” พนักงานคนเดิมพูด ฉันหันควับไปหาพนักงานคนนั้นทันที  แล้วตีสีหน้าเป็นนัยๆ ว่า ‘ก็ฉันไม่มีเงินจ่ายนี่’ แต่ก้ต้องหันกลับมาหานายนั่นเพราะว่านายนั่นวางกระเป๋าสตางค์ของฉันไว้บนโต๊ะแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบบัตรเครดิตออกจากกระเป๋าสตางค์ของตัวเองให้พนักงานคนนั้นไป สรุปว่าฉันไม่ต้องจ่ายสินะ เฮ้อ. . . ค่อยยังชั่ว
    “เอากระเป๋าของฉันคืนมาได้รึยัง”
    นายนั่นหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าสตางค์ของฉันแล้วโยนกลับมา ฉันรีบเปิดดูทุกซอกทุกมุมของกระเป๋า แล้วพบว่า. . .
    “แบงค์ 5,000 ของฉันหายไปไหนเนี่ย”
    นายนั่นใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบแบงค์ 5,000 ของฉันขึ้นมา “ฉันคิดเธอแค่นี้ก็แล้วกัน”
    หลังจากนั้นฉันก็เงียบไปพูดไม่พูดอะไร เพราะอย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องจ่ายอาหารแพงๆ นั่น ทั้งหมดแล้วนานั่นก็อาสาจะพาฉันไปส่ง ความจริงฉันไม่อยากจะไปกับนายนั่น หรอก เอาแต่เห็นว่ามันสายแล้วกล้วว่าจะไปโรงเรียนไม่ทันเลยขอพ่วงไปด้วย
    “. . .”
    “. . .”
    ฉันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ แย่จัง 10 โมงเช้าแล้วเหรอ โธ่เอ้ย! เพราะตาบ้านี่แท้ๆเลย ทำให้เราไปโรงเรียนสาย ฉันต้องโดนทำโทษแน่ๆ เลย
    “นี่นาย”
    “. . .”
    “คือ. . . จะถามอะไรหน่อยน่ะ”
    “อะไร” นายนั่นขานรับโดยไม่มองหน้าฉัน
    “ที่โรงเรียนนายนั่น ถ้ามาโรงเรียนสาย. . . เขาจะทำโทษนักเรียนกันยังไงเหรอ”
    “ไม่รู้สิ ถึงฉันจะมาสายเป็นกิจวัตรยังไงก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันอยู่ดี”
    “. . .”
    หมายความว่ายังไง ตอบแบบนี้ทำซะอย่างกับว่าพ่อนายเป็นเจ้าของโรงเรียนงั้นแหละ
    “ถามไปทำไม มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอสักหน่อย”
    “ถามไปงั้นแหละ ไม่มีอะไร”
    “นี่จะถึงโรงเรียนของฉันแล้วนะ เธอจะลงที่ไหนเนี่ย”
    เออ. . . จริงสิ ใกล้จะถึงโรงเรียนฮาจิโบฯ แล้วนี่นา เอาไงดีเรา จะไปลงหน้าโรงเรียนก็ไม่ได้ด้วย เดี๋ยวนายนั่นรู้ว่าเราก็อยู่ฮาจิโบฯ เหมือนกัน อ๊ะ มีห้างแถวนี้ด้วย เอาเป็นว่าฉันลงที่นี่ก็แล้วกัน
    “นายจอดตรงห้างนั่นก็ได้”
    นายนั่นลดความเร็วลงแล้วจอดตรงป้ายรถเมล์ที่หน้าห้าง
    “ขอบใจ”
    “รีบๆ ลงไปเลย”
    “ย่ะ ไม่ต้องไล่ฉันก็ลงอยู่แล้วแหละ”
    ฉันพูดจบก็เปิดประตูลงจากรถแล้วก็ยืนมองรถของนายนั่นที่ค่อยๆ ไกลออกไป เอาหละ โรงเรียนฮาจิโบคุเอ็นคงจะอยู่ใกล้นี่สินะ งั้นไปกันเล้ย!
    ก๊อก ก๊อก ก๊อก
    “นี่แม่คู้นนนนนน จะรอให้ดีแลน กัวมาปลุกรึไง อยากไปโรงเรียนสายตั้งแต่วันแรกเหรอ”
    “. . .”
    “นี่เมมิ ยังไงซะฉันทำอาหารเช้าไว้ให้ ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมล็อกประตู ฉันไปทำงานแล้วนะ เอ้อ! อีกอย่างเสื้อผ้าเธอฉันจะเอาไปส่งซักให้ก็แล้วกัน ตอนเย็นนี้ไปรับคืนด้วยนะ”
    ปั้ง!
    ไปโรงเรียนสายเหรอ ? มันหมายความว่ายังไงกัน คุณย่ายังไม่มาปลุกเลย นี่มันกี่โมงแล้วนะ ฉันคลำหานาฬิกาปลุกบนหัวเตียงแล้วหยิบมันขึ้นมาดู อ๊ายยยยยยยยยยย! นี่มันจะ 8 โมงอยู่แล้ว ไอ้นาฬิกาบ้า ทำไมแกไม่ปลุกฉัน หึ้ย. . . ฉันจะฆ่าแก อุ๊ย แต่ฉันต้องรีบไปโรงเรียนนี่นา ฝากไว้ก่อนเถอะ คืนนี้แกไม่รอดแน่
    ฉันรีบลุกพรวดออกจากเตียงไปที่โต๊ะอาหารแล้วยัดอาหารเช้าที่เทรูมิทำไว้ให้เข้าปาก (แหม. . . ง่ายนิดเดียวเอง) จากนั้นก็รีบอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัว แล้วกลับมาแต่งตัวที่ห้อง เสื้อคอจีนของฉันมันอยู่ไหนกันนะ ฉันเลยรื้อตู้เสื้อผ้าเละเทะไปหมด นี่ถ้าย่าลงมาจากสวรรค์คงจะด่าฉันเละแน่เลย อยู่ไหนกันนะ
    “อ๊า เจอแล้ว ^-^”
    แล้วฉันก็ใส่มันอย่างทุลักทุเล ว่าแต่จะใส่กระโปรงหรือกางเกงดีหละ ไม่มีเวลาเลือกแล้วนะ ฉันจึงคว้ากระโปรงลายดอกสีชมพูมาใส่ หยิบกระเป๋านักเรียนที่ไม่มีข้าวของอะไรในนั้นเลย วิ่งออกจากห้องมา
    อ๊ะ ผู้ชายคนนั้น หนุ่มห้องตรงข้ามที่เทรูมิชอบนี่นา อยากเห็นหน้าเขาใกล้ๆ จัง เขากำลังจะไหนนะ นั่นเขาเข้าไปในลิฟต์แล้วนี่นา
    “ลิฟต์ตัวนั้นรอฉันด้วยค่ะ”
    ฉันรีบวิ่งไปที่ลิฟต์ ตายหละหว่า มันกำลังจะปิดแล้ว ฉันจึงเบี่ยงตัวเข้าไป แต่ว่า. . .
    “แอ้ก! ไม่เห็นรึไงว่าลิฟต์มันหนีบฉัน ช่วยเปิดก่อนได้มั้ย”
    บ้าจริงดันโดนลิฟต์หนีบซะได้ แล้วเล่นหนีบกลางหน้าอกฉันด้วยนะ เล่นเอาระบมเลย วันนี้จะมีอะไรซวยไปกว่านี้อีกมั้ยนะ
    “ผมขอโทษทีนะครับ แบบว่าผมไม่ทันเห็น คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
    อีตาบ้า หัดสรรหาคำพูดหน่อยนะ พูดมาได้ไม่ทันเห็น ฉันคนนะไม่ใช่มด
    “เอ่อ. . . คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ” เขามองหน้าฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วงเอาเรื่อง ฉันมองหน้าเขาแล้วตาเราก็ประสานกัน โห. . . หมอนี่หล่อชะมัดเลย ผมทองแถมตาสีฟ้า คนญี่ปุ่นเมืองไหนกันนะที่มีตาสีฟ้า สงสัยเขาจะเป็นลูกครึ่งหละมั้ง  แต่ขอบอกเลยว่าตาหมอนี่สวยมากๆ ฉันแทบจะหักห้ามใจไม่ให้ควักลูกตาของเขามาไม่ไหวแล้ว
    “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
    “คุณคือคุเซฮาร่าใช่มั้ย” หมอนั่นมองหน้าฉันอีกครั้ง เขารู้ชื่อฉันได้ยังไงนะ
    “ใช่ค่ะ คุณรู้ชื่อฉันได้ยังไง”
    เขาเอามือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้าง “เทรูมิเขาบอกผมเมื่อคืนก่อน จริงสิคุณ ผมฝากไปขอโทษเทรูมิเขาด้วยนะที่เมื่อคืนก่อนผมทำกับเธอรุนแรงไปหน่อย”
    ไอ้รุนแรงที่ว่านี่มันหมายความว่ายังไงกัน ? นายไปขับรถชนเทรูมิเหรอ ? หรือว่าจะหมายถึงเรื่องแบบนั้น. . . อึ๋ย ไม่เอาๆ อย่าคิดเชียวนะ เรื่องของผู้ใหญ่เขา ขืนฉันคิดต่อไปมันต้องเลยเถิดแน่ๆ เลย
    “ละ แล้วฉันจะบอกให้นะคะ”
    “เอ่อ. . .”
    ติ้ง! เมื่อถึงชั้นหนึ่ง ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันกับหมอนั่นก็ออกมาจากลิฟต์
    “เมื่อกี้คุณจะพูดเรื่องอะไรเหรอคะ”
    คือ เราคุยกันมานานแล้ว ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมแฮร์รี่ ชินครับ”
    “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
    แล้วเราก็จับมือกันแสดงความยินดีที่ได้รู้จักกัน ความจริงฉันอยากจะก้มหัวให้เขาเพราะดูท่าทางแล้วเขาคงแก่กว่าฉัน แต่ในเมื่อเขายื่นมือมาให้ฉันคงต้องจับหละ
    “คุณกำลังไปไหนรึเปล่า ถ้าไม่รังเกียจให้ผมไปส่งคุณก็ได้นะ”
    ฉันเหลือบไปเห็นนาฬิกาคุณปู่ที่อยู่ตรงหน้าลิฟต์ พระเจ้า!!! 8 โมง 10 นาทีแล้ว ฉันไปโรงเรียนสายจนได้ ฉันต้องรีบไปแล้ว
    “ขอโทษจริงๆนะ แต่ฉันต้องรีบไปแล้ว”
    ฉันวิ่งออกมาจากอพาร์ตเมนท์ไปที่ป้ายรถเมล์
    ฉันรอรถเมล์เกือบ 5 นาที แต่ก็ไม่มีรถเมล์สักคัน จะมีก็แต่แท็กซี่ที่จอดเรียงกันเป็นตับ แถวๆ นี้ก็ไม่มีนักเรียนแล้วด้วย สงสัยจะเข้าเรียนกันหมดแล้วมั้ง ฉันควรจะเดินไปดีมั้ยนะ แต่ว่าโรงเรียนมันอยูไกลจะตาย โธ่เอ้ย. . . รู้งี้ฉันสอบเข้าโรงเรียนไดโดคุใกล้ๆ นี่ดีกว่า ทำไงดีๆ
    ปิ้น ปิ้น
    หือ. . . ใครบีบแตร ฉันพยายามมองไปรอบๆ เพื่อหาต้นเสียง แล้วก็มีอะไรมาสะดุดตาฉัน ช็อปเปอร์สีดำนี่ยังไม่เท่าไหร่แต่คนขับเนี่ยสิใส่ชุดหนังสีดำ ถุงมือหนังสีดำ แถมหมวกกันน็อกก็สีดำอีก ใครส่งขบวนการ Men In Black มาที่ญี่ปุ่นเนี่ย อยากรู้จังว่าเจ้าของช็อปเปอร์นั่นคือใคร
    “คุณคุเซฮาร่าครับ”
    นั่นเสียงแฮร์รี่ เขาอยู่ไหนนะ ฉันหันซ้ายหันขวาก่อนที่จะหันไปมองซ็อปเปอร์คันนั้นอีกที คนขับซ็อปเปอร์โบกมือให้ฉันก่อนจะปลดสายหมวกกันน็อกแล้วถอดมันออก คนขับช็อปเปอร์คันนั้นคือแฮร์รี่ ปกติแล้วฉันค่อนข้างจะชอบรถช็อปเปอร์นะ แต่ฉันจะรู้สึกไม่ชอบผู้ชายที่ขี่ช็อปเปอร์ อีกใจนึงฉันก็อยากจะขึ้นไปซ้อนท้ายผู้ชายที่ขี่ช็อปเปอร์ ฟังแล้วงงๆ เนอะ ใครได้ฟังคงคิดว่าฉันประสาทแน่ๆ เพราะฉันเองยังคิดว่าฉันประสาทเลย
    กลับมาที่เรื่องของแฮร์รี่ดีกว่า หลังจากที่เขาถอดหมวก เขาก็ลงมาจากรถแล้วเดินมาหาฉัน เขาเท่ห์มากในชุดนี้ จนฉันอยากจะให้คนที่เดินผ่านไปมาตอนนี้คิดว่าฉันเป็นแฟนของแฮร์รี่จัง (แค่คิดนะ)
    “คุณมีอะไรกับฉันรึเปล่าคะ”
    “ผมว่า. . . ถ้าคุณจะรอรถเมล์หละก็คุณคงไปทำงานสายแน่ๆ เลย ผมให้โอกาสคุณอีกทีนะว่าจะให้ผมไปส่งมั้ย”
    “เอ่อ. . .“ แหม. . . ถึงนายจะหล่อสู้เจ้าชายแฮร์รี่ไม่ได้แต่มาดนายตอนนี้ก็บาดใจฉันสุดๆ ไปเลย ฉันอยากจะตอบตกลงนายไปเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างนั้นก็เถอะ เราเป็นผู้หญิง จะให้ตอบตกลงผู้ชายไปดื้อๆ แบบนั้นได้ยังไง มันก็ต้องมีเล่นตัวกันบ้าง
    แฮร์รี่มองขึ้นฟ้า “คุณคงจะรังเกียจรถผมสินะ ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ” แล้วเขาก็เดินหันหลังไป
    ไม่นะแฮร์รี่ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น
    “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะแฮร์รี่”
    เขาหันกลับมา
    “เอ่อ. . . รถคุณสวยมากเลยค่ะ” เอาไงต่อดีหละ “ดูสิมีไฟท้ายด้วยสวยมากๆ เลย” เอาเข้าไป ให้มันได้อย่างนี้สิเรา รถบ้านเมืองไหนเขาไม่มีไฟท้ายกันบ้างหละ
    “สรุปว่าให้ผมไปส่งคุณนะ”
    “เอ่อ. . .”
    “ผมรู้ว่าคุณไม่กล้าพูด เอาเป็นว่าผมเข้าใจละกัน ไปเถอะเดี๋ยวคุณจะไปทำงานสาย”
    นี่ฉันจะได้ซ้อนท้ายผู้ชายบนช็อปเปอร์แล้วเหรอเนี่ย ฝันที่เป็นจริง ไปสิๆ เรารีบไปกันเลย ฉันแทบจะรอไม่ไหวแล้ว
    “ผมมีหมวกกันน็อกใบเดียว ผมให้คุณใส่ดีกว่า” เขาพูดพลางส่งหมวกกันน็อกสีดำที่เขาใส่เมื่อสักครู่ให้ฉัน ฉันไม่สงสัยเทรูมิถึงชอบแฮร์รี่หัวปักหัวปำ เพราะเขาทั้งหล่อ ทั้งนิสัยดีแถมมีน้ำใจ นี่แหละผู้ชายในฝัน ฉันก็ชักจะชอบเขาขึ้นมาแล้วสิ แต่ไม่ได้เด็ดขาด ฉันจะชอบแฟนเพื่อนไม่ได้
    ฉันใส่หมวกกันน็อกอย่างทะมัดทะแมง (ตอนนี้ที่ฉันอยู่นีงาตะต้องขี่มอเตอร์ไซด์ส่งขนมปังบ่อยๆ เลยชินซะแล้ว) แล้วกำลังจะขึ้นซ้อนท้ายแฮร์รี่ แต่ก็มีใครไม่รู้มาฉุดแขนฉันลงจากรถ ฉันแทบจะล้มให้ได้เลย ไอ้บ้าที่ไหนนะมันทำกับฉันแบบนี้ บังเอิญว่าหมวกของแฮร์รี่มันลงมาปิดตาฉันพอดีเลยทำให้ฉันมองไม่เห็นไอ้บ้านั่น มันลากฉันมาได้สักพักก็หยุด มันคิดจะทำอะไรกันแน่
    แล้วมันก็ถอดหมวกกันน็อกบนหัวฉันออก ทำให้ฉันมองเห็นหน้ามัน ไม่จริง!!!
    “ใช่เธอจริงๆ ด้วย” ไอ้บ้านั่นพูด
    โกหกน่า ไอ้บ้าที่มันลากฉันลงมาจากรถเมื่อกี้นี้คือผู้ชายที่ฉันทำชาหกใส่เขาเมื่อวานนี้ ให้ตายสิ ฉันนึกว่าชาตินี้จะไม่เจอนายคนนี้อีกแล้วเชียวนะ นี่มันเป็นวันซวยประจำปีของฉันรึไงกันเนี่ย
    “นี่คุณ! ทำอะไรเธอน่ะ” แฮร์รี่ตะโกนแล้วเดินเข้ามา
    แฮร์รี่ช่วยฉันที
    “นายเป็นใคร” นายนั่นถามแฮร์รี่ด้วยท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์
    “ผมเป็นเพื่อนเธอ แล้วคุณเป็นใคร” อุ๊ย แฮร์รี่ นายเท่ห์มากๆ เลย ฮิ ฮิ แล้วฉันจะมาหัวเราะทำบ้าอะไร เนี่ย ฉันกำลังลำบากอยู่นะ
    “แล้วทำไมแกต้องรู้ด้วยวะไอ้ฝรั่งขี้นก”
    “นี่นายอย่ามาว่าเพื่อนฉันแบบนี้นะ” ฉันก็เริ่มมีน้ำโหแล้วเหมือนกันนะ
    “เพื่อนเธอ?” นายนั่นชี้ไปที่แฮร์รี่ “ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับฉันนี่ เราไปกันได้แล้ว”
    นายนั่นคว้าข้อมือฉันแล้วกำลังจะยัดฉันเข้าไปในรถคันหนึ่ง
    “นี่คุณ! คุณเป็นใคร แล้วจะพาเธอไปไหน” แฮร์รี่วิ่งตามมา
    นายนั่นหยุดแล้วถอนหายใจก่อนที่จะเอามือไปตบไหล่แฮร์รี่เบาๆ “แกจะปล่อยให้คนเป็นแฟนกันเขาอยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอวะ”
เฮ้ย! นี่ฉันไปตกลงปลงใจจะเป็นแฟนกับนายตั้งแต่เมื่อไหร่กันยะ อย่ามามั่วนะ ไม่ใช่นะแฮร์รี่อย่าไปเชื่อมัน
    “โธ่. . . คุณก็น่าจะบอกผมแต่แรกว่าคุณสองคนเป็นแฟนกัน” แฮร์รี่หันมาที่ฉัน “แฟนคุณมารับแล้ว งั้นผมไปก่อนนะครับ”
    แฮร์รี่โบกมือให้ฉัน นี่ฉันควรจะเรียนนายว่า ตาบ้าหรือตาทึ่มดีเนี่ย นายเซ่อนี่นายเชื่อเรื่องที่นายนั่นพูดได้ยังไงกัน โอ๊ย. . . จะบ้าตาย
    “แฮร์รี่ไม่ใช่นะ เขาไม่ได้เป็น อุ๊บ!. . .” นายนั่นเอามือมาปิดปากฉันก่อนที่จะผลักฉันเข้าไปในรถจากนั้นก็ปิดประตู
    สักพักนายนั่นก็สตารท์รถแล้วขับออกไป
    “นี่นาย” ฉันจ้องหน้านายนั่นเขม่ง “ไปพูดกับแฮร์รี่เขาแบบนั้นได้ยังไง ถ้าเกิดเขาเข้าใจผิดขึ้นมาใจแก้ยังไงยะ”
    “ไอ้ขี้นกนั่นชื่อแฮร์รี่เหรอ” นายนั่นพูดหน้าตาย
    “แล้วไง?”
    “เธอรู้มั้ยว่าแฮร์รี่แปลว่าอะไร”
    “. . .”
    นายนั่นมองมาที่ฉัน “แฮร์รี่ก็แปลว่าขนดกไง ชื่อยังบ่งบอกขนาดนี้แล้วของจริงตรงนั้นจะดกขนาดไหน ฮ่าๆๆ”   
    หนอยยยยยยย อย่ามาว่าแฮร์รี่แบบนั้นนะ “เขาจะดกหรือไม่ดกแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายยะ”
    ตายหละหว่า นี่ฉันพูดแบบนั้นเข้าไปได้ยังไงเนี่ย เอาแล้วไงนายนั่นจ้องหน้าฉันใหญ่เลย
    “เธอชอบไอ้ขี้นกนั่นเหรอ”
    “คำก็ไอ้ขี้นก สองคำก็ไอ้ขี้นก เขาชื่อแฮร์ รี่ย่ะไม่ใช่ไอ้ขี้นก”
    “เธอชอบมันหละสิ”
    “เปล่า”
    “ชอบก็บอกมาเถอะ บนรถคันนี้มีแค่เธอกับฉัน ไม่ต้องอายหรอก”
    “ฟังนะ ฉัน ไม่ ได้ ชอบ” ฉันพูดพลางชี้มาที่ปากตัวเอง
    “เธอชอบ” นายนั่นยังคงดึงดันที่จะให้ฉันบอกว่าฉันชอบแฮร์รี่ให้ได้
    “เอ๊ะ! ฉันบอกว่าไม่ได้ชอบก็ไม่ได้ชอบสิ” ฉันขึ้นเสียง “แล้วนี่ฉันจะมาเถียงกับนายทำไมนะ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ฉันจะรีบไปเรียน”
    “สภาพนี้เนี่ยนะจะไปเรียน แล้วทำไมไม่ใส่เครื่องแบบมา นี่เธอเรียนที่ไหนเนี่ย”
    “ฉันเรียนที่ฮา. . .”
    ฉันเพิ่งจะสังเกตเมื่อกี้นี้เองว่าชุดที่นายนั่นใส่มันเป็นเครื่องแบบของโรงเรียนฮาจิโบคุเอ็น งั้นก็. . . หมอนี่ก็เรียนโรงเรียนเดียวกับฉันหละสิ ทำไมนรกถึงส่งยมทูติมาให้ฉันนะ ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเลย ฉันต้องไม่ให้นายรู้ว่าฉันเรียนที่เดียวกับนาย ไม่อย่างนั้นหละก็ นายต้องตามมาฆ่าฉันแน่ๆ
    “ตกลงเธอเรียนที่ไหนกันแน่”
    “ฉันเรียนที่. . . ที่. . .  ที่. . . “ ที่ไหนดีหละ “มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ฉันจะบอกนาย”
    “จริงสิ เราไม่จำเป็นจะต้องรู้จักกันนี่นา”
    หึ. . . หมั่นไส้ นี่ถ้านายไม่หน้าตาดีเหมือนดีแลน กัวหละก็ ฉันอัดนายไปแล้วนะจะบอกให้
    และหลังจากที่เราสองคนสงบศึกกันได้ไม่นาน รถของนายนั่นก็มาจอดที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ร้านอาหารจีนแห่งนี้เป็นตึกสีแดง 4 ชั้น มีป้ายใหญ่ๆ เขียนเป็นภาษาจีนสีแดงว่า ‘เซี่ยง ไฮ้’ อย่าบอกนะว่านายจะให้ฉันเป็นเจ้ามือนายที่ร้านนี้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยมาที่นี่แต่ในหนังสือท่องเที่ยวมันบอกเอาไว้นะว่า แค่หมี่ซั่วร้านนี้ก็ปาเข้าไปพันกว่าแล้วนะ นายคิดว่าฉันรวยนักรึไงถึงพาฉันมาที่นี่น่ะ
    “เขาว่ากันว่าสุดยอดของอาหาร ก็ต้องเป็นอาหารจีนสิจริงมั้ย” นายนั่นพูด “เราเข้าไปข้างในกันดีกว่า”
    “เฮ้! รอด้วย”
    แล้วฉันก็เดินตามนายนั่นเข้าไปในร้าน แค่ก้าวแรกที่เหยีบเข้าไปกลิ่นเป็นปักกิ่งก็ลอยมาเตะจมูกเข้าให้เต็มๆ ฉันชักหิวขึ้นมานิดหน่อยแล้วสิ คนในร้านนี้เยอะจริงๆ พนักงานเดินกันให้ขวักไขว่ไปหมด โห. . . ดูโต๊ะโน้นสิ กำลังกินซาลาเปาลูกเบ้อเริ่มเลย ฉันอยากกินบ้างจัง ว้าว. . . โต๊ะนั้นก็มีหมูหันด้วย น่ากินๆ
    “นี่เธอ! จะยืนเหม่ออีกนานมั้ย” พูดจบนายนั่นก็เดินขึ้นบันได้ไปเรื่อยๆ
    “ฉันไม่ได้เหม่อนะ” แค่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารพวกนี้ตะหาก แล้วฉันก็เดินตามไป
    “. . .”
    “นี่นายฟังที่ฉันพูดรึเปล่า” ฉันเขย่าแขนนายนั่นแต่เขาก็ไม่ยอมฟัง
    มารู้สึกตัวอีกที ฉันก็มาอยู่ที่ชั้นบนสุดของร้านอาหารแล้ว บนนี้วิวสวยมากๆ เลย จากตรงที่ฉันยืนอยู่นี้มองเห็นโตเกียวทาวเวอร์ด้วยแหละ นายนั่นเดินไปที่โต๊ะว่างริมหน้าต่าง
    “จะปล่อยแขนฉันได้รึยัง”
    ฉันลืมไปเลยว่าฉันจับแขนนายนั่นอยู่ เชอะ นึกว่าอยากจะจับนักรึไง (ความจริงอยากควงเลยด้วยซ้ำ) พอนายนั่นนั่ง ฉันก็นั่งบ้าง นั่นไงพนักงานมาโน่นแล้ว ฉันจะกินซาลาเปา ซาลาเปา
    “ภัตตาคารเซี่ยงไฮ้ยินดีต้อนรับค่ะ รับอะไรดีคะ” พนักงานพูดพลางยื่นเมนูอาหารให้ฉันกับนายนั่น ฉันจะกินซาลาเปา ซาลาเปา
    “ฉันเอา. . .”
    “เป็ดปักกิ่ง หูฉลามน้ำแดง กระเพาะปลา พระกระโดดกำแพงและหมี่ซั่ว” นายนั่นสั่งอาหารได้รวดเร็วปานพายุ ขณะที่ฉันยังไม่ทันเปิดเมนูเลย เดี๋ยวก่อนนะ เป็ดปักกิ่ง 2,980 หูฉลามน้ำแดง 4,100 กระเพาะปลา 1,900 พระกระโดดกำแพง 6,000 หมี่ซั่ว 1,320 ไม่จริงใช่มั้ยเนี่ย ค่าอาหารมื้อนี้เกือบ 20,000เลยนะ เงินที่ฉันมีอยู่ตอนนี้ยังไม่ถึงหมื่นเลยด้วยซ้ำฉันต้องจ่ายค่าอาหารทั้งหมดนี่จริงๆ เหรอ ฮือๆๆ
    “แล้วคุณจะรับอะไรดีคะ” พนักงานคนเดิมถามฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่หน้าฉันตอนนี้มันยู่ยี่จนยิ้มไม่ออกตั้งแต่เจอหูฉลามน้ำแดงแล้ว ฮือๆๆ
    “เอาชาก็แล้วกันค่ะ T T”
    พนักงานทำสีหน้างงๆ ก่อนที่จะเก็บเมนูแล้วเดินจากไป หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งเป็ดปักกิ่ง หูฉลามน้ำแดง กระเพาะปลา พระกระโดดกำแพงและหมี่ซั่วก็ได้เดินเป็นขบวนพาเหรดมาเสิร์ฟที่โต๊ะของเรา รวมทั้งน้ำชาของฉันด้วย โห เป็ดปักกิ่งร้อนๆ กลิ่นหอมน่ากิน โอ๊ย! ไม่ได้ ไม่ได้ เราต้องหักห้ามใจเอาไว้ ต้องปล่อยวาง. . . ปล่อยวาง. . . เมื่อทำใจได้ ฉันก็มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อไม่ให้เห็นภาพอันสุดแสนจะยั่วยวนตรงหน้า แต่ก็มีบ้างที่อดใจไม่ไหวจนต้องหันไปมอง และทุกทีที่น้ำลายเริ่มไหลฉันก็เอาแต่จิบชา จิบไปเรื่อยๆ จนหมด พอดีกับที่นายนั่นกินอาหารบนโต๊ะเรียบพอดี (นี่กินหรือเททิ้งกันเนี่ย)
    “เก็บเงินด้วยครับ”
    เอาหละสิ ถึงช่วงนาทีระทึกขวัญแล้ว ฉันไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าอาหารมื้อนี้หรอกนะ ทำไงดีๆ อ๊าจริงสิ ได้เวลาที่นางเอก KILL BILL VOLUME 1 & 2 อย่างฉันจะออกโรงแล้ว ชักดาบชิ่งเลยละกัน
    “นี่นาย ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
    “ไม่ได้! ”
    ใจแข็งชะมัดเลย นี่ถ้าฉันปวดชิ้งฉ่องจริงๆ ไม่ตั้องราดมันตรงนี้เลยเหรอ
    “นี่นาย ถ้าไม่ให้ฉันไปหละก็ได้เหม็นกันทั้งภัตตาคารแน่” ฉันพูดแล้วทำท่าปวดชิ้งฉ่องสุดชีวิต
    “ถ้าคิดจะชิ่งหละก็ ฝันไปเถอะ นึกเหรอ ว่ามุขโบราณแบบนี้จะมาหลอกฉันได้” นายนั่นทำหน้าตาย
    เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เล่นเอาฉันเก็กแตกเลย เชอะ! ฉันรุ้หรอกน่าว่ามุขของฉันมันโบราณ แต่ไม่นึกว่านายจะรู้เร็วแบบนี้น่ะสิ เฮ้อ. . . แย่จัง
    “ทั้งหมด 16,300 เยนค่ะ”
    “ฮ้า!” ฉันตกใจสุดชีวิต ฉันต้องเป็นคนจ่ายค่าอาหารทั้งหมดนี่เหรอ ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแล้วนับเงินที่อยู่ในนั้น 1,000. . . 1,500. . . 1,520. . . 2,000. . . อ้าวเฮ้! เดี๋ยวสิ
    จู่ๆ นายนั่นก็มาคว้ากระเป๋าสตางค์ของฉันไป
    “นี่นาย! เอากระเป๋าสตางค์ของฉันคืนมานะ”
    นายนั่นไม่สนใจ ไม่หือไม่อือ เอาแต่นั่งนับเงินในกระเป๋าสตางค์ของฉัน
    “เธอมีเงินแค่นี้เองเหรอ” นายนั่นพูดพลางชูกระเป่าสตางค์ของฉันขึ้น
    “ก็ใช่น่ะสิ เมื่อเช้าฉันกินแค่บะหมี่กระป๋องเองนะ ไม่เหมือนนายหรอกล่อกินอาหารจีนทั้งร้านแบบนี้น่ะ”
    “ทั้งหมด 16300 เยนค่ะ” พนักงานคนเดิมพูด ฉันหันควับไปหาพนักงานคนนั้นทันที  แล้วตีสีหน้าเป็นนัยๆ ว่า ‘ก็ฉันไม่มีเงินจ่ายนี่’ แต่ก้ต้องหันกลับมาหานายนั่นเพราะว่านายนั่นวางกระเป๋าสตางค์ของฉันไว้บนโต๊ะแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบบัตรเครดิตออกจากกระเป๋าสตางค์ของตัวเองให้พนักงานคนนั้นไป สรุปว่าฉันไม่ต้องจ่ายสินะ เฮ้อ. . . ค่อยยังชั่ว
    “เอากระเป๋าของฉันคืนมาได้รึยัง”
    นายนั่นหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าสตางค์ของฉันแล้วโยนกลับมา ฉันรีบเปิดดูทุกซอกทุกมุมของกระเป๋า แล้วพบว่า. . .
    “แบงค์ 5,000 ของฉันหายไปไหนเนี่ย”
    นายนั่นใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบแบงค์ 5,000 ของฉันขึ้นมา “ฉันคิดเธอแค่นี้ก็แล้วกัน”
    หลังจากนั้นฉันก็เงียบไปพูดไม่พูดอะไร เพราะอย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องจ่ายอาหารแพงๆ นั่น ทั้งหมดแล้วนานั่นก็อาสาจะพาฉันไปส่ง ความจริงฉันไม่อยากจะไปกับนายนั่น หรอก เอาแต่เห็นว่ามันสายแล้วกล้วว่าจะไปโรงเรียนไม่ทันเลยขอพ่วงไปด้วย
    “. . .”
    “. . .”
    ฉันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ แย่จัง 10 โมงเช้าแล้วเหรอ โธ่เอ้ย! เพราะตาบ้านี่แท้ๆเลย ทำให้เราไปโรงเรียนสาย ฉันต้องโดนทำโทษแน่ๆ เลย
    “นี่นาย”
    “. . .”
    “คือ. . . จะถามอะไรหน่อยน่ะ”
    “อะไร” นายนั่นขานรับโดยไม่มองหน้าฉัน
    “ที่โรงเรียนนายนั่น ถ้ามาโรงเรียนสาย. . . เขาจะทำโทษนักเรียนกันยังไงเหรอ”
    “ไม่รู้สิ ถึงฉันจะมาสายเป็นกิจวัตรยังไงก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันอยู่ดี”
    “. . .”
    หมายความว่ายังไง ตอบแบบนี้ทำซะอย่างกับว่าพ่อนายเป็นเจ้าของโรงเรียนงั้นแหละ
    “ถามไปทำไม มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอสักหน่อย”
    “ถามไปงั้นแหละ ไม่มีอะไร”
    “นี่จะถึงโรงเรียนของฉันแล้วนะ เธอจะลงที่ไหนเนี่ย”
    เออ. . . จริงสิ ใกล้จะถึงโรงเรียนฮาจิโบฯ แล้วนี่นา เอาไงดีเรา จะไปลงหน้าโรงเรียนก็ไม่ได้ด้วย เดี๋ยวนายนั่นรู้ว่าเราก็อยู่ฮาจิโบฯ เหมือนกัน อ๊ะ มีห้างแถวนี้ด้วย เอาเป็นว่าฉันลงที่นี่ก็แล้วกัน
    “นายจอดตรงห้างนั่นก็ได้”
    นายนั่นลดความเร็วลงแล้วจอดตรงป้ายรถเมล์ที่หน้าห้าง
    “ขอบใจ”
    “รีบๆ ลงไปเลย”
    “ย่ะ ไม่ต้องไล่ฉันก็ลงอยู่แล้วแหละ”
    ฉันพูดจบก็เปิดประตูลงจากรถแล้วก็ยืนมองรถของนายนั่นที่ค่อยๆ ไกลออกไป เอาหละ โรงเรียนฮาจิโบคุเอ็นคงจะอยู่ใกล้นี่สินะ งั้นไปกันเล้ย!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น