ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    :+:+:ปิ๊งรักนาย เจ้าชายยากูซ่า:+:+:

    ลำดับตอนที่ #1 : {BL@cK[G]u@Rd} - บ้านหลังใหม่ และ อะไรอีกหลายๆ อย่าง

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 48


    ----ดีครับผม Osaki เจ้าเก่านะคะ เรื่องเก่า -รักใสกิ๊งฯ- จบไปแล้น^^ มาติดตามเรื่องใหม่กันนะคะกับ : :+:+:ปิ๊งรักนาย เจ้าชายยากูซ่า:+:+: รับรองว่าพัฒนาขึ้นกว่าเรื่องแรกและรับประกันความมันส์หยดค่ะ---- Osaki [อ่ะนั่นแน่~] <@_^!!>



       “ไปอพาร์ทเมนท์โดจินค่ะ”



        ฉันกำลังมองลอดผ่านกระจกรถแท๊กซี่คันหนึ่งที่กำลังแล่นไปสู่ที่หมายของฉัน นั่นก็คืออพาร์ตเมนท์โดจิน ที่นั่นจะเป็นบ้านใหม่ของฉัน ส่วนบ้านเก่าของฉันน่ะเหรอ? ตั้งอยู่ที่นีงาตะนู้นแน่ะ เมื่อก่อนฉันอาศัยอยู่ในห้องแถวเล็กๆ กับพ่อและย่า มีอยู่วันหนึ่งฉันได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าพ่อของฉันเป็นมะเร็งลำไส้ขั้นสุดท้าย ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพ่อเป็นมะเร็ง เพราะพ่อเอาแต่ทำงานหนักเพื่อครอบคราวที่มีกันอยู่ 3 คน  พ่อเป็นพนักงานเช็คสต็อคของที่จะเข้ามาในห้างสรรพสินค้า บางคืนพ่อต้องทำงานจนดึกและไม่ได้กลับบ้าน ฉันแทบจะไม่ได้เจอพ่อเลยจนกระทั่ง 2 – 3 วันสุดท้ายก่อนที่พ่อจะตายพ่อได้ให้สร้อยรูปปลาคราฟกับฉันเอาไว้ ฉันเห็นว่ามันสวยดีจึงเก็บมันเอาไว้ติดตัวตลอด ส่วนแม่ของฉัน พ่อบอกว่าแม่ตายไปนานแล้ว ฉันถามพ่อกี่ทีๆ ท่านก็ตอบแต่แบบนี้ นานเข้าฉันก็เลยไม่อยากจะซักไซ้อะไรมาก



        และไม่กี่สัปดาห์ต่อมาหลังจากที่พ่อตาย คุณย่าของฉันวัย 77 ต้องมาเสียไปด้วยความชราภาพของท่าน หลังจากที่จัดการเรื่องงานศพและเรื่องมรดกที่ดินที่พ่อกับย่าให้ฉันเอาไว้เสร็จ ฉันก็มาเพิ่งรู้ตัวว่า ฉันจะต้องอยู่คนเดียวแล้ว มันคงจะดีกว่าถ้าหากฉันย้ายจากนีงาตะไปอยู่ที่โตเกียว  เพราะอีกปีเดียวฉันก็จะเรียนจบมัธยม ฉันก็จะได้ต่อมหาวิทยาลัยดีๆ ในโตเกียวได้ แถมงานที่นั่นก็น่าจะหาง่ายกว่าที่นี่ด้วย



        ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้รู้สึกท้อหรือต้องมานั่งระทมทุกข์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยสินะ แต่ความจริงคือฉันไม่อยากจะคิดถึงมันมากกว่า มรสุมชีวิตตอนนั้นทำให้ฉันได้รู้อะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งทั้งหมดนั่นฉันจะต้องเรียนรู้มันด้วยตัวของฉันเอง ชีวิตคนเราก็ต้องมีทั้งสุข เศร้าพ่อเคยพูดกับฉันเสมอว่า ชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ



        แล้วมันก็จริง. . .



        ระหว่างที่ฉันกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศในตอนเช้ามืดของโตเกียวอยู่นั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น



        ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง



        “รถเป็นอะไรเหรอคะ” ฉันถามคนขับด้วยความสงสัย



        “น้ำมันหมดน่ะครับ คุณคงต้องลงตรงนี้แล้วหละ”



        คนขับแท๊กซี่ขนกระเป๋าเดินทางและสัมภาระที่อยู่ในกล่องกระดาษขนาดมหึมาอีก 2 ใบลงจากท้ายรถแล้ววางกองกันไว้ตรงทางเท้าริมถนนสายหนึ่ง



        “ฉันอยู่ที่ไหนแล้วคะเนี่ย”



        “เกือบถึงชิบุยะแล้วหละ ส่วนอพารต์เมนท์โดจินน่ะเหรอ อืม. . . ผมว่าผมขับเลยมานะ ถ้ายังไงคุณก็โบกแท็กซี่คันใหม่ก็แล้วกัน”



        “แล้วฉันต้องจ่ายคุณเท่าไหร่คะ”



        “ไม่ต้องก็ได้ ผมผิดเองแหละ”



        เป็นแบบนั้นก็ดีไป เวลานี้คือตี 5 กับอีก 45 นาที ถึงจะมีแท็กซี่แล่นผ่านไปบ้างก็เถอะแต่ก็มีผู้โดยสารกันหมด ฉันยืนรอแท็กซี่จนเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง แสงสว่างจากพระอาทิตย์ค่อยๆ สาดส่อง คนในบริเวณนั้นเริ่มเปิดประตูบ้านแล้วออกไปทำงานกัน สักพักเทพเจ้าแห่งความโชคดีก็ไม่ละทิ้งฉัน ส่งแท็กซี่มาให้ฉันจนได้ แล้วฉันก็ไปถึงอพาร์ตเมนท์โดจิน ประมาณ 6 โมงครึ่ง ห้องของฉันคือหมายเลข 308 คงจะเป็นชั้น 3 สินะ ปกติแค่ 3 ชั้น ฉันจะไม่ขึ้นลิฟต์หรอก แต่ในกรณีแบบนี้เป็นใครก็ต้องขึ้นแหละ จริงสิห้องที่ฉันจะไปอยู่นี้ฉันต้องแชร์กับคนอื่นด้วยนี่นา ชักอยากจะรู้ซะแล้วสิว่ารูมเมทของฉันจะเป็นคนแบบไหน อาจจะเป็นคุณยายรักแมวอายุ 70 หรือว่าจะเป็นชายแก่เฒ่าหัวงูวัย 60 บรึ๋ย. . . คิดแล้วสยอง



        กิ๊ง



        ฉันขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 3 ปัญหาก็คือจะขนของทั้งหมดออกไปได้ยังไง ฉันมองออกไปนอกลิฟต์ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ ฉันจึงเอากระเป๋าเป้แขวนคอ หิ้วกล่องกระดาษขนาดใหญ่อยู่ในมือทั้ง 2 ข้าง ส่วนกระเป๋าเดินทางฉันก็เอาเท้าเกี่ยวที่จับของกระเป๋าเดินทางแล้วลากมันออกมาจากลิฟต์อย่างทุลักทุเล ถ้ามีใครสักคนมาเห็นสภาพฉันตอนนี้คงต้องบอกว่าฉันเป็นบ้าหอบฟางแหงๆ



        ฉันใช้เวลาสัก 2 – 3 นาที ในการเดินหาห้อง แล้วในที่สุดฉันก็เจอห้องหมายเลข 308 มีป้ายเขียนไว้หน้าห้องว่า ‘มิทสึ’ มิทสึที่ว่านี่อาจจะเป็นนามสกุลหละมั้ง แต่ตอนนี้จะทำยังไงต่อดีหละ มือก็เต็มไปด้วยกล่อง แล้วจะกดกริ่งยังไงดี อ๊า. . . จริงสิ ฉันเคยอ่านในการ์ตูนเล่มหนึ่งที่นางเอกซื้อของมาเต็มไม้เต็มมือไปหมดเลยเปิดประตูบ้านไม่ได้ นางเอกก็เลยใช้เท้าเคาะประตูเรียกคนข้างใน ถึงตอนนี้ฉันควรจะใช้วิธีนั้นบ้าง ว่าแล้วฉันก็ค่อยๆ ใช้เท้าของฉันเอื้อมไปกดกริ่ง(แหม… ลำบากชะมัดเลย กริ่งที่นี่สูงไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ)



        กิ๊งก่อง!



        “นั่นใคร” เสียงผู้หญิงตะโกนดังมาจากในห้อง



        “ฉันเป็นรูมเมทของคุณน่ะค่ะ กรุณาช่วยเปิดประตูให้หน่อยได้มั้ยคะ”



        “เข้ามาสิประตูไม่ได้ล็อก”



        “ไม่ใช่ค่ะ คือ… จะเดินมาเปิดประตูให้หน่อยได้มั้ยคะ มือฉันมันไม่ว่างน่ะค่ะ”



        “ถ้ามือไม่ว่างแล้วเมื่อกี้ใช้อะไรกดกริ่งหละ”



        จะให้บอกมั้ยว่าฉันใช้เท้าน่ะ



        แกรก



        เสียงประตูดังขึ้น แล้วเมื่อประตูเปิดออก ภาพผู้หญิงที่อมแปรงสีฟันไว้ในปาก และผ้าโพกหัวสีชมพูกับครีมสีขาวที่อยู่บนหน้าเธอทำให้ฉันอดขำไม่ได้



        “ฮิ ฮิ”



        “เดี๋ยวก็ปล่อยให้ยืนขำอยู่ตรงนี้หรอก รีบเข้ามาเร็วๆ เข้าสิ เดี๋ยวคนห้องตรงข้ามเห็นเข้า ฉันก็หมดอนาคตพอดี เข้ามาๆ ”



        โอ้โห ห้องกว้างกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีกแฮะ แล้วก็รกกว่าที่คิดเอาไว้อีกเหมือนกัน ตรงกลางห้องมีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งอยู่ บนนั้นและรอบข้างเต็มไปด้วยถุงขนมและเศษกระดาษพร้อมกับเบาะรองนั่ง 2 อันที่กระเด็ดไปคนละทาง เบื้องหน้ามีโทรทัศน์คงจะประมาณ 12 นิ้วได้หละมั้ง ด้านในสุดของห้องมีโต๊ะทานอาหารสไตล์โมเดิร์นเล็กๆ พร้อมกับอุปกรณ์ทำครัวทุกอย่าง เช่นกระทะ หม้อ ตู้เย็น เตาแก๊สซึ่งเมื่อฉันเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้ว มันแทบจะไม่เคยผ่านการใช้งานเลย ห้องนี้มีประตูแยกไปอีก 3 บาน ไม่นับประตูทางเข้า อยากรู้จังว่าห้องไหนเป็นห้องฉัน



        “เธอยังเด็กอยู่เลยนะ”ผู้หญิงคนที่เป็นเจ้าของห้องพูดขณะเช็ดครีมออกจากหน้า



        “ค่ะ ฉันอายุ 18 ”



        “ใบหน้าของเธอค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น เมื่อเธอเช็ดครีมจนหมดฉันเดาว่าเธอคงจะอายุ 30 ไม่สิ น่าจะ 25 มั้ง หรืออาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้ แต่ถ้าให้เธอแต่งหน้าทาปากสักหน่อย เธอคงจะสวยไม่แพ้อายะ อุเอโตะเลย (ฉันคิดของฉันเองนะ)



        “จริงสิ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัว ฉันชื่อ มิทสึ เทรูมิ อายุ. . .“



        เธอเงียบไปสักพัก สงสัยจะไม่อยากบอก ไม่เข้าใจจริงจริ๊ง กับแค่เลข 2 หลัก จะปิดบังกันไปทำไม



        “ฉันอายุมากกว่าเธอก็แล้วกัน แล้วเธอหละชื่ออะไร”



        “คุเซฮาร่า เมมิค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก เอ่อ. . . ไม่ทราบว่าห้องฉันอยู่ไหนเหรอคะ”



        “ประตูซ้ายสุด”เธอพูดจบก็เปิดกระปุกครีมแล้วละเลงมันบนหน้าของเธอ



        ฉันเดินไปยังประตูซ้ายสุดตามที่เธอบอก พอเปิดประตูเข้าไป คุณพระช่วย!!! นี่ถ้าห้องนี้ไม่มีเตียงหละก็ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นห้องนอน มันช่างไม่เรียบร้อยเอาซะเลย แถมฝุ่นก็เขลอะอีกตะหาก หยั่งกับห้องนอนผีสิงเลย



        “โทษทีนะที่ไม่ได้ทำความสะอาดเอาไว้รอเธอล่วงหน้าน่ะ ห้องนั้นมันเป็นห้องนอนเหมือนกัน แต่ฉันอยู่คนเดียว คงไม่บ้าใช้ห้องนอนถึงสองห้องหรอก”



        “แฮ่ะ” ฉันหัวเราะแห้งๆ



        “ไม้กวาดอยู่ในครัว ส่วนไม้ถูพื้นกับถังน้ำอยู่ในห้องน้ำนะ ฉันไปเปลี่ยนชุดก่อนก็แล้วกัน”



        ฉันพยักหน้า ให้เขาแล้วถอนหายใจ ก่อนที่จะเริ่มทำความสะอาดครั้งใหญ่ ในห้องนี้นอกจากจะมีเตียงแล้ว ยังมีตู้เสื้อผ้าที่ฝุ่นจับจนฉันสังเกตไม่ชัดว่ามันเป็นสีอะไร และยังมีโต๊ะทำงานเล็กๆ อยู่ข้างเตียงด้วย แหม… ที่นี่ก็มีระดับเหมือนกันนะ แล้วฉันก็เดินไปเอาไม้กวาดในครัวกับไม้ถูพื้น ผ้าขี้ริ้วและถังน้ำในห้องน้ำ ฉันเริ่มทำความสะอาดโดยการปัดฝุ่นทุกบริเวณในห้อง (ยอมรับเลยว่าฝุ่นเยอะจริงๆ เพราะมันทำให้ฉันจามตลอดเวลาเลย) หลังจากนั้นฉันก็กวาดห้อง เช็ดถูทุกซอกทุกมุม แล้วก็เริ่มจัดเข้าของเข้าที่ มันไม่ได้มีเยอะอะไรนักหนาหรอก ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้ามากกว่าน่ะ สุดท้ายก็เอาผ้าปูที่นอนไปซักรอสักแปบแล้วก็เอาไปตาก และกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเพื่อตกแต่งห้อง ฉันเอารูปของพ่อไปวางไว้ที่หัวเตียง เผื่อว่าวันนี้ที่แนคิดถึงท่านมากๆ จะได้หยิบมาดูง่ายๆ จะว่าไป. . . มันแป๊บเดียวเองนี่นา แต่ตอนนี้เริ่มสายตะวันโด่งแล้ว ฉันรู้สึกว่าต้องหาอะไรกินซักหน่อย



        ฉันเดินไปเปิดประตู ขณะนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออกจากข้างนอก มันเลยเข้ามาปะทะกับหน้าฉันเข้าอย่างจัง



        ปั้ง!!!



        “หวายตายแล้ว ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่หลังประตู ฉันขอโทษ”เทรูมินั่นเอง เธอรีบขอโทษขอโพยฉันใหญ่ ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น



        “ไม่เป็นไรค่ะไม่เป็นไร”ฉันพูดแต่มือยังจับที่หน้าผากอยู่ ฉันภาวนาว่ามันคงไม่ปูดเป็นซาลาเปาหรอกนะ



        “ไม่เป็นไรแน่นะ ไหนดูซิว่าปูดรึเปล่า” เทรูมิเชยคางฉันขึ้นแล้วปัดผมที่รุงรังบนหน้าฉันออก เธอค่อยๆลูบหน้าผากฉันเบาๆ



        “ไม่ปูดแฮะ จะเอายามั๊ย เดี๋ยวฉันไปหามาทาให้”



        “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉัน. . . หายแล้ว” แต่ความจริงมันก็ยังปวดอยู่หน่อยๆ นะ



        แล้วเธอก็ค่อยๆ พยุงฉันลุกขึ้นจากพื้น จริงสิ ลืมบอกไปว่าเมื่อกี้ฉันล้มด้วย



        “โอ้โห. . . นี่เธอทำคนเดียวเลยเหรอเนี่ย”



        “หมายถึงห้องเหรอคะ ใช่ค่ะฉันทำเอง”



        ฉันค่อยๆ ตั้งสติแล้วมองหน้าเทรูมิ ไม่น่าเชื่อเลยว่าตรงหน้าฉันจะเป็นคุณเทรูมิคนเมื่อกี้นี้ ตอนนี้เธอดูสง่ามาก เธอรวบผมสูง ใส่ชุดลำลองสีฟ้าอ่อนกับกระโปรงสั้นถึงเข่าสีขาวปักเลื่อมนิดหน่อยพอเป็นลวดลาย ทาตาด้วยอายไลเนอร์สีฟ้าอ่อน และปากสีชมพูอ่อนๆ หน้าเธอดูเด็กมากๆ เผลอๆ จะเด็กกว่าฉันซะอีก ทำให้ฉันเดาอายุของเธอไม่ถูกเลย



        “คุณเทรูมิคะ”



        “นี่ อย่าเรียกฉันว่าคุณสิ มันทำให้ฉันดูเป็นคุณนายยังไงก็ไม่รู้”



        “แล้วคุณอายุเท่าไหร่หละคะฉันจะได้เรียกถูก” ฉันแกล้งถามเพราะอยากรู้อายุที่แท้จริงของเธอ



        “. . . อาทิตย์หน้าฉันก็เลยเบญจเพศแล้วหละ เธอเรียกฉันว่าเทรูมิเฉยๆ ก็ได้ ฉันไม่ถือหรอก แล้วอีกอย่าง เราเป็นเพื่อนร่วมห้องกันไม่ใช่เหรอเมมิจัง”



        “เอางั้นก็ได้ค่ะ คุณ. . . เอ๊ย! เทรูมิ”



        จากนั้น ฉันก็จัดเก็บข้าวของต่างๆ ให้เรียบร้อยอีกนิดหน่อย แล้วเทรูมิก็ชวนกันออกไปกินข้าวนอกบ้านกัน



        เรานั่งกินราเมงกันข้างถนน ระหว่างนั้นฉันก็เล่าเรื่องของฉัน เธอก็เล่าเรื่องของเธอ เธอบอกว่าเธอเป็นครูอนุบาล แล้วทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ เธอก็รับสอนหนังสือนักเรียนตามบ้านทั่วราชอาณาจักร อย่างเช่นตอน 4 โมงเช้าของวันนี้เธอจะต้องไปสอนเด็กนักเรียนเหมือนกัน เสร็จจากกินราเมงเธอบอกว่าจะพาฉันไปเดินเที่ยวชิบุยะสัก 2 – 3 ชั่วโมงก่อนไปทำงาน แต่งานนี้ฉันขอผ่านเพราะร่างกายของฉันมันเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งคืน เลยขอตัวกลับไปนอนที่ห้อง ก่อนจะขึ้นห้องฉันพอจตะมีเงินติดตัวมาบ้างนิดหน่อยเลยซื้ออาหารจากมินิมาร์ทติดไม้ติดมือขึ้นไปบนห้อง เอาไว้ตุนเวลาหิว



        

        ตายจริง ฉันหลับไปนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย แล้วฉันก็เงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง โห… ปาเข้าไปจะ 6 โมงเย็นแล้วเหรอ ฉันเดินออกจากห้องเพื่อมาหาของกิน แล้วก็เห็นเทรูมิที่กำลังนั่งดูทีวีพร้อมกับกองถุงขนมรอบข้าง เธอเป็นคนชอบกินขนมจุกจิกมากเลย

    แหละ แต่แปลกนะที่เธอไม่อ้วนเลย ในตู้กับข้าวตอนนี้มีบะหมี่อยู่ 2 – 3 กระปองที่ฉันซื้อมา เลยกินมันเป็นอาหารเย็น



        “ได้เวลาแล้วสินะ นี่เมมิมาดูของดีเร็ว”



        ฉันพักเรื่องทำบะหมี่เอาไว้แล้วเดินมาหาเทรูมิที่หน้าประตูทางเข้า เธอกำลังมองอะไรบางอย่างผ่านตาแมวที่ประตูอยู่



        “นี่ๆ ดูเร็ว”



        เธอผลักฉันไปติดกับประตู ฉันเลยมองลอดผ่านตาแมวออกไป ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดเหมือนบ๋อยโรงแรมกำลังก้มหน้าก้มตาใส่รองเท้าอยู่ อุ๊ยเขาเงยหน้าขึ้นมาแล้ว โอ้โห. . . ที่โตเกียวมีผู้ชายหล่อๆ แบบนี้หลงเหลืออยู่อีกเหรอเนี่ย เขาทั้งหล่อทั้งดูดี เผลอๆ อาจจะเป็นลูกครึ่งด้วยหละมั้งเนี่ย แหม…เทรูมินี่ดีจังเลยนะมีอาหารตามาให้ดูถึงที่เลย



        “ไง เขาเยี่ยมไปเลยใช่มั้ยหละ”



        “หนุ่มห้องตรงข้ามที่เธอพูดถึงเมื่อเช้าน่ะเหรอ”



        “อื้อ”



        “อุ๊ย เขาหล่อมากเลย”



        “ใช่ ฉันปิ๊งเขามาตั้งนานแล้วหละ เห็นหล่อๆ แบบนี้แต่ยังไม่มีแฟนด้วยนะจ๊ะ ตอนนี้เขาคงกำลังจะออกไปทำงาน เขาเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ผับโรงแรมไฮโด้ซิตี้น่ะ แล้วเขาก็เป็นนายแบบด้วยนะ นี่ดูสิ หล่อถึงขั้นได้ลงแมกกาซีนเล่มโปรดของฉันเลยหละ”



        เทรูมิหยิบแมกกาซีนที่เป็นรูปของหนุ่มคนเมื่อกี้ให้ฉันดู โอ๊ย ดูตัวจริงก็หล่อในรูปก็หล่อ คนบ้าอะไรเนี่ย



        “ฉันขอไปตระเวนราตรีก่อนนะ เผื่อจะได้ไปเจอเขาด้วย เธออยากไปด้วยกันมั้ยหละ”



        “ไม่หละ เอ่อนี่ เธอมีคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คมั้ย”



        “มีสิ อยู่ในห้องน่ะ ใช้ตามสบายเลยนะ”



        จากนั้น ฉันก็รีบไปจัดการต้มบะหมี่ต่อ ส่วนเธอก็แต่งชุดที่เหมาะกับการเที่ยวกลางคืนแล้วออกไปจากห้อง ฉันก็ไปโซ้ยบะหมี่อยู่ที่หน้าโน๊ตบุ๊คของเทรูมิ ก่อนจะมาที่โตเกียว ฉันเคยไปลงชื่อที่บริษัทจัดหางานเอาไว้ แล้วที่ฉันได้ก็คือบ๋อยร้านเบเกอรี่ชื่อ Cougar (มันอยู่ที่ไหนหว่า) เงินที่ได้ก็ 950 เยนต่อชั่วโมง อืม. . . พอได้ๆ งั้นฉันเริ่มทำงานพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×