ตอนที่ 3 : แจโดรักนี้ป่วยจิต (3) (100%)
หลังจากคืนนั้นที่แจฮยอนไปส่งผมที่บ้าน เขาก็ไม่เคยโผล่หน้ามาให้ผมเห็นอีกเลย
จนมาถึงเช้าวันนี้ที่อากาศข้างนอกก็เริ่มเย็นลงมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียกได้เต็มปากว่ามันเข้าฤดูหนาวแล้วสินะ
ถ้าความคิดถึงจะทำให้ผมมีโอกาสได้เจอกับแจฮยอนเร็วกว่านี้ เหมือนอย่างที่ผมกำลังได้เห็นหน้าเขาอยู่ตรงหน้าที่นี่ ผมก็คงจะคิดถึงเขาไปนานแล้วล่ะ
ดูนั่นสิ! จู่ ๆ ก็โผล่หน้ามาแถมยังเดินเข้ามาหาผมเองอีกด้วย
“จะไปไหนเหรอครับซันเบ?” สายตาคมวาวแบบกวนประสาทของแจฮยอนกำลังจ้องมองดูดวงตาคู่สวยของเด็กหนุ่มฟันกระต่ายที่ยืนตัวเกร็งแข็งทื่ออยู่ตรงหน้าคล้ายกับถูกมนต์สะกดให้ขยับตัวไปไหนไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาของดงยองเบิกกว้างพร้อมกับยอมปล่อยให้ใบหน้าของตัวเองขึ้นสีแดงเรื่อเพราะความรู้สึกดีใจ
“เอ๊ะ?!”
“วันนี้ว่าจะไปหาด๊อกเตอร์ที่ห้องแล็บอยู่พอดีเลย?!”
“งั้นเหรอ? ก็ไปสิ!”
“พี่ดงยองกำลังจะเดินไปที่ห้องแล็บอยู่ใช่มั้ย?”
“ก็ใช่น่ะสิ! ถ้าไม่ให้ฉันไปห้องแล็บแล้วจะให้ฉันไปที่ไหนได้อีกล่ะ?”
“แจ้ก็ว่างั้นแหล่ะ! แต่ว่าวันนี้หน้าตาพี่ดูไม่เผ็ดเลยนะครับ?! ทำไมปล่อยให้ขอบตาดำคล้ำจนเป็นหมีแพนด้าแบบนี้ล่ะ?” เสียงลากยาวแกมหยอกล้อของแจฮยอนกำลังล้อเลียนเด็กหนุ่มที่โหมทำงานในห้องแล็บดึกดื่นและทิ้งร่องรอยไว้เป็นหลักฐานปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน
“ยังจะมาถามอีก?!”
“แล้วพี่กงมยองเขายังเป็นห่วงเรื่องที่ผมตามวอแวพี่อยู่อีกหรือเปล่า?”
“ก็ไม่เห็นจะว่ายังไงเลย เดี๋ยวนี้พี่กงมยองก็ไม่ค่อยยอมกลับมาบ้านสักเท่าไหร่?!” น้ำเสียงเจือปนความรู้สึกน้อยใจแฝงออกมาให้เด็กหนุ่มตัวสูงอีกคนยังต้องจับสังเกตได้
“เป็นห่วงพี่กงมยองมากขนาดนั้นเลยเหรอ?!”
“อืม! ก็พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่ ก็ต้องเป็นห่วงกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“...”
ก็ถ้าแจฮยอนไม่ได้เกิดมาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว เขาก็คงจะรู้ได้บ้างแหล่ะว่าความรู้สึกเป็นห่วงกันแบบนั้นมันเป็นยังไง
“พี่แจ้ไม่เข้าเรียนคาบเช้าเหรอ?!”
เจ้าของชื่อพลันเหลียวสายตากลับไปทางด้านหลังพร้อมเอ่ยปากทักทายกลับไปด้วยเสียงลากยาวอย่างคนที่รู้สึกคุ้นเคยในทันที
“ว่าไงครับ! ไอ้น้องหมาก!”
“มาร์คฮะพี่ ผมชื่อมาร์ค เรียกให้สมกับที่ผมเป็นเด็กอินเตอร์หน่อยสิฮะ?!”
“เออ...ไอ้มาร์ค! แหย่นิดแหย่หน่อยทำเป็น?!”
“ตกลงพี่จะเข้าเรียนป่ะเนี่ย?”
“เข้าสิครับ! น้องมาร์ค เดี๋ยวนี้พี่เป็นคนดีแล้วนะครับ!” เด็กหนุ่มตัวสูงเอื้อมแขนออกไปล็อคคอเด็กหนุ่มแคเนเดียนเข้ามาโอบคอไว้อย่างสนิทสนม ก่อนหันหน้ากลับมาหาเด็กหนุ่มฟันกระต่ายอีกคนที่ยังคงยืนดูเหตุการณ์อยู่ตรงนั้น
“...”
“ไว้ค่อยเจอกันที่ห้องแล็บนะ พี่ดงยอง แจ้ไปเรียนก่อน เดี๋ยวสาย!” แจฮยอนยกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมกับหันหลังเดินกอดคอเด็กหนุ่มรุ่นน้องอีกคนเข้าไปในตึกอย่างสบายอารมณ์
ดงยองถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยความรู้สึกโล่งอก แต่กลับรู้สึกเบาหวิวอยู่ภายในใจลึก ๆ แบบที่บอกออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกอีกเหมือนกัน
วันนี้แจฮยอนไม่แกล้งแหย่เขาเหมือนอย่างทุกครั้ง แม้แต่การแกล้งกอดกันอย่างทุกทีที่เขาชอบทำก็ไม่มีเลยสักนิด
นี่ดงยองกำลังคาดหวังอะไรจากการกระทำของแจฮยอนอยู่อย่างนั้นหรือ?
.
.
“เป็นยังไงบ้างล่ะ? ดงยอง!”
“อ๊ะ! ด็อกเตอร์เองเหรอฮะ?” เด็กหนุ่มฟันกระต่ายที่ละสายตาออกมาจากหน้าจอโน้ตบุคส์เอ่ยทักชายหนุ่มวัยกลางคนที่พึ่งเดินเข้ามาภายในห้องแล็บแบบที่ไม่ให้สุ่มให้เสียงเลยสักนิด
“...”
ด๊อกเตอร์หนุ่มเจ้าของคำถามยังคงยืนจ้องตากับดงยองอย่างที่คาดหวังรอคอยฟังคำตอบ
“อ๋อ! คือว่าโปรเจคมันล่าช้ากว่าแผนที่วางเอาไว้นิดหน่อยน่ะครับ แต่ผมจะเร่งมือทำอย่างเต็มที่เลย คิดว่าน่าจะเสร็จทันตามกำหนดได้อย่างแน่นอนเลยล่ะครับ”
“ด๊อกไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นหรอกนะ ว่าแต่เราน่ะได้นอนหลับเต็มอิ่มเหมือนกับคนอื่น ๆ บ้างหรือเปล่า?”
“ห๊า?! นี่หน้าตาของผมมันดูแย่มากขนาดนั้นเลยเหรอฮะ?”
“ถึงนายจะเป็นผู้ชายก็จะปล่อยให้ขอบตาของตัวเองมันดำคล้ำจนดูไม่ได้แบบนี้หรอกนะ เดี๋ยวด๊อกแนะนำครีมให้ลองใช้ดูบ้างเอามั้ย?”
“แหม?! ด๊อกฮะ ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ด๊อกก็รู้?!”
“ถ้าหากว่ามีคนมาช่วยโปรเจคนี้อีกสักคนก็คงจะดีกว่านี้สินะ?! นายเองจะได้ไม่ต้องทำงานเหนื่อยมากไปจนกลายเป็นซอมบี้แบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกฮะ ผมยังไหวอยู่ ว่าแต่ด๊อกจะเอากาแฟมั้ย?! เดี๋ยวผมไปเอามาให้?”
“ขอเป็นชาร้อนแทนก็แล้วกันนะ” ยองโฮตอบเด็กหนุ่มหน้าตาดีแถมนิสัยก็ดีด้วยออกไปพร้อมกับหย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุดตรงนั้น
“แล้วแจฮยอนล่ะเป็นยังไงบ้าง?”
เด็กหนุ่มเจ้าของฟันกระต่ายพลันต้องหยุดชะงักหยุดอยู่กับที่ทันที เมื่อด็อกเตอร์พูดถึงเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เคยเข้ามาที่ห้องแล็บอยู่เสมอ
“เอ่อ...”
“เขาเป็นคนหัวดีใช้ได้เลยไม่ใช่เหรอ? ถ้าได้เขามาช่วยทำโปรเจคนี้ นายเองก็น่าจะทำอะไรได้สะดวกและง่ายขึ้นด้วยจริงมั้ย?”
“แจฮยอนเขาก็ดูเป็นคนดีอยู่หรอกฮะ แต่บางทีก็คาดเดาอารมณ์เขายากอยู่เหมือนกัน...”
“...”
ด็อกเตอร์พลันย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่ค่อยแน่ใจในความหมายมากนัก
“อ๋า...ผมหมายถึงเวลาใจดีเขาก็ช่วยผมเหมือนอย่างวันที่ด๊อกเจอเขาวันนั้นยังไงล่ะฮะ”
“อ๋อ! วันที่ด๊อกเข้ามาขัดจังหวะพวกนายสองคนตอนนั้นเองสินะ?”
“อะไรกันฮะ? ด๊อก! มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!”
“ทีแรกด็อกก็เป็นห่วงกลัวว่านายสองคนจะเข้ากันไม่ได้เสียอีก แต่พอเห็นพวกนายวันนั้นแล้วด๊อกเองก็รู้สึกเบาใจไปเยอะเลย”
“พวกเราสองคนก็ไม่สนิทกันมากขนาดนั้นหรอกฮะ”
“งั้นเหรอ? แต่เท่าที่สายตาของด๊อกจำได้มันเกินคำว่าสนิทไปแล้วนะ?!” ยองโฮยกยิ้มขึ้นมาอย่างรู้ทันเมื่อนึกถึงภาพที่ยังคงติดตาเขาตอนที่มองเห็นดงยองยืนโอบแขนรอบคอของแจฮยอนในวันนั้นจนแทบจะเรียกได้ว่าทั้งคู่เกือบจะจูบกันอยู่แล้วถ้าด๊อกไม่ได้เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน
“ด๊อกอ่ะ เลิกแซวผมได้แล้ว!” เด็กหนุ่มที่เดินกลับมานั่งที่โต๊ะแบบที่หน้าค่อย ๆ เริ่มขึ้นสีแดงพลันหันไปดุอาจารย์ที่แซวเขาไม่ยอมหยุดสักที ก่อนหันกลับมามองดูชอคโกแลตในบีกเกอร์ทรงสูงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในนั้น
“...”
“ไม่มีทางที่พวกเราจะสนิทกันไปมากกว่านี้ได้หรอกฮะ”
.
.
ติ๊ง!!!
ติ๊ง!!!
ติ๊ง!!!
(คืนนี้ออกไปเที่ยวกันมั้ย?)
(ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วนะ)
(คืนนี้ว่างหรือเปล่า?)
แจฮยอนค่อย ๆ เลื่อนปลายนิ้วมือเพื่อสไลด์อ่านข้อความที่กำลังส่งเข้ามาในไลน์อยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ว่าข้อความพวกนั้นกลับไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มตัวสูงมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลยสักนิด
ปัง!!!
“น่าเบื่อชะมัดเลย!”
มือถือของแจฮยอนถูกวางทิ้งเอาไว้ที่โต๊ะและยังคงปล่อยให้มันส่งเสียงของข้อความเข้าต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ไอ้แจ้! เมนส์ไม่มาเหรอ? ดูทำหน้าเข้าสิ! อย่างกับว่ามีใครตายสักคนยังงั้นแหล่ะ?!”
“...”
เด็กหนุ่มตัวสูงที่กำลังถูกทักทายพลันตวัดหางตาจ้องมองดูใบหน้าของรุ่นพี่เสียงทุ้มที่กำลังเดินเข้ามานั่งพร้อมกับวางแก้วกาแฟไว้ที่โต๊ะ
“วันนี้ไม่ไปห้องแล็บเหรอ?!” เสียงลากยาวของอีแทยงยังคงตั้งใจปั่นป่วนกวนประสาทรุ่นน้องให้ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกจนคนถูกล้อเลียนต้องรีบแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับเบิกตาโตกลับไปให้อีแทยงแทนคำตอบ
“ดีนะที่เฮียไม่ต้องไปหาใครที่นั่น!”
“เฮียสนุกมากเลยเหรอ?!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” อีแทยงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นเมื่อได้เห็นหน้าตาของแจฮยอนที่กำลังเปลี่ยนไปตามคำพูดที่เขาแกล้งยั่วยุยียวนออกไปแบบนั้น
“...”
“ก็เฮียเคยเห็นว่าแกเทียวไปหาดงยองที่ห้องแล็บทุกวันเลยนี่นา?”
“...”
“แล้วนี่ยังไงกันล่ะ?! จบแล้วงั้นเหรอ?! อย่าบอกนะว่าแกเบื่อมันแล้ว?!”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย! แค่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไปดี?” แจฮยอนยกมือของตัวเองขึ้นมาลูบอยู่ที่ท้ายทอยเหมือนคนหมดสิ้นท่าแล้วทุกอย่าง
“จะว่าไปแล้วตอนที่เฮียได้เห็นหน้าดงยอง เฮียเองก็รู้สึกถูกชะตากับมันอยู่นะ ตัวจริงแม่งโคตรหล่อแล้วก็น่ารักมากเลยอ่ะ!”
“นั่นแหล่ะยิ่งที่ทำให้แจ้รู้สึกแปลก ๆ กับความรู้สึกของตัวเองอยู่ตอนนี้?!”
“แปลกยังไงวะ?”
“เวลาที่แจ้เห็นหน้าพี่ดงยองทีไรแจ้ก็...”
“อ๋อ...แกอยากจะมีอะไรกับมันแล้วสินะ?”
“อะไรกันล่ะ?! เฮีย! พูดอะไรออกมาเนี่ย? เลอะเทอะอีกแล้วนะ!”
“เฮียว่านะ ความรู้สึกของแกมันมาถึงจุดที่แกอยากจะได้ดงยองแล้วยังไงล่ะ!”
“เปลี่ยนเรื่องคุยได้มั้ยเนี่ย? เฮีย! แจ้ว่าเฮียไปไกลละ?!”
“เดี๋ยวก่อนสิวะ! เฮียเคยบอกแกแล้วใช่มั้ย ว่าจริง ๆ แกน่ะ มีความรู้สึกให้กับดงยองเหมือนอย่างที่เฮียรู้สึกกับเตนล์ยังไงล่ะ และตอนนี้แกเองก็เริ่มรู้สึกที่อยากจะได้อะไรจากดงยองที่มันมากไปกว่าการได้เห็นหน้ากันแล้วน่ะสิ!”
เด็กหนุ่มเจ้าของลักยิ้มได้แต่นั่งนิ่งทนฟังคำพูดของรุ่นพี่คนสนิทต่อไปทั้งที่ต้องฝืนกลืนก้อนสะอึกที่ค้ำอยู่ตรงลำคอของเขา
“แจ้เอ๊ย! แกหลอกตัวเองไม่ได้อีกแล้วว่ะ!”
“...”
“พี่แจ้! ที่พี่ให้ผมไปสืบข่าวของพี่ดงยองน่ะ พี่เขาก็ดูโอเคดีอยู่นะ แต่ด้วยความที่เขาทำงานอยู่กับด๊อกเตอร์ก็เลยรู้สึกกดดันมากอยู่สักหน่อย เพราะพี่ดงยองเองก็ไม่อยากทำให้ด็อกเตอร์ต้องรู้สึกผิดหวังตามไปด้วยน่ะสิ” มาร์คที่เดินเข้ามาหาแจฮยอนถึงโต๊ะรีบเปิดปากบอกทุกสิ่งอย่างออกมาจนหมดในทันที
“แกน่าจะไปช่วยเด็กของแกได้แล้วนะ ไอ้แจ้!” แทยงเอ่ยบอกรุ่นน้องตัวสูงที่พยายามทำทุกวิถีทางถึงขนาดใช้ให้ไอ้มาร์คไปช่วยสืบข่าวของดงยองมาให้แบบนี้
“พี่แจ้เป็นห่วงพี่ดงยองมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เด็กหนุ่มแคเนเดียนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวถึงกับทำหน้าเหวอมองดูเด็กหนุ่มตัวสูงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพึ่งได้ยิน
“ทำไมฉันต้องรู้สึกแบบนั้นด้วยล่ะ?!” เด็กหนุ่มที่ปากไม่ตรงกับใจกลับทำเสียงดุตอบออกไปจนเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งยิ่งทำหน้าเหวอหนักเข้าไปอีก
“แล้วพี่มาดุผมทำไมล่ะฮะ?! ผมก็แค่ถามเฉย ๆ หรือเปล่า?”
“เออ ๆ ขอบใจเอ็งมากเลย ไอ้มาร์ค ที่ช่วยสืบข่าวให้”
“งั้นผมไปก่อนนะ เพราะต้องไปหาแฮชานอีก”
“เออ! ไว้ค่อยเจอกัน”
เด็กหนุ่มตัวสูงที่มองดูแผ่นหลังของมาร์คที่กำลังเดินจากไป พลันตวัดหางตากลับมามองดูใบหน้าของรุ่นพี่ตัวดีอีกครั้งแบบที่ไม่สบอารมณ์เลยจริง ๆ ถึงจะสนิทกันมากแค่ไหนก็ตาม แต่การเผลอหลุดปากพูดเรื่องของดงยองให้เด็กหนุ่มอย่างมาร์คได้ยินก็ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยโอเคกับเรื่องนี้สักเท่าไรนัก
มือถือของแจฮยอนที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะถูกเด็กหนุ่มเจ้าของเครื่องคว้าหยิบมันกลับไปถือเอาไว้อยู่ในมือ ก่อนสะพายกระเป๋าขึ้นพาดบ่าด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“ไว้เจอกัน เฮีย!”
“ขอให้โชคดีนะครับ ไอ้แจ้!” หน้าตาทะลึ่งทะเล้นตึงตังปนความรู้สึกยียวนกวนส้นทีนของอีแทยงที่รู้ว่าแจฮยอนกำลังจะไปที่ห้องแล็บนั้น ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มตัวสูงอยากจะปล่อยหมัดตั๊นใส่หน้ารุ่นพี่ตัวแสบคนนี้เข้าให้สักทีสองที
“เฮียหยุดพูดไปเลยดีกว่า!”
“บ๊าย บาย ขอให้โชคดีนะครับ แจฮยอนน่า?!”
อีแทยงยกยิ้มขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกลั้วเสียงหัวเราะไล่ตามแผ่นหลังของแจฮยอนออกไปอย่างไม่คิดที่จะยอมหยุดกวนประสาทเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ถ้าเขาไม่ได้สนิทและรู้จักนิสัยใจคอของแจฮยอนมากขนาดนี้ รุ่นพี่อย่างเขาเองก็คงไม่กล้าที่จะหยอกล้อเล่นหัวกับแจฮยอนได้อย่างสุดติ่งแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
.
.
ความเงียบภายในห้องแล็บทำให้เข็มนาฬิกาที่กำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ดังขึ้นมาภายในห้องอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มเจ้าของฟันกระต่ายภายใต้กรอบแว่นตาสีดำก็เริ่มรู้สึกล้าสายตาจนอยากจะหยุดพักงานวิจัยของเขาเสียตั้งแต่วินาทีนี้
“เฮ้อ...”
“พี่น่าจะไปที่ห้องสมุดก่อนที่มันจะปิดนะ?” แจฮยอนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบหลังจากที่เดินเข้ามาจนแทบจะถึงตัวของดงยองอยู่แล้ว
“แจฮยอนเองเหรอ?” เด็กหนุ่มที่ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะถูกทักรีบลุกขึ้นยืนทันที ก่อนที่จะมองดูเข็มนาฬิกาที่กำลังเดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาที่แขวนอยู่ฝาผนังภายในห้อง
“อืม...งั้นเดี๋ยวฉันรีบไปที่ห้องสมุดก่อนดีกว่า!”
“ไม่ต้องไปแล้ว! ใช่อันนี้หรือเปล่าที่พี่อยากได้?” แจฮยอนรีบวางกระดาษเอสี่ปึกหนึ่งลงบนโต๊ะ ก่อนที่ดงยองจะก้มลงมองดูด้วยความแปลกใจ แล้วค่อย ๆ หยิบมันขึ้นมาอ่านทีละหน้าด้วยสายตาที่กวาดไปมาอย่างรวดเร็ว
“หืม?!”
“ผมยืมหนังสือเล่มนี้มาให้ไม่ได้หรอกนะ เพราะว่ามีคนจองคิวยืมต่ออยู่อีกหลายคนเลย ก็เลยทำได้แค่ก็อปปี้มันมาให้ได้เท่าที่เห็นนี่แหล่ะ!”
“ใช่ ๆ อันนี้แหล่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว” ดงยองไล่สายตาอ่านบทความนั้นต่อไปด้วยความดีใจ หากแต่ว่าหัวใจของเขากลับเต้นเร็วขึ้นเพราะเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เข้ามาหาแบบเซอร์ไพรส์ จนตอนนี้หัวใจของดงยองแทบจะเต้นแบบจับจังหวะไม่ได้อยู่แล้ว
“ทางผ่านผมพอดีน่ะ ก็เลยแวะเอามาให้”
“ขอบใจมากเลยนะ แจฮยอน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง ถ้างั้นผมกลับบ้านก่อนก็แล้วกันนะ”
“ด...เดี๋ยวก่อนสิ! แจฮยอน?!”
เด็กหนุ่มตัวสูงที่กำลังหันหลังเดินกลับออกไป พลันต้องชะงักปลายเท้าหยุดยืนอยู่กับที่ เมื่อเสื้อของเขาถูกนิ้วมือของดงยองรั้งเอาไว้จนสุดปลายนิ้วมือแบบนั้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?!” เด็กหนุ่มตัวสูงที่เอี้ยวหน้าหันกลับมาถามกลับไปด้วยความสงสัยอยู่ไม่น้อย
“จะไปแล้วจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“ห๊า?! พี่ถามผมว่าไงนะ?”
“จะกลับแล้วจริง ๆ เหรอ?”
เด็กหนุ่มเจ้าของลักยิ้มรีบพลิกตัวหมุนกลับมาเผชิญหน้ากับดงยองในทันทีอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา
“ความจริงที่ผมมาที่นี่ก็ตั้งใจว่าจะมาช่วยพี่ดงยองนั่นแหล่ะ ได้ยินมาว่าโปรเจคดีเลย์อยู่เยอะเลยไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ว่า...”
“รีบเอามาสิ เดี๋ยวผมอยู่ต่อแล้วช่วยพี่ดงยองทำงานด้วยก็ได้”
“จริงเหรอ?” เด็กหนุ่มฟันกระต่ายที่รู้สึกดีใจจนออกนอกหน้า รีบหมุนตัวกลับไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง พร้อมกับเปิดงานวิจัยหน้าที่กำลังทำค้างเอาไว้ขึ้นมาบนหน้าจอโน๊ตบุ๊คส์อีกครั้ง
“ที่เหลือก็มีแค่แปลเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นแหล่ะ”
“ไหนขอผมดูหน่อยสิ?!” เด็กหนุ่มตัวสูงค่อย ๆ โน้มใบหน้าของเขาข้ามหัวไหล่ของดงยองเข้าไปดูบนหน้าจอนั้นด้วยความตั้งใจ
“แจฮยอน...”
“หืม?”
“ขอบใจมากเลยนะที่ช่วย” ใบหน้าที่กำลังขึ้นสีด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายและมีความสุขของดงยองกำลังทำให้เด็กหนุ่มตัวสูงที่ยืนมองดูใบหน้าด้านข้างของดงยองอยู่พลันรู้สึกปวดมวนอยู่ภายในช่องท้องอย่างที่ยากจะอธิบายความรู้สึกออกมาได้
นี่พี่ดงยองเขากำลังเขินผมอยู่อย่างนั้นเหรอ? แล้วสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกอยู่กับพี่เขาในตอนนี้ล่ะ? มันคืออะไร?
“เอ่อ...เดี๋ยวผมออกไปซื้อกาแฟข้างนอกแป๊บนึงนะ” แจฮยอนที่กำลังรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเองต้องรีบขอตัวหลบออกมาจากห้องก่อนเพื่อเป้นการตั้งหลัก เขาไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำตัวกับรุ่นพี่ดงยองยังไงที่กำลังแอทแทคเขากลับมาด้วยคำพูดดี ๆ ทำตัวน่ารักกับเขาอย่างเห็นได้ชัดเจนมากขนาดนี้
.
.
แจฮยอนเดินกลับมาถึงห้องแล็บอีกครั้งพร้อมกับแก้วกาแฟร้อนสองแก้วที่เขาถืออยู่ในมือ แต่ว่าสายตาของเด็กหนุ่มตัวสูงกลับมองเห็นร่างของรุ่นพี่ดงยองกำลังนอนแน่นิ่งหลับไปแล้วที่โซฟาตัวใหญ่ตรงมุมห้องนั้น
“พี่ดงยอง?! หลับแล้วงั้นเหรอ?”
“...”
“ถ้าพี่จะนอนก็ช่วยถอดแว่นออกก่อนดีมั้ย?” ปลายนิ้วของแจฮยอนค่อย ๆ ยกกรอบแว่นตาสีดำของดงยองออกมา พร้อมกับมองเห็นสายตาที่กำลังสะลึมสะลือของดงยองค่อย ๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้า ๆ
“หืม...แจฮยอน...”
นี่เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่สายตาของพวกเราสบประสานกันด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งแบบนี้
“ขอโทษนะที่ฉันเผลอหลับไป...”
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อค่อย ๆ ประคองใบหน้าของดงยองเอาไว้อย่างเบามือก่อนก้มลงมาป้อนจูบที่อบอุ่นนั้นให้กับคนที่กำลังนอนอยู่ จนเด็กหนุ่มที่ถูกจู่โจมพลันต้องเบิกตาโพลงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกตกใจ
“นายจะทำอะไรน่ะ?!” เด็กหนุ่มที่ยังคงนอนอยู่บนโซฟาแทบจะลุกขึ้นมาเต้นเร่าในทันที หากแต่ว่าฝ่ามือของแจฮยอนกลับกดหัวเข่าของดงยองลงไปไม่ยอมปล่อยให้เขาลุกขึ้นมาได้ในตอนที่เด็กหนุ่มตัวสูงกำลังพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างบางของดงยองเอาไว้ในที่สุด
“พี่ดงยองยอมเป็นของผมได้มั้ย?”
ในที่สุดแจฮยอนก็รู้หัวใจของตัวเองแล้วว่าเขาต้องการอะไรจากเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ร่างของเขาในเวลานี้
“...”
ดงยองแทบจะกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มตรงหน้าพูดประโยคนั้นออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจังแถมยังต่างออกไปมากกว่าทุกครั้ง
“ผมจะไม่ทำให้พี่รู้สึกเจ็บหรอกนะ แค่ปล่อยให้ผมได้ทำตามใจจนกว่าพี่จะมีความสุขแค่นั้นก็พอ”
CUT
ขอโทษนะฮะ ลืมบอกไปว่าตอนนี้มีฉากคัตด้วยอ่ะครับ ตามไปหากันต่อในแท็กได้นะฮะ
#นอนรอคนอ่าน
#แจโดรักนี้ป่วยจิต
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อยากจะคราย #ดีใจ 5555
รอต่อนะค้า