ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    雪見 ครั้นเมื่อเหมันต์มาเยือน

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7 งานประลองบุปผา (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 64


    “…” นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน? ความวุ่นวายนี่มันอะไรกัน?

     

    ภาพบรรยากาศแปลกประหลาดตรงหน้านางนี้คืออะไรหนอ เสด็จแม่และพี่ลู่เจียวยืนหัวเราะขบขันที่มุมห้อง น้องสาวผู้ซุกซนกำลังเกาะไหล่นางจากด้านหลัง พร้อมกับตะโกนพูดกับนางกำนัลที่อยู่ด้านหน้า

    อืม…นางควรจะรีบแก้ไขมัน ก่อนที่ตัวนางเองจะหงุดหงิดกับเสียงดังๆ นี่สินะ

     

    “หยุด” หลังวลีเพียงวลีเดียวที่ดังขึ้นค่อนข้างที่จะเบา แต่รอบข้างกลับปฏิบัติตามกันอย่างถ้วนหน้า “อิงอิง” เสียงเย็นเอื่อยเอ่ยเรียกนางกำนัลใกล้ชิดหมาด ๆ ของตนเอง

    “เพคะ!” อิงอิงตอบพร้อมกับวิ่งเข้ามายืนข้างผู้เป็นนาย โดยไม่ลืมทำความเคารพผู้มีอำนาจทั้งหลาย รวมถึงผู้ที่มียศสูงกว่านางทั้งหมดในที่แห่งนี้

    “กลับไปเอาชุดสีขาวที่ลายเดียวกันกับข้าที่เรือนอวิ๋นเฟิงมา”

    “ทราบแล้วเพคะ” ว่าแล้วร่างเล็ก ๆ ก็ได้วิ่งออกไป เพื่อทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว

     

    ดวงตาของน้องสาวนั้นเปล่งประกาย มองมาที่นางราวกับเห็นเซียนมาโปรด

    “ท่านพี่ ข้ารักท่านที่สุด! พี่รู้ใจข้าเสมอเลย” ไป๋หลงเยินยอพี่สาวตนด้วยใบหน้ามีความสุข น้ำเสียงแห่งความออดอ้อนมาพร้อมกันแรงกอดที่ช่วงเอว ไป๋หลงนั้นย่อตนเองลงและฝังหน้าที่ถูกปิดทับด้วยหน้ากากไปที่หน้าท้องแบนราบของพี่สาว และแจกรอยยิ้มหวานสดใส

    “เสียงดัง” เฮยหลงดุเบา ๆ อย่างไม่จริงจังนัก

    “ฮี่” ไป๋หลงส่งเสียงประหลาดพร้อมกับยิ้มเห็นฟันทุกซี่ ไม่ต้องให้เดานางก็รู้ ดวงตากลมของไป่ไป๋คงกลายเป็นรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยวพร้อมกับรอยยิ้มนี้แน่นอน

     

    ไม่นานนักอิงอิงก็กลับมาพร้อมกับหีบใส่ผ้าขนาดเล็ก นางรับมาแล้วยื่นมันให้กับน้องสาวตัวดีเพื่อให้นางนำไปสวมใส่ ไป๋หลงพยักหน้าขึ้นลงแล้วรีบวิ่งแจ้นกลับไปเปลี่ยนชุดทันที

     

    ผ้าชนิดนี้นางเป็นผู้ทอขึ้นมาเองที่เรือนเมฆา ที่พักส่วนตัวของนางที่ทางสำนักหยงเหยวี่ยนฮวา ซือจุนเป็นผู้มอบให้นาง ในครานั้นนางสนใจในเรื่องผ้าอาภรณ์ จึงทดลองเลี้ยงหนอนไหมเหมันต์ที่จับได้บริเวณป่าตงเทียนหลังเรือนพักของซือจุน ไม่นึกว่าเมื่อทอออกมาแล้วตัวผ้าจะมีคุณสมบัติของธาตุเหมันต์ติดมาด้วย มันจะทำให้ผู้สวมใส่นั้นไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวทั้งยังเย็นสบาย

     

    อาภรณ์ชุดแรกที่ทอขึ้นนางใช้สีของดอกสือซว่านทำให้มันมีสีแดงสวย จึงได้มอบให้ท่านอาจารย์ไป ส่วนตัวต่อมาจึงคิดทอให้น้องสาวมันจึงมีสีขาวสว่างแบบธรรมชาติของไหมเหมันต์และสุดท้ายจึงทอให้ตนเอง ตัวนางนั้นไม่ใคร่ชอบสีขาวนักเพราะมันจะทำให้ตัวนางขาวไปทั้งตัว เพราะไม่ว่าจะสีผมหรือสีดวงตาล้วนเป็นสีเงิน หนำซ้ำผิวของนางยังขาวจัดเหมือนกับมารดาที่เป็นคนทางเหนือ จึงเลือกใช้สีดำของเกสรดอกสือซว่านมาย้อมสี ความพิเศษคืออาภรณ์ทั้งสามชิ้นที่ถูกถักทอขึ้น ล้วนแล้วแต่มีความพิเศษในตัวมันเอง

     

    สีแดงของดอกสือซว่านรักษาบาดแผล

    สีขาวของไหมเหมันต์ป้องกันสิ่งชั่วร้าย

    สีดำของดอกสือซว่านนั้นให้ฤทธิ์ตรงข้ามกับสีแดงอย่างสิ้นเชิง มันเป็นพิษ พิษร้ายนี้จะทำงานของมันก็ต่อเมื่อมีผู้ประสงค์ร้ายคิดสัมผัสผู้ที่สวมใส่ พิษจะทำให้เนื้อนั้นตายไปอย่างรวดเร็ว เพียงสัมผัสแค่ปลายนิ้วมันก็สามารถลามไปทั่วทั้งร่างกายได้นับเป็นของอันตรายชิ้นหนึ่ง ตอนที่นางทอมันขึ้นมาถึงกับต้องปิดเรือนให้หนาแน่นเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของพิษอยู่เป็นวันเลยทีเดียว

     

    คงมีหลายคนสงสัยว่าเหตุใดตัวนางจึงไม่ถูกพิษเล่นงาน คำตอบนั้นง่ายมาก อย่างที่กล่าวมาสีแดงของดอกสือซว่านเป็นยารักษา เพียงแค่นางพกพู่หยกแดงของทางสำนักก็ไม่เป็นอันใดแล้ว พู่หยกที่ซือจุนให้มานั้นลงอาคมระดับสูง สามารถป้องกันอันตรายหลายอย่างได้ พลังบริสุทธิ์จากหยกแดงสลักสือซว่านฮวาอันเป็นสัญลักษณ์ประจำสำนักจะช่วยเยียวยาร่างกาย ศิษย์ทุกคนจะได้รับมันไว้ในครอบครอง แต่จะมีบางรายละเอียดที่ต่างกันเพื่อแบ่งลำดับขั้นในสำนัก

     

    หลังจากที่ไป๋หลงผัดเปลี่ยนอาภรณ์ตนเองเรียบร้อยแล้วจึงปรากฏการขึ้น ผมและดวงตาสีดำขลับส่งเสริมให้ผิวขาวผ่อง อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ปักลายมังกรเหยียบเมฆด้วยไหมสีแดง ซึ่งเป็นสีเดียวกับเสื้อตัวในและผ้าคาดเอว เส้นผมเงางามถักเปียครึ่งศีรษะ ส่วนที่เหลือปล่อยสยายราวม่านน้ำตก

     

    เมื่อมายืนเคียงข้างเฮยหลงผู้เป็นพี่สาวภาพของคนทั้งคู่จึงดูราวหยินกับหยาง ถ้าจะให้บรรยายล่ะก็ คงบอกได้เพียงว่านอกจากสีแดงที่มีในอาภรณ์ที่เหมือนกัน นอกจากนั้นล้วนเป็นสีตรงข้าม เพียงแค่สี ๆ เดียวสามารถทำให้บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

     

    “กงจู่งดงามเหลือเกินเพคะ!” อิงอิงที่ชื่นชมความงามนั้นอยู่ในอารมณ์ตกตะลึง ทั้งสองพระองค์ช่างดูสูงศักดิ์เกินจะเอื้อมมือคว้าไปถึง งดงาม งดงามเหลือเกิน

    “แม่ก็ว่างาม ลูกแม่ใส่สิ่งใดก็งดงามยิ่ง”

    “ขอบพระทัยเสด็จแม่” สองแฝดเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

     

    ว่าแล้วทั้งสามจึงขึ้นเกี้ยว มุ่งหน้าตรงไปที่ตำหนักเฉียนชิงของโอรสสวรรค์ เพื่อที่จะได้ไปถึงงานพร้อมกัน โดยไม่ลืมที่จะกำชับให้องครักษ์ที่ไว้ใจได้เพื่อสั่งการบางอย่าง เพราะว่ามีการจัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่ ฮองเฮาจึงได้ส่งคนไปรับองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าที่เป็นเพียงสองคนที่ศึกษาในสำนักศึกษาศาสตร์สตรีใกล้ ๆ กับวังหลวงเพื่อให้มาร่วมงานในครั้งนี้

     

    ตำหนักเซี่ยเทียน ลานเหลียนฮวา

    สตรีวัยใกล้ปักปิ่นและสตรีที่เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นส่งเสียงพูดคุยกันอย่างออกรส ฮูหยินหลายคนที่ติดตามสามีตนมาสนทนากันในหัวเรื่องที่ไม่พ้นความสามารถของบุตร ขุนนางชายและหญิงคงไม่พ้นการสนทนาในหัวเรื่องของการเมือง

     

    แคว้นชิงหลงนั้นเปิดกว้างในเรื่องรับคนมีความสามารถเข้าทำงานได้ ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีหากมีฝีมือเข้าตาโอรสสวรรค์ล้วนสามารถก้าวไกลในหน้าที่การงานตน ไม่เว้นแม้แต่เหล่าขุนนางที่เปิดรับทั้งชายหญิง แต่ใช่ว่าในราชสำนักนั้นจะมีขุนนางที่เป็นสตรีมากมายนัก ด้วยเพราะพวกนางถูกอบรมในเรื่องหน้าที่ของตรีมาตลอด จึงมีส่วนน้อยเท่านั้นที่สนใจในงานราชการ

     

    “เฉินกุ้ยเฟยเสด็จ!”

    “เยวี่ยนซูเฟยเสด็จ!”

    “หลิวเต๋อเฟยเสด็จ!”

    “หม่าเสียนเฟยเสด็จ!”

    เสียงดังลากยาวย้ำ ๆ ของกงกงหน้าทางเข้างานดังขึ้นเรียกความสนใจของผู้คนในงานกันถ้วนทุกคน เสียงกล่าวสรรเสริญดังไม่หยุดตลอดทางที่เสด็จผ่าน

     

    “ถวายพระพรซื่อฟูเหริน ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” ประโยคนี้ดังขึ้นหลายครั้ง จนกระทั่งซื่อฟูเหรินทั้งสี่ประทับลงที่ตำแหน่งของตนเอง

    “ทุกท่านตามสบายเถิด” ประโยคนี้ถูกเอ่ยโดยน้ำเสียงหวานหยดของเฉินกุ้ยเฟย

    “ขอบพระทัยกุ้ยเฟย”

     

    อิริยาบทของฟูเหรินนั้นแสนผ่อนคลาย เว้นเพียงหลิวเต๋อเฟยที่แผ่รังสีความเยือกเย็นออกมาไม่หยุดหย่อน พระนางเป็นหนึ่งในฟูเหรินเพียงพระองค์เดียวที่ไม่แต่งเข้าตำหนักตงกงในสมัยที่ฮ่องเต้ยังมียศเป็นเพียงไท่จื่อ

     

    มีข่าวลือซุบซิบมากมายกล่าวถึงความโปรดปรานของจินหลงฮ่องเต้ต่อพระนางว่ามีความจืดจางมากที่สุดในหมู่ซื่อฟูเหรินทั้งสี่ น่าขันที่เรื่องนั้นคือเรื่องจริง อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายหรือก็คืออัครเสนาบดีหลิว ผู้เป็นบิดาของหลิวเต๋อเฟยใช้ข้ออ้างหลายอย่างในการถวายบุตรสาวตนเองให้กับจินหลงฮ่องเต้ อัครเสนาบดีหลิวผู้นี้หว่านล้อมเก่ง อ้างเรื่องถ่วงดุลอำนาจ แม้กระทั่งเรื่องสมดุลการปกครองมาใช้เพื่อให้ได้ดังหวัง แม้จินหลงฮ่องเต้จะรู้ว่าชายผู้นั้นเพียงโลภและต้องการอำนาจ แต่เหตุผลที่ได้ฟังนั้นสมเหตุสมผลจึงรับเอาคุณหนูหลิววั่งซูมาดำรงตำแหน่งหลิวเต๋อเฟย

     

    ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าหลิวเต๋อเฟยนั้นเคยเป็นคนเช่นไรมาก่อน เพราะนางไม่เคยเปิดเผยตัวต่อสาธารณะชนเลยสักครั้ง พวกเขาทราบเพียงว่าคุณหนูหลิวผู้นี้คือบุตรีเพียงผู้เดียวที่เกิดแก่ภรรยาเอกของอัครเสนาบดีหลิวเพียงเท่านั้น

     

    “ฮ่องเต้ ฮองเฮาเสด็จ!”

    “เฮยหลงกงจู่ ไป๋หลงกงจู่ เหมยฮวากงจู่ หลันฮวากงจู่เสด็จ!” รายนามยาวเหยียดที่ถูกเอ่ยขึ้นมาแต่ละคนล้วนสร้างความตระหนกตกใจแก่ผู้ร่วมงาน สำหรับฮ่องเต้และฮองเฮาที่เสด็จมาพร้อมกันนั้นไม่แปลกอันใด แต่การที่มีกงจู่ถึงสี่พระองค์เสด็จมาพร้อมกันนั้นนับเป็นเรื่องแปลก ยิ่งสำหรับองค์หญิงหวงเหมยฮวายิ่งแล้วใหญ่ พระมารดาขององค์หญิงนั้นคือหลิวเต๋อเฟย แต่เหตุใดจึงปรากฏกายพร้อมฮองเฮาไปได้กัน

     

    สองผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดินประทับลงบนบัลลังก์ทองพร้อมกัน ทั้งสองพระองค์นั้นสวมใส่ฉลองพระองค์สีทองงดงาม โอรสสวรรค์ปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรห้าเล็บ ส่วนมารดาแห่งแผ่นดินคงเป็นอื่นใดไปไม่ได้อีกนอกเสียจากลายหงส์สยายปีก เป็นลายปักที่งดงามเกินกว่าจะบรรยาย

     

    มังกรคู่ยังคงนั่งลงที่ตำแหน่งขององค์ชายลำดับที่หนึ่งและสองแม้ตนจะเป็นองค์หญิงก็ตาม ส่วนทางด้านบุปผาแห่งราชสกุลหวงได้นั่งลงที่ตำแหน่งองค์หญิงของตนเอง

     

    ลำดับการนั่งรอบนี้ไม่มีขุนนางคนใดกล้าสอดปาก หาใช่เพราะเกรงกลัวอาญาแต่พวกเขาล้วนกลัวเกรงองค์หญิงใหญ่เสียมากกว่า การมีคนกลัวเกรงก็ย่อมมีผู้ชื่นชม ขุนนางหญิงและขุนนางใหม่หลายคนในงานจับจ้องไปที่ที่นั่งขององค์หญิงใหญ่หวงเฮยหลงไม่วางตา ข่าวลือเรื่องเหตุการณ์ในท้องพระโรงครานั้นโด่งดังในหมู่ของขุนนางเป็นอย่างมาก จะมีสตรีผู้ใดบ้างกันที่จะตอบโต้บุรุษได้อย่างเงียบสงบและเด็ดขาดเช่นนั้น กงจู่ทรงเก่งกาจเหลือเกิน

     

    ถ้อยคำสรรเสริญปรากฏขึ้นในใจของขุนนางเหล่านั้นแทบทั้งสิ้น พวกเขาหมายใจไว้แล้วว่าหากองค์หญิงมีความประสงค์จะได้ตำแหน่งไท่จื่อ พวกเขาล้วนยอมพลีกายถวายความจงรักภักดีและส่งเสริมให้องค์หญิงได้ตำแหน่งมาครอง ผู้ที่มีความสามารถ ความคิดกว้างไกล และตัดสินใจเด็ดขาดสมควรมีสิทธิ์ขึ้นครองราชย์

     

    “เมื่อมากันครบแล้ว เจิ้นขอเปิดงานประลองบุปผา ณ บัดนี้!” สิ้นคำขาน นางรำหลายคนทยอยกันออกมาเปิดงาน การะบำดังกล่าวนั้นแสนงดงามสมกับที่ถูกฝึกขึ้นในวังหลวง ชายแขนเสื้อยาวกรีดกรายไปกับอากาศราวกับไร้ซึ่งน้ำหนัก เสียงดนตรีรื่นเริงดังขึ้นบรรเลงคลอไปกับบรรยากาศความงดงามของซิ่วฉิวฮวา[28]สีฟ้าปนชมพู และเหลียนฮวา[29]ในสระน้ำที่ถูกขุดเป็นลำธารขนาดเล็ก ไหลวนอยู่รอบ ๆ ตำหนักเซี่ยเทียน

     

    สตรีหลายนางถูกเรียกขานชื่อเพื่อขึ้นประลองความสมารถของตนเอง โดยส่วนมามักแสดงเกี่ยวกับการบรรเลงดนตรี การร่ายรำ ขับร้อง วาดภาพ หมากกลอน หรือแม้กระทั่งการปักผ้า ดุจเหล่าบุปผางามที่พร้อมจะแย้มบานไปได้อีกไกลในอนาคต หลายคนได้รับคำชื่นชม และหลายคนก็ได้รับพระราชทานรางวัลไปตามสมควร

     

    สตรีทุกนางล้วนมีความสามารถสูงส่ง ไม่อาจเทียบได้ว่าใครเก่งกาจกว่าใคร จวบจนคนสุดท้ายก็ยังไม่อาจตัดสินได้ กาลนั้นก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็นเสียแล้ว

    “ปีนี้มีผู้มีความสามารถมากมายเหลือเกิน เจิ้นตัดสินใจแทบไม่ถูกว่าจะให้บุตรสาวบ้านไหนเป็นผู้ชนะการประลอง ไม่ว่าจะดนตรี ร่ายรำ หมากกลอน หรืองานฝีมือล้วนยอดเยี่ยมไปเสียหมด…เอาเช่นนี้ดีหรือไม่? ถึงอย่างไรงานนี้ก็คืองานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของธิดาเจิ้นเช่นกัน ดังนั้นแล้วหากเจิ้นจะให้ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดสองคน ลองแข่งขันกับกงจู่ทั้งสองพระองค์ดีหรือไม่?

     

    เสียงฮือฮาดังมาตามเป็นระรอกคลื่น ความเห็นต่อเหตุการณ์นี้แตกออกเป็นหลายเสียง บ้างก็ไม่กล้าที่จะท้าทายกงจู่ทั้งสองพระองค์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ไม่อยากตั้งตนเป็นศัตรู หรือเพราะคิดว่าฝีมือตนนั้นไม่อาจเทียบเคียงมาตรฐานขององค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรอง แต่ก็มีสตรีเป็นจำนวนไม่น้อยที่อยากจะท้าทายตนเอง

     

    ผู้คนนั้นล้วนให้ความสนใจกับคำกล่าวของโอรสสวรรค์ แต่หาได้คิดจะสนใจกงจู่ทั้งสองที่ถูกลากไปเอี่ยวด้วยความไม่เต็มใจเลยแม้แต่คนเดียว

     

    “...” แม้ริมฝีปากที่เผยออกมาของใงกรดำจะยังคงเรียบนิ่ง แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายในใจนั้นหงุดหงิดเพียงใด ภายในใจของนางเอาแต่กล่าวคำว่าน่าหงุดหงิดออกมาไม่หยุด

     

    หวงเฮยหลงหันศีรษะของตนเองมาที่น้องสาวข้างกาย ไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่าสตรีผู้นี้คือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ด้วยภาพที่หัวโยกไปมาคล้ายจะสามารถโขกพื้นได้ตลอดเวลา ไป๋หลงในตอนนี้กำลังง่วงได้ที่ แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะนางเหนื่อยอ่อน แต่เป็นเพราะขี้เกียจ ก่อนที่สติจะลาไปน้องสาวได้พูดกับนางเอาไว่ว่า

    พี่หญิง...งานวันนี้น่าเบื่อยิ่งนัก

     

    “อิงอิง เอาขนมหลงซีถังที่ข้าทำไว้ออกมา”

    “เพคะ” หลังได้รับขนมมาในมือ หวงเฮยหลงจัดการนำขนมนั้นไปไว้ใกล้ ๆ กับจมูกโด่งรั้นของน้องสาว

     

    จมูกสวยยุกยิกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เปลือกตาที่เคยหลับสนิทจะเปิดเผยให้เห็นดวงตากลมวาว ถึงแม้เวลานี้จะฉายแววความง่วงงุนก็ตามที มือเรียวสวยรับเอาขนมจากพี่สาวเข้าปากตนเองอย่างว่องไว แก้มที่ยื่นออกมาเพราะขนมเต็มปากนั้นน่าหยิกให้แดงเสียเหลือเกิน

     

    องค์หญิงรองที่เคี้ยวอาหารเสร็จได้ยกจอกชาขึ้นจิบเป็นการกลั้วคอ

    “ขอบคุณเจ้าค่ะ ขนมของพี่หญิงอร่อยเสมอเลยเลย แล้ว...ท่านพี่ปลุกข้ามีอันใดหรือเจ้าคะ?” ฟังไม่ผิดหรอก การเอาขนมไปจ่อไว้ที่จมูกคือวิธีการปลุกหวงไป๋หลงที่รวดเร็วที่สุด หากไม่นับเวลาที่นางจะตื่นเป็นปกติทุกเช้า

     

    “เช็ดปากด้วย” มังกรขาวพยกหน้ารับรู้เล็กน้อย แล้วใช่ผ้าสะอาดเช็ดรอยเปื้อนจากน้ำตาลบนปากตนเองออก

     

    “เสด็จพ่อหาเรื่องน่าปวดหัวมาให้อีกแล้วน่ะสิ”

    “หือ?” ดวงตาสีนิลกาฬกวาดสายตามองรอบ ๆ งาน แล้วจึงกลับมาถามไถ่ความจากพี่สาวตน “อย่างไรหรือพี่ใหญ่?

    “เสด็จพ่อจะให้เราตัดสินผลแพ้ชนะของคนทั้งงาน พวกเราต้องลงประลอง”

    “เอ๋…น่าสนุกออกมิใช่หรือเจ้าคะ”

    “น่าเบื่อ แต่หากเจ้าอยากเล่นสนุกก็ตามใจเจ้าเถอะ” ดวงตาของมังกรขาวเผยความเจ้าเล่ห์และซุกซนตามฉบับเจ้าตัวออกมา ทั้งยังดูตั้งใจต่างกับท่าทางง่วงงุนเมื่อครู่ลิบลับราวคนละคน

     

    และแล้วผลการตัดสินก็ได้เผยออกมา สตรีสองนางก้าวเข้าสู่บริเวณลานการแข่งขันอีกครั้ง

    “เจิ้นให้โอกาศเจ้าทั้งสี่เลือกผู้ท้าประลองเองโดยผู้ที่สามารถเลือกได้ก่อนจะมาจากการสุ่มจับของฮองเฮา จำไว้ว่าไม่อาจประลองกับกงจู่ที่ลงประลองไปแล้วได้ เริ่ม!” หลังคำตรัสนั้น ไหเงินถูกส่งไปที่พระหัตถ์ของหรงฮองเฮา และแล้วนามแรกที่ถูกประกาสออกมาก็คือ…

    “คุณหนูไห่ฟางเซียน!” สตรีในอาภรณ์สีฟ้าแทรกสีชมพูก้าวออกมาที่ด้านหน้า ใบหน้าของนางตั้งตรงคล้ายคนที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี ใบหน้านั้นนับว่างามพิลาศอยู่เช่นเดียวกัน

     

    “เจ้าชื่ออิงอิงสินะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณหนูท่านนี้คือผู้ใด นางจ้องมาที่ข้าตั้งแต่เมื่อครู่แล้วนะ” หวงไป๋หลงกล่าวไปอย่างสงสัยใครรู้

    “เพคะองค์หญิง คุณหนูไห่ฟางเซียนผู้นี้คือบุตรีคนรองของรองเจ้ากรมการคลังเพคะ หนูปี้ทราบมาว่านางเป็นคนหยิ่งทระนงตนพอสมควร หนูปี้เคยได้ยินข่าวซุบซิบมาว่าดูเหมือนคุณหนูไห่ท่านนี้จะตกหลุมรักองค์ชายสามอยู่เพคะ นางเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าองค์ชายสามช่วยชีวิตนางเอาไว้เมื่อครั้งที่องค์ชายออกมาฝึกนอกสำนักเพคะ” นางกำนัลน้อยเอามือป้องปากตนแล้วเล่าเรื่องอย่างออกรส

    “เห? น้องสามเนื้อหอมเพียงนั้นเชียวหรือนี่?” นางกล่าวกับตนเองเบาๆ พลางใช้มือลูบที่คางของตนไปมาราวกับกำลังลูบเคราอยู่ ทั้งที่บนใบหน้าหาได้มีเคราแม้พียงเส้นเดียว

     

    “หม่อมฉันใคร่ของประลองดนตรีกับหวงไป๋หลงกงจู่เพคะ” เสียงหวานดังของไห่ฟางเซียนดังขึ้นอย่างมั่นใจ ผิดกับเจ้าของชื่อที่ทำหน้าตาเหลอหลา สิ่งนั้นสร้างความมั่นใจให้กับไห่ฟางเซียนเป็นอย่างมาก

     

    นางนึกแล้วว่าองค์หญิงรองที่ออกไปฝึกบนเขาถึงเจ็ดปีคงไม่ได้ร่ำเรียนงานดนตรีอย่างแน่นอน หากนางสามารถชนะองค์หญิงได้ ชื่อเสียงของนางก็จะมากขึ้น องค์ชายสามจะต้องมองเห็นความสามารถของนาง แท้จริงนางอยากจะท้าทายองค์หญิงใหญ่ด้วยซ้ำไป แต่ก็เกรงกลัวคนจะกล่าวหาว่าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง นางจึงได้เลือกคู่ประลองเป็นองค์หญิงรองแทน

     

    โดยที่ไม่รู้เลยว่าสาเหตุของอาการเหลอหลานั้นเป็นเพียงแค่ประโยคเดียว นี่ข้าเป็นคนแรกเลยหรือนี่!? ประโยคนี้นี่เองที่หวงไป๋หลงคิดกับตนเองจนแสดงท่าทางตลกออกมา แต่แม้จะตื่นเต้นเพียงใด นางก็ยังสามารถลุกขึ้นได้อย่างองอาจตามมาดขององค์หญิงรองของตน

     

    ร่างในชุดขาวเสด็จออกจากที่ประทับเบื้องซ้ายของฮ่องเต้ ยามที่นางก้าวเท้าลงบันไดมาดูคล้ายคลึงกับนางเซียนลงจากสวรรค์ ในมือนั้นไร้ซึ่งเครื่องดนตรีใดติดกายมา หลังจากนั้นไม่นานนักสตรีสองนางก็ได้มายืนเคียงข้างกันที่กลางลานประลอง

    “เชิญคุณหนูท่านนี้ก่อนเลย เปิ่นกงจู่อยากชมความสามารถเจ้าก่อน” เจ้าของชื่อหลังได้ยินคำนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ทั้งยังหลงนึกไปว่าองค์หญิงรองนั้นหวาดเกรงความสามารถของนางจนไม่กล้าแสดงก่อน ทั้งยังเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างถือดี

     

    ทั้งที่ความจริงนั้นผิดถนัด หวงไป๋หลงมั่นใจในตนเองมากต่างหากจึงได้ให้คู่แข่งเริ่มแสดงก่อน นางก็อยากรู้เสียเหลือเกินว่าฝีมือการเล่นของคนธรรมดาจะต่างกับผู้ที่ร่ำเรียนบทเพลงหลิงฉวี่มาถึงเจ็ดปีอย่างไร

     

    ฝ่ายผู้ชมอย่างหวงเฮยหลงนั้นแสดงอาการแสนเบื่อหน่าย หวงไป๋หลงนั้นศึกษาวิชาขลุ่ยจนแตกฉาน หากไม่เป็นการเยินยอกันเกินไปก็อาจจะกล่าวได้ว่า มังกรขาวแห่งชิงหลงผู้นี้คือปรมาจารย์ด้านเพลงขลุ่ยที่เก่งกาจผู้หนึ่งเลยทีเดียว

     

    การแสดงการบรรเลงกู่ฉิน[30]ของไห่ฟางเซียนจบลงไปแล้ว ผู้ชมหลายคนปรบมือแสดงความชื่นชมกันถ้วนหน้า คำกล่าวที่ให้ความหมายชื่นชมดังขึ้นไม่มีทีท่าจะหยุด ผู้เป็นบิดาอย่ารองเจ้ากรมคลังแย้มยิ้มหน้าบาน ภูมิอกภูมิใจบุตรสาวตนอย่างออกนอกหน้า

     

    แต่สำหรับหวงเฮยหลงแล้วล่ะก็...นางกลับมองว่ามัน

     

    น่าเบื่อ กู่ฉินขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องดนตรีของชนชั้นสูง ไม่ว่าใครที่มีบุตรีก็จะต้องให้บุตรสาวตนเรียนเครื่องดนตรีชนิดนี้เพื่อบ่งบอกว่าตนมีศักดิ์ฐานะ สามารถเล่นเครื่องดนตรีชั้นสูงได้ และแน่นอนว่าเครื่องดนตรีชั้นสูงมักจะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง

     

    กู่ฉินเองก็เช่นกัน ท่วงทำนองที่ดังออกมาจากกู่ฉินจะให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายอารมณ์ และในบางครั้งก็สามารถสื่อความโศกเศร้าโศกาออกมาได้ สำหรับผู้เล่นแล้ว หากไม่สามารถสื่ออารมณ์เพลงของมาได้เท่าที่ควร บทเพลงที่มีความผ่อนคลายก็จะกลายเป็นน่าเบื่อไปแทน ดังเช่นที่นางกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้

     

    แต่ว่าความน่าเบื่อนี้คงอยู่ไม่นานนัก เพราะน้องสาวคนงามของนางกำลังจะขึ้นแสดง นี่สิจึงจะเรียกว่าความงดงามที่แท้จริง

     

    **********

     

    [28] ซิ่วฉิวฮวา (绣球花) คือ ดอกไฮเดรนเยีย

    [29] เหลียนฮวา () คือ ดอกบัว

    [30] กู่ฉิน () คือ พิณโบราณของจีนชนิดหนึ่ง มีทั้งหมด 7 สาย

     

    พบคนอวยน้อง 1 ea

     

    ขอบคุณสำหรับการติดตาม

    ซานเฟยหย่า

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×