คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7 งานประลองบุปผา (รีไรท์)
“…” นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน? ความวุ่นวายนี่มันอะไรกัน?
ภาพบรรยากาศแปลกประหลาดตรงหน้านางนี้คืออะไรหนอ
เสด็จแม่และพี่ลู่เจียวยืนหัวเราะขบขันที่มุมห้อง น้องสาวผู้ซุกซนกำลังเกาะไหล่นางจากด้านหลัง
พร้อมกับตะโกนพูดกับนางกำนัลที่อยู่ด้านหน้า
อืม…นางควรจะรีบแก้ไขมัน
ก่อนที่ตัวนางเองจะหงุดหงิดกับเสียงดังๆ นี่สินะ
“หยุด” หลังวลีเพียงวลีเดียวที่ดังขึ้นค่อนข้างที่จะเบา
แต่รอบข้างกลับปฏิบัติตามกันอย่างถ้วนหน้า “อิงอิง” เสียงเย็นเอื่อยเอ่ยเรียกนางกำนัลใกล้ชิดหมาด
ๆ ของตนเอง
“เพคะ!” อิงอิงตอบพร้อมกับวิ่งเข้ามายืนข้างผู้เป็นนาย
โดยไม่ลืมทำความเคารพผู้มีอำนาจทั้งหลาย รวมถึงผู้ที่มียศสูงกว่านางทั้งหมดในที่แห่งนี้
“กลับไปเอาชุดสีขาวที่ลายเดียวกันกับข้าที่เรือนอวิ๋นเฟิงมา”
“ทราบแล้วเพคะ” ว่าแล้วร่างเล็ก
ๆ ก็ได้วิ่งออกไป เพื่อทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของน้องสาวนั้นเปล่งประกาย
มองมาที่นางราวกับเห็นเซียนมาโปรด
“ท่านพี่
ข้ารักท่านที่สุด! พี่รู้ใจข้าเสมอเลย” ไป๋หลงเยินยอพี่สาวตนด้วยใบหน้ามีความสุข
น้ำเสียงแห่งความออดอ้อนมาพร้อมกันแรงกอดที่ช่วงเอว
ไป๋หลงนั้นย่อตนเองลงและฝังหน้าที่ถูกปิดทับด้วยหน้ากากไปที่หน้าท้องแบนราบของพี่สาว
และแจกรอยยิ้มหวานสดใส
“เสียงดัง” เฮยหลงดุเบา
ๆ อย่างไม่จริงจังนัก
“ฮี่”
ไป๋หลงส่งเสียงประหลาดพร้อมกับยิ้มเห็นฟันทุกซี่ ไม่ต้องให้เดานางก็รู้ ดวงตากลมของไป่ไป๋คงกลายเป็นรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยวพร้อมกับรอยยิ้มนี้แน่นอน
ไม่นานนักอิงอิงก็กลับมาพร้อมกับหีบใส่ผ้าขนาดเล็ก
นางรับมาแล้วยื่นมันให้กับน้องสาวตัวดีเพื่อให้นางนำไปสวมใส่
ไป๋หลงพยักหน้าขึ้นลงแล้วรีบวิ่งแจ้นกลับไปเปลี่ยนชุดทันที
ผ้าชนิดนี้นางเป็นผู้ทอขึ้นมาเองที่เรือนเมฆา
ที่พักส่วนตัวของนางที่ทางสำนักหยงเหยวี่ยนฮวา ซือจุนเป็นผู้มอบให้นาง
ในครานั้นนางสนใจในเรื่องผ้าอาภรณ์ จึงทดลองเลี้ยงหนอนไหมเหมันต์ที่จับได้บริเวณป่าตงเทียนหลังเรือนพักของซือจุน
ไม่นึกว่าเมื่อทอออกมาแล้วตัวผ้าจะมีคุณสมบัติของธาตุเหมันต์ติดมาด้วย มันจะทำให้ผู้สวมใส่นั้นไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวทั้งยังเย็นสบาย
อาภรณ์ชุดแรกที่ทอขึ้นนางใช้สีของดอกสือซว่านทำให้มันมีสีแดงสวย
จึงได้มอบให้ท่านอาจารย์ไป ส่วนตัวต่อมาจึงคิดทอให้น้องสาวมันจึงมีสีขาวสว่างแบบธรรมชาติของไหมเหมันต์และสุดท้ายจึงทอให้ตนเอง
ตัวนางนั้นไม่ใคร่ชอบสีขาวนักเพราะมันจะทำให้ตัวนางขาวไปทั้งตัว
เพราะไม่ว่าจะสีผมหรือสีดวงตาล้วนเป็นสีเงิน
หนำซ้ำผิวของนางยังขาวจัดเหมือนกับมารดาที่เป็นคนทางเหนือ จึงเลือกใช้สีดำของเกสรดอกสือซว่านมาย้อมสี
ความพิเศษคืออาภรณ์ทั้งสามชิ้นที่ถูกถักทอขึ้น ล้วนแล้วแต่มีความพิเศษในตัวมันเอง
สีแดงของดอกสือซว่านรักษาบาดแผล
สีขาวของไหมเหมันต์ป้องกันสิ่งชั่วร้าย
สีดำของดอกสือซว่านนั้นให้ฤทธิ์ตรงข้ามกับสีแดงอย่างสิ้นเชิง
มันเป็นพิษ พิษร้ายนี้จะทำงานของมันก็ต่อเมื่อมีผู้ประสงค์ร้ายคิดสัมผัสผู้ที่สวมใส่
พิษจะทำให้เนื้อนั้นตายไปอย่างรวดเร็ว
เพียงสัมผัสแค่ปลายนิ้วมันก็สามารถลามไปทั่วทั้งร่างกายได้นับเป็นของอันตรายชิ้นหนึ่ง
ตอนที่นางทอมันขึ้นมาถึงกับต้องปิดเรือนให้หนาแน่นเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของพิษอยู่เป็นวันเลยทีเดียว
คงมีหลายคนสงสัยว่าเหตุใดตัวนางจึงไม่ถูกพิษเล่นงาน
คำตอบนั้นง่ายมาก อย่างที่กล่าวมาสีแดงของดอกสือซว่านเป็นยารักษา เพียงแค่นางพกพู่หยกแดงของทางสำนักก็ไม่เป็นอันใดแล้ว
พู่หยกที่ซือจุนให้มานั้นลงอาคมระดับสูง สามารถป้องกันอันตรายหลายอย่างได้
พลังบริสุทธิ์จากหยกแดงสลักสือซว่านฮวาอันเป็นสัญลักษณ์ประจำสำนักจะช่วยเยียวยาร่างกาย
ศิษย์ทุกคนจะได้รับมันไว้ในครอบครอง แต่จะมีบางรายละเอียดที่ต่างกันเพื่อแบ่งลำดับขั้นในสำนัก
หลังจากที่ไป๋หลงผัดเปลี่ยนอาภรณ์ตนเองเรียบร้อยแล้วจึงปรากฏการขึ้น
ผมและดวงตาสีดำขลับส่งเสริมให้ผิวขาวผ่อง อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ปักลายมังกรเหยียบเมฆด้วยไหมสีแดง
ซึ่งเป็นสีเดียวกับเสื้อตัวในและผ้าคาดเอว เส้นผมเงางามถักเปียครึ่งศีรษะ
ส่วนที่เหลือปล่อยสยายราวม่านน้ำตก
เมื่อมายืนเคียงข้างเฮยหลงผู้เป็นพี่สาวภาพของคนทั้งคู่จึงดูราวหยินกับหยาง
ถ้าจะให้บรรยายล่ะก็ คงบอกได้เพียงว่านอกจากสีแดงที่มีในอาภรณ์ที่เหมือนกัน
นอกจากนั้นล้วนเป็นสีตรงข้าม เพียงแค่สี ๆ
เดียวสามารถทำให้บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
“กงจู่งดงามเหลือเกินเพคะ!”
อิงอิงที่ชื่นชมความงามนั้นอยู่ในอารมณ์ตกตะลึง
ทั้งสองพระองค์ช่างดูสูงศักดิ์เกินจะเอื้อมมือคว้าไปถึง งดงาม งดงามเหลือเกิน
“แม่ก็ว่างาม
ลูกแม่ใส่สิ่งใดก็งดงามยิ่ง”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่”
สองแฝดเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ว่าแล้วทั้งสามจึงขึ้นเกี้ยว
มุ่งหน้าตรงไปที่ตำหนักเฉียนชิงของโอรสสวรรค์ เพื่อที่จะได้ไปถึงงานพร้อมกัน
โดยไม่ลืมที่จะกำชับให้องครักษ์ที่ไว้ใจได้เพื่อสั่งการบางอย่าง
เพราะว่ามีการจัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่
ฮองเฮาจึงได้ส่งคนไปรับองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าที่เป็นเพียงสองคนที่ศึกษาในสำนักศึกษาศาสตร์สตรีใกล้
ๆ กับวังหลวงเพื่อให้มาร่วมงานในครั้งนี้
ตำหนักเซี่ยเทียน
ลานเหลียนฮวา
สตรีวัยใกล้ปักปิ่นและสตรีที่เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นส่งเสียงพูดคุยกันอย่างออกรส
ฮูหยินหลายคนที่ติดตามสามีตนมาสนทนากันในหัวเรื่องที่ไม่พ้นความสามารถของบุตร
ขุนนางชายและหญิงคงไม่พ้นการสนทนาในหัวเรื่องของการเมือง
แคว้นชิงหลงนั้นเปิดกว้างในเรื่องรับคนมีความสามารถเข้าทำงานได้
ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีหากมีฝีมือเข้าตาโอรสสวรรค์ล้วนสามารถก้าวไกลในหน้าที่การงานตน
ไม่เว้นแม้แต่เหล่าขุนนางที่เปิดรับทั้งชายหญิง
แต่ใช่ว่าในราชสำนักนั้นจะมีขุนนางที่เป็นสตรีมากมายนัก
ด้วยเพราะพวกนางถูกอบรมในเรื่องหน้าที่ของตรีมาตลอด จึงมีส่วนน้อยเท่านั้นที่สนใจในงานราชการ
“เฉินกุ้ยเฟยเสด็จ!”
“เยวี่ยนซูเฟยเสด็จ!”
“หลิวเต๋อเฟยเสด็จ!”
“หม่าเสียนเฟยเสด็จ!”
เสียงดังลากยาวย้ำ
ๆ ของกงกงหน้าทางเข้างานดังขึ้นเรียกความสนใจของผู้คนในงานกันถ้วนทุกคน
เสียงกล่าวสรรเสริญดังไม่หยุดตลอดทางที่เสด็จผ่าน
“ถวายพระพรซื่อฟูเหริน
ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” ประโยคนี้ดังขึ้นหลายครั้ง จนกระทั่งซื่อฟูเหรินทั้งสี่ประทับลงที่ตำแหน่งของตนเอง
“ทุกท่านตามสบายเถิด”
ประโยคนี้ถูกเอ่ยโดยน้ำเสียงหวานหยดของเฉินกุ้ยเฟย
“ขอบพระทัยกุ้ยเฟย”
อิริยาบทของฟูเหรินนั้นแสนผ่อนคลาย
เว้นเพียงหลิวเต๋อเฟยที่แผ่รังสีความเยือกเย็นออกมาไม่หยุดหย่อน
พระนางเป็นหนึ่งในฟูเหรินเพียงพระองค์เดียวที่ไม่แต่งเข้าตำหนักตงกงในสมัยที่ฮ่องเต้ยังมียศเป็นเพียงไท่จื่อ
มีข่าวลือซุบซิบมากมายกล่าวถึงความโปรดปรานของจินหลงฮ่องเต้ต่อพระนางว่ามีความจืดจางมากที่สุดในหมู่ซื่อฟูเหรินทั้งสี่
น่าขันที่เรื่องนั้นคือเรื่องจริง อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายหรือก็คืออัครเสนาบดีหลิว
ผู้เป็นบิดาของหลิวเต๋อเฟยใช้ข้ออ้างหลายอย่างในการถวายบุตรสาวตนเองให้กับจินหลงฮ่องเต้
อัครเสนาบดีหลิวผู้นี้หว่านล้อมเก่ง อ้างเรื่องถ่วงดุลอำนาจ แม้กระทั่งเรื่องสมดุลการปกครองมาใช้เพื่อให้ได้ดังหวัง
แม้จินหลงฮ่องเต้จะรู้ว่าชายผู้นั้นเพียงโลภและต้องการอำนาจ
แต่เหตุผลที่ได้ฟังนั้นสมเหตุสมผลจึงรับเอาคุณหนูหลิววั่งซูมาดำรงตำแหน่งหลิวเต๋อเฟย
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าหลิวเต๋อเฟยนั้นเคยเป็นคนเช่นไรมาก่อน
เพราะนางไม่เคยเปิดเผยตัวต่อสาธารณะชนเลยสักครั้ง พวกเขาทราบเพียงว่าคุณหนูหลิวผู้นี้คือบุตรีเพียงผู้เดียวที่เกิดแก่ภรรยาเอกของอัครเสนาบดีหลิวเพียงเท่านั้น
“ฮ่องเต้
ฮองเฮาเสด็จ!”
“เฮยหลงกงจู่
ไป๋หลงกงจู่ เหมยฮวากงจู่ หลันฮวากงจู่เสด็จ!”
รายนามยาวเหยียดที่ถูกเอ่ยขึ้นมาแต่ละคนล้วนสร้างความตระหนกตกใจแก่ผู้ร่วมงาน สำหรับฮ่องเต้และฮองเฮาที่เสด็จมาพร้อมกันนั้นไม่แปลกอันใด
แต่การที่มีกงจู่ถึงสี่พระองค์เสด็จมาพร้อมกันนั้นนับเป็นเรื่องแปลก ยิ่งสำหรับองค์หญิงหวงเหมยฮวายิ่งแล้วใหญ่
พระมารดาขององค์หญิงนั้นคือหลิวเต๋อเฟย แต่เหตุใดจึงปรากฏกายพร้อมฮองเฮาไปได้กัน
สองผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดินประทับลงบนบัลลังก์ทองพร้อมกัน
ทั้งสองพระองค์นั้นสวมใส่ฉลองพระองค์สีทองงดงาม
โอรสสวรรค์ปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรห้าเล็บ
ส่วนมารดาแห่งแผ่นดินคงเป็นอื่นใดไปไม่ได้อีกนอกเสียจากลายหงส์สยายปีก
เป็นลายปักที่งดงามเกินกว่าจะบรรยาย
มังกรคู่ยังคงนั่งลงที่ตำแหน่งขององค์ชายลำดับที่หนึ่งและสองแม้ตนจะเป็นองค์หญิงก็ตาม
ส่วนทางด้านบุปผาแห่งราชสกุลหวงได้นั่งลงที่ตำแหน่งองค์หญิงของตนเอง
ลำดับการนั่งรอบนี้ไม่มีขุนนางคนใดกล้าสอดปาก
หาใช่เพราะเกรงกลัวอาญาแต่พวกเขาล้วนกลัวเกรงองค์หญิงใหญ่เสียมากกว่า การมีคนกลัวเกรงก็ย่อมมีผู้ชื่นชม
ขุนนางหญิงและขุนนางใหม่หลายคนในงานจับจ้องไปที่ที่นั่งขององค์หญิงใหญ่หวงเฮยหลงไม่วางตา
ข่าวลือเรื่องเหตุการณ์ในท้องพระโรงครานั้นโด่งดังในหมู่ของขุนนางเป็นอย่างมาก จะมีสตรีผู้ใดบ้างกันที่จะตอบโต้บุรุษได้อย่างเงียบสงบและเด็ดขาดเช่นนั้น
กงจู่ทรงเก่งกาจเหลือเกิน
ถ้อยคำสรรเสริญปรากฏขึ้นในใจของขุนนางเหล่านั้นแทบทั้งสิ้น
พวกเขาหมายใจไว้แล้วว่าหากองค์หญิงมีความประสงค์จะได้ตำแหน่งไท่จื่อ พวกเขาล้วนยอมพลีกายถวายความจงรักภักดีและส่งเสริมให้องค์หญิงได้ตำแหน่งมาครอง
ผู้ที่มีความสามารถ ความคิดกว้างไกล และตัดสินใจเด็ดขาดสมควรมีสิทธิ์ขึ้นครองราชย์
“เมื่อมากันครบแล้ว
เจิ้นขอเปิดงานประลองบุปผา ณ บัดนี้!” สิ้นคำขาน นางรำหลายคนทยอยกันออกมาเปิดงาน การะบำดังกล่าวนั้นแสนงดงามสมกับที่ถูกฝึกขึ้นในวังหลวง
ชายแขนเสื้อยาวกรีดกรายไปกับอากาศราวกับไร้ซึ่งน้ำหนัก เสียงดนตรีรื่นเริงดังขึ้นบรรเลงคลอไปกับบรรยากาศความงดงามของซิ่วฉิวฮวา[28]สีฟ้าปนชมพู และเหลียนฮวา[29]ในสระน้ำที่ถูกขุดเป็นลำธารขนาดเล็ก
ไหลวนอยู่รอบ ๆ ตำหนักเซี่ยเทียน
สตรีหลายนางถูกเรียกขานชื่อเพื่อขึ้นประลองความสมารถของตนเอง
โดยส่วนมามักแสดงเกี่ยวกับการบรรเลงดนตรี การร่ายรำ ขับร้อง วาดภาพ หมากกลอน หรือแม้กระทั่งการปักผ้า
ดุจเหล่าบุปผางามที่พร้อมจะแย้มบานไปได้อีกไกลในอนาคต หลายคนได้รับคำชื่นชม และหลายคนก็ได้รับพระราชทานรางวัลไปตามสมควร
สตรีทุกนางล้วนมีความสามารถสูงส่ง
ไม่อาจเทียบได้ว่าใครเก่งกาจกว่าใคร จวบจนคนสุดท้ายก็ยังไม่อาจตัดสินได้ กาลนั้นก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็นเสียแล้ว
“ปีนี้มีผู้มีความสามารถมากมายเหลือเกิน
เจิ้นตัดสินใจแทบไม่ถูกว่าจะให้บุตรสาวบ้านไหนเป็นผู้ชนะการประลอง ไม่ว่าจะดนตรี
ร่ายรำ หมากกลอน หรืองานฝีมือล้วนยอดเยี่ยมไปเสียหมด…เอาเช่นนี้ดีหรือไม่?
ถึงอย่างไรงานนี้ก็คืองานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของธิดาเจิ้นเช่นกัน
ดังนั้นแล้วหากเจิ้นจะให้ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดสองคน ลองแข่งขันกับกงจู่ทั้งสองพระองค์ดีหรือไม่?”
เสียงฮือฮาดังมาตามเป็นระรอกคลื่น
ความเห็นต่อเหตุการณ์นี้แตกออกเป็นหลายเสียง บ้างก็ไม่กล้าที่จะท้าทายกงจู่ทั้งสองพระองค์
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ไม่อยากตั้งตนเป็นศัตรู
หรือเพราะคิดว่าฝีมือตนนั้นไม่อาจเทียบเคียงมาตรฐานขององค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรอง
แต่ก็มีสตรีเป็นจำนวนไม่น้อยที่อยากจะท้าทายตนเอง
ผู้คนนั้นล้วนให้ความสนใจกับคำกล่าวของโอรสสวรรค์
แต่หาได้คิดจะสนใจกงจู่ทั้งสองที่ถูกลากไปเอี่ยวด้วยความไม่เต็มใจเลยแม้แต่คนเดียว
“...”
แม้ริมฝีปากที่เผยออกมาของใงกรดำจะยังคงเรียบนิ่ง
แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายในใจนั้นหงุดหงิดเพียงใด
ภายในใจของนางเอาแต่กล่าวคำว่าน่าหงุดหงิดออกมาไม่หยุด
หวงเฮยหลงหันศีรษะของตนเองมาที่น้องสาวข้างกาย
ไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่าสตรีผู้นี้คือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์
ด้วยภาพที่หัวโยกไปมาคล้ายจะสามารถโขกพื้นได้ตลอดเวลา
ไป๋หลงในตอนนี้กำลังง่วงได้ที่ แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะนางเหนื่อยอ่อน
แต่เป็นเพราะขี้เกียจ ก่อนที่สติจะลาไปน้องสาวได้พูดกับนางเอาไว่ว่า
พี่หญิง...งานวันนี้น่าเบื่อยิ่งนัก
“อิงอิง เอาขนมหลงซีถังที่ข้าทำไว้ออกมา”
“เพคะ” หลังได้รับขนมมาในมือ
หวงเฮยหลงจัดการนำขนมนั้นไปไว้ใกล้ ๆ กับจมูกโด่งรั้นของน้องสาว
จมูกสวยยุกยิกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่เปลือกตาที่เคยหลับสนิทจะเปิดเผยให้เห็นดวงตากลมวาว
ถึงแม้เวลานี้จะฉายแววความง่วงงุนก็ตามที มือเรียวสวยรับเอาขนมจากพี่สาวเข้าปากตนเองอย่างว่องไว
แก้มที่ยื่นออกมาเพราะขนมเต็มปากนั้นน่าหยิกให้แดงเสียเหลือเกิน
องค์หญิงรองที่เคี้ยวอาหารเสร็จได้ยกจอกชาขึ้นจิบเป็นการกลั้วคอ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ
ขนมของพี่หญิงอร่อยเสมอเลยเลย แล้ว...ท่านพี่ปลุกข้ามีอันใดหรือเจ้าคะ?” ฟังไม่ผิดหรอก
การเอาขนมไปจ่อไว้ที่จมูกคือวิธีการปลุกหวงไป๋หลงที่รวดเร็วที่สุด
หากไม่นับเวลาที่นางจะตื่นเป็นปกติทุกเช้า
“เช็ดปากด้วย” มังกรขาวพยกหน้ารับรู้เล็กน้อย
แล้วใช่ผ้าสะอาดเช็ดรอยเปื้อนจากน้ำตาลบนปากตนเองออก
“เสด็จพ่อหาเรื่องน่าปวดหัวมาให้อีกแล้วน่ะสิ”
“หือ?” ดวงตาสีนิลกาฬกวาดสายตามองรอบ ๆ งาน แล้วจึงกลับมาถามไถ่ความจากพี่สาวตน
“อย่างไรหรือพี่ใหญ่?”
“เสด็จพ่อจะให้เราตัดสินผลแพ้ชนะของคนทั้งงาน
พวกเราต้องลงประลอง”
“เอ๋…น่าสนุกออกมิใช่หรือเจ้าคะ”
“น่าเบื่อ
แต่หากเจ้าอยากเล่นสนุกก็ตามใจเจ้าเถอะ” ดวงตาของมังกรขาวเผยความเจ้าเล่ห์และซุกซนตามฉบับเจ้าตัวออกมา
ทั้งยังดูตั้งใจต่างกับท่าทางง่วงงุนเมื่อครู่ลิบลับราวคนละคน
และแล้วผลการตัดสินก็ได้เผยออกมา
สตรีสองนางก้าวเข้าสู่บริเวณลานการแข่งขันอีกครั้ง
“เจิ้นให้โอกาศเจ้าทั้งสี่เลือกผู้ท้าประลองเองโดยผู้ที่สามารถเลือกได้ก่อนจะมาจากการสุ่มจับของฮองเฮา
จำไว้ว่าไม่อาจประลองกับกงจู่ที่ลงประลองไปแล้วได้ เริ่ม!” หลังคำตรัสนั้น
ไหเงินถูกส่งไปที่พระหัตถ์ของหรงฮองเฮา และแล้วนามแรกที่ถูกประกาสออกมาก็คือ…
“คุณหนูไห่ฟางเซียน!”
สตรีในอาภรณ์สีฟ้าแทรกสีชมพูก้าวออกมาที่ด้านหน้า ใบหน้าของนางตั้งตรงคล้ายคนที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี
ใบหน้านั้นนับว่างามพิลาศอยู่เช่นเดียวกัน
“เจ้าชื่ออิงอิงสินะ
เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณหนูท่านนี้คือผู้ใด นางจ้องมาที่ข้าตั้งแต่เมื่อครู่แล้วนะ” หวงไป๋หลงกล่าวไปอย่างสงสัยใครรู้
“เพคะองค์หญิง
คุณหนูไห่ฟางเซียนผู้นี้คือบุตรีคนรองของรองเจ้ากรมการคลังเพคะ หนูปี้ทราบมาว่านางเป็นคนหยิ่งทระนงตนพอสมควร
หนูปี้เคยได้ยินข่าวซุบซิบมาว่าดูเหมือนคุณหนูไห่ท่านนี้จะตกหลุมรักองค์ชายสามอยู่เพคะ
นางเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าองค์ชายสามช่วยชีวิตนางเอาไว้เมื่อครั้งที่องค์ชายออกมาฝึกนอกสำนักเพคะ”
นางกำนัลน้อยเอามือป้องปากตนแล้วเล่าเรื่องอย่างออกรส
“เห?
น้องสามเนื้อหอมเพียงนั้นเชียวหรือนี่?”
นางกล่าวกับตนเองเบาๆ พลางใช้มือลูบที่คางของตนไปมาราวกับกำลังลูบเคราอยู่ ทั้งที่บนใบหน้าหาได้มีเคราแม้พียงเส้นเดียว
“หม่อมฉันใคร่ของประลองดนตรีกับหวงไป๋หลงกงจู่เพคะ”
เสียงหวานดังของไห่ฟางเซียนดังขึ้นอย่างมั่นใจ ผิดกับเจ้าของชื่อที่ทำหน้าตาเหลอหลา
สิ่งนั้นสร้างความมั่นใจให้กับไห่ฟางเซียนเป็นอย่างมาก
นางนึกแล้วว่าองค์หญิงรองที่ออกไปฝึกบนเขาถึงเจ็ดปีคงไม่ได้ร่ำเรียนงานดนตรีอย่างแน่นอน
หากนางสามารถชนะองค์หญิงได้ ชื่อเสียงของนางก็จะมากขึ้น
องค์ชายสามจะต้องมองเห็นความสามารถของนาง
แท้จริงนางอยากจะท้าทายองค์หญิงใหญ่ด้วยซ้ำไป
แต่ก็เกรงกลัวคนจะกล่าวหาว่าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง นางจึงได้เลือกคู่ประลองเป็นองค์หญิงรองแทน
โดยที่ไม่รู้เลยว่าสาเหตุของอาการเหลอหลานั้นเป็นเพียงแค่ประโยคเดียว
นี่ข้าเป็นคนแรกเลยหรือนี่!?
ประโยคนี้นี่เองที่หวงไป๋หลงคิดกับตนเองจนแสดงท่าทางตลกออกมา แต่แม้จะตื่นเต้นเพียงใด
นางก็ยังสามารถลุกขึ้นได้อย่างองอาจตามมาดขององค์หญิงรองของตน
ร่างในชุดขาวเสด็จออกจากที่ประทับเบื้องซ้ายของฮ่องเต้
ยามที่นางก้าวเท้าลงบันไดมาดูคล้ายคลึงกับนางเซียนลงจากสวรรค์
ในมือนั้นไร้ซึ่งเครื่องดนตรีใดติดกายมา หลังจากนั้นไม่นานนักสตรีสองนางก็ได้มายืนเคียงข้างกันที่กลางลานประลอง
“เชิญคุณหนูท่านนี้ก่อนเลย
เปิ่นกงจู่อยากชมความสามารถเจ้าก่อน” เจ้าของชื่อหลังได้ยินคำนั้นก็ยิ้มหน้าบาน
ทั้งยังหลงนึกไปว่าองค์หญิงรองนั้นหวาดเกรงความสามารถของนางจนไม่กล้าแสดงก่อน
ทั้งยังเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างถือดี
ทั้งที่ความจริงนั้นผิดถนัด
หวงไป๋หลงมั่นใจในตนเองมากต่างหากจึงได้ให้คู่แข่งเริ่มแสดงก่อน
นางก็อยากรู้เสียเหลือเกินว่าฝีมือการเล่นของคนธรรมดาจะต่างกับผู้ที่ร่ำเรียนบทเพลงหลิงฉวี่มาถึงเจ็ดปีอย่างไร
ฝ่ายผู้ชมอย่างหวงเฮยหลงนั้นแสดงอาการแสนเบื่อหน่าย
หวงไป๋หลงนั้นศึกษาวิชาขลุ่ยจนแตกฉาน หากไม่เป็นการเยินยอกันเกินไปก็อาจจะกล่าวได้ว่า
มังกรขาวแห่งชิงหลงผู้นี้คือปรมาจารย์ด้านเพลงขลุ่ยที่เก่งกาจผู้หนึ่งเลยทีเดียว
การแสดงการบรรเลงกู่ฉิน[30]ของไห่ฟางเซียนจบลงไปแล้ว
ผู้ชมหลายคนปรบมือแสดงความชื่นชมกันถ้วนหน้า คำกล่าวที่ให้ความหมายชื่นชมดังขึ้นไม่มีทีท่าจะหยุด
ผู้เป็นบิดาอย่ารองเจ้ากรมคลังแย้มยิ้มหน้าบาน
ภูมิอกภูมิใจบุตรสาวตนอย่างออกนอกหน้า
แต่สำหรับหวงเฮยหลงแล้วล่ะก็...นางกลับมองว่ามัน
น่าเบื่อ
กู่ฉินขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องดนตรีของชนชั้นสูง
ไม่ว่าใครที่มีบุตรีก็จะต้องให้บุตรสาวตนเรียนเครื่องดนตรีชนิดนี้เพื่อบ่งบอกว่าตนมีศักดิ์ฐานะ
สามารถเล่นเครื่องดนตรีชั้นสูงได้
และแน่นอนว่าเครื่องดนตรีชั้นสูงมักจะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง
กู่ฉินเองก็เช่นกัน
ท่วงทำนองที่ดังออกมาจากกู่ฉินจะให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายอารมณ์
และในบางครั้งก็สามารถสื่อความโศกเศร้าโศกาออกมาได้ สำหรับผู้เล่นแล้ว
หากไม่สามารถสื่ออารมณ์เพลงของมาได้เท่าที่ควร
บทเพลงที่มีความผ่อนคลายก็จะกลายเป็นน่าเบื่อไปแทน ดังเช่นที่นางกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้
แต่ว่าความน่าเบื่อนี้คงอยู่ไม่นานนัก
เพราะน้องสาวคนงามของนางกำลังจะขึ้นแสดง นี่สิจึงจะเรียกว่าความงดงามที่แท้จริง
**********
[28] ซิ่วฉิวฮวา (绣球花) คือ ดอกไฮเดรนเยีย
[29] เหลียนฮวา (莲花) คือ ดอกบัว
[30] กู่ฉิน (古琴) คือ พิณโบราณของจีนชนิดหนึ่ง
มีทั้งหมด 7 สาย
พบคนอวยน้อง 1 ea
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
ซานเฟยหย่า
ความคิดเห็น