ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    雪見 ครั้นเมื่อเหมันต์มาเยือน

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6 ปฏิเสธ (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 64


    ยามซื่อ[24] ท้องพระโรง

    สมาชิกสูงศักดิ์แห่งราชกุลหวงแห่งชิงหลงอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จินหลงฮ่องเต้พระทับที่บัลลังก์มังกรเคียงคู่หรงฮองเฮาที่ประทับบนบัลลังก์หงส์ ลดหลั่นลงมาทางฝั่งขวาคือเหล่าซื่อฟูเหรินทั้งสาม เป็นอีกครั้งที่หลิวเต๋อเฟยไม่ได้มาเข้าร่วม ทางด้านฝั่งทางด้านซ้ายคือองค์หญิงสองพระองค์

     

    ขุนนางบางส่วนไม่พอใจในตำแหน่งที่นั่งของกงจู่ ถึงอย่างไรทั้งสองพระองค์ก็เป็นสตรีแต่กลับได้นั่งในตำแหน่งองค์ชายเช่นนี้ นับว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง

     

    เสียงซุบซิบนินทาที่ไม่ได้เบามากนั้นดังขึ้นเป็นระรอกคลื่น จากสองกลายเป็นสามลุกลามจนแทบจะทั่วท้องพระโรง โอรสสวรรค์ใบหน้าดำมืดลงหลายส่วนด้วยความพิโรธ ฉับพลันก่อนที่สุรเสียงแห่งความโกรธาจะถูกเอ่ย มังกรขาวผู้ซุกซนได้ส่งสัญญาณระงับความไม่พอพระทัยของพระบิดา แม้เขาจะไม่เข้าใจแต่ก็ยอมหยุดเสียงของตนเองลง

    ลูกหญิงจะทำสิ่งใดกันหนอ?

     

    เสียงลดพัดกรีดอากาศดังขึ้นคล้ายทำนองเพลงเพียงไม่ถึงชั่วอึดใจ ขุนนางปากมากหลายคนไม่อาจส่งเสียงออกมาได้ หน้าดำคล้ำเขียวกันไปหลายคน ส่วนผู้ที่อาการหนักหน่อยก็ถึงขั้นเป็นลมล้มพับไป ส่วนมากผู้คนที่สิ้นสติไปนั้นล้วนเป็นผู้ที่กล่าวเสียดสีองค์หญิงรองทั้งสิ้น

     

    หวงไป๋หลงได้ทีจึงหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้กับบิดาและมารดาที่บัลลังก์ทอง ราวกับจะสื่อว่า

    เป็นอย่างไรเล่าท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเอ่ยปากพวกเขาก็หยุดไปเองอยู่ดี

     

    ผิดกับสตรีสูงศักดิ์หลายคนที่ส่งเสียงตกใจและหวาดกลัวออกมา ไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาที่จำต้องยกชายแขนเสื้อของตนเองมาบดบังภาพความวุ่นวายที่ด้านหน้า

     

    ส่วนคนก่อเหตุนั้นยังคงนั่งหลังตรงองอาจ ไร้ความหวั่นเกรงดังเดิมที่เป็นมาตลอด ตาคมภายใต้หน้ากากทำเพียงเหลือบมองอย่างหยิ่งทระนงไปที่ขุนนางปากมากเหล่านั้น

     

    “เงียบได้เสียที” สุรเสียงเย็นยะเยือกดังออกมาจากริมฝีปากของมังกรดำ ผู้คนล้วนได้รับรู้ความจริงแล้วว่าตัวการของเหตุนี้คือผู้ใด แต่นางนั้นหาได้สะทกสะท้านใด ๆ เลยแม้เพียงนิด

     

    ใคร ๆ ต่างก็กล่าวว่าคนสกุลหวงเป็นจำพวกคนหน้าบาง ทั้งยังบางมากเสียด้วย เคยมีครั้งหนึ่งที่น้องสาวเคยกล่าวแซะว่านางเป็นพวกคนที่ไม่ใส่ใจเสียงรอบข้าง เห็นทีครานี้คงต้องกล่าวว่านางเป็นคนหน้าหนาและไร้ยางอายในการกระทำของตนเองน่าจะถูกมากกว่า

     

    “ลูกหญิง...นี่คือ?” โอรสสวรรค์เอ่ยถามความจริงกับบุตรีคนโต แต่คนถูกถามนั้นไม่ตอบ ผู้ตอบกลับเป็นผู้ที่ไม่ถูกถาม

    “เสด็จพ่อมิต้องกังวล หากพี่หญิงอารมณ์ดีก็คงคลายอาคมออกเองเพคะ” มังกรขาวตอบออกไปหน้าซื่อ

     

    หากคนมองเพียงผิวเผินก็คงคิดว่าอาคมนี้คือวิชาสะกดเสียง แท้จริงแล้วไม่ใช่ และไม่ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่หวงเฮยหลงทำออกไปคือหนึ่งในเคล็ดวิชาชั้นสูงของบทเพลงหลิงฉวี่ การบังคับวิญญาณ แต่ที่นางทำเป็นเพียงขั้นต้นของวิชาระดับสูง นั่นคือการควบคุมส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแม้คนผู้นั้นจะไม่ยินยอมก็ตาม วิชานี้หากศึกษาจนแตกฉานแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นจะเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ด้วยวิชาควบคุมวิญญาณนั้นไม่เพียงสามารถควบคุมได้แค่ร่างกาย แต่ยังเป็นวิชาที่สามารถควบคุมได้แม้กระทั่งปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไม่ว่าจะลม ฝน ฟ้า อากาศหรือแม้แต่ธาตุทั้งห้าในโลก

     

    ขุนนางหลายคนที่ถูกเฮยหลงเล่นงานนั้นแม้จะยังตระหนกตกใจแต่ก็ยอมกลับเข้าสู่ความสงบ อัครเสนาบดีเถียนและราชครูหม่าเป็นขุนนางเพียงสองคนที่ไม่ถูกเล่นงาน

     

    “อืม...เมื่อเรียบร้อยแล้วก็กลับเข้าเรื่อง การไถ่ถามราชกิจวันนี้จะถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ช่วงท้าย สิ่งที่เจิ้นจะประกาศวันนี้คือเรื่องเกี่ยวกับงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาขององค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรอง รวมถึงการจัดพิธีจี้หลี่ในอีกสามเดือนข้างหน้า” โอรสสวรรค์กล่าวเกริ่นนำโดยไม่สนสภาพแสนย่ำแย่ของขุนนางใต้ปกครองของพระองค์เอง

    “อย่างที่ทุกท่านรู้กันดีอยู่แล้ว ธิดาของเจิ้นนั้นออกไปร่ำเรียนวิชาตั้งแต่เจ็ดหนาว บัดนี้ได้หวนคืนสู่บ้านเกิดอีกครั้ง เจิ้นจึงมีราชโองการประกาศให้ภายในสามวันนี้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองที่พระราชวัง และจะจัดควบคู่ไปกับงานประชันบุปผา หวังว่าพวกท่านทุกคนจะมาร่วมงาน” หลังคำกล่าวนั้นขุนนางหลายคนที่หวังให้บุตรสาวแต่งเข้าราชวงศ์ก็กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ คาดว่าหากกลับจวนตนเองไปคงไม่พ้นเอ่ยปากให้บุตรสาวเตรียมการแสดงให้งดงามที่สุด โดยหวังว่าจะเข้าตาของผู้สูงศักดิ์สักพระองค์

     

    “ทูลเสด็จพ่อ” หวงไป๋หลงเอ่ยขึ้น

    “ว่าอย่างไรลูกรัก?” น้ำเสียงทรงอำนาจน่าเกรงขามเมื่อครู่กลายเป็นน้ำเสียงหวานหยดย้อยเพื่อใช้กับบุตรสาว

    “หม่อมฉันและเสด็จพี่มิต้องการให้จัดพิธีจี้หลี่อย่างเอิกเกริกเพคะ เพียงจัดเงียบ ๆ เฉพาะคนในครอบครัวก็เพียงพอ” วาจานั้นสร้างความฉงนปนตกตะลึงให้กับผู้ฟัง แต่ไม่ใช่สำหรับหรงฮองเฮาที่รู้อยู่ก่อนแล้ว

     

    เป็นอันรู้กันดีว่าพิธีจี้หลี่หรือพิธีปักปิ่นนั้น จะจัดขึ้นเพื่อเด็กสาวที่ถึงวัย 15 ปี เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าถึงวัยออกเรือนแล้ว ในงานมักมีการเชื้อเชิญแขกเหรื่อมากมาย เพื่อเป็นโอกาสให้แม่สื่อได้เข้ามาทาบทามบุตรสาวของบ้าน ดังนั้นแล้วความหมายของการจัดงานเพียงเงียบ ๆ ของกงจู่นั้นจะมีความหมายอื่นใดไปได้กัน

     

    “ลูกหญิงหมายถึง...!?” มังกรทองผู้หวงบุตรตนเองนั้นกล่าวไปพลางยกยิ้มไปพลาง ผิดกับผู้เป็นภรรยาที่ตอนนี้กำลังใช้มือนวดหว่างคิ้วของตนเองอย่างเคร่งเครียด

    สวรรค์กำลังเข้าข้างเขาอยู่ บุตรสาวของเขาไม่ต้องการให้จัดงานยิ่งใหญ่ ดีเหลือเกินจะได้ไม่มีแมลงหน้าเหม็นมาไต่ตอมแก้วตาดวงใจของเขา ช่างน่ายินดี! น่ายินดี!

     

    มังกรขาวแย้มยิ้มให้บิดาเป็นคำตอบ พร้อมคิดในใจไปอย่างซุกซน ด้วยถ้าทำแบบนี้นางจะได้มีเวลาเที่ยวเล่น ไม่ต้องไปเรียนวิชางานเรือนกับเสด็จย่าให้ปวดหัว แน่นอนว่าเรื่องนี้นางไม่ได้บอกพี่หญิง แต่นางเชื่อว่าพี่หญิงของนางต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน!

     

    3 วันต่อมา งานประลองบุปผา

    ในความคิดของหวงไป๋หลง เช้าวันนี้นั้นช่างแสนน่าเบื่อหน่าย ต้องตื่นตั้งแต่ปลายยามอิ๋น[24]เพื่อมาแต่งตัวให้สมกับฐานะกงจู่ลำดับที่สอง การขัดตัวยามเช้าท่ามกลางสายลมเอื่อย ๆ นั้นฟังดูอาจเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่กับนาง! ถึงปกตินางจะตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อออกไปเที่ยวเล่นก็ตาม แต่ใช่ว่าอยากจะมานั่งให้คนปรนนิบัติขัดสีฉวีวรรณและลงแช่น้ำตั้งแต่เช้าเสียหน่อย และเรื่องที่สำคัญที่สุด! การอาบน้ำทั้งที่ใส่น่ากากไม่ใช่เรื่องตลก!

     

    อยากจะรู้จริง ๆ ว่าพี่ใหญ่จะทนได้ยังไงกับการที่ต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาแต่ว่านะ...นางคิดถึงศิษย์น้องสี่ที่เที่ยวเล่นด้วยกันเสียจริง คิดถึงอากาศหนาว ๆ คิดถึงทุ่งหิมะเย็นๆ นางคิดถึงผาบุปชาตินิรันดร์เหลือเกิน ที่นั่นช่างแสนอิสระ เที่ยวเล่นไปที่ใดไม่มีคนว่ากล่าว นางคิดถึงจริง ๆ นะ

     

    และแล้วเวลาก็ผันผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม การทรมาณในอ่างน้ำก็จบสิ้นลง มันจบไปเพียงแค่เรื่องอาบน้ำ ยังไม่นับการสวมชุดและการผัดหน้า รวมถึงทำผม เพียงแค่คิดก็รับรู้ได้ถึงความวุ่นวาย หากเสด็จแม่ไม่ได้เฝ้านางอยู่ที่เรือนอย่าหวังเลยว่านางจะยอมอยู่เฉย ๆ เหตุใดเสด็จแม่จึงไม่เสด็จไปคุมพี่ใหญ่เล่า!?

     

    ย้อนกลับไปเมื่อยามอิ๋น ณ เรือนชิวอวิ๋นขององค์หญิงใหญ่หวงเฮยหลง นางนั้นตื่นตั้งแต่ต้นยามอิ๋น ลงมือเขียนจดหมายไว้บนโต๊ะเพื่อมอบให้นางกำนัลที่จะมาปรนนิบัติเช้านี้พร้อมกับตำลึงทองเพื่อมอบเป็นสินน้ำใจอีกเล็กน้อย แล้วจึงร่นกายหายไปในความมืด จุดหมายปลายทางก็ไม่ใช่อื่นใดไกล แต่เป็นที่สระมรกตที่เดิม วิญญาณของสองคู่แฝดยังคงหยอกล้อเล่นกันบนต้นเฟิงฉู่

     

    พวกเขาทั้งสองที่มองเห็นพี่ใหญ่ตนอยู่ไกลจึงรีบพาร่างตรงมาหานางทันที

    “พี่ใหญ่!

    “พี่ใหญ่ขอรับ! สองพี่น้องดูอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น

    “วันนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง?”

    “เหมือนอย่างทุก ๆ วันขอรับ”

    “อย่างที่น้องห้ากล่าว เหมือนกันทุกวัน...อ้อ! แต่มีเรื่องหนึ่งที่ไม่เหมือน เพราะตลอดทั้งคืนน้องสิบร้องไห้ไม่หยุดเลยน่ะสิ ตำหนักเพิ่งเงียบไปเมื่อไม่กี่ชั่วยามนี้เอง”

    “น้องสิบ?” เหตุใดนางจึงยังไม่รู้เรื่อง

    “เอ๋? พี่ใหญ่ไม่รู้หรือขอรับ?”

    “ข้าเล่าให้พี่ใหญ่ฟังเอง ฮึ่ม!” อวิ๋นหลงในร่างวิญญาณกระแอมคอเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่อง “จริง ๆ ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก เพราะได้ยินจากเหล่านางกำนัลที่เดินผ่านสวนเท่านั้น พวกนางบอกว่าราว ๆ สามปีก่อนสนมยศเจาเยวี่ยนผู้หนึ่งเกิดตั้งครรภ์ และให้กำเนิดองค์ชาย แต่ผ่านไปได้เพียงไม่กี่วันนางก็จากไปด้วยความเหนื่อยล้าสะสม”

    “เสด็จพ่อที่เห็นว่าเสด็จแม่ของข้าและพี่สี่นั้นไร้บุตร จึงได้ให้องค์ชายสิบผู้นี้อยู่ในการดูแลของเสด็จแม่ขอรับ” เฟิงหลงเล่าเรื่องต่อจากพี่ชาย

    “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” นางรำพันออกมาเบา ๆ

     

    แต่ก่อนที่ทั้งสามจะได้พูดคุยกันมากกว่านี้ก็มีผู้เข้ามาพบเห็นเสียก่อน คนผู้นั้นคือเฉินกุ้ยเฟย ราชมารดาขององค์ชายสี่และองค์ชายห้าผู้ล่วงลับ

    “ถวายพระพรเสด็จแม่กุ้ยเฟย”

    “จิ้งเอ๋อร์ไม่ต้องมากพิธี วันนี้ก็มาเยี่ยมน้องชายหรือ?” กุ้ยเฟยที่ยังคงคิดว่าหวงเฮยหลงนั้นสนทนากับความเงียบ โดยที่ไม่รู้เลยว่าองค์หญิงตรงหน้ากำลังพูดคุยกับบุตรชายของนางอยู่จริง ๆ

    “เพคะ จางจิ้งทราบมาว่าเสด็จแม่กุ้ยเฟยทรงรับน้องสิบมาดูแลหรือเพคะ?”

    “อืม ถูกแล้ว เด็กคนนั้นนามหวงหนิงเฉิง นามรองสุ่ยหลง เป็นบุตรชายของหลิวเจาเยวี่ยน”

    “ตระกูลหลิว...เจาเยวี่ยนผู้นี้ มากจากตระกูลหลิวของหลิวเต๋อเฟยหรือเพคะ?”

    “ถูกแล้ว เท่าที่แม่รู้ดูเหมือนจะเป็นบุตรีของฮูหยินรองตระกูลหลิว ประมาณว่าเป็นน้องสาวต่างมารดาของหลิวเต๋อเฟยกระมัง” หลังเฉินกุ้ยเฟยกล่าวจบ เฮยหลงครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อเห็นว่าเวลาผ่านมานานพอควรแล้ว

    “เช่นนี้เอง...คงต้องขอทูลลาเสด็จแม่กุ้ยเฟยแล้ว”

    “ไปเถอะลูก ประเดี๋ยวจะเตรียมตัวไม่ทัน”

     

    หลังจากที่เฮยหลงกลับมาถึงที่เรือนชิวอวิ๋นของตนเองในยามเหม่า ก็พบเข้ากับนางกำนัลสามคนที่ยังคงยืนกันอย่างทำอะไรไม่ถูก พลันที่ดวงตาน้อย ๆ ของเหล่านางกำนัลมองเห็นเจ้าของเรือนก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจ พวกนางทั้งหมดเป็นเพียงเด็กสาววัยใกล้เคียงกันนางทั้งสิ้น คงเป็นเสด็จแม่ที่คัดเลือกมาเพื่อไม่ให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างเวลาที่อยู่กับนางกำนัลชั้นสูงกระมัง

     

    ก่อนมาถึงที่นี่คงถูกกำชับเอาไว้ว่าให้ปรนนิบัตินางให้ดี จึงไม่ยอมกลับไปโดยง่าย ไร้เดียงสาจริงเชียว อยากรู้นักว่าความบริสุทธิ์นี้จะคงอยู่ในวังหลวงไปได้มากสักเท่าไร

    พวกเจ้ากลับไปเถอะ จากนี้ข้าจัดการตนเองได้

    แต่กงจู่เพคะ!-”

    ไม่มีแต่ เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ใครจะรู้ได้?พวกนางที่ได้ยินคำสั่งก็ยังคงลังเล มองหน้ากันไปมาคล้ายต้องการความเห็นของสหาย หวงเฮยหลงที่มองดูอยู่จึงเกิดการเอ็นดู หากให้เด็กสาวเหล่านี้เข้ามาประจำที่เรือนของนางจะดีหรือไม่นะ? เชื่อฟังคำสั่งดีเหลือเกิน คงไม่ทำให้นางหนวกหูมากนักเช่นนั้นก็รอช่วยแค่การแต่งกายก็พอ ที่เหลือข้าจัดการเอง

    เพคะ!”

     

    หลังจากที่นางชำระกายตนเองเสร็จและกำลังถูกจับแต่งกายอยู่นั้นจึงได้นึกสงสัย และกล่าวถามออกไป

    จริงสิ ข้ามีเรื่องถาม พวกเจ้าวันนี้มากันทั้งหมดกี่คน ข้าไม่คิดว่าคนอย่างเสด็จแม่จะส่งนางกำนัลมาเพียงสามคนหรอกนะ

    ทูลองค์หญิง หลังจากที่หนูปี้[26]มาถึง พวกเราพกกับจดหมายที่กงจู่ทิ้งไว้พร้อมกับเงินตำลึงเพคะ ดังนั้นพวกนางบางส่วนจึงกลับไปแล้ว เหลือเพียงพวกเราสามคนเท่านั้นเพคะมังกรดำพยักหน้าพอใจ สามคนนี้คงพอสั่งสอนได้อยู่

    หลังจากนี้ก็เตรียมตัวให้ดีล่ะ พวกเจ้าทั้งสามมาต้องมาอยู่ประจำที่เรือนชิวอวิ๋น รับใช้ใกล้ชิดข้า

     

    นางกำนัลตัวน้อยทั้งสามเบิกตากว้างจนแทบถลนออกจากเบ้า มือไม้สั่นไปหมด อ้าปากส่งเสียงอึกอัก ใบหน้าจะยิ้มก็ไม่ใช่จะตกใจก็ไม่เชิง มองดูแล้วช่างนะขันอย่างยิ่ง

    ตกใจถึงเพียงนั้นเชียวน้ำเสียงหวานปนทุ้มกล่าวกลั้วหัวเราะ

    เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเพคะ!

    กล่าวยิ่งใหญ่เกินไปแล้วนางส่ายศีรษะเล็กน้อยให้กับคำขอบคุณเหยียดยาวของนางกำนัลทั้งสาม

     

    ตรงข้ามกับตรีสามนางที่ยังคงดีใจไม่จบ นางกำนัลเข้าใหม่เล็ก ๆ อย่างพวกนาง เพียงงานง่าย ๆ ในการมารับใช้องค์หญิงใหญ่เพียงชั่วคราว อยู่ ๆ ก็มีบุญหล่นทับได้เข้ารับใช้เป็นหญิงรับใช้ประจำกายขององค์หญิงใหญ่ ผู้ที่คนต่างกล่าวขานชมเชยกันว่า ดูจะมีโอกาศได้รับตำแหน่งไท่จื่อมากที่สุดในหมู่องค์หญิงองค์ชายทั้งห้าพระองค์

     

    อีกทั้งองค์หญิงใหญ่ที่พวกนางเคยคิดว่าเป็นผู้ที่มีท่าทีเย็นชาและเข้าถึงยากดูจะกลายเป็นเพียงหมอกควัน ในตอนนี้ไม่ว่าจะมองเช่นไร กงจู่พระองค์นี้ก็ดูราวกับเทพธิดามาโปรด แม่พระองค์จะไม่แย้มยิ้มบ่อยนัก แต่ในคำพูดที่เปล่งออกมาก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนอยู่หลายส่วน

    พวกนางโชคดีมากจริง!

     

    พวกเจ้านามว่าอะไร อายุเท่าใดกันบ้าง?หวงเฮยหลงเอ่ยถามระหว่างที่กำลังจัดแต่งเกศาของตนเอง

    ขอประทานอภัยเพคะ! หนูปี้ลืมบอกกล่าวนามของตนเองเสียสนิทเลย หนูปี้แซ่เว่ย นามอิงอิงเพคะ ปัจจุบันอายุสิบสองหนาวแล้วเพคะเด็กสาวแก้มซาลาเปาเป็นผู้เอ่ยตอบคนแรก อิงอิงเป็นคนที่ตอบโต้กับนางมากที่สุด

    หนูปี้แซ่เซียว นามเสี่ยวอ้ายเพคะ ปีนี้ครบสิบสี่พอดีเพคะเด็กสาวผู้นี้มีกิริยาที่ค่อยข้างเรียบร้อยและดูเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุดก็คงเป็นดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ส่งเสริมให้เด็กสาวผู้นี้ดูเคร่งขรึมมากกว่าเดิม

    อ่าหนูปี้ไร้แซ่ นามเสี่ยวมาวเพคะกงจู่ อายุสิบขวบเพคะ!คำแรก ๆ นั้นกล่าวเสียงเบา แต่อยู่ ๆ ในท้ายประโยคก็เสียงดังขึ้น ใบหน้าของเสี่ยวมาวขึ้นสีแดงแจ๋ ดวงตากลมโตที่เห็นก่อนหน้านี้ได้ไม่ได้ถูกเผยให้เห็นเพราะเด็กสาวตรงหน้าหลับตาอยู่ เป็นการหลับตาที่กล่าวได้ว่าน่ารักจริง ๆ

    เหมือนลูกแมว นั่นคือสิ่งที่นางคิด

     

    ดีมาก อิงอิงตามข้าไปที่งานชมบุปผา ส่วนเสี่ยวอ้ายกับเสี่ยวมาวเฝ้าอยู่ที่เรือน เวลาที่ข้าไม่อยู่ห้ามใครเข้าใกล้เรือนเด็ดขาด ยกเว้นไป๋หลง เสด็จพ่อและเสด็จแม่ เข้าใจหรือไม่?

    หนูปี้ทราบแล้วเพคะทั้งสามขานรับอย่างขันแข็ง

     

    เมื่อจัดแต่งกายตนเองเสร็จในช่วงกลางยามเหม่า[27]ทั้งนางและอิงอิงจึงเดินออกจากเรือนไปพร้อมกัน จุดหมายคือเรือนชิวเฟิงที่อยู่อีกด้านของตำหนักคุนหนิง นางรู้ดีว่าเสี่ยวไป๋น้องสาวแสนดื้อของนางคงหนีไม่พ้นการถูกจับแต่งตัวโดยเสด็จแม่ ยามนี้คงยังไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำกระมัง

     

    ฝ่ายอิงอิงที่เคยได้เดินตามเจ้านายสูงศักดิ์เป็นครั้งแรกก็ทำท่าทางประหม่าปนดีใจ เด็กสาวตัวเล็ก ๆ อย่างนางเดินตามเจ้านายหมาด ๆ ไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางตอนแรกนั้นเงอะงะเล็กน้อย และค่อย ๆ เรียบร้อยขึ้นเมื่อมองเห็นต้นแบบที่เดินนำอยู่ด้านหน้า

     

    ดวงตาสีเงินที่จับจ้องอิงอิงอยู่ตลอดของเฮยหลงฉายแววพอใจ

    เด็กคนนี้หัวไวใช้ได้ทีเดียว

     

    เรือนชิวเฟิง ตำหนักคุนหนิง

    รอข้าอยู่ที่นี่นางเอ่ยกับอิงอิง

    เพคะ

     

    ร่างสูงระหงของนางก้าวเท้าเข้าสู่บริเวณของเรือนชิวเฟิงที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตำหนักคุนหนิง บรรยากาศรอบข้างนั้นร่มรื่นและเย็นสบาย รอบข้างถูกปกคลุมด้วยหมู่แมกไม้และน้ำตกเทียมขนาดเล็ก แม้จะไม่ได้เย็นสบายเท่าที่ผาบุปผชาตินิรันดร์ แต่ก็นับว่าเหมาะสมสำหรับผู้ใช้ปราณเหมันต์เฉกเช่นหวงไป๋หลง

     

    ตรงข้ามกับเรือนอวิ๋นเฟิงของนางที่อยู่ทางทิศใต้ อันเป็นทิศประจำธาตุไฟ แม้จะมีความร่มรื่นเช่นกันแต่ก็ไม่ได้เย็นเท่าฝั่งเรือนชิวเฟิง เสด็จพ่อมอบให้เพราะทราบว่านางเป็นผู้ใช้ปราณเพลิง

     

    ถวายพระพรกงจู่เพคะลู่เจียวนางกำนัลผู้ติดตามฮองเฮากล่าวขึ้นเมื่อสังเกตเห็นนาง

    ตามสบายเจ้าค่ะเฮยหลงตอบกลับด้วยความเคารพ ลู่เจียวผู้นี้แม้จะเป็นนางกำนัล แต่ก็เป็นนางกำนัลระดับสูง ติดตามรับใช้ใกล้ชิดฮองเฮา ทั้งยังเป็นผู้ที่ช่วยเสด็จแม่เลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็ก จึงนับเป็นผู้ใหญ่ที่นางเคารพผู้หนึ่ง

     

    ถวายพระพรเสด็จแม่

    อ้าว!? จิ้งเอ๋อร์มาแล้วหรือลูก

    เพคะ

    พี่หญิงงงงงงง!!หลังทักทายมารดาเสร็จยังไม่ทันได้หลังตรงด้วยซ้ำ เสียงเรียกลากยาวก็ดังมาแต่ไกล ร่างระหงในอาภรณ์สีดอกอิงฮวากำลังวิ่งหน้าตั้งมาทางนาง ใบหน้าของน้องสาวมีความหวาดกลัวปนอยู่ในที ด้านหลังของนางคือกลุ่มนางกำนัลที่หอบอาภรณ์หลากหลายสีวิ่งตามมา

    กงจู่เพคะ! วิ่งแบบนั้นมันไม่งามนะเพคะ!เสียงตะโกนไล่หลังมายิ่งทำให้มังกรขาวเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น จนแทบจะใช้วิชาตัวเบาอยู่รอมร่อ

     

    ร่างในชุดสีชมพูพุ่งเข้ากอดที่เอวพี่สาวอย่างแรง ร่างกายของมังกรดำเซเล็กน้อย ไป๋หลงยืดตัวขึ้นเกาะไหล่คนเป็นพี่อย่างขอความช่วยเหลือ

    พี่ใหญ่ พี่ต้องช่วยข้านะ พวกนางบังคับให้ข้าใส่ชุดสีชมพูที่ทั้งร้อนทั้งหนา ข้าไม่ใส่นะ!

    กงจู่เพคะ งานเช่นนี้พระองค์ไม่สามารถแต่งกายเรียบง่ายเช่นปกติได้นะเพคะ! มันไม่เหมาะสมเพคะ!

    แต่นี่ฤดูร้อน ชุดพวกนั้นทำให้ข้าเหงื่อออก!

    หญิงสาวต้องรักษาความงามตน ร้อนเพียงเท่านี้อดทนเถอะนะเพคะ สองนายบ่าวตอบโต้กันไปมาข้าวหัวนางอย่างไม่เกรงใจ ฝ่ายฮองเฮาทำเพียงมองมาด้วยความขำขัน

    เสด็จแม่ไม่คิดช่วยเหลือนางเลยอย่างนั้นหรือ!?

     

    **********

     

    [24] ยามซื่อ คือ 09.00 10.59

    [25] ยามอิ๋น คือ 03.00 04.59

    [26] หนูปี้ คือ คำแทนตัวของนางกำนัลต่อเจ้านายผู้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์

    [27] ยามเหม่า คือ 05.00 06.59

     

    ยัยน้องงงง โถลูก

    น่าสงสารจริง ถูกบังคับแต่งตัว

    ก็มันร้อนนี่เนอะ

    แม่เข้าใจหนูนะลูก

    ฮ่าๆๆ

     

    ขอบคุณสำหรับการติดตาม

    ซานเฟยหย่า

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×