คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 หวนคืน (รีไรท์)
มังกรคู่แห่งชิงหลงหยุดยืนที่หน้าประตูหมู่บ้าน
แต่ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะก้าวเดินเข้าไปในเขตหมู่บ้าน
ทหารเฝ้ายามสองคนก็ได้ใช้ทวนมาขวางกั้นเอาไว้
"เจ้าเป็นผู้ใด
มีธุระอะไรกับที่นี่?" น้ำเสียงทุ้มต่ำของทหารหนุ่มกล่าวไปอย่างสงสัย
ด้วยรูปลักษณ์ของเด็กสาวตรงหน้านั้นแสนมีพิรุธ
สวมชุดมิดชิดคล่องแคล่วคล้ายผู้ฝึกยุทธ ใบหน้าครึ่งบนถูกปกปิดเอาไว้ด้วยหน้ากากหยก
กลิ่นอายรอบตัวดูอันตรายอย่างยิ่ง
ผู้มาใหม่ทั้งสองไม่มีใครเอ่ยปากสิ่งใดออกมา
ครั้นมือบางของสตรีชุดดำจะได้ล้วงเข้าไปในอกเสื้อของตนเอง
นายทหารทั้งสองเห็นท่าไม่ดีจึงใช้ทวนในมือชี้ไปที่คนแปลกหน้า
ความคมกริบเงางามของอาวุธนั้นสะท้อนเข้ามาในตาสีเงิน
มือบางชะงักลงชั่วครู่ก่อนจะกระทำการเอาบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อตนจากที่ค้างไว้
นายทหารผู้ไม่รู้เหล่านั้นยังคงหวาดระแวงต่อท่าทีของสตรีสองคน
“หยุดนะ! อยู่เฉย
ๆ พวกเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ไยไม่ตอบคำถามข้า?” นายทหารผู้นั้นว่า
พลางส่งสัญญาณเรียกกำลังเสริม ช่างน่าขัน
เพียงแค่เด็กสาวสองคนจำต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ
เพียงชั่วอึดใจเท่านั้นกองหนุนจำนวนเจ็ดนายก็มาถึงและเข้าล้อมนางเอาไว้
หวงไป๋หลงที่ทำท่าจะใช้ยันต์อาคมก็ถูกผู้พี่หยุดเอาไว้ก่อน
มือเรียวภายใต้แขนเสื้อสีดำยาววาดเหยียดออกมาตรงหน้าน้องสาว
เมื่อถูกห้ามหวงไป๋หลงจึงได้ลดระดับมือลงและนำมาไว้ที่ข้างตัวอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น!?” น้ำเสียงทุ้มแหบดังขึ้นจากที่ไกล หรูเฟยหงมือขวาคนสนิทของแม่ทัพหรงหลี่จวินก้าวเดินเข้ามาใกล้วงล้อมของทหารใหม่
เมื่อพวกเขาเห็นรองแม่ทัพเดินมาจึงได้ค่อยๆ
แหวกทางออกให้ผู้บังคับบัญชาสามรถเดินได้สะดวก
ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อเห็นคนคุ้นตา
ที่แม้จะเคยเห็นเพียงครั้งเดียวก็จำได้อย่างแม่นยำ
แผ่นหลังตรงตระหง่านค้อมลงเคารพผู้สูงศักดิ์
“ขอกงจู่พระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ
ทหารเหล่านี้เพียงทำตามหน้าที่ หาได้มีความต้องการหมิ่นเกียรติของพระองค์”
หลังฟังคำนั้น ทหารใหม่หลายคนถึงกับไปต่อไม่ถูก ค้อมตัวลงถวายพระพรกันจ้าละหวั่น ผิดกับพี่น้องมังกรที่ยังคงนิ่งงันอยู่เช่นเดิม
“ท่านรองแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง
พวกเขาล้วนทำหน้าที่ของตนเอง ข้าและน้องสาวจะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่าไร
ท่านทั้งหลายลุกขึ้นเถอะ” หวงเฮยหลงปรายตามองชั่วครู่
เพื่อให้เวลาทหารหาญลุกขึ้นเต็มความสูง “พวกท่านทำหน้าที่ตนเองได้ดี
เพียงแต่ควรให้โอกาสผู้อื่นเสียบ้าง ข้าเพียงแค่จะล้วงเอาตราประจำตัวออกมาจากอกเสื้อ
ไม่ได้คิดร้ายอะไร” หลังคำพูดนั้น กลุ่มชายวัยฉกรรจ์ทั้งหลายต่างหัวเราะแห้งๆ
ส่งมา
“ท่านรองแม่ทัพ
ไม่ทราบว่าท่านน้าอยู่ที่ใดหรือ?” ยังคงเป็นหวงเฮยหลงที่เป็นคนถาม
มันมักจะเป็นเช่นนี้ทุกคราไป น้องสาวของนางนั้นหากอยู่กับคนสนิทก็จะพูดไม่ขาดปาก
แต่พอออกมาพบผู้คนมากหน้าหลายตาก็จะเป็นนางที่ต้องเป็นกระบอกเสียงให้น้องสาว
“ทูลองค์หญิง
ท่านแม่ทัพกำลังตรวจสอบรายชื่อผู้คนข้ามแดนอยู่ที่ค่ายชั่วคราวพ่ะย่ะค่ะ”
“รายชื่อผู้คนข้ามชายแดน?”
“พ่ะย่ะค่ะ
ที่ชายแดนเหนือของแคว้นเรามีเขตแดนติดกับแคว้นเสวียนอู่ ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นป่าเขา
จึงต้องมีการตรวจตราที่แน่นหนามากกว่าชายแดนเขตอื่น
กล่าวก็คือสามารถที่จะมีผู้บุกรุกได้โดยง่ายพ่ะย่ะค่ะ
ดังนั้นการลงลายชื่อจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งในการระบุตัวตน
หากผู้คนต่างแคว้นที่อยู่ในแคว้นของเราไม่มีรายชื่ออยู่ในผู้ผ่านการตรวจจะถูกจับกุมเพื่อสำเร็จโทษและส่งกลับคืนแคว้นตนเองพ่ะย่ะค่ะ
หรือในบางรายที่มีคดีติดตัวอาจมีการลงโทษอย่างเด็ดขาด” หรูเฟยหงอธิบายไปพลาง
เดินนำทางไปพลาง
“เป็นเช่นนี้เอง”
“ข้ามีข้อสงสัย
หากพวกเขาเหล่านั้นระบุนามปลอมเล่า?” ผู้ที่เงียบมาตลอดทางเอ่ยถามเป็นประโยคแรก
“อาคมสัจจะ”
หวงเฮยหลงเอ่ยขึ้น
“องค์หญิงใหญ่ทรงพระปรีชา
อาคมสัจจะมักถูกใช้กับกระดาษรายชื่อจริงพ่ะย่ะค่ะ หากผู้ใดเขียนสิ่งที่ไม่จริงลงไป
กระดาษนั้นจะไม่ปรากฏร่องรอยของน้ำหมึก ดังนั้นผู้ที่เขียนนามลงบนกระดาษไม่ได้ก็จะถูกจับไปสอบสวนพ่ะย่ะค่ะ”
มังกรขาวพยักหน้าเข้าใจ
ดวงตาสีท้องฟ้ายามค่ำคืนเหลือบมองไปยังผู้เป็นพี่
พลางคิดในใจว่าพี่สาวของนางนั้นไหวพริบดีจริง ๆ
“ท่านแม่ทัพขอรับ”
หรูเฟยหงกล่าวขออนุญาตผู้ที่อยู่ด้านใน
“เข้ามา”
เสียงฝีเท้าสองคู่ดังเป็นจังหวะการเดิน
ชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานของตนนั้นจึงเกิดความสงสัย
เขาฉุกคิดอยู่หนึ่งอย่างคาดหวัง ศีรษะของเขาค่อยๆ เงยขึ้น
ก่อนที่ดวงตาคมจะเผยความปิติยินดีออกมา
“พวกเจ้ากลับมาแล้ว!?” สองแฝดพยักหน้าขึ้นลงเป็นคำตอบ
ผู้เป็นน้าแทบจะถลาตัวออกจากโต๊ะนั่งไปหาหลานสาว กายแกร่งสวมกอดร่างน้อย ๆ
ด้วยความคิดถึง ผ่านไปชั่วครู่จึงได้ปล่อยทั้งคู่เป็นอิสระ
“ลำบากหรือไม่?”
เมื่อผู้เป็นน้าถาม หวงเฮยหลงจึงได้ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นคำตอบโดยไม่พูด แล้วจึงให้น้องสาวเป็นผู้พูดแทน
“ไม่เลยท่านน้า ซือจุนดูแลข้าและพี่หญิงดีมาก
ไม่ลำบากเลยแม้เพียงนิด”
เว้นตอนฝึกไว้ในฐานที่เข้าใจ
เพราะท่านอาจารย์จะกลายเป็นปีศาจยามที่สอนวรยุทธ คิดแล้วนางก็ยังขนลุกไม่หาย...
“ท่านน้า...ข้าและน้องสาวขออภัยที่ต้องให้ท่านรอคอยอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดปี
ทั้งที่ท่านมีงานรัดตัวแท้ ๆ”
มือของแม่ทัพหนุ่มทั้งสองข้างเอื้อมไปลูบที่ศีรษะทุยของหลานสาว
“น้าไม่เหนื่อยเลยสักนิด
ขอเพียงพวกเจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว...จะกลับกันเลยใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ
หลานต้องกลับไปให้ทันงานปักปิ่นของตนเอง นี่ก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง”
ผู้เป็นน้าพยักหน้าเข้าใจ
เพิ่งพบหน้ากันก็ต้องจากกันเสียแล้ว
น่าเสียดายจริง ๆ
รัชศกชงหยวนที่
20
เดือน 7 หน้าประตูวังแคว้นชิงหลง
รถม้าขนาดกลางธรรมดาคันหนึ่งจอดสนิทลง
ณ ที่หน้าประตูวังหลวง ผู้ที่ก้าวเท้าลงมาคือสตรีสองนาง นางหนึ่งมาในอาภรณ์บุรุษสีดำตัดกับแดง
เส้นเกศาสีเงินถูกมักรวบเอาไว้ครึ่งศีรษะ แผ่กลิ่นอายความเย็นยะเยือกออกมารอบกาย
ส่วนสตรีอีกนางนั้นกล่าวได้ว่าตรงข้างกันทุกประการ
อาภรณ์สีขาวตัดแดงที่นางสวมใส่อยู่ส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูราวกับเซียนสวรรค์
แม้กระทั่งสีของเส้นผมยังตรงข้ามกับสตรีชุดดำอย่างสิ้นเชิง
ดูราวหยินหยางที่ไม่อาจถูกแยกจากกันได้
ราชองครักษ์รักษาประตูลุกขึ้นมายืนกั้นขวางผู้มาใหม่
แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่คิดวู่วาม
“คุณหนู
ที่นี่คือประตูราชวังหลวง ไม่ทราบว่าคุณหนูมีกิจธุระอันใดหรือขอรับ?”
องครักษ์ผู้นั้นเอ่ยถามอย่างนอบน้อม แต่แผ่นหลังกลับยังตั้งตรง
คล้ายไม่ยอมที่จะก้มหัวให้คนแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด
สตรีทั้งสองไม่ยอมตอบคำถาม
หญิงสาวชุดดำเอื้อมมือเอาบางสิ่งออกมาจากใต้อกเสื้อตนเอง
ตรามังกรห้าเล็บถูกเผยออกมาสู่สายตา
โดยปกติแล้วสัญลักษณ์มังกรห้าเล็บถูกสงวนไว้ให้องค์ฮ่องเต้
องค์ชายลำดับที่หนึ่งและสองเท่านั้น
ทว่าปัจจุบันนั้นมีกงจู่สองพระองค์ที่ได้รับพระราชทานอนุญาตสิทธิ์ในการสืบต่อราชบัลลังก์
ทั้งสองพระองค์นั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรอง
มังกรคู่ราชสกุลหวงแห่งแคว้นชิงหลง
ราชองครักษ์ทั้งสองค้อมกายตนลงแทบไม่ทัน
“ขอประทานอภัย
กระหม่อมมิทราบว่าพระองค์เสด็จกลับมาแล้ว”
“ลุกขึ้น”
สุรเสียงแฝงอำนาจเอ่ยออกมา ริมฝีปากของนางยังคงเหยียดตรง ใบหน้าภายใต้หน้ากากเชิดขึ้นไม่สูงจนดูหยิ่งยโส
และไม่ต่ำจนดูอ่อนแอ นายทหารสองคนส่งสัญญาณเปิดประตูวัง
พลางหลีกทางให้ผู้สูงศักดิ์สองพระองค์ให้ผ่านเข้าไป
ถึงแม้จะกล่าวว่าเข้าทางหน้าประตูวังอย่างถูกกฎ
แต่ใช่ว่าสองพี่น้องคิดจะเดินผ่านวังหน้าและทะลุไปที่วังหลังเลย
กว่าที่ทั้งสองจะไปถึงจุดหมายคงจะหมดแสงอาทิตย์เสียก่อน
ดังนั้นแล้วเมื่อเดินมาได้เพียงชั่วครู่ ทั้งสองก็ตัดสินใจใช้วิชาตัวเบาของตนเอง
หลบหลีกผู้ตรวจตรา และสามารถเดินทางมาถึงที่ตำหนักคุนหนิงของหรงฮองเฮาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เพลานี้วังหลังนั้นแสนเงียบสงบ
เรือนชิวอวิ๋นและเรือนชิวเฟิงของนางและไป๋หลงยังคงเหมือนเดิม
ข้าวของหลายอย่างไม่ได้ถูกขยับ หรือเคลื่อนไปที่ใด
ห้องหับยังคงดูสะอาดตาดังเช่นวันสุดท้ายที่ได้เห็นเมื่อเจ็ดเกือบแปดปีก่อน โล่วหู[18]บอกเวลาว่าอยู่ในยามซื่อ[19]
พระบิดาของนางคงกำลังว่าราชกิจอยู่ที่ท้องพระโรง
“พี่หญิง
พวกเราไปหาเสด็จพ่อให้พระองค์ตกพระทัยเล่นกันเถอะ”
“เอาสิ”
ความคิดชั่วร้ายของสองพี่น้องที่ตรงกันนั้นถูกกระทำอย่างรวดเร็ว
พวกนางยังไม่ได้แจ้งใครเลยว่าฝึกเสร็จแล้ว วางแผนกันไว้กระทั่งว่าไม่ยอมให้ท่านน้าส่งข่าวมาที่วังหลวงเพื่อแจ้งให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทราบล่วงหน้า
ว่าแล้วสองพี่น้องก็ทะยานตัวออกไป กลับไปที่วังหน้าของราชบิดาอีกครั้ง
ท้องพระโรงแสนโอ่อ่าของวังหลวง
ประดับประดาไปด้วยต้นเสาสีทองสลักลายมังกรห้าเล็บ ม่านลูกปัดสีเดียวกับถูกรวบเก็บอย่างเป็นระเบียบ
ขุนนางหลายคนนั่งประจำตำแหน่งตนเอง ณ บัลลังก์มังกรปรากฏร่างองอาจของหวงชงหยวน อีกพระนามคือจินหลงฮ่องเต้
ถัดไปด้านหลังคือม่านลูกปัดสีแดง
ที่หลังม่านคือหรงซิ่วอิงฮองเฮาที่ประทับอยู่ด้วยความนิ่งสงบ
เสียงไถ่ถามและรายงานของขุนนางผ่านไปคนแล้วคนเล่า
ในขณะที่อัครเสนาบดีเถียนกำลังจะทูลถามบางสิ่ง
เสียงที่ไม่แหลมไม่ทุ้มของกงกงหน้าตำหนักดังขึ้น
และสร้างความตกตะลึงให้กับผู้ฟังทั้งหลายเป็นอย่างมาก
“หวงเฮยหลงกงจู่เสด็จ
หวงไป๋หลงกงจู่เสด็จ” เสียงที่ลากยาวของกงกงเงียบลงเมื่อประตูตำหนักถูกเปิดออก
ร่างสูงเกินสตรีวัยเดียวกันของกงจู่สองพระองค์ค่อย
ๆ ย่างกรายเข้ามาในท้องพระโรง
หรงฮองเฮาที่ได้ยินเสียงประกาศนามของผู้มาใหม่ได้ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดวงตาหงส์คลอไปด้วยน้ำตาแห่งห้วงคะนึงหา
ไม่เว้นแม้แต่โอรสสวรรค์ที่ผุดลุกขึ้นเต็มความสูง ดวงตามังกรสีเงินสว่างหลังม่านลูกปัดของเหมี่ยนกวาน[20]จับจ้องไปยังผู้มาใหม่
พระเนตรแฝงไปด้วยความตกใจและยินดี
แขนเรียวภายใต้ชายอาภรณ์สีดำสนิทสะบัดออกด้านนอกตัว
เพื่อจัดระเบียบชายเสื้อตนเองเพื่อทำการประสานมือ
ตรงข้ามกับน้องสาวที่มีแขนเสื้อทรงเจี้ยนซิ่ว[21]จึงไม่ต้องมากความในการจัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเอง
กงจู่สองพระองค์คุกเข่าทำความเคารพโอรสสวรรค์
แล้วจึงถวายพระพรมารดาแห่งแผ่นดินเป็นพระองค์ต่อมา
“ถวายพระพรฮ่องเต้
ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี ถวายพระพรฮองเฮา ของทรงพระเจริณพันปี พัน ๆ ปี”
เสียงใสปนทุ้มขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ดังกังวาลทั่วทั้งท้องพระโรง
มารดาแห่งแผ่นดินไม่รีรอที่จะออกตัววิ่งมาสวมกอดบุตรในอุทร
เด็กสาวทั้งสองที่ถูกสวมกอดนั้นแย้มรอยยิ้มที่ไม่ค่อยปรากฏเห็นออกมา
เป็นรอยยิ้มกว้างแสนสดใส ผู้ที่ยืนมองดูมีหรือจะทนได้ ภรรยาและบุตรสาวสองคนกำลังกอดกันอยู่แต่เหตุใดเขาจึงยังยืนอยู่ที่เดิม
โอรสสวรรค์ผู้ต้องการอ้อมกอดของบุตรสาวจึงได้เสด็จไปที่กลางท้องพระโรง
เป็นเหตุให้ดวงตาสีเงินของบุตรสาวคนโตมองมาที่เขา
แขนข้างหนึ่งที่ว่างเปล่าของนางกางออกมา เพื่อเป็นสัญญาณว่าที่ตรงนี้เป็นของบิดาตน
มังกรทองผู้ยิ่งใหญ่ตอบรับคำเชิญนั้นโดยไม่คิดด้วยซ้ำไป ชายฉลองพระองค์เหมี่ยนฝู[22]ปลิวสยายเมื่อโอรสสวรรค์ได้ทรงพระดำเนินไปด้านหน้า
ราชครูหม่าที่มองเห็นบรรยากาศความอบอุ่นของครอบครัวก็ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
กงจู่ที่เขาเพียรสั่งสอนมาแต่เล็กแต่น้อยในที่สุดก็กลับมาเสียที น่าดีใจเหลือเกิน
ตำหนักคุนหนิง
“เสด็จแม่เพคะ”
“ว่าอย่างไรลูกรัก”
หรงฮองเฮากล่าวรับไปพลางลูบผมสีดำขลับของบุตรสาวที่นอนอยู่บนตักของนางไปพลางไปพลาง
ใบหน้าของพระนางทอประกายความอ่อนโยน
“ลูกคิดว่าจะเข้าสังกัดหน่วยกิเลนทมิฬ”
มือเรียวที่ลูบไปมาหยุดชะงักลงหลังได้ยินคำกล่าวนั้น
ไม่เว้นเพียงแต่ผู้เป็นมารดาเท่านั้นที่ชะงักไป หวงเฮยหลงที่อ่านตำราอยู่ไม่ไกลก็แสดงความตกใจออกมาเช่นกัน
มือบางของนางละจากตำราเล่มหนา แล้วมองไปที่น้องสาวอย่างตั้งใจ
“เหตุใดจึงคิดเข้าที่หน่วยนั้น
แม่ไม่คิดห้ามเจ้าหากเจ้าอยากเข้าหน่วยกิเลน แต่เหตุใดต้องเป็นกิเลนทมิฬ?”
“เสด็จแม่
หน่วยกิเลนสีชาดทำงานปกป้องกษัตริย์ หน่วยกิเลนพิสุทธิ์ทำงานปกป้องประชาชน
ทั้งสองหน่วยล้วนต้องพบเจอผู้คนและเป็นที่จดจำ ลูกเกียจคร้านเกินกว่าจะวางตัวสูงส่งตลอดเวลา”
ใบหน้าของนางยิ้มแย้มราวพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่กลับดูเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาด
“หมิ่นเอ๋อร์
แต่หน่วยกิเลนทมิฬนั้นเป็น…”เงาที่ทำหน้าที่ลอบสังหารและสืบหาข่าวยามค่ำคืน
อีกทั้งยัง…!
มังกรขาวที่เห็นใบหน้าของมารดาก็ฉีกยิ้ม
“ดังเช่นที่เสด็จแม่กำลังคิดอยู่” นางกล่าว
สองแม่ลูกพร้อมใจกันหันไปมองที่สตรีอีกคนในห้อง
และนางก็จับจ้องมายังสองแม่ลูกเช่นเดียวกัน คิ้วพาดเฉียงบนใบหน้าที่ปราศจากหน้ากากของหวงเฮยหลงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเคร่งเครียดและไม่คาดคิด
“ไป่ไป๋…นี่เจ้า!”
มังกรดำแสดงความเกรี้ยวกราดที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักออกมา
“พี่หญิง ข้าเชื่อใจท่านนะเจ้าคะ”
ผู้น้องใช้น้ำดับไฟ แต่เฮยหลงก็ยังไม่ยินยอม
ปากสีสวยที่กำลังจะเปล่งเสียงออกมาถูกขัดขึ้นโดยคน ๆ เดิม “ท่านพี่
ใบหน้าของท่านไม่เหมาะกับอารมณ์เช่นนี้ ท่านไม่ยิ้มก็ไม่เป็นอันใดแต่อย่าขมวดคิ้วเลยนะเจ้าคะ!”
เฮยหลงถอนหายใจอย่างแรง
นางไม่เคยคิดจะทำมันแต่เพราะน้องสาวจุดประกายขึ้นมา เห็นทีครานี้คงไม่อาจนิ่งดูดายได้อีก
หรงฮองเฮายลไปที่บุตรีทั้งสอง
หัวใจของมารดานั้นแสนเจ็บช้ำแต่ก็ไม่อาจตรัสคำหักห้ามออกไปได้เลยแม้เพียงวลีเดียว
ราชธิดาของกษัตริย์ไม่อาจนิ่งดูดายต่อบ้านเมืองได้จริง ๆ
นางในตอนนี้ไม่อาจเป็นที่พักพิงของบุตรสาวได้เลยหรือ?
ไยดวงใจทั้งสองดวงของนางนี้จึงได้มีความคิดความอ่านเกินวัยเช่นนี้กัน?
ภายในใจของมารดาแห่งแผ่นดินนั้นเต็มไปด้วยคำถาม
เป็นคำถามเพียงหนึ่งเดียวที่ไร้คำตอบมาตลอดหลายสิบปี
เช้าวันถัดมา
หวงไป๋หลงนั้นออกไปเยี่ยมเสด็จย่าตั้งแต่เช้ามืด
ส่วนนางนั้นยังคงไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งสิ้น คำพูดของน้องสาวเมื่อคืนวานนั้นยังคงฝังรากลึกอยู่ภายในหัว
ตอนนี้จึงออกมาเดินเล่นรับลมยามเช้าที่สระมรกต
ท้องฟ้าในฤดูร้อนนั้นงดงามยิ่ง
แสงสีทองที่สาดกระทบกับผืนน้ำทำให้ดูราวกับอัญมณีอันสูงค่า ณ ต้นเฟิงฉู่ต้นเดิม
ข้อความที่นางขีดเขียนเอาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อนยังคงไม่เลือนหาย
วาโยพัดเคลื่อนแคล้ว มาถึงชิวเทียน
ใจพี่คิดคะนึง
ห่วงเจ้า
แสงเหิงเยว่สาดจึง มาเล่าคีตะ
ใจพี่พะวงเฝ้า
ก่อนสิ้นเพลา
ดวงหน้างามเผยรอยยิ้มที่ไม่ได้ถูกปกปิดด้วยหน้ากากออกมา
ความจริงในชีวิตของนางมีเรื่องแปลกประหลาดอยู่มากมาย
หนึ่งในนั้นคือบทเพลงหลิงฉวี่ที่ท่านอาจารย์เป็นคนสอน แท้จริงแล้วนางสามารถบรรเลงมันได้ตั้งแต่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ
เมื่อตอนที่นางอายุได้สี่ขวบ
เสด็จพ่อพระราชทานผีผา[23]มาให้ตัวหนึ่ง
ครานั้นนางยังเล่นดนตรีไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เพราะเหตุใดก็ไม่อาจทราบ
กลางค่ำคืนดึกสงัด ทั้งเสี่ยวไป๋และหลันเอ๋อร์นั้นหลับไปแล้ว นางจึงลองหยิบผีผาตัวนั้นออกมาเล่นเสียงดนตรีที่ดังออกมานั้นแว่วหวานใสกังวาล
ตอนนั้นนางภูมิใจมากที่สามารถเล่นมันได้แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนจนแตกฉานก็ตาม ทว่าจู่ ๆ
ก็ได้ยินเสียงของเด็กชายดังแว่วมาจากอีกฟากของตำหนัก
หากเป็นคนปกติคงไม่คิดออกไปดูแต่ไม่ใช่กับนาง
ยิ่งเข้าใกล้เท่าไรเสียงนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น และหยุดลงที่ต้นอิงฮวาริมสระมรกต
เสียงของคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเด็กชายจำนวนสองคนดังขึ้นตรงนั้น
“พี่ใหญ่
ท่านเล่นดนตรีให้พวกเราฟังได้หรือไม่?”
ครานั้นไม่รู้อะไรดลใจให้นางเล่นผีผาที่ติดมือมาด้วยไปตามคำขอของเสียงประหลาด
เช้าวันถัดมาจึงได้โอกาศถามเกี่ยวกับเรื่องที่คาใจนางมาตลอด
นั่นคือเรื่องของน้องสี่และน้องห้า เสด็จแม่ทรงเล่าให้นางฟังอย่างละเอียดยิบ
กระทั่งเรื่องที่ฝังเถ้าอังคาร ตั้งแต่นั้นมานางจึงมักมานั่งเล่นที่นี่
และพูดคุยกับคนที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว และครานี้ก็เช่นกัน
ขลุ่ยไม่ไผ่ที่นางเพิ่งทำขึ้นระหว่างทาง
ถูกหยิบจับขึ้นมาบรรเลง บทเพลงแห่งความคิดถึงแว่วมาตามสายลม
ผสานไปกับบทเพลงหลิงฉวี่ที่ได้ร่ำเรียนจนแตกฉาน
ปรากฏร่างเลือนลางของเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับนางถึงสองคน พวกเขาทั้งคู่นั่งอยู่บนกิ่งก้านของต้นเฟิงฉู่ใหญ่ต้นเดิม
“พี่ใหญ่
ในที่สุดเราก็ได้พบกันนะขอรับ”
“พวกเรานั่งเหงากันสองคนอยู่ที่นี่ตั้งนาน
ในที่สุดก็มีผู้พบเห็นบ้างแล้ว”
“น้องสี่ น้องห้า?” นางส่งเสียงถามออกไป
“ขอรับ
พวกเราคือน้องชายของท่าน”
“จริงสิพี่ใหญ่
พวกเราตั้งชื่อกันเองด้วยนะ! นามของเรามาจากชื่อเรือนของท่านกับพี่รอง”
“อวิ้นกับเฟิงอย่างนั้นหรือ?”
“ขอรับ
พี่สี่นามอวิ้น ส่วนข้านามเฟิง” หลังได้ยินดังนั้นมังกรดำก็ยิ้มกับตนเอง
อวิ้นหลงกับเฟิงหลง? เหมาะสมแล้วล่ะ
**********
[18] โล่วหู (漏壶) คือ นาฬิกาน้ำ ใช้หลักการหยดอย่างสม่ำเสมอของน้ำ
และอาศัยการสังเกตการลดลงของระดับน้ำเป็นการบอกเวลา
[19] ยามซื่อ คือ 09.00
– 10.59
[20] เหมี่ยนกวาน (冕冠) คือ มาลามงกุฎอันเป็นเครื่องประดับศีรษะของฮ่องเต้ มีลักษณะเป็นหมวกรูปทรงกระบอกม้วนอยู่บนศีรษะ
และประดับด้วยลูกปัดหยก 5 สีแขวนด้านหน้าและด้านหลัง ด้านละ 12 เส้น
[21] แขนเสื้อทรงเจี้ยนซิ่ว หรือ
แขนเสื้อธนูเป็นเสื้อสมัยราชวงศ์ชิง
โดยจะมีปลอกแขนหรือผ้าพันไว้ที่บริเวณข้อมือไปจนเกือบถึงข้อศอก
ทำให้สามารถขยับแขนได้คล่องตัวขึ้น
[22] เหมี่ยนฝู (冕服) คือ
ฉลองพระองค์ของฮ่องเต้
ฉลองพระองค์ชนิดนี้มีเสื้อสีดำผ้านุ่งสีแดง ใช้สำหรับสวมใส่ในพิธีการและการว่าราชการ
[23] ผีผา (琵琶) คือ เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง
มีลักษณะเป็นเครื่องสายใช้นิ้วดีดให้เกิดเสียง
สองแฝดของเราเป็นพวกขี้แกล้งค่ะ
ไม่ยอมบอกคนเขาดีๆ
ต้องให้ตกใจตลอดเลย
แต่เอ...เจ้าหน่วยกิเลนทมิฬนี่มันยังไงกันนะ?
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
ซานเฟยหย่า
ความคิดเห็น