ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    雪見 ครั้นเมื่อเหมันต์มาเยือน

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 ร่ำลาผาบุปผชาตินิรันดร์ (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 64


    7 ปีต่อมา

    "ศิษพี่รอง!" เสียงตะโกนโหวกเหวกของเด็กสาวผู้หนึ่งดังมาแต่ไกล ดวงหน้าภายใต้หน้ากากหยกดำขมวดคิ้วมุ่นด้วยความขัดใจ

     

    ตำราต้องห้ามเล่มนี้ท่านอาจารย์มีเวลาให้นางอ่านเพียงชั่วยามเดียวเท่านั้น นางเหลืออ่านเพียงหน้าเดียวเท่านั้นก็จะจบแล้ว แต่เพราะเจ้าศิษย์น้องผู้นี้ทำให้นางเสียเวลาอ่านตำราโดยเปล่าประโยชน์ น่าตีจริง ๆ เหตุใดทุกคราที่นางกำลังอ่านตำราต้องมีมารผจญมาขัดขวางทุกคราไป หอคัมภีร์ที่มีกฎห้ามส่งเสียงดังก็ไม่อาจหยุดเสียงโวยวายของศิษย์น้องสี่ผู้นี้ได้เลย

     

    "ศิษย์พี่รอง! ศิษย์พี่รอง!" เสียงนั้นดังเข้ามาใกล้นางขึ้นเรื่อยๆ จนบรรจบอยู่ ณ ที่นั่งตรงข้าม แต่เด็กสาวผู้นั้นก็ยังคงไม่ยอมหยุดเรียกซ้ำ ๆ

    "..."

    "ศิษย์พี่รอง! ท่านได้ยินหรือข้าไม่!? ศิษย์พี่เจ้าคะ!"

    "มีอะไร?" สุดท้ายนางก็จำต้องเอ่ยตอบหลังจากอ่านตำราจบเล่ม ตอนนี้ตำราที่ลงอาคมกำหนดเวลาเอาไว้ ได้ผนึกตัวลงแล้ว

    "ท่านพูดกับข้าเสียที ข้าเรียกศิษย์พี่ตั้งนานไยเพิ่งมาตอบเล่าเจ้าคะ ข้าบอกท่านหลายครั้งแล้วว่าให้พูดบ่อย ๆ แล้วยิ่งท่านสวมหน้ากากเอาไว้ยิ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่ ศิษย์พี่ยิ่งต้องพูดบ่อยขึ้นอีกนะเจ้าคะ! แล้วก็-!"

    "ศิษย์น้องสี่ เข้าเรื่องเถอะ" จนแล้วจนรอดนางก็ต้องดึงให้ศิษย์น้องผู้นี้วกกลับเข้าเรื่องอีกครา นางอยากรู้จริง ๆ ว่าซือจุนคิดอย่างไรจึงรับคนพูดมากเช่นศิษย์น้องสี่เข้ามาเรียนด้วยกัน อิจฉาก็แต่ศิษย์พี่ใหญ่ที่ฝึกวิชาเสร็จไปเมื่อ 3 ปีก่อน จึงไม่ได้ทนอยู่กับเสียงดัง ๆ ของศิษย์น้องสี่คนนี้เฉกเช่นนางที่กำลังฟังอยู่ ยิ่งเวลาที่ศิษย์น้องสี่อยู่กับไป๋หลงเสียงพูดคุยก็ยิ่งดังขึ้นเป็นเท่าตัว

    พวกนางไม่เหนื่อยพูดกันบ้างหรืออย่างไร?

     

    "จริงสิ! ข้าได้ยินข่าวจากศิษย์พี่สามว่าท่านทั้งสองฝึกเสร็จแล้วเช่นนั้นหรือเจ้าคะ?"

    "เป็นเช่นนั้น"

    "แล้วศิษย์พี่จะลงเขาเมื่อใด!? ตอนไหน!? ยามใด!? แล้วท่านจะกลับมาหรือไม่เจ้าคะ!?" คำถามถูกถามขึ้นมาราวใบไม้ร่วงจากต้น นางรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้วสิ

    "เหตุใดจึงไม่ถามไป๋หลง" หรูอันฉีหรือศิษย์น้องสี่วัยสิบสามหนาวกระพริบตาปริบ ๆ กับคำถามก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก

    "ก็ศิษย์พี่สามบอกข้าว่าศิษย์พี่รองต้องการพูดคุยด้วย จึงให้นำคำถามมาถามท่านจะดีกว่า...ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?" ศีรษะของเด็กหญิงเอียงไปด้านข้างอย่างน่ารัก ดวงตากลมโตแสนใจซื่อจดจ้องมายังศิษย์พี่รองของตน

    อา...นางอยากจะบ้าตาย น้องสาวฝาแฝดกำลังกลั่นแกล้งนางอยู่อย่างแน่แท้เลยเชียว

     

    กรามของหวงเฮยหลงข่มกัดกันดังกรอดอย่างข่มกลั้นความหงุดหงิด ถ้าหากถามว่าสิ่งใดที่ทำให้องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นชิงหลงผู้นี้สามารถหงุดหงิดได้ล่ะก็...คำตอบนั้นแสนง่ายดาย สิ่งนั้นคือเสียงดังน่ารำคาญนั่นเอง

     

    ทันใดนั้นเองประสาทสัมผัสอันเฉียบคมได้สั่งการให้มือเรียวปามีดออกไปยังตำแหน่งหนึ่งที่อยู่หลังต้นเหมยใหญ่ กริชคมวาวปักมิดด้ามฝังอยู่ในลำต้นใหญ่นั้นอย่างแม่นยำ

     

    ผู้ที่หลบอยู่หลังต้นเหมยเหงื่อกาฬไหลแตกพลั่กอย่างหวาดเสียว ก่อนจะโผล่ใบหน้าทะเล้นออกมาจากหลังต้นไม้ เรียวปากแดงระเรื่อแย้มยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันทุกซี่ ดวงตารีเรียวที่มองเห็นผ่านหน้ากากหยกขาวหรี่เล็กลงราวรูปพระจันทร์เสี้ยว เสียงใสทะเล้นดังหยอกล้อพี่สาวตนอย่างออดอ้อน

    "พี่ใหญ่เจ้าขา น้องผิดไปแล้ว...ให้อภัยน้องนะ?" ไม่ต้องบอกนางก็สามารถรู้ได้ว่าพี่สาวตอนนี้กำลังอารมณ์บูดเพียงใด นางไม่น่าแกล้งให้ศิษย์น้องสี่ทะเล่อทะล่ามากวนพี่ใหญ่เช่นนี้ นางลืมไปได้อย่างไรว่ายามนี้เป็นเวลาอ่านตำราของท่านพี่

    ไป๋หลง เจ้านี่มันโง่จริง!ๆ ศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่อยู่แล้ว แล้วใครจะมาห้ามพี่หญิงของนางกันเล่า!?

     

    "พี่บอกกี่คราแล้วว่าอย่าแอบเข้ามา เกิดพี่พลั้งมือฆ่าเจ้าจริง ๆ จะทำเช่นไร? หืม?" มังกรดำแผ่รังสีอมหิตออกมารอบ ๆ กาย

     

    เห็นหรือไม่!? พี่หญิงของนางน่ากลัวเพียงใด?

    "แหะๆ โถ่ท่านพี่ ข้านั้นออกจะเก่งกาจ หลบได้สบาย ๆ อยู่แล้วเจ้าค่ะ เนอะศิษย์น้องสี่?"

    "อื้ม! ศิษย์พี่สามเก่งกาจที่สุด!"

    ฉายาคู่หูจิ้งจอกพันคำพูดที่ศิษย์ในพรรคตั้งให้ไม่ได้เกินความจริงแม้แต่น้อย ผู้หนึ่งส่งผู้หนึ่งรับ บิดเบือนความจริงได้เก่งกาจจริงเชียว

     

    "อืม...ไหน ๆ พวกเจ้าก็มาแล้ว ช่วยกันเก็บหอคัมภีร์หน่อยแล้วกัน" นางส่ายหน้าไปมาอย่างอับจนคำพูด พลางบอกกล่าวใช้งานจิ้งจอกน้อยทั้งสองคน

    "โอ้ะ! ศิษย์พี่รอง ดูเหมือนจะถึงเวลาที่ข้าต้องฝึกทำนองหลิงฉวี่แล้วล่ะเจ้าค่ะ คารวะศิษย์พี่ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ!" ว่าแล้วหรูอันฉีก็วิ่งหายไปด้วยความรวดเร็ว

     

    ดวงตามังกรสีเงินจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตนเองแทน

    "พี่หญิง...บังเอิ๊ญ บังเอิญดูเหมือนน้องก็มีงานต้องทำเช่นกัน คารวะพี่หญิงเจ้าค่ะ!" สุดท้ายไป๋หลงก็วิ่งหายไปตามศิษย์น้องของตนเอง

     

    มังกรดำส่ายศีรษะไปมาอย่างระอาใจ ไฉนเมื่อนางใช้ให้เก็บกวาดหอคัมภีร์ยามใด ศิษย์น้องจึงพากันหนีหายไปหมด

    เวลาต้องการไม่อยู่ เวลาไม่ต้องการดันไม่ยอมกลับ น่าปวดหัวจริง ๆ

     

    ขณะที่ศิษย์รองของสำนักกำลังจัดเรียงตำราในหอคัมภีร์เป็นครั้งสุดท้ายอยู่นั้น เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นอย่างมีมารยาท

    "ศิษย์พี่รอง ท่านประมุขเรียกหาขอรับ" เสียงของศิษย์สายนอกผู้หนึ่งดังขึ้นที่ด้านหน้าหอคัมภีร์

     

    ร่างสูงของเฮยหลงที่กำลังจัดเรียงหนังสืออยู่นั้นหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ลง เสี้ยวหน้าคมเฉี่ยวที่ถูกปิดไว้โดยหน้ากากหยกดำค่อยๆ หันหลังกลับไป เราร่างหลังบานประตูยังคงยืนอยู่ที่เดิม

     

    มือเรียวของนางบรรจงวางตำราเล่มสุดท้ายกลับเข้าที่ ร่างสูงเกินสตรีวัยเดียวกันมาในอาภรณ์สีดำตัดแดง หยกประจำสำนักสีโลหิตห้อยอยู่ที่ข้างเอว เส้นผมสีขาวพิสุทธิ์ถูกรวบเก็บไว้ครึ่งหัวโดยมีผ้าผูกผมสีแดงปักลายสือซว่านที่ท่านอาจารย์มอบให้พันรวบผมเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ

     

    ฝ่ามือขาวนวลเปิดบานประตูฉลุลายเฟิ่งหวงออกช้า ๆ ศิษย์นอกที่มาเรียกผู้นั้นเมื่อเห็นว่าศิษย์พี่ออกมาแล้ว จึงถอยหลังออกและประสานมือทำความเคารพ หวงเฮยหลงพยักหน้ารับรู้แล้วออกเดินตรงไป โดยมีศิษย์น้องเดินตามหลัง

     

    นางและศิษย์น้องลัดเลาะผ่านต้นเหมยสีแดงชาดต้นแล้วต้นเล่า ผ่านเรือนฝึกกระบี่สำหรับศิษย์ใหม่ ศิษย์น้องเหล่านั้นเมื่อสังเกตุเห็นนาง ก็ได้หยุดกิจกรรมลงเพื่อทำการคารวะด้วยความพร้อมเพรียงแล้วจึงกลับไปฝึกต่อ

     

    นางยังคงเดินตรงไปเรื่อย ๆ ก้าวเดินผ่านสะพานข้ามลำธารเหมันต์ ผ่านเรือนดนตรีและเรือนภูษาที่มีเหล่าศิษย์หญิงกำลังร่ำเรียนกันอยู่ และเรือนสุดท้ายในเส้นทางที่นางเดินผ่านก็คือเรือนอักษร ก่อนที่จะพบเข้ากับซุ้มประตูขนาดใหญ่แสดงเป็นเส้นแบ่งเขตการฝึก และเขตที่สงวนไว้เฉพาะผู้ที่อนุญาต ศิษย์น้องที่ติดตามนางมาจึงหยุดลงที่ตรงนี้เพราะไม่อาจข้ามเขตไปได้

     

    ร่างสูงของนางเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป อาคมเขตแดนสว่างวาบเป็นแสงสีแดงเพื่อตรวจสอบผู้ผ่านเข้ามา และดับแสงลงเมื่อนางผ่านเข้าไปแล้ว ร่างระหงมุ่งหน้าผ่านสะพานหินเข้าสู่เขตสวนสือซว่านฮวา กลีบดอกพลับพลึงแมงมุมแดงกินอาณาเขตกว้างสุดลูกหูลูกตา ตัดกับสีขาวของหมอกเหมันต์จากถ้ำวิญญาณอย่างลงตัว ที่เก๋งกลางน้ำขนาดใหญ่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยไม้สีนิลเนื้อดีทั้งหลัง ลวดลายที่ถูกสลักลงบนผิวไม้นั้นงดงามประณีต ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ไม่อาจละสายตาได้

     

    หญิงสาวในอาภรณ์สีแดงชาดตัดกับเนื้อไม่สีดำ นั่งเป็นสง่าอยู่ด้านใน แผ่นหลังของหลิงฉวี่หย่งเหิงช่างดูเด็ดเดี่ยวและสูงส่ง

     

    “จางจิ้งคารวะซือจุน” นางกล่าวกับสตรีผู้เป็นอาจารย์ตน

    “มาแล้วหรือ?...แล้วน้องสาวเจ้าเล่า ไปอยู่ที่ใด?”

    “ไปไป๋ยังมาไม่ถึงหรือเจ้าคะ?” หลิงฉวี่หย่งเหิงพยักหน้าให้คำตอบ

    “ช่างเถิด ยังมาไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เหวยซือมีเรื่องสนทนากับเจ้าอยู่พอดี”

    “เชิญซือจุนเจ้าค่ะ” นางตอบผู้เป็นอาจารย์ ใบหน้าของอาจารย์หญิงยังคงเรียบนิ่งดังเช่นวันวาน น่าแปลกใจที่แม้จะผ่านมาแล้วถึงเจ็ดปีแต่ใบหน้าของสตรีตรงหน้ากลับไร้ซึ่งร่องรอยของกาลเวลา

    “เหวยซือเห็นเจ้าฝึกฝนวิชายุทธหนักกว่าสาขาวิชาอื่น คิดจะเดินทางสายนี้อย่างนั้นหรือ?”

    “เจ้าค่ะ ศิษย์คิดเอาไว้ว่าจะเข้ากองทัพ ทำงานร่วมกับท่านน้าของศิษย์” นางคิดเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ว่าอยากเข้าร่วมกอพทัพพิทักษ์แผ่นดิน ปกป้องแว่นแคว้นจากศัตรูผู้รุกรานบ้านเกิด นางอยากจะเป็นด่านแรกสุดในการปกป้องดินแดน

    “แม่ทัพแดนเหนือน่ะหรือ?” นางพยักหน้าเป็นคำตอบ “เจ้ามีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง ดีไม่ดีมีมากกว่าศิษย์พี่ของเจ้าเสียด้วยซ้ำ อาจารย์หวังว่าเจ้าจะคงเป้าหมายในการปกป้องนี้เอาไว้ แม้ร่างกายจะแปรเปลี่ยนไม่เหมือนเก่าก็ตาม”

    “เจ้าค่ะ ศิษย์จะจำคำสอนของอาจารย์เอาไว้” มังกรดำตอบรับคำสอนของอาจารย์ แม้จะสงสัยในคำพูดนั้นก็ตาม

     

    แปรเปลี่ยนไม่เหมือนเก่า มันหมายถึงสิ่งใดกัน รูปร่างที่เสื่อมสภาพลงตามกาลเวลากระนั้นหรือ? คำพูดของท่านอาจารย์มีความหมายเสมอไม่แน่ว่ามันอาจหมายถึงสิ่งที่จะเกิดในอนาคต

     

    “เสี่ยวจิ้ง”

    “เจ้าคะ?”

    “ที่แห่งนี้คือบ้านของเจ้า ไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปกี่ปีหรืออีกตลอดกาลนับจากนี้ก็ตาม ศิษย์ข้าพวกเจ้ากลับมาได้เสมอ เหวยซือจะรอเจ้า ณ ที่แห่งนี้ไม่ไปไหน” น้ำเสียงที่มักจะหยิ่งทระนงของอาจารย์หญิงบัดนี้กลับแสนอ่อนโยน ไม่เหลือเค้าของความถือตัวดังเช่นที่แสดงมาตลอด แม้ว่าใบหน้านั้นยังคงเรียบนิ่งก็ตาม

     

    ศิษย์อย่างนางนั้นแย้มรอยยิ้มสุขใจ มีขาวเรียวตัดสินใจถอดหน้ากากหยกที่บิดามอบให้ตอนห้าขวบออกจากใบหน้า หน้ากากที่สวมใส่มันมาตลอดได้ถูกถอดออกในรอบหลายปี สิ่งที่น่าตกใจคือ ไม่ว่าจะสีผมหรือสีของดวงตาทั้งคู่นั้นกลับมีมันเหมือนกัน หากเป็นผู้อื่นมองมาผ่าน ๆ คงคิดไปแล้วว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่สองศิษย์อาจารย์มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ก็คือกลิ่นอาย

     

    หวงเฮยหลงนั้นมีกลิ่นอายที่ขาวสะอาด สูงส่ง เยือกเย็น แต่กลับดูอบอุ่น

    ส่วนหลิงฉวี่หย่งเหิงนั้นกลับมีความลึกลับ สง่า และมืดดำ ส่งผลให้นางดูน่าหวาดกลัวและสูงส่งอาจเอื้อมในเวลาเดียวกัน

     

    พู่หางสีขาวสะอาดทั้งเก้าถูกเผยออกมาสู่สายตาของศิษย์คนโปรดเป็นครั้งแรก แต่นัยน์ตามังกรกลับยังคงนิ่งสนิท นางรู้อยู่แล้วว่าอาจารย์ตนนั้นอาจไม่ใช่มนุษย์ เพียงคาดไม่ถึงว่าจะเป็นถึงเซียนจิ้งจอกเก้าหางเท่านั้นเอง

    “ผิดหวังหรือไม่ที่เหวยซือหาใช่มนุษย์เช่นเจ้า”

    นางส่ายหน้าปฏิเสธแล้วจึงกล่าวตอบ “ไม่เลยเจ้าค่ะ ท่านสอนเสมอว่าเหรียญย่อมมีสองด้าน เหล่ามารก็เช่นกัน พวกเขาไม่ได้เลวร้ายทุกตนอย่างที่มนุษย์กล่าวอ้าง ศิษย์น้องในสำนักมากกว่าเจ็ดในสิบส่วนล้วนเป็นมาร พวกเขามิได้เลวร้ายเลยแม้แต่น้อย”

    ผู้ฟังได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออก รอยยิ้มที่มาจากความโล่งอก “เสี่ยวจิ้งเอ๋ย มีบางสิ่งที่เหวยซือยังไม่ได้สอนเจ้า แท้จริงแล้วเหล่ามารนั้นแบ่งออกเป็นสองประเภท คือมารขาวและมารดำ เมื่อหลายพันปีก่อนมนุษย์สามารถอยู่ร่วมอาศัยกับเหล่ามารได้อย่างสันติ แต่เพราะมารกลุ่มหนึ่งต้องการมีอำนาจเหนือกว่าชาวมนุษย์ผู้อ่อนแอ พวกเขากดขี่ข่มเหงรังควานไปทั่ว ชักจูงมนุษย์ผู้หลงผิดให้เดินทางสายมาร เป็นเหตุให้ความเชื่อเรื่องมารร้ายมีขึ้นในหมู่ชาวมนุษย์เป็นครั้งแรก มารอีกพวกที่ไม่เห็นด้วยจึงร่วมกันต่อต้าน ผู้นำฝั่งมารขาวใช้วิชาทั้งหมดที่ตนมีขับไล่มารดำออกจากทวีปหวงหลงและกักขังพวกเขาเอาไว้ที่ดินแดนใต้พิภพ ร่ายอาคมกั้นเขตแดนขึ้นเพื่อไม่ให้มารดำหลุดรอดออกมาทำร้ายมนุษย์ได้อีก

    สงครามนองเลือดครั้งนั้นทำให้เหล่ามนุษย์เหมารวมว่ามารทั้งหมดนั้นโหดร้าย มารขาวอย่างพวกเราจึงล่าถอยออกมาพร้อมกับเหล่าสัตว์อสูร สร้างอาคมในป่ามายาทั่วทั้งทวีปหวังให้เป็นที่หลบภัย ผู้ใดที่ย่างกรายเข้าไปล้วนต้องตกตาย แต่เพราะความโลภอันไร้ที่สิ้นสุด ป่ามายาที่มีทรัพยากรแสนมีค่าจึงถูกรุกรานมากขึ้น และเป็นเหตุให้มนุษย์ล้มตายในป่ามายามากขึ้นเช่นเดียวกัน”

    “ซือจุนหมายความว่า...?”

    “เทือกเขาตงเทียนที่กินอาณาเขตกว่าหนึ่งในหกของแคว้นชิงหลงแห่งนี้คือป่ามายาที่ใหญ่ที่สุด เป็นศูนย์รวมของเหล่ามารขาว นอกจากนี้ยังมีป่ามายาอีกหลายแห่งที่มีมารขาวอาศัยอยู่ ส่วนสำนักหยงเหยวี่ยนฮวาแห่งนี้นั้น เป็นดั่งบุปผานิรันดร์ของเหล่ามารขาว สำนักฝึกตนสำนักหลักของมารที่ต้องการความสงบ หากเจ้าสังเกต ที่นี่ไม่ได้เพียงฝึกฝนแต่เป็นดั่งที่อยู่อาศัย เป็นราวเมืองหลวงเล็ก ๆ ของเหล่าผู้แปลกแยก เมื่อเจ้ามาที่นี่คราแรกคงสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่มีสัตว์อสูรตนใดเข้าคุกคาม เป็นเพราะป่ามายาจะเป็นผู้คัดเลือกผู้เหมาะสมให้สามารถย่างกรายเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้ ส่วนผู้อื่นล้วนต้องตกตายไปอย่างน่าอนาถ”

     

    ผู้ที่ฟังอยู่อย่างหวงเฮยหลงพยักหน้าเข้าใจ สิ่งที่นางสงสัยมาตลอดได้ถูกคลายออกแล้ว เพียงไม่นานจากนี้ผู้มาใหม่ก็ได้ปรากฏกายขึ้น หวงไป๋หลงทำความเคารพอาจารย์และพี่สาวตนเอง ดวงตาสีน้ำหมึกเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นกหางทั้งเก้าของผู้เป็นอาจารย์ หลิงฉวี่หย่งเหิงพยักหน้ารับเพื่อยืนยันความคิดของศิษย์คนที่สาม

     

    “มากันครบแล้วเหวยซือก็จะขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน เจ้าทั้งคู่สำเร็จวิชาทั้งหมด ทั้งศาสตร์ศิลป์ล้วนชำนาญ เพลงกระบี่ไม่เป็นรองใคร คุณความรู้คู่ควรให้เรียกขานว่าอัจฉริยะ คาถาอาคมก็สามารถใช้ได้คล่องแคล่ว พลังปราณและพลังวิญญาณอยู่ในระดับที่ต้องเพียรพยายามด้วยตนเองไม่อาจสั่งสอนได้อีก ถึงเวลาที่เจ้าทั้งสองจะกลับบ้านเกิดเสียที”

    “ซือจุน เจ็ดปีมานี้ศิษย์สำนึกบุญคุณแสนยิ่งใหญ่ ขอบพระคุณที่ดูแลศิษย์และพี่สาวมาโดยตลอด” หวงไป๋หลงกล่าวออกมาอย่างใจหาย

    “ระหว่างศิษย์อาจารย์เรื่องนี้ไม่ถือเป็นบุญคุณ แค่พวกเจ้าเดินบนเส้นทางของความถูกต้องต่อไปก็เพียงพอ...แท้จริงแล้วมีคนผู้หนึ่งอยากพบกับเจ้าทั้งสองอย่างเป็นทางการก่อนที่พวกเจ้าจะกลับบ้าน แต่น่าเสียดายที่วันนี้คนผู้นั้นมิได้อยู่ที่นี่เสียได้”

    “ศิษย์ขอถามได้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด”

    “สามีของเหวยซือเอง”

    “!!!”

    “ฮะ!?

    สองแฝดตกใจอย่างเสียอาการ ผู้พี่นั้นไม่เท่าใดเพราะทำเพียงเบิกตากว้างกว่าปกติ แต่กับผู้น้องนั้นทั้งส่งเสียงอุทาน และยังอ้าปากค้างเสียกิริยาอย่างยิ่ง จนอดไม่ได้ที่ต้องเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

     

    “ซือจุนมีสามีแล้วเช่นนั้นหรือเจ้าคะ!?” ผู้ถูกถามอมยิ้มขำขันศิษย์คนที่สามของตนเอง

    “ถูกแล้ว ความจริงเขาเห็นพวกเจ้าตั้งแต่คราแรกที่ขึ้นเขามา แต่เพราะติดสะสางงานหลายเรื่องจึงไม่ได้ออกมาทักทาย ตำราต้องห้ามหลายเล่มที่เสี่ยวจิ้งอ่าน ก็เป็นเขาที่อนุญาตหาใช่เหวยซือไม่ ทั้งยังเรื่องเพลงกระบี่หลัก ๆ เกือบครึ่งที่ฝึกกันอยู่ทุกวันนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของวิชาที่แท้จริงก็คือคนผู้นั้น ส่วนอีกครึ่งเป็นของเหวยซือ ถ้าจะให้พวกเจ้าเข้าใจง่าย ๆ คนผู้นั้นก็นับเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งของเจ้าเช่นกัน”

     

    ความจริงที่คนทั้งสองเพิ่งรับรู้สร้างความตกใจเสียยิ่งกว่าเก่า

    ท่านอาจารย์บอกกล่าวเรื่องนี้ช้าไปหรือไม่เจ้าคะ!?

     

    เวลาแห่งการจากลานั้นมาถึงเร็วกว่าที่คาดคิด หลังจากที่ท่านอาจารย์เรียกให้พวกนางไปพูดคุยด้วย เวลาก็ได้ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว ในเช้าวันใหม่นี้จึงถึงเวลาที่สองพี่น้องต้องกลับบ้านเสียที

     

    ที่หน้าทางออกประตูสำนักหยงเหยวี่ยนฮวาเนืองแน่นไปด้วยศิษย์มากหน้าหลายตา เสียงตะโกนอวยพรดังขึ้นซ้ำ ๆ คลอไปกับเสียงร้องไห้ของศิษย์ตัวน้อย ๆ

     

    “ศิษย์พี่โชคดีนะขอรับ!”

    “กลับมาเยี่ยมกันบ้างนะเจ้าคะ!”

    “ศิษย์พี่รอง ข้าจะตั้งใจศึกษาตำราและวรยุทธให้เก่งกาจเช่นท่านนะขอรับ!”

    “ศิษย์สาม คราวหน้าข้าจะชนะท่านให้ได้!”

    “ศิษย์ทั้งสอง ข้าฝากทักทายศิษย์พี่ใหญ่ด้วยนะขอรับ!”

    “ศิษย์พี่รอง ข้าทำขนมหลงซีถัง[16]ไว้ให้ แม้ไม่อร่อยเท่าที่ศิษย์พี่ทำแต่อย่าลืมกินนะเจ้าคะ ข้าทำสุดฝีมือเลย!”

    “ศิษย์...ฮึก! พี่ คิดถึงพวกเราด้วยนะเจ้าคะ!”

    สองฝาแฝดยิ้มให้ศิษย์น้องที่มาส่งทุก ๆ คน พลางยื่นมือรับเอาของฝากมารับไว้ จนดวงตามังกรเหลือบไปเห็นศิษย์น้องสี่ที่หายหน้าหายตาไปตั้งแต่เมื่อวาน กำลังวิ่งกระหืดกระหอบตรงมาทางนี้

     

    “ศิษย์พี่...แฮ่ก!...ข้าทำของไว้ให้ พวกท่านพกติดตัวเอาไว้ด้วยนะเจ้าคะ!” หรูอันฉีพูดไปพลาง หอบไปพลาง มือคู่นั้นของเด็กหญิงที่ควรจะไร้รอยแผล ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยผ้าสีขาวที่พันรัดบาดแผลเอาไว้ลวกๆ ในมือของนางถือกิ่งเหมยเล็ก ๆ เอาไว้สองกิ่ง สลักลวดลายมังกรตัวยาว แม้จะไม่ได้ประณีตงดงามมากมาย แต่หากเทียบกับเด็กวัยเดียวกันและขนาดของกิ่งเหมยที่ถือว่าเล็กมากกิ่งนี้ นางก็นับเป็นผู้มีฝีมือ เพราะหากมือหนักเกินไปกิ่งอาจจะหักเอาได้

    กิ่งเหมยนี้คงเป็นต้นเหตุที่ศิษย์น้องมือเป็นแผลกระมัง

     

    “ขอบใจเจ้ามาก ศิษย์พี่จะพกติดตัวเอาไว้อย่างดีที่สุด” ว่าแล้วนางก็ลงอาคมคงสภาพเอาไว้บนกิ่งเหมยสลักทั้งสองกิ่ง ตอนนี้แน่ใจได้แล้วว่าของสิ่งนี้จะไม่มีสลายไปตลอดกาล และยังคงความสวยสดงดงามของดอกเหมยประจำสำนักเอาไว้ได้

     

    มือบางของหวงเฮยหลงยื่นกิ่งเหมยอีกอันให้น้องสาวรับเอาไว้ มังกรขาวผู้น้องแย้มยิ้ม พลางใช้มือลูบศีรษะทุยของศิษย์น้องคนสนิทด้วยความเอ็นดู

     

    “งดงามมาก ศิษย์น้องสี่ของเราเก่งมาก ๆ”

    “พวกเจ้ารักษาตัวดี ๆ ขยันฝึกฝนห้ามเกียจคร้าน เข้าใจหรือไม่?” หวงเฮยหลงเอ่ย ผู้ฟังทั้งหลายพยักหน้ารับกันขันแข็ง

     

    ว่าจบทั้งสองก็ได้พุ่งทะยานตัวออกนอกเขตสำนักไปทันที แรงวาโยที่พุ่งเข้าปะทะใบหน้าถูกชะลอให้เบาลง เฮยหลงสูดอากาศเข้าเต็มปอด หัวหน้าไปส่งสัญญาณให้ผู้เป็นน้อง ทั้งสองจึงได้ทะยานตัวลงสู่พื้นดิน หยุดลงที่ครึ่งทางพอดิบพอดีมังกรคู่ได้กระทำการ กราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง[17] พร้อมกัน

     

    ก้าวเท้าซ้ายไปด้านหน้าหนึ่งก้าวคุกเข่าขวาจรดผืนดิน จากนั้นจึงเป็นเท้าด้านซ้าย ศีรษะของทั้งคู่แนบไปกับผืนหญ้าเขียวชอุ่ม ศีรษะของบุตรีโอรสสวรรค์จรดที่พื้นถึงสามครั้งสามครา จากนั้นจึงลุกยืนขึ้น แผ่นหลังของทั้งสองเหยีนดตรง แล้วคุกเข่าคำนับอีกครั้ง

     

    คำนับแรกแด่บุญคุณการสอน

    ร่างระหงลุกยืนและนั่งคำนับอีกครั้ง คำนับสองแด่บุญคุณให้อาศัย

    ทั้งคู่ลุกขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย คำนับสามแด่จิตใจชุบเลี้ยงดู

     

    เสียงเข่าที่กระทบพื้นดินทั้งสามครั้งดังกังวาน คล้ายจะส่งความเคารพอย่างถึงที่สุดนี้ไปให้อาจารย์ตนเองบนยอดเขา สรรพสัตว์เปล่งเสียงร้องให้ก้องป่า วิหคปักษาบินแตกรัง พระพายพัดเอากลีบแมกไม้ขึ้นไปสู่ด้านบน เสียงท้องฟ้าคำรามดังขึ้นอย่างผิดวิสัยฤดูใบไม้ผลิ

     

    แผ่นหลังของสองพี่น้องเหยียดตรงและองอาจ ความจริงจังที่ไม่ได้เห็นบ่อยครั้งนักของมังกรขาวฉายชัดออกมาอย่างเต็มเปี่ยม พวกนางหยุดยืนอยู่เพียงครู่ จากนั้นร่างทั้งสองก็ได้ทะยานจากไป กลับเข้าสู่หมู่บ้านที่ตีนเขา แม่ทัพแดนเหนือยังคงรอหลานสาวอยู่ตรงนั้นตลอดเจ็ดปี การกลับมาของกงจู่ทั้งสองพระองค์สร้างความดีใจให้ชาวบ้านและเหล่าทหารเป็นอย่างมาก

     

    ณ ที่จุดสูงสุดของผาบุปผชาตินิรันดร์ ยังคงมีร่างของสตรีชุดแดงยืนจ้องมองไปที่ปลายตีนเขาอย่างนิ่งงัน กลีบปากแดงแย้มยิ้มด้วยความระอาใจแต่กลับสุขยิ่ง สุรเสียงหวานแฝงความอ่อนใจดังออกมาจากริมฝีปากนั้น

     

    “เจ้าพวกเด็กบ้า ข้ากล่าวว่าไม่นับเป็นบุญคุณอย่างไรเล่า ดื้อดึงกันจริง ๆ” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ประมุขพรรคผู้แข็งแกร่งได้น้ำตาไหลริน นางไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าใบหน้างามของตนถูกอาบย้อมไปด้วยธารน้ำตาเสียแล้ว

     

    โชคดี...ศิษย์รักทั้งสองของข้า... นี่คืออีกหนึ่งถ้อยคำที่ไม่ได้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา

     

    **********

     

    [16] หลงซีถัง (龍鬚糖) คือ ขนมหนวดมังกร ขนมไหมฟ้า หรือขนมสายไหมจีน

    [17] กราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง (三拜九叩) เป็นการกราบแบบสูงสุดของจีน ใช้สำหรับเข้าเฝ้าเจ้านาย หรือบูชาเทพเจ้า หรือในส่วนน้อยนั้นใช้สำหรับเคารพผู้ที่ตนนับถือมาก ๆ

     

    เปิดตัวตัวละครใหม่อีกแล้ว!!

    หรูอันฉีผู้จะมาโวยวายไปพร้อมกับอาหมิ่น(ไป๋หลง)

    (มีใครลืมชื่อแรกเกิดน้องรึยังคะ?)

    แต่ศิษย์น้องสี่ของเราจะไม่ได้มีบทเร็วนี้หรอกนะคะ

    น่าจะอีกนานเลยล่ะค่ะกว่าจะมีบทกับเขาสักที

     

    ขอบคุณสำหรับการติดตาม

    ซานเฟยหย่า

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×