คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 สำนักหยงเหยวี่ยนฮวา (รีไรท์)
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
แต่วันนี้กลับต่างออกไปเล็กน้อย ด้วย ณ บริเวณหน้าวังหลวงมีผู้คนคับคั่งเต็มไปหมดเพราะอยากจะยลโฉมขบวนเสด็จมังกรคู่แห่งชิงหลงอย่างเต็มตา
ผิดกับที่ด้านหน้าสุดของวังหลัง สองพี่น้องมังกรกำลังบอกลาคนในครอบครัวของตนเองอยู่
ในวันนี้ผู้ที่ขาดหายไปคือองค์ชายหวงหั่วหลง และองค์หญิงหวงเหมยฮวา
คงเป็นหลิวเต๋อเฟยที่กักตัวเอาไว้ไม่ให้มาพบหน้าพวกนาง
"หลันเอ๋อร์
มาหาพี่สิ" หวงเฮยหลงเอ่ยขึ้น
ทำให้กงจู่ตัวน้อยทำท่าทางคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
นัยน์ตาหวานสีเหล้าองุ่นราวกับถูกเคลือบไว้ด้วยแก้วใส
"พี่ใหญ่
พี่รองจะทิ้งหลันเอ๋อร์...ฮึก!"
"โอ๋ ๆ
น้องสาวของพี่ ไยคิดเช่นนั้นเล่า พี่และพี่ใหญ่เพียงออกไปศึกษา ไม่นานก็คงกลับ
มิได้ทิ้งเจ้าไปไหนเสียหน่อย"
"เชื่อไม่ได้
พี่รองชอบแกล้งข้า ฮือ...ท่านพี่จะทิ้งหลันเอ๋อร์ไปจริง ๆ ด้วย"
หวงไป๋หลงแสดงสีหน้าเหลอหลา
น้องสาวไม่ได้ให้ความเชื่อใจแก่นางเลยหรือ!?
"หลันเอ๋อร์...ไม่ร้อง
น้องเชื่อพี่รองเถอะ อีกไม่นานเราก็กลับมา พี่ไม่หายไปให้เจ้าคิดถึงนานนักหรอกนะ"
หลังหวงเฮยหลงกล่าวกงจู่น้อยก็พยักหน้าอย่างแรง "มา หลันเอ๋อร์มาให้พี่ใหญ่กอดเจ้าหน่อย"
หวงหลันฮวาโผเข้ากอดพี่สาวเต็มแรง อ้อมแขนน้อย ๆ กอดไม่ยอมปล่อย
หวงไป๋หลงที่กำลังจะตบะแตกเพราะน้องสาวไม่สนใจก็ได้โผเข้ากอดไปด้วยคน
เป็นเหตุให้เด็ก ๆ ที่เหลือวิ่งเข้าไปกอดเช่นเดียวกัน
ภาพพี่น้องกอดกันกลมทำให้ผู้ใหญ่ที่อยู่ด้วยแย้มยิ้มยินดีที่พี่น้องรักใคร่กัน
เสียดายก็แต่องค์ชายเจ็ดและองค์หญิงแปดไม่อาจมาร่ำลาพี่สาวได้
หลิวเต๋อเฟยช่างจิตใจคับแคบนัก
และแล้ว...เวลาสุดท้ายของการจากลาก็มาเยือน
"เสด็จพ่อ
เสด็จแม่ เสด็จย่า จางจิ้งทูลลาเพคะ"
"จางหมิ่นทูลลา"
เด็กสาวทั้งคู่คำนับลงพื้นอย่างแรง ผู้เป็นมารดาใจกระตุกวูบด้วยกลัวลูกเจ็บ
จึงกระวีกระวาดพยุงบุตรสาวขึ้นมา
"เด็กสองคนนี้นี่
แม่ใจหายหมด...เฮ้อ อย่างไรพวกเจ้าก็รักษาตัวดี ๆ นะลูกรัก"
มารดาแห่งแผ่นดินดุอย่างไม่จริงจังนัก และกล่าวอวยพรเป็นครั้งสุดท้าย
"ทุกท่าน
รักษาตัวด้วย" มังกรคู่กล่าวประโยคสุดท้ายเช่นเดียวกัน
ดวงตาของหวงเฮยหลงจับจ้องไปยังพระบิดา
ดวงตาที่เหมือนกันทั้งสองคู่จับจ้องกันอย่างสื่อความหมาย ก่อนที่ร่างของนางจะก้าวขาขึ้นรถม้าไปดวงตาวาวของนางมองเห็นริมฝีปากเรียบของบิดาขยับเป็นคำพูด
บิดาขอโทษเจ้า
หลังเห็นบิดากล่าวเช่นนั้น
นางส่ายศีรษะไปมาพร้อมกับแย้มรอยยิ้มอย่างเข้าใจ
บิดาไม่ต้องกังวล
ลูกเข้าใจดี นั่นคือถ้อยคำที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกไปได้ของนาง
ไม่นานนักรถม้าราชสกุลหวงก็ค่อย
ๆ เคลื่อนผ่านไปเพื่ออกจากเขตพระราชวัง
จวบจนผู้ที่ยืนส่งอยู่นั้นมองไม่เห็นรถม้าจึงได้กลับเข้าตำหนักตน รถม้าราชวงศ์เคลื่อนผ่านประตูวังไปแล้ว
เสียงเซ็งแซ่ถวายพระพรกงจู่ดังตลอดทาง แม้เหล่าประชาชนจะไม่อาจมองเห็นพระพักตร์ขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ก็ตาม
การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลาถึงห้าวันกว่าที่จะไปถึงตีนเทือกเขาตงเทียน
แม่ทัพประจำทิศอุดรที่มารอรับเสด็จอยู่นั้นเมื่อมองเห็นราชรถอยู่ลิบ ๆ จึงสั่งตั้งขบวนแถว
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวพรรณของเขาคล้ำแดดเพราะหน้าที่การงาน
สันกรามฝั่งซ้ายมีร่องรอยแผลเป็นที่ถูกของมีคมบาดเป็นทางยาว ดวงตาพยัคฆ์สีนิลเรียวคมจดจ้องไปยังเบื้องหน้า
ร่างสูงสง่าของแม่ทัพประจำทิศอุดรยืนอยู่ที่ด้านหน้าสุดของเหล่าทหารในบัญชาและชาวบ้านของหมู่บ้านหยงเหยวี่ยนฮวา
และแล้วรถม้าคันงามก็จอดสนิทลง
ยังไม่ทันที่ผู้สูงศักดิ์จะได้ก้าวลงจากรถม้า
สุรเสียงทรงพลังของผู้ที่รอรับเสด็จทั้งหมดก็ดังก้องขึ้น
“ถวายพระพรกงจูขอทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน!
ถวายพระพรกงจู่ขอทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน! ถวายพระพรกงจู่ขอทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน!”
คำกล่าวนั้นดังติดต่อกันถึงสามครั้ง
ดังถึงขนาดที่เหล่าปักษาแตกตื่นจนบินขึ้นไปบนฟ้าอย่างจ้าละหวั่น
และเมื่อเท้าเล็ก
ๆ สองคู่ย่ำลงบนผืนดิน ดวงตามังกรมองเห็นความพร้อมเพรียงตรงหน้า
ยังไม่มีผู้ใดลุกขึ้นแม้แต่ผู้เดียว
“ทุกท่านตามสบายเถอะ
ข้าขออภัยที่ทำให้ทุกท่านต้องลำบาก” มังกรดำกล่าวขออภัยกับคนทุกคนที่อยู่ ณ
บริเวณนั้น
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือเอ่ย พลางลุกยืนขึ้น
สองแฝดเห็นดังนั้นจึงทำความเคารพผู้เป็นน้าชายตน
“จางจิ้งคารวะท่านน้า”
“จางหมิ่นคารวะท่านหน้า”
“วันนี้หลานมาในฐานะหลานสาวของท่าน
ไม่ต้องมากพิธีหรอกเจ้าค่ะ” หวงเฮยหลงกล่าวกับน้าชายตนด้วยความนอบน้อม
“เช่นนั้นน้าขอไม่เกรงใจ
พวกเจ้าทั้งสองเดินทางราบรื่นดีหรือไม่?”
เมื่อพูดคุยกับหลานสาวหรงหลี่จวินมีใบหน้าที่อ่อนลงกว่ายามปกติมาก คนผู้นี้คือน้องชายแท้ๆ
ของหรงฮองเฮา รับหน้าที่ดูแลชายแดนเหนือตั้งแต่วัยสิบห้า
นับเป็นผู้มีความสามารถมากผู้หนึ่งทีเดียว
“ราบรื่นดีเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว
พวกเจ้าจะพักผ่อนก่อนหรือไม่? น้าจะได้สั่งให้ทหารตั้งกระโจม”
“หลานว่ายิ่งไปถึงไวเท่าใดยิ่งดีเท่านั้น
ไม่ขอรบกวนท่านน้าเจ้าค่ะ” ผู้ฟังได้ยินดังนั้นก็ถอนใจอย่างนึกเป็นห่วง
ดวงหน้าคมหันหลงไปส่งสัญญาณให้ทหารผู้หนึ่ง
นายทหารผู้นั้นจึงได้นำหีบห่อบางอย่างออกมา
“สิ่งนี้คือของใช้จำเป็น
พวกเจ้าระวังตัวด้วย ห้ามบาดเจ็บนี่เป็นคำสั่งของน้า พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
น้ำเสียงยามออกคำสั่งกับลูกน้องถูกนำมาใช้กับหลานสาวแท้ๆ
ทั้งสองพยักหน้ารับและหายเข้าไปในป่าตงเทียนทันที
“กงจู่จะไม่เป็นอะไรแน่หรือขอรับท่านแม่ทัพ”
นายทหารผู้หนึ่งกล่าวกับนายอย่างเป็นกังวล ถึงจะเก่งกาจอย่างไรแต่ทั้งสองพระองค์ก็ยังเป็นเพียงเด็กหญิงอายุเพียงเจ็ดขวบ
จะทนความลำบากได้อย่างไร
“ไม่ต้องห่วง
ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นถึงบุตรีโอรสสวรรค์
ชายผู้นั้นก่อนครองบัลลังก์เป็นเช่นใดพวกเจ้าย่อมรู้ดี บุตรมังกรย่อมต้องเป็นมังกร
ไม่มีทางเป็นงูดินได้หรอก” ถึงแม้จะกล่าวไปเช่นนั้น
แต่ในใจก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน จากนี้ข้าคงต้องขอใช้หมู่บ้านนี้เป็นค่ายทหารชั่วคราวเสียก่อน
อย่างน้อยก็จนกว่าองค์หญิงจะกลับมา”
“เชิญเลย ๆ
ท่านแม่ทัพไม่ต้องเกรงใจ ดีเสียอีกหมู่บ้านเราจะได้ปลอดภัยจากผู้ประสงค์ร้าย”
หัวหน้าหมู่บ้านรับคำอย่างยินดี เมื่อหกคืนก่อนเป็นคืนเดือนดับ สตรีชุดขาวปรากฏตัวในฝันอีกครั้งหลังผ่านมาเจ็ดปี
นางกล่าวว่าจะมีผู้มีบุญญาธิการเข้าเป็นศิษย์ของทางสำนักหยงเหยวี่ยนฮวา
ให้เตรียมการต้อนรับอย่างดีที่สุด เห็นทีแล้วผู้มีบุญญาธิการที่ว่าคงเป็นผู้ใดไปไม่ได้อีกนอกเสียจากองค์หญิงทั้งสองพระองค์
สำนักหยงเหยวี่ยนฮวา
ภายในเรือนหลังใหญ่ที่สุดแห่งพรรคหยงเยวี่ยนฮวานามว่าเรือนสือซว่าน
เรือนหลังนี้ที่ถูกสร้างจากไม้เนื้อดำราคาสูง ทั้งยังมีความแข็งแรงทนทานอย่างยิ่ง
เสาทุกต้นและผนังทุกแผ่น ต่างสลักลวดลายวิจิตรงดงาม
บ่งบอกถึงความร่ำรวยของเจ้าของเรือนได้เป็นอย่างดี กอปรกับเหล่าของตกแต่งที่มองยังไงก็คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสูงค่ายิ่ง
เมื่อนำมารวมกับเรือนดำหลังนี้ยิ่งเสริมสร้างความงามไปอีกขั้น
หญิงสาวในอาภรณ์สีแดงชาดนางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อดี
ที่ข้างกายของนางปรากฏอสรพิษสีนิลวาววับ และดวงตาของมันทอประกายสีโลหิตอย่างน่าประหลาดเลื้อยพันไปกับเก้าอี้
หัวของอสรพิษยักษ์วางทับที่ตักงามของผู้เป็นนาย
มือเรียวสวยลูบเกล็ดบนหัวอสรพิษตนนั้นด้วยความรักใคร่
มุมปากกระจับยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน
ดวงตาสีเงินวาวจับจ้องไปยังลูกแก้วทรงกลมตรงหน้าอย่างเรียบนิ่ง
ลูกแก้ววิเศษที่ปรากฏภาพของเหล่าผู้คนที่เสี่ยงชีวิตกันเข้ามาในป่าตงเทียนเพื่อมาตามหาสือซว่านฮวา[12]วิเศษ
หลายคนตกตายในป่าเพราะสัตว์อสูร บางคนที่แข็งแกร่งหน่อยก็รอดออกไปได้
แต่สุดท้ายก็ตกตายในภายหลังเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว บางคนพยายามนำเอาสือซว่านฮวารักษาบาดแผลตนท่ามกลางป่าเขา
แต่สุดท้ายก็สิ้นใจเพราะดอกสือซว่านนั้นมีพิษ
“หึ!”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นจากร่างระหงก่อนที่นางจะกล่าวลอย ๆ กับตนเอง
“คิดจะตามหาดอกสือซว่าน
แต่กลับไม่รู้ลักษณะพิเศษของมัน ทั้งยังเก็บดอกสือซว่านธรรมดาไปรักษาบาดแผล...ช่างโง่งม”
ดอกสือซว่านวิเศษแตกต่างจากดอกสือซว่านธรรมดา
ตรงที่ดอกสือซว่านธรรมดานั้นมีฤทธิ์เป็นพิษ แต่ดอกที่มาจากพรรคหยงเหยวี่ยนฮวานั้นหากสกัดอย่างถูกวิธีจากพิษจะกลายเป็นยารักษาชั้นเลิศ
สรรพคุณของดอกสือซว่านวิเศษมิได้ต่างจากที่ร่ำลือกันเลยแม้แต่น้อย
รักษาได้ทุกโรค และยังคืนชีพให้คนตายได้ เพียงแต่ผู้ตายต้องตายมาแล้วไม่มากไปกว่าหนึ่งเค่อจึงจะสามารถคืนชีวิตได้เท่านั้น
อีกทั้งยังเรื่องของลักษณะของดอกสือซว่านแห่งพรรคหยงเหยวี่ยนฮวายังต่างจากดอกสือซว่านทั่วไปเล็กน้อย
จนหากไม่สังเกตดี ๆ ก็คงไม่อาจแยกออกได้ ด้วยเกสรของดอกสือซว่านทั่วไปจะมีสีแดงไปจนถึงแดงก่ำหรือเกือบดำ
แต่ดอกซือซว่านวิเศษนั้นจะมีสีดำสนิท และก้านของดอกที่ปกติจะมีสีเขียวแซมแดง แต่หากเมื่อเด็ดดอกออกจากต้นแล้ว
สีของก้านนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจนหมด แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นค่อนข้างช้าจนไม่เป็นที่สังเกตเห็น
บ่อยครั้งเหล่าผู้แสวงหาจึงเก็บดอกสือซว่านทันทีที่พบเห็น
จนลืมไปว่าดอกสือซว่านวิเศษนั้นเกิดเฉพาะที่พรรคหยงเหยวี่ยนฮวาเท่านั้น
แต่ทันใดนั้นดวงตาคู่งามก็วาววับขึ้นด้วยความชอบใจเมื่อเห็นภาพบางอย่างฉายชัดขึ้นมาบนลูกแก้ววิเศษ
“ดูเหมือนว่าอีกไม่นานพรรคเราคงต้องรอต้อนรับแขกผู้ยิ่งใหญ่เสียแล้วสิ
เจ้าว่าจริงหรือไม่...” อสรพิษสีดำมะเมื่อมพยักหัวของมันขึ้นลงราวกับเข้าใจภาษามนุษย์
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปแจ้งข่าวกับคนในพรรคให้เตรียมตัวเสียเถิด
จะได้ไม่เป็นการหมิ่นเกียรติของแขกผู้สูงศักดิ์” เสียงสนทนาของหนึ่งหญิงงามและหนึ่งงูใหญ่ดังขึ้นอย่างเป็นปกติ
การพูดคุยของทั้งคู่ราวกับร่วงรู้อนาคต
และหลังจากรับคำสั่ง
อสรพิษยักษ์ก็ได้เลื้อยออกจากเรือนไปเพื่อนำข่าวนี้ ไปบอกลูกศิษย์ในพรรค
เพื่อแจ้งข่าวแก่ลูกพรรคให้เตรียมตัวรอแขกคนพิเศษของนายหญิง
คล้อยเงาของอสรพิษยักษ์
ปรากฏชายหนุ่มรูปงามยืนเคียงข้างประมุขพรรคอย่างสนิทสนม
“มากันแล้วหรือ?”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น
“อืม...แล้วเจ้าออกมาทำไม?”
“คิดถึง”
“น้ำเน่า”
หลังคำกล่าวของคนงาม ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะคล้ายเอ็นดูแล้วจึงจากหายไป
วันต่อมา
กลางเทือกเขาตงเทียน บริเวณหน้าทางเข้าพรรคหยงเหยวี่ยนฮวา
มังกรคู่แห่งชิงหลงยืนหยัดอยู่ที่นี่
ร่างทั้งสองไร้ซึ่งรอยขีดข่วน
อาภรณ์ทั้งสีขาวและดำยังคงเรียบร้อยไร้รอยเปรอะเปื้อน
พวกนางมีเพียงผมเผ้าที่กระเซิงเล็กน้อยและร่องรอยของความเหนื่อยหอบเท่านั้น
ตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมา สองพี่น้องได้รับประสบการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต
แม้จะพบเจอสัตว์อสูรระดับสูงมากมายตามทางที่เดินผ่าน
แต่ทว่าพวกมันกลับไม่มีท่าทีแสดงความดุร้ายใด ๆ เลย
ซ้ำบางตัวยังเข้ามาคลอเคลียและหาผลไม้ป่ามาให้เสียด้วยซ้ำ
แม้จะสับสนและงุนงงสักเพียงใด
แต่เป้าหมายของพวกนางคือการมาที่สำนักศึกษาจึงทำให้ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องแปลกประหลาดตรงหน้ามากนัก
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเหล่าสรรพสัตว์ที่พวกนางเคยพบเจอก็เป็นเช่นนี้ไปเสียหมด
เพียงแต่ไม่เคยคาดคิดว่าแม้แต่สัตว์อสูรก็ยังเป็นมิตรกับพวกนาง
ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากพวกมันโจมตีขึ้นมา นางและน้องสาวจะสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายหรือไม่
ผ่านไปชั่วครู่ประตูไม้บานใหญ่ตรงหน้าก็ได้ค่อยๆ
เปิดออกมา หากไม่ได้สังเกตดี ๆ
คงไม่อาจทราบได้เลยว่าประตูบานนี้ลงอาคมป้องกันระดับสูงเอาไว้ ประตูที่ค่อย ๆ
แง้มออกมานั้นมิได้ส่งเสียงแสบแก้วหูออกมาอย่างที่ควรจะเป็น
หลังบานประตูเผยให้เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยสวมอาภรณ์สีเขียวซีดตัด
ใบหน้าของนางแม้จะงดงามเพียงใดแต่กลับซีดเซียวคล้ายคนป่วยด้วยอาจเป็นเพราะผิวพรรณที่ราวกับไร้เลือดฝาด
ริมฝีปากสีซีดเอ่ยเชื้อเชิญผู้มาใหม่ พลางผายมือเข้าไปที่อีกฝั่งของประตู
“เชิญคุณหนูทั้งสอง
ประมุขรอพวกท่านอยู่ที่ตำหนักกลางเจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่ปล่อยออกมานั้นแสนเยือกเย็น
และน่าหวาดกลัว
เด็กน้อยทั้งสองแม้จะสงสัยตัวตนของสตรีตรงหน้า
แต่ก็จำต้องเก็บงำคำถามเอาไว้ก่อน
ฝีเท้าทั้งสามคู่ก้าวไปตามทางเดินหิน
รอบด้านเต็มไปด้วยสีขาวของหิมะตัดกับสีแดงสดของต้นเหมย เรือนไม้สีดำประดับแดงหลายเรือนถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
ทิวทัศน์ยอดเขาน้อยใหญ่สีเขียวชอุ่มที่มีอยู่รอบนอกนั้นสร้างความร่มรื่นสบายตา
น้ำตกที่ไหลจากยอดเขาเหล่านั้นทำให้ที่แห่งนี้ดูราวกับวิมานสวรรค์ก็ไม่ปาน
ความหนาวเหน็บที่กัดกินบรรยากาศรอบ ๆ ไม่อาจสร้างความลำบากให้ผู้มาใหม่ได้เลย
แต่แล้วดวงตามังกรก็ต้องชะงักลง
ด้วยมองเห็นกลุ่มคนที่มีรูปร่างประหลาดไม่คล้ายมนุษย์จับกลุ่มกันอยู่ที่หน้าเรือนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวผู้นำทางที่สังเกตเห็นกิริยาของสองผู้มาใหม่จึงกล่าวขึ้น
“หากคุณหนูมีเรื่องสงสัย
โปรดเก็บเอาไว้ถามท่านประมุขเถิดเจ้าค่ะ บ่าวมีหน้าที่เพียงนำทางเท่านั้น” หวงเฮยหลงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าตกลงอย่างหวาดระแวงเล็กน้อย
ร่างทั้งสามยังคงเดินต่อไปเรื่อย
ๆ ลัดเลาะไปตามทางเดินหินสีดำที่เรียงรายเอาไว้
เดินข้ามสะพานหินที่ทอดยาวข้ามผ่านลำธารหนึ่งสาย น่าแปลกใจที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้
กลับไม่อาจทำให้ลำธารนั้นแข็งตัวได้เลย
ไม่นานนักทั้งสามก็ได้มาหยุดยืนที่ด้านหน้าของเรือนแห่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่เทียบเท่าตำหนักเฉียนชิงของเสด็จพ่อ
หรืออาจจะใหญ่กว่าเสียด้วยซ้ำไป
“หมดหน้าที่ของบ่าวแล้ว
เชิญคุณหนูที่ด้านในเถิดเจ้าค่ะ” สตรีผู้นั้นทำท่าจะจากไปก็ต้องหยุดตัวลงเพราะเสียงเรียกของมังกรขาว
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ
ข้าขอทราบนามของพี่สาวได้หรือไม่?”
“บ่าวไม่มีนามเจ้าค่ะ
แต่ผู้คนต่างเรียกขานบ่าวว่า...ปาเจี้ยวกุ้ย[13]” หลังได้ยินคำตอบนั้น
ผู้ฟังทั้งสองถึงกับตกใจ ดวงตาภายใต้หน้ากากหยกนั้นเบิกกว้าง หญิงสาวผู้ให้คำตอบทำเพียงแย้มยิ้มเย็นแล้วจึงจากไป
ทิ้งให้ผู้มาใหม่ทั้งคู่ยืนเสียกิริยาที่ทางเข้าเรือนกลางอย่างโดดเดี่ยว
แฝดมังกรทำสิ่งใดไม่ถูก
ได้แต่ยืนเลิ่กลั่กทำท่าทางประหลาดกันอยู่สองคน
รอบข้างเต็มไปด้วยบรรยากาศแสนวังเวง ลมหนาวพัดหวีดหวิวที่ไม่อาจสร้างความหนาวเย็นได้เหมือนเมื่อครู่
เพลานี้กลับทำให้ขนอ่อนตามสรรพางค์กายลุกชัน องค์หญิงรองที่เริ่มฟุ้งซ่านพยายามส่งเสียงเรียกพี่สาวตนเสี่ยงสั่น
“ทำอะไรกันหรือ!?”
“!!!”
เสียงที่อยู่ ๆ
ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันทำให้มังกรขาวสะดุ้งตัวโยน ผู้มาใหม่ส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างขำขันกับท่าทางประหลาดของเด็กน้อย
“มาเถอะ
ท่านประมุขรอนานแล้ว”
สตรีผู้สร้างความตกใจเมื่อครู่ได้จับจูงมือของเด็กทั้งสองเข้าไปยังด้านในเรือนไม้ดำ
“คารวะนายหญิง”
สุรเสียงหวานปนทุ้มเอ่ยกับสตรีผู้นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน
เด็กทั้งสองเห็นดังนั้นจึงโค้งตัวลงเคารพตาม
“เฟิ่งหวง
เจ้าแกล้งอะไรศิษย์ใหม่อีกเล่า?” เสียงใสก้องกังวานดังขึ้น
“บ่าวมิได้แกล้งเสียหน่อยเจ้าค่ะ
เพียงอยากทดสอบสติของพวกนางเท่านั้น” หลังเอ่ยจบ
สตรีผู้สร้างความตื่นตกใจให้เด็กทั้งสองก็ได้กลายร่างเป็นอสรพิษขนาดใหญ่
เลื้อยไปอยู่ที่ข้างกายนายหญิงตน
สตรีผู้มีใบหน้างดงาม
หางตาเฉี่ยวคม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ
รูปร่างงดงามผู้นี้แท้จริงแล้วคืออสรพิษยักษ์ตนหนึ่ง
ผู้เป็นนายได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างของมันให้อยู่ในรูปของมนุษย์
เพราะกลัวว่าเด็กทั้งสองจะตกใจ โดยลืมไปว่านิสัยเสียของสัตว์คู่พันธะตนนั้น
คือการทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว
“พวกเจ้านั่งลงเถอะ
ตามสบาย หากสหายข้าเสียมารยาทต้องขออภัยด้วย” สตรีชุดแดงกล่าว ก่อนที่เด็กน้อยทั้งสองจะนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ดำอย่างเรียบร้อยนั้น
พวกนางก็ได้เอ่ยแนะนำตัวออกมาเสียก่อน
“ผู้น้อยขออภัยที่เสียมารยาทเจ้าค่ะ
ผู้น้อยมีนามว่าหวงจางจิ้งนามรองเฮยหลง ส่วนด้านนี้คือหวงจางหมิ่นนามรองไป๋หลง
นางคือน้องสาวของผู้น้อยเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสคือ...?”
“อ้อ...ขออภัย
แต่ข้าอยากทดสอบกงจู่เสียหน่อย”
มังกรคู่ตกใจเล็กน้อยที่สตรีตรงหน้ารู้ว่าตนคือองค์หญิง และแปลกใจว่าหากผู้อาวุโสตรงหน้าทราบอยู่แล้วว่าตนและน้องคือองค์หญิง
เหตุใดจึงยังไร้ท่าทีที่ควรแสดงต่อเชื้อพระวงศ์ “ที่แห่งนี้ไม่นับยศถาบรรดาศักดิ์
หากเข้ามาแล้วก็เป็นได้เพียงศิษย์และอาจารย์ และหากสงสัยฐานะของข้า
พวกเจ้าลองทายดูสิว่าข้าคือใคร?” สองพี่น้องพยักหน้าเข้าใจคำอธิบาย
ก่อนที่หวงไป๋หลงจะกล่าวตอบคำถาม
“ท่านคือ...ประมุข?”
“ถูกแล้ว
ข้ามีนามว่าหลิงฉวี่หย่งเหิง เป็นประมุขพรรคหยงเหยวี่ยนฮวาแห่งนี้
พวกเจ้าดั้นด้นมาถึงที่แห่งนี้คงอยากฝากตัวเป็นศิษย์กระมัง?”
“ผู้อาวุโสกล่าวถูกต้อง”
“ตั้งแต่ที่ข้าเป็นประมุขมาไม่เคยรับศิษย์สายตรงจนเมื่อปีก่อนได้รับมาคนหนึ่ง
ในปีนี้เจ้าทั้งสองคือศิษย์คนที่สองและสามของข้า จะรับหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ!”
ทั้งสองคนเอ่ยออกมาพร้อมกันอย่างดีใจ พิธียกจอกน้ำชาฝากตัวเป็นศิษย์ผ่านไปอย่างเรียบง่ายและไม่มากพิธีการ
เด็กน้อยทั้งสองดูชอบใจความไม่มากเรื่องของผู้เป็นอาจารย์หมาด ๆ ของตนเองพอดู
ทั้งตรงประเด็นและไม่อ้อมค้อม
“เอาล่ะ
เมื่อเป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยแล้วก็ไม่ต้องมากพิธี เหวยซือ[14]ว่าเจ้าทั้งสองคงมีข้อสงสัยมากมาย
ถามมาได้เลย”
ร่างระหงของประมุขพรรคลุกยืนขึ้นและส่งสัญญาณให้ศิษย์ใหม่ตามตนมา
อสรพิษยักษ์ที่อยู่เป็นสักขีพยานการรับศิษย์เมื่อครู่
ได้กลายร่างกลับเป็นร่างแรกเกิดของตนเอง
ปรากฏเป็นนกเฟิ่งหวงที่มีขนสีดำเงางามตนหนึ่งบินออกจากเรือนไม้ไป
“ซือจุน[15] เฟิ่งหวงเมื่อครู่?”
หวงไป๋หลงใช้คำถามแรกในเรื่องที่ตนสงสัยที่สุด
“เฟิ่งหวงเมื่อครู่คือสัตว์พันธะของเหวยซือเอง
เพียงแต่มีความสามารถในการแปลงกาย” ผู้ถามพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
“ซือจุนศิษย์ขอเสียมารยาท”
ผู้เป็นอาจารย์พยักหน้าอนุญาตศิษย์คนรอง
“พรรคหยงเหยวี่ยนฮวา...คือพรรคมารหรือเจ้าคะ?”
“ทั้งใช่และไม่ใช่”
“อย่างไรหรือเจ้าคะ”
ทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกัน ผู้ถูกถามยิ้มรับแล้วจึงตอบคำถาม ด้วยคำถาม
“เจ้าทั้งสองคิดว่ามารคือสิ่งใด?”
ร่างระหงหยุดลงที่กลางสะพานหิน สะพานหินนี้เป็นคนละที่กับสะพานที่แล้ว
แต่เป็นสะพานที่อยู่ด้านหลังของเรือนกลาง
“ตอบซือจุน
ศิษย์รู้มาว่ามารคือผู้ที่ใช้วิชามาร
ฝึกและบำเพ็ญตนโดยการสังเวยชีวิตของผู้อื่นเจ้าค่ะ” หวงไป๋หลงตอบ แต่ผู้ถามกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“เป็นคำตอบที่ผิด
สิ่งที่พวกเจ้ารู้คือสิ่งที่คนไม่รู้แต่งขึ้นมา มารและผู้ใช้วิชามารนั้นต่างกัน
ผู้ใช้วิชามารคือมนุษย์ผู้ใช้แรงอาฆาตในการฝึกตน วิชานี้จะค่อย ๆ กัดกินร่างกายของผู้ใช้จนคนผู้นั้นไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อีก
ส่วนมารคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ใช้พลังมืดในการฝึกวิชา
ถ้าจะให้เปรียบก็เช่นการที่มนุษย์ธรรมดาบำเพ็ญกันโดยการดึงพลังบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
เสี่ยวจิ้งสามารถตอบอาจารย์ได้หรือไม่ว่าหากมารฝึกวิชาตามแบบแผนของมนุษย์จะเป็นเช่นใด?”
มังกรดำที่ฟังคำอธิบายอย่างตั้งใจ
ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถามไปอย่างไม่มั่นใจนัก
“ศิษย์ตอบซือจุน
มารผู้นั้นจะมีอาการเฉกเช่นเดียวกับการที่มนุษย์ฝึกวิชามาร”
“ถูกต้อง
ที่พรรคหยงเหยวี่ยนฮวาแห่งนี้ฝึกศิษย์ทุกเผ่าพันธุ์ มารฝึกวิชาตามแบบมาร
มนุษย์ฝึกวิชาตามแบบมนุษย์ ทั้งสองเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้นามของศิษย์สำนักเดียวกัน”
สองพี่น้องพยักหน้าเข้าใจกันอย่างแข็งขัน
ที่แท้มารก็ไม่ใช่สิ่งอันตรายแต่อย่างใดเพียงแต่เป็นผู้ที่อยู่คนละเผ่ากับมนุษย์เท่านั้นเอง
ความรู้ใหม่ในวันนี้พวกนางจะมิมีวันลืม “พวกเจ้าหมดเรื่องสงสัยกันหรือยัง?”
“เอ่อ...ซือจุนเจ้าคะ
แล้วพี่สาวที่มารับศิษย์และพี่ใหญ่?” หวงไป๋หลงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“อย่างที่พวกเจ้ารู้
นางคือปาเจี้ยวกุ้ยจริง ๆ แต่สบายใจได้นางไม่ทำอันตรายศิษย์ในพรรคแน่นอน”
หลิงฉวี่หย่งเหิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เมื่อหมดคำถามแล้ว เช่นนั้นเหวยซือขอถามเจ้าเกี่ยวกับเครื่องดนตรีที่อยากเล่นเสียหน่อย
ใครถนัดอะไรบ้าง?”
“ศิษย์ถนัดขลุ่ยเจ้าค่ะ”
“เสี่ยวหมิ่นถนัดขลุ่ย
แล้วเสี่ยวจิ้งเล่า?”
“ตอบอาจารย์ศิษย์ไม่ถนัดสิ่งใดเป็นพิเศษ”
“ท่านพี่ไม่ถนัดสิ่งใดเป็นพิเศษก็เพราะเล่นได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ
เช่นนั้นท่านพี่เรียนขลุ่ยเป็นเพื่อนข้านะเจ้าคะ”
หวงไป๋หลงกล่าวกับอาจารย์ตนในประโยคแรก ส่วนประโยคหลังนั้นกล่าวกับพี่สาว
หวงเฮยหลงจึงพยักหน้าตกลงตามที่น้องสาวต้องการ
“เช่นนั้นพวกเจ้าตกลงเรียนขลุ่ยทั้งคู่ใช่หรือไม่?”
ประมุขหญิงเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อให้ศิษย์ตัวน้อยยืนยันคำตอบของตนเอง
สองพี่น้องมังกรยืนยันในคำตอบ
ประมุขพรรคเมื่อได้ยินดังนั้นจึงนำศิษย์ทั้งสองไปที่สถานที่แห่งหนึ่ง
พลางอธิบายไปด้วย “พวกเจ้าทั้งสองคือศิษย์สืบทอดคนที่สองและสามของอาจารย์
จึงจำเป็นต้องร่ำเรียนวิชาลับตระกูลหลิงฉวี่ของอาจารย์ไปด้วย วิชานี้ถูกเรียกขานตามแซ่หลิงฉวี่ของอาจารย์เอง
มันคือบทเพลงแห่งวิญญาณ วิชานี้มีวิชาย่อยหลายแขนง เช่น การสวดส่งวิญญาณ
การพูดคุยกับวิญญาณ การขอความช่วยเหลือกับวิญญาณ หรือแม้แต่การควบคุมวิญญาณก็ตาม
ถ้ำตรงหน้าที่พวกเจ้าเห็นอยู่คือถ้ำวิญญาณเหมันต์ ใช้ฝึกควบคุมพลังวิญญาณ
ตอนนี้ศิษย์พี่ของพวกเจ้าคงฝึกประจำวันเสร็จพอดี”
ที่ด้านหน้าถ้ำปรากฏเด็กชายวัยประมาณสิบหนาวเดินออกมา
เมื่อเด็กชายผู้นั้นมองเห็นผู้เป็นอาจารย์จึงได้ทำความเคารพ ดวงตาข้างซ้ายที่ไม่ถูกปกปิดโดยหน้ากากเงิน
มองไปที่เด็กหญิงในหน้ากากหยกทั้งสองอย่างสงสัย
“อาหย่ง
เด็กสองคนนี้คือศิษย์น้องเจ้า ทำความรู้จักกันเอาไว้ล่ะ”
“อ่า...ข้ามีนามว่าหยางหย่งเจิ้ง
นามรองจินหู่ พวกเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้” เมื่อเด็กชายแนะนำตัวเสร็จจึงเป็นคราวของศิษย์น้อง
“ข้านามว่าหวงจางจิ้ง
นามรองเฮยหลง ส่วนด้านนี้คือหวงจางหมิ่น นามรองไป๋หลง นางคือน้องสาวของข้าเจ้าค่ะ”
“จากนี้ไปรบกวนศิษย์พี่ใหญ่โปรดชี้แนะด้วย”
ทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกัน
**********
[12] สือซว่านฮวา (石蒜花) คือ ดอกฮิกันบานะ
[13] ปาเจียวกุ้ย (芭蕉鬼)
คือ ผีหญิงที่อาศัยอยู่ในต้นกล้วย
[14] เหวยซือ คือ คำแทนตัวของอาจารย์
[15] ซือจุน คือ
คำที่ลูกศิษย์ใช้เรียกอาจารย์
เอาล่ะค่ะ
เด็กน้อยสองคนที่จะไปเรียนหนังสือ
อยู่ดี ๆ
ดันไปอยู่กลางดงปีศาจแบบงง ๆ
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
ซานเฟยหย่า
ความคิดเห็น