ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    雪見 ครั้นเมื่อเหมันต์มาเยือน

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 สำนักหยงเหยวี่ยนฮวา (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 64


    เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่วันนี้กลับต่างออกไปเล็กน้อย ด้วย ณ บริเวณหน้าวังหลวงมีผู้คนคับคั่งเต็มไปหมดเพราะอยากจะยลโฉมขบวนเสด็จมังกรคู่แห่งชิงหลงอย่างเต็มตา ผิดกับที่ด้านหน้าสุดของวังหลัง สองพี่น้องมังกรกำลังบอกลาคนในครอบครัวของตนเองอยู่ ในวันนี้ผู้ที่ขาดหายไปคือองค์ชายหวงหั่วหลง และองค์หญิงหวงเหมยฮวา คงเป็นหลิวเต๋อเฟยที่กักตัวเอาไว้ไม่ให้มาพบหน้าพวกนาง

     

    "หลันเอ๋อร์ มาหาพี่สิ" หวงเฮยหลงเอ่ยขึ้น ทำให้กงจู่ตัวน้อยทำท่าทางคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ นัยน์ตาหวานสีเหล้าองุ่นราวกับถูกเคลือบไว้ด้วยแก้วใส

    "พี่ใหญ่ พี่รองจะทิ้งหลันเอ๋อร์...ฮึก!"

    "โอ๋ ๆ น้องสาวของพี่ ไยคิดเช่นนั้นเล่า พี่และพี่ใหญ่เพียงออกไปศึกษา ไม่นานก็คงกลับ มิได้ทิ้งเจ้าไปไหนเสียหน่อย"

    "เชื่อไม่ได้ พี่รองชอบแกล้งข้า ฮือ...ท่านพี่จะทิ้งหลันเอ๋อร์ไปจริง ๆ ด้วย" หวงไป๋หลงแสดงสีหน้าเหลอหลา

    น้องสาวไม่ได้ให้ความเชื่อใจแก่นางเลยหรือ!?

     

    "หลันเอ๋อร์...ไม่ร้อง น้องเชื่อพี่รองเถอะ อีกไม่นานเราก็กลับมา พี่ไม่หายไปให้เจ้าคิดถึงนานนักหรอกนะ" หลังหวงเฮยหลงกล่าวกงจู่น้อยก็พยักหน้าอย่างแรง "มา หลันเอ๋อร์มาให้พี่ใหญ่กอดเจ้าหน่อย" หวงหลันฮวาโผเข้ากอดพี่สาวเต็มแรง อ้อมแขนน้อย ๆ กอดไม่ยอมปล่อย หวงไป๋หลงที่กำลังจะตบะแตกเพราะน้องสาวไม่สนใจก็ได้โผเข้ากอดไปด้วยคน เป็นเหตุให้เด็ก ๆ ที่เหลือวิ่งเข้าไปกอดเช่นเดียวกัน

     

    ภาพพี่น้องกอดกันกลมทำให้ผู้ใหญ่ที่อยู่ด้วยแย้มยิ้มยินดีที่พี่น้องรักใคร่กัน เสียดายก็แต่องค์ชายเจ็ดและองค์หญิงแปดไม่อาจมาร่ำลาพี่สาวได้ หลิวเต๋อเฟยช่างจิตใจคับแคบนัก

     

    และแล้ว...เวลาสุดท้ายของการจากลาก็มาเยือน

    "เสด็จพ่อ เสด็จแม่ เสด็จย่า จางจิ้งทูลลาเพคะ"

    "จางหมิ่นทูลลา" เด็กสาวทั้งคู่คำนับลงพื้นอย่างแรง ผู้เป็นมารดาใจกระตุกวูบด้วยกลัวลูกเจ็บ จึงกระวีกระวาดพยุงบุตรสาวขึ้นมา

    "เด็กสองคนนี้นี่ แม่ใจหายหมด...เฮ้อ อย่างไรพวกเจ้าก็รักษาตัวดี ๆ นะลูกรัก" มารดาแห่งแผ่นดินดุอย่างไม่จริงจังนัก และกล่าวอวยพรเป็นครั้งสุดท้าย

    "ทุกท่าน รักษาตัวด้วย" มังกรคู่กล่าวประโยคสุดท้ายเช่นเดียวกัน

     

    ดวงตาของหวงเฮยหลงจับจ้องไปยังพระบิดา ดวงตาที่เหมือนกันทั้งสองคู่จับจ้องกันอย่างสื่อความหมาย ก่อนที่ร่างของนางจะก้าวขาขึ้นรถม้าไปดวงตาวาวของนางมองเห็นริมฝีปากเรียบของบิดาขยับเป็นคำพูด

     

    บิดาขอโทษเจ้า หลังเห็นบิดากล่าวเช่นนั้น นางส่ายศีรษะไปมาพร้อมกับแย้มรอยยิ้มอย่างเข้าใจ

    บิดาไม่ต้องกังวล ลูกเข้าใจดี นั่นคือถ้อยคำที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกไปได้ของนาง

     

    ไม่นานนักรถม้าราชสกุลหวงก็ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปเพื่ออกจากเขตพระราชวัง จวบจนผู้ที่ยืนส่งอยู่นั้นมองไม่เห็นรถม้าจึงได้กลับเข้าตำหนักตน รถม้าราชวงศ์เคลื่อนผ่านประตูวังไปแล้ว เสียงเซ็งแซ่ถวายพระพรกงจู่ดังตลอดทาง แม้เหล่าประชาชนจะไม่อาจมองเห็นพระพักตร์ขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ก็ตาม

     

    การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลาถึงห้าวันกว่าที่จะไปถึงตีนเทือกเขาตงเทียน แม่ทัพประจำทิศอุดรที่มารอรับเสด็จอยู่นั้นเมื่อมองเห็นราชรถอยู่ลิบ ๆ จึงสั่งตั้งขบวนแถว ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวพรรณของเขาคล้ำแดดเพราะหน้าที่การงาน สันกรามฝั่งซ้ายมีร่องรอยแผลเป็นที่ถูกของมีคมบาดเป็นทางยาว ดวงตาพยัคฆ์สีนิลเรียวคมจดจ้องไปยังเบื้องหน้า ร่างสูงสง่าของแม่ทัพประจำทิศอุดรยืนอยู่ที่ด้านหน้าสุดของเหล่าทหารในบัญชาและชาวบ้านของหมู่บ้านหยงเหยวี่ยนฮวา

     

    และแล้วรถม้าคันงามก็จอดสนิทลง ยังไม่ทันที่ผู้สูงศักดิ์จะได้ก้าวลงจากรถม้า สุรเสียงทรงพลังของผู้ที่รอรับเสด็จทั้งหมดก็ดังก้องขึ้น

    “ถวายพระพรกงจูขอทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน! ถวายพระพรกงจู่ขอทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน! ถวายพระพรกงจู่ขอทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน!” คำกล่าวนั้นดังติดต่อกันถึงสามครั้ง ดังถึงขนาดที่เหล่าปักษาแตกตื่นจนบินขึ้นไปบนฟ้าอย่างจ้าละหวั่น

     

    และเมื่อเท้าเล็ก ๆ สองคู่ย่ำลงบนผืนดิน ดวงตามังกรมองเห็นความพร้อมเพรียงตรงหน้า ยังไม่มีผู้ใดลุกขึ้นแม้แต่ผู้เดียว

    “ทุกท่านตามสบายเถอะ ข้าขออภัยที่ทำให้ทุกท่านต้องลำบาก” มังกรดำกล่าวขออภัยกับคนทุกคนที่อยู่ ณ บริเวณนั้น

    “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือเอ่ย พลางลุกยืนขึ้น สองแฝดเห็นดังนั้นจึงทำความเคารพผู้เป็นน้าชายตน

     

    “จางจิ้งคารวะท่านน้า”

    “จางหมิ่นคารวะท่านหน้า”

    “วันนี้หลานมาในฐานะหลานสาวของท่าน ไม่ต้องมากพิธีหรอกเจ้าค่ะ” หวงเฮยหลงกล่าวกับน้าชายตนด้วยความนอบน้อม

    “เช่นนั้นน้าขอไม่เกรงใจ พวกเจ้าทั้งสองเดินทางราบรื่นดีหรือไม่?” เมื่อพูดคุยกับหลานสาวหรงหลี่จวินมีใบหน้าที่อ่อนลงกว่ายามปกติมาก คนผู้นี้คือน้องชายแท้ๆ ของหรงฮองเฮา รับหน้าที่ดูแลชายแดนเหนือตั้งแต่วัยสิบห้า นับเป็นผู้มีความสามารถมากผู้หนึ่งทีเดียว

    “ราบรื่นดีเจ้าค่ะ”

    “ดีแล้ว พวกเจ้าจะพักผ่อนก่อนหรือไม่? น้าจะได้สั่งให้ทหารตั้งกระโจม”

    “หลานว่ายิ่งไปถึงไวเท่าใดยิ่งดีเท่านั้น ไม่ขอรบกวนท่านน้าเจ้าค่ะ” ผู้ฟังได้ยินดังนั้นก็ถอนใจอย่างนึกเป็นห่วง ดวงหน้าคมหันหลงไปส่งสัญญาณให้ทหารผู้หนึ่ง นายทหารผู้นั้นจึงได้นำหีบห่อบางอย่างออกมา

    “สิ่งนี้คือของใช้จำเป็น พวกเจ้าระวังตัวด้วย ห้ามบาดเจ็บนี่เป็นคำสั่งของน้า พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?” น้ำเสียงยามออกคำสั่งกับลูกน้องถูกนำมาใช้กับหลานสาวแท้ๆ ทั้งสองพยักหน้ารับและหายเข้าไปในป่าตงเทียนทันที

     

    “กงจู่จะไม่เป็นอะไรแน่หรือขอรับท่านแม่ทัพ” นายทหารผู้หนึ่งกล่าวกับนายอย่างเป็นกังวล ถึงจะเก่งกาจอย่างไรแต่ทั้งสองพระองค์ก็ยังเป็นเพียงเด็กหญิงอายุเพียงเจ็ดขวบ จะทนความลำบากได้อย่างไร

    “ไม่ต้องห่วง ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นถึงบุตรีโอรสสวรรค์ ชายผู้นั้นก่อนครองบัลลังก์เป็นเช่นใดพวกเจ้าย่อมรู้ดี บุตรมังกรย่อมต้องเป็นมังกร ไม่มีทางเป็นงูดินได้หรอก” ถึงแม้จะกล่าวไปเช่นนั้น แต่ในใจก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน จากนี้ข้าคงต้องขอใช้หมู่บ้านนี้เป็นค่ายทหารชั่วคราวเสียก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าองค์หญิงจะกลับมา”

    “เชิญเลย ๆ ท่านแม่ทัพไม่ต้องเกรงใจ ดีเสียอีกหมู่บ้านเราจะได้ปลอดภัยจากผู้ประสงค์ร้าย” หัวหน้าหมู่บ้านรับคำอย่างยินดี เมื่อหกคืนก่อนเป็นคืนเดือนดับ สตรีชุดขาวปรากฏตัวในฝันอีกครั้งหลังผ่านมาเจ็ดปี นางกล่าวว่าจะมีผู้มีบุญญาธิการเข้าเป็นศิษย์ของทางสำนักหยงเหยวี่ยนฮวา ให้เตรียมการต้อนรับอย่างดีที่สุด เห็นทีแล้วผู้มีบุญญาธิการที่ว่าคงเป็นผู้ใดไปไม่ได้อีกนอกเสียจากองค์หญิงทั้งสองพระองค์

     

    สำนักหยงเหยวี่ยนฮวา

    ภายในเรือนหลังใหญ่ที่สุดแห่งพรรคหยงเยวี่ยนฮวานามว่าเรือนสือซว่าน เรือนหลังนี้ที่ถูกสร้างจากไม้เนื้อดำราคาสูง ทั้งยังมีความแข็งแรงทนทานอย่างยิ่ง เสาทุกต้นและผนังทุกแผ่น ต่างสลักลวดลายวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงความร่ำรวยของเจ้าของเรือนได้เป็นอย่างดี กอปรกับเหล่าของตกแต่งที่มองยังไงก็คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสูงค่ายิ่ง เมื่อนำมารวมกับเรือนดำหลังนี้ยิ่งเสริมสร้างความงามไปอีกขั้น

     

    หญิงสาวในอาภรณ์สีแดงชาดนางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อดี ที่ข้างกายของนางปรากฏอสรพิษสีนิลวาววับ และดวงตาของมันทอประกายสีโลหิตอย่างน่าประหลาดเลื้อยพันไปกับเก้าอี้ หัวของอสรพิษยักษ์วางทับที่ตักงามของผู้เป็นนาย มือเรียวสวยลูบเกล็ดบนหัวอสรพิษตนนั้นด้วยความรักใคร่ มุมปากกระจับยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน ดวงตาสีเงินวาวจับจ้องไปยังลูกแก้วทรงกลมตรงหน้าอย่างเรียบนิ่ง

     

    ลูกแก้ววิเศษที่ปรากฏภาพของเหล่าผู้คนที่เสี่ยงชีวิตกันเข้ามาในป่าตงเทียนเพื่อมาตามหาสือซว่านฮวา[12]วิเศษ หลายคนตกตายในป่าเพราะสัตว์อสูร บางคนที่แข็งแกร่งหน่อยก็รอดออกไปได้ แต่สุดท้ายก็ตกตายในภายหลังเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว บางคนพยายามนำเอาสือซว่านฮวารักษาบาดแผลตนท่ามกลางป่าเขา แต่สุดท้ายก็สิ้นใจเพราะดอกสือซว่านนั้นมีพิษ

    “หึ!” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นจากร่างระหงก่อนที่นางจะกล่าวลอย ๆ กับตนเอง

    “คิดจะตามหาดอกสือซว่าน แต่กลับไม่รู้ลักษณะพิเศษของมัน ทั้งยังเก็บดอกสือซว่านธรรมดาไปรักษาบาดแผล...ช่างโง่งม”

     

    ดอกสือซว่านวิเศษแตกต่างจากดอกสือซว่านธรรมดา ตรงที่ดอกสือซว่านธรรมดานั้นมีฤทธิ์เป็นพิษ แต่ดอกที่มาจากพรรคหยงเหยวี่ยนฮวานั้นหากสกัดอย่างถูกวิธีจากพิษจะกลายเป็นยารักษาชั้นเลิศ

     

    สรรพคุณของดอกสือซว่านวิเศษมิได้ต่างจากที่ร่ำลือกันเลยแม้แต่น้อย รักษาได้ทุกโรค และยังคืนชีพให้คนตายได้ เพียงแต่ผู้ตายต้องตายมาแล้วไม่มากไปกว่าหนึ่งเค่อจึงจะสามารถคืนชีวิตได้เท่านั้น อีกทั้งยังเรื่องของลักษณะของดอกสือซว่านแห่งพรรคหยงเหยวี่ยนฮวายังต่างจากดอกสือซว่านทั่วไปเล็กน้อย จนหากไม่สังเกตดี ๆ ก็คงไม่อาจแยกออกได้ ด้วยเกสรของดอกสือซว่านทั่วไปจะมีสีแดงไปจนถึงแดงก่ำหรือเกือบดำ แต่ดอกซือซว่านวิเศษนั้นจะมีสีดำสนิท และก้านของดอกที่ปกติจะมีสีเขียวแซมแดง แต่หากเมื่อเด็ดดอกออกจากต้นแล้ว สีของก้านนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจนหมด แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นค่อนข้างช้าจนไม่เป็นที่สังเกตเห็น

     

    บ่อยครั้งเหล่าผู้แสวงหาจึงเก็บดอกสือซว่านทันทีที่พบเห็น จนลืมไปว่าดอกสือซว่านวิเศษนั้นเกิดเฉพาะที่พรรคหยงเหยวี่ยนฮวาเท่านั้น แต่ทันใดนั้นดวงตาคู่งามก็วาววับขึ้นด้วยความชอบใจเมื่อเห็นภาพบางอย่างฉายชัดขึ้นมาบนลูกแก้ววิเศษ

     

    “ดูเหมือนว่าอีกไม่นานพรรคเราคงต้องรอต้อนรับแขกผู้ยิ่งใหญ่เสียแล้วสิ เจ้าว่าจริงหรือไม่...” อสรพิษสีดำมะเมื่อมพยักหัวของมันขึ้นลงราวกับเข้าใจภาษามนุษย์

    “เช่นนั้นเจ้าก็ไปแจ้งข่าวกับคนในพรรคให้เตรียมตัวเสียเถิด จะได้ไม่เป็นการหมิ่นเกียรติของแขกผู้สูงศักดิ์” เสียงสนทนาของหนึ่งหญิงงามและหนึ่งงูใหญ่ดังขึ้นอย่างเป็นปกติ การพูดคุยของทั้งคู่ราวกับร่วงรู้อนาคต

     

    และหลังจากรับคำสั่ง อสรพิษยักษ์ก็ได้เลื้อยออกจากเรือนไปเพื่อนำข่าวนี้ ไปบอกลูกศิษย์ในพรรค เพื่อแจ้งข่าวแก่ลูกพรรคให้เตรียมตัวรอแขกคนพิเศษของนายหญิง

     

    คล้อยเงาของอสรพิษยักษ์ ปรากฏชายหนุ่มรูปงามยืนเคียงข้างประมุขพรรคอย่างสนิทสนม

    “มากันแล้วหรือ?” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น

    “อืม...แล้วเจ้าออกมาทำไม?”

    “คิดถึง”

    “น้ำเน่า” หลังคำกล่าวของคนงาม ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะคล้ายเอ็นดูแล้วจึงจากหายไป

     

    วันต่อมา กลางเทือกเขาตงเทียน บริเวณหน้าทางเข้าพรรคหยงเหยวี่ยนฮวา

    มังกรคู่แห่งชิงหลงยืนหยัดอยู่ที่นี่ ร่างทั้งสองไร้ซึ่งรอยขีดข่วน อาภรณ์ทั้งสีขาวและดำยังคงเรียบร้อยไร้รอยเปรอะเปื้อน พวกนางมีเพียงผมเผ้าที่กระเซิงเล็กน้อยและร่องรอยของความเหนื่อยหอบเท่านั้น ตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมา สองพี่น้องได้รับประสบการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต แม้จะพบเจอสัตว์อสูรระดับสูงมากมายตามทางที่เดินผ่าน แต่ทว่าพวกมันกลับไม่มีท่าทีแสดงความดุร้ายใด ๆ เลย

     

    ซ้ำบางตัวยังเข้ามาคลอเคลียและหาผลไม้ป่ามาให้เสียด้วยซ้ำ แม้จะสับสนและงุนงงสักเพียงใด แต่เป้าหมายของพวกนางคือการมาที่สำนักศึกษาจึงทำให้ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องแปลกประหลาดตรงหน้ามากนัก เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเหล่าสรรพสัตว์ที่พวกนางเคยพบเจอก็เป็นเช่นนี้ไปเสียหมด เพียงแต่ไม่เคยคาดคิดว่าแม้แต่สัตว์อสูรก็ยังเป็นมิตรกับพวกนาง ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากพวกมันโจมตีขึ้นมา นางและน้องสาวจะสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายหรือไม่

     

    ผ่านไปชั่วครู่ประตูไม้บานใหญ่ตรงหน้าก็ได้ค่อยๆ เปิดออกมา หากไม่ได้สังเกตดี ๆ คงไม่อาจทราบได้เลยว่าประตูบานนี้ลงอาคมป้องกันระดับสูงเอาไว้ ประตูที่ค่อย ๆ แง้มออกมานั้นมิได้ส่งเสียงแสบแก้วหูออกมาอย่างที่ควรจะเป็น

     

    หลังบานประตูเผยให้เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยสวมอาภรณ์สีเขียวซีดตัด ใบหน้าของนางแม้จะงดงามเพียงใดแต่กลับซีดเซียวคล้ายคนป่วยด้วยอาจเป็นเพราะผิวพรรณที่ราวกับไร้เลือดฝาด ริมฝีปากสีซีดเอ่ยเชื้อเชิญผู้มาใหม่ พลางผายมือเข้าไปที่อีกฝั่งของประตู

    “เชิญคุณหนูทั้งสอง ประมุขรอพวกท่านอยู่ที่ตำหนักกลางเจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่ปล่อยออกมานั้นแสนเยือกเย็น และน่าหวาดกลัว

     

    เด็กน้อยทั้งสองแม้จะสงสัยตัวตนของสตรีตรงหน้า แต่ก็จำต้องเก็บงำคำถามเอาไว้ก่อน

     

    ฝีเท้าทั้งสามคู่ก้าวไปตามทางเดินหิน รอบด้านเต็มไปด้วยสีขาวของหิมะตัดกับสีแดงสดของต้นเหมย เรือนไม้สีดำประดับแดงหลายเรือนถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ทิวทัศน์ยอดเขาน้อยใหญ่สีเขียวชอุ่มที่มีอยู่รอบนอกนั้นสร้างความร่มรื่นสบายตา น้ำตกที่ไหลจากยอดเขาเหล่านั้นทำให้ที่แห่งนี้ดูราวกับวิมานสวรรค์ก็ไม่ปาน ความหนาวเหน็บที่กัดกินบรรยากาศรอบ ๆ ไม่อาจสร้างความลำบากให้ผู้มาใหม่ได้เลย

     

    แต่แล้วดวงตามังกรก็ต้องชะงักลง ด้วยมองเห็นกลุ่มคนที่มีรูปร่างประหลาดไม่คล้ายมนุษย์จับกลุ่มกันอยู่ที่หน้าเรือนแห่งหนึ่ง หญิงสาวผู้นำทางที่สังเกตเห็นกิริยาของสองผู้มาใหม่จึงกล่าวขึ้น

    “หากคุณหนูมีเรื่องสงสัย โปรดเก็บเอาไว้ถามท่านประมุขเถิดเจ้าค่ะ บ่าวมีหน้าที่เพียงนำทางเท่านั้น” หวงเฮยหลงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าตกลงอย่างหวาดระแวงเล็กน้อย

     

    ร่างทั้งสามยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ลัดเลาะไปตามทางเดินหินสีดำที่เรียงรายเอาไว้ เดินข้ามสะพานหินที่ทอดยาวข้ามผ่านลำธารหนึ่งสาย น่าแปลกใจที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ กลับไม่อาจทำให้ลำธารนั้นแข็งตัวได้เลย

     

    ไม่นานนักทั้งสามก็ได้มาหยุดยืนที่ด้านหน้าของเรือนแห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่เทียบเท่าตำหนักเฉียนชิงของเสด็จพ่อ หรืออาจจะใหญ่กว่าเสียด้วยซ้ำไป

     

    “หมดหน้าที่ของบ่าวแล้ว เชิญคุณหนูที่ด้านในเถิดเจ้าค่ะ” สตรีผู้นั้นทำท่าจะจากไปก็ต้องหยุดตัวลงเพราะเสียงเรียกของมังกรขาว

    “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ ข้าขอทราบนามของพี่สาวได้หรือไม่?”

    “บ่าวไม่มีนามเจ้าค่ะ แต่ผู้คนต่างเรียกขานบ่าวว่า...ปาเจี้ยวกุ้ย[13]” หลังได้ยินคำตอบนั้น ผู้ฟังทั้งสองถึงกับตกใจ ดวงตาภายใต้หน้ากากหยกนั้นเบิกกว้าง หญิงสาวผู้ให้คำตอบทำเพียงแย้มยิ้มเย็นแล้วจึงจากไป ทิ้งให้ผู้มาใหม่ทั้งคู่ยืนเสียกิริยาที่ทางเข้าเรือนกลางอย่างโดดเดี่ยว

     

    แฝดมังกรทำสิ่งใดไม่ถูก ได้แต่ยืนเลิ่กลั่กทำท่าทางประหลาดกันอยู่สองคน รอบข้างเต็มไปด้วยบรรยากาศแสนวังเวง ลมหนาวพัดหวีดหวิวที่ไม่อาจสร้างความหนาวเย็นได้เหมือนเมื่อครู่ เพลานี้กลับทำให้ขนอ่อนตามสรรพางค์กายลุกชัน องค์หญิงรองที่เริ่มฟุ้งซ่านพยายามส่งเสียงเรียกพี่สาวตนเสี่ยงสั่น

    “ทำอะไรกันหรือ!?

    “!!!”

     

    เสียงที่อยู่ ๆ ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันทำให้มังกรขาวสะดุ้งตัวโยน ผู้มาใหม่ส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างขำขันกับท่าทางประหลาดของเด็กน้อย

    “มาเถอะ ท่านประมุขรอนานแล้ว” สตรีผู้สร้างความตกใจเมื่อครู่ได้จับจูงมือของเด็กทั้งสองเข้าไปยังด้านในเรือนไม้ดำ

     

    “คารวะนายหญิง” สุรเสียงหวานปนทุ้มเอ่ยกับสตรีผู้นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน เด็กทั้งสองเห็นดังนั้นจึงโค้งตัวลงเคารพตาม

    “เฟิ่งหวง เจ้าแกล้งอะไรศิษย์ใหม่อีกเล่า?” เสียงใสก้องกังวานดังขึ้น

    “บ่าวมิได้แกล้งเสียหน่อยเจ้าค่ะ เพียงอยากทดสอบสติของพวกนางเท่านั้น” หลังเอ่ยจบ สตรีผู้สร้างความตื่นตกใจให้เด็กทั้งสองก็ได้กลายร่างเป็นอสรพิษขนาดใหญ่ เลื้อยไปอยู่ที่ข้างกายนายหญิงตน

     

    สตรีผู้มีใบหน้างดงาม หางตาเฉี่ยวคม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ รูปร่างงดงามผู้นี้แท้จริงแล้วคืออสรพิษยักษ์ตนหนึ่ง ผู้เป็นนายได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างของมันให้อยู่ในรูปของมนุษย์ เพราะกลัวว่าเด็กทั้งสองจะตกใจ โดยลืมไปว่านิสัยเสียของสัตว์คู่พันธะตนนั้น คือการทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว

     

    “พวกเจ้านั่งลงเถอะ ตามสบาย หากสหายข้าเสียมารยาทต้องขออภัยด้วย” สตรีชุดแดงกล่าว ก่อนที่เด็กน้อยทั้งสองจะนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ดำอย่างเรียบร้อยนั้น พวกนางก็ได้เอ่ยแนะนำตัวออกมาเสียก่อน

    “ผู้น้อยขออภัยที่เสียมารยาทเจ้าค่ะ ผู้น้อยมีนามว่าหวงจางจิ้งนามรองเฮยหลง ส่วนด้านนี้คือหวงจางหมิ่นนามรองไป๋หลง นางคือน้องสาวของผู้น้อยเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสคือ...?”

    “อ้อ...ขออภัย แต่ข้าอยากทดสอบกงจู่เสียหน่อย” มังกรคู่ตกใจเล็กน้อยที่สตรีตรงหน้ารู้ว่าตนคือองค์หญิง และแปลกใจว่าหากผู้อาวุโสตรงหน้าทราบอยู่แล้วว่าตนและน้องคือองค์หญิง เหตุใดจึงยังไร้ท่าทีที่ควรแสดงต่อเชื้อพระวงศ์ “ที่แห่งนี้ไม่นับยศถาบรรดาศักดิ์ หากเข้ามาแล้วก็เป็นได้เพียงศิษย์และอาจารย์ และหากสงสัยฐานะของข้า พวกเจ้าลองทายดูสิว่าข้าคือใคร?” สองพี่น้องพยักหน้าเข้าใจคำอธิบาย ก่อนที่หวงไป๋หลงจะกล่าวตอบคำถาม

    “ท่านคือ...ประมุข?”

    “ถูกแล้ว ข้ามีนามว่าหลิงฉวี่หย่งเหิง เป็นประมุขพรรคหยงเหยวี่ยนฮวาแห่งนี้ พวกเจ้าดั้นด้นมาถึงที่แห่งนี้คงอยากฝากตัวเป็นศิษย์กระมัง?”

    “ผู้อาวุโสกล่าวถูกต้อง”

    “ตั้งแต่ที่ข้าเป็นประมุขมาไม่เคยรับศิษย์สายตรงจนเมื่อปีก่อนได้รับมาคนหนึ่ง ในปีนี้เจ้าทั้งสองคือศิษย์คนที่สองและสามของข้า จะรับหรือไม่?”

    “เจ้าค่ะ!” ทั้งสองคนเอ่ยออกมาพร้อมกันอย่างดีใจ พิธียกจอกน้ำชาฝากตัวเป็นศิษย์ผ่านไปอย่างเรียบง่ายและไม่มากพิธีการ เด็กน้อยทั้งสองดูชอบใจความไม่มากเรื่องของผู้เป็นอาจารย์หมาด ๆ ของตนเองพอดู ทั้งตรงประเด็นและไม่อ้อมค้อม

     

    “เอาล่ะ เมื่อเป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยแล้วก็ไม่ต้องมากพิธี เหวยซือ[14]ว่าเจ้าทั้งสองคงมีข้อสงสัยมากมาย ถามมาได้เลย”

     

    ร่างระหงของประมุขพรรคลุกยืนขึ้นและส่งสัญญาณให้ศิษย์ใหม่ตามตนมา อสรพิษยักษ์ที่อยู่เป็นสักขีพยานการรับศิษย์เมื่อครู่ ได้กลายร่างกลับเป็นร่างแรกเกิดของตนเอง ปรากฏเป็นนกเฟิ่งหวงที่มีขนสีดำเงางามตนหนึ่งบินออกจากเรือนไม้ไป

     

    “ซือจุน[15] เฟิ่งหวงเมื่อครู่?” หวงไป๋หลงใช้คำถามแรกในเรื่องที่ตนสงสัยที่สุด

    “เฟิ่งหวงเมื่อครู่คือสัตว์พันธะของเหวยซือเอง เพียงแต่มีความสามารถในการแปลงกาย” ผู้ถามพยักหน้าแสดงความเข้าใจ

    “ซือจุนศิษย์ขอเสียมารยาท” ผู้เป็นอาจารย์พยักหน้าอนุญาตศิษย์คนรอง “พรรคหยงเหยวี่ยนฮวา...คือพรรคมารหรือเจ้าคะ?”

    “ทั้งใช่และไม่ใช่”

    “อย่างไรหรือเจ้าคะ” ทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกัน ผู้ถูกถามยิ้มรับแล้วจึงตอบคำถาม ด้วยคำถาม

    “เจ้าทั้งสองคิดว่ามารคือสิ่งใด?” ร่างระหงหยุดลงที่กลางสะพานหิน สะพานหินนี้เป็นคนละที่กับสะพานที่แล้ว แต่เป็นสะพานที่อยู่ด้านหลังของเรือนกลาง

    “ตอบซือจุน ศิษย์รู้มาว่ามารคือผู้ที่ใช้วิชามาร ฝึกและบำเพ็ญตนโดยการสังเวยชีวิตของผู้อื่นเจ้าค่ะ” หวงไป๋หลงตอบ แต่ผู้ถามกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

    “เป็นคำตอบที่ผิด สิ่งที่พวกเจ้ารู้คือสิ่งที่คนไม่รู้แต่งขึ้นมา มารและผู้ใช้วิชามารนั้นต่างกัน ผู้ใช้วิชามารคือมนุษย์ผู้ใช้แรงอาฆาตในการฝึกตน วิชานี้จะค่อย ๆ กัดกินร่างกายของผู้ใช้จนคนผู้นั้นไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อีก ส่วนมารคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ใช้พลังมืดในการฝึกวิชา ถ้าจะให้เปรียบก็เช่นการที่มนุษย์ธรรมดาบำเพ็ญกันโดยการดึงพลังบริสุทธิ์ของธรรมชาติ เสี่ยวจิ้งสามารถตอบอาจารย์ได้หรือไม่ว่าหากมารฝึกวิชาตามแบบแผนของมนุษย์จะเป็นเช่นใด?”

     

    มังกรดำที่ฟังคำอธิบายอย่างตั้งใจ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถามไปอย่างไม่มั่นใจนัก

    “ศิษย์ตอบซือจุน มารผู้นั้นจะมีอาการเฉกเช่นเดียวกับการที่มนุษย์ฝึกวิชามาร”

    “ถูกต้อง ที่พรรคหยงเหยวี่ยนฮวาแห่งนี้ฝึกศิษย์ทุกเผ่าพันธุ์ มารฝึกวิชาตามแบบมาร มนุษย์ฝึกวิชาตามแบบมนุษย์ ทั้งสองเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้นามของศิษย์สำนักเดียวกัน” สองพี่น้องพยักหน้าเข้าใจกันอย่างแข็งขัน ที่แท้มารก็ไม่ใช่สิ่งอันตรายแต่อย่างใดเพียงแต่เป็นผู้ที่อยู่คนละเผ่ากับมนุษย์เท่านั้นเอง ความรู้ใหม่ในวันนี้พวกนางจะมิมีวันลืม “พวกเจ้าหมดเรื่องสงสัยกันหรือยัง?”

    “เอ่อ...ซือจุนเจ้าคะ แล้วพี่สาวที่มารับศิษย์และพี่ใหญ่?” หวงไป๋หลงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

    “อย่างที่พวกเจ้ารู้ นางคือปาเจี้ยวกุ้ยจริง ๆ แต่สบายใจได้นางไม่ทำอันตรายศิษย์ในพรรคแน่นอน” หลิงฉวี่หย่งเหิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เมื่อหมดคำถามแล้ว เช่นนั้นเหวยซือขอถามเจ้าเกี่ยวกับเครื่องดนตรีที่อยากเล่นเสียหน่อย ใครถนัดอะไรบ้าง?”

    “ศิษย์ถนัดขลุ่ยเจ้าค่ะ”

    “เสี่ยวหมิ่นถนัดขลุ่ย แล้วเสี่ยวจิ้งเล่า?”

    “ตอบอาจารย์ศิษย์ไม่ถนัดสิ่งใดเป็นพิเศษ”

    “ท่านพี่ไม่ถนัดสิ่งใดเป็นพิเศษก็เพราะเล่นได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านพี่เรียนขลุ่ยเป็นเพื่อนข้านะเจ้าคะ” หวงไป๋หลงกล่าวกับอาจารย์ตนในประโยคแรก ส่วนประโยคหลังนั้นกล่าวกับพี่สาว หวงเฮยหลงจึงพยักหน้าตกลงตามที่น้องสาวต้องการ

    “เช่นนั้นพวกเจ้าตกลงเรียนขลุ่ยทั้งคู่ใช่หรือไม่?” ประมุขหญิงเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อให้ศิษย์ตัวน้อยยืนยันคำตอบของตนเอง สองพี่น้องมังกรยืนยันในคำตอบ

     

    ประมุขพรรคเมื่อได้ยินดังนั้นจึงนำศิษย์ทั้งสองไปที่สถานที่แห่งหนึ่ง พลางอธิบายไปด้วย “พวกเจ้าทั้งสองคือศิษย์สืบทอดคนที่สองและสามของอาจารย์ จึงจำเป็นต้องร่ำเรียนวิชาลับตระกูลหลิงฉวี่ของอาจารย์ไปด้วย วิชานี้ถูกเรียกขานตามแซ่หลิงฉวี่ของอาจารย์เอง มันคือบทเพลงแห่งวิญญาณ วิชานี้มีวิชาย่อยหลายแขนง เช่น การสวดส่งวิญญาณ การพูดคุยกับวิญญาณ การขอความช่วยเหลือกับวิญญาณ หรือแม้แต่การควบคุมวิญญาณก็ตาม ถ้ำตรงหน้าที่พวกเจ้าเห็นอยู่คือถ้ำวิญญาณเหมันต์ ใช้ฝึกควบคุมพลังวิญญาณ ตอนนี้ศิษย์พี่ของพวกเจ้าคงฝึกประจำวันเสร็จพอดี”

     

    ที่ด้านหน้าถ้ำปรากฏเด็กชายวัยประมาณสิบหนาวเดินออกมา เมื่อเด็กชายผู้นั้นมองเห็นผู้เป็นอาจารย์จึงได้ทำความเคารพ ดวงตาข้างซ้ายที่ไม่ถูกปกปิดโดยหน้ากากเงิน มองไปที่เด็กหญิงในหน้ากากหยกทั้งสองอย่างสงสัย

     

    “อาหย่ง เด็กสองคนนี้คือศิษย์น้องเจ้า ทำความรู้จักกันเอาไว้ล่ะ”

    “อ่า...ข้ามีนามว่าหยางหย่งเจิ้ง นามรองจินหู่ พวกเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้” เมื่อเด็กชายแนะนำตัวเสร็จจึงเป็นคราวของศิษย์น้อง

    “ข้านามว่าหวงจางจิ้ง นามรองเฮยหลง ส่วนด้านนี้คือหวงจางหมิ่น นามรองไป๋หลง นางคือน้องสาวของข้าเจ้าค่ะ”

    “จากนี้ไปรบกวนศิษย์พี่ใหญ่โปรดชี้แนะด้วย” ทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกัน

     

    **********

     

    [12] สือซว่านฮวา (蒜花) คือ ดอกฮิกันบานะ

    [13] ปาเจียวกุ้ย (芭蕉鬼) คือ ผีหญิงที่อาศัยอยู่ในต้นกล้วย

    [14] เหวยซือ คือ คำแทนตัวของอาจารย์

    [15] ซือจุน คือ คำที่ลูกศิษย์ใช้เรียกอาจารย์

     

    เอาล่ะค่ะ

    เด็กน้อยสองคนที่จะไปเรียนหนังสือ

    อยู่ดี ๆ ดันไปอยู่กลางดงปีศาจแบบงง ๆ

     

    ขอบคุณสำหรับการติดตาม

    ซานเฟยหย่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×