ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    雪見 ครั้นเมื่อเหมันต์มาเยือน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 ถกเถียง (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 64


    ตำหนักเฉียนชิง เรือนคัมภีร์ส่วนพระองค์ ห้องทรงอักษร

    “ทูลฝ่าบาท กงจู่ทั้งสองพระองค์เสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของฟางกงกง อันเป็นกงกงคนสนิทของจินหลงฮ่องเต้เอ่ยกับนายตน

    “ให้ลูกหญิงเข้ามาได้เลย” สุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยตอบ

    “พ่ะย่ะค่ะ”

     

    ผ่านไปไม่นานนักร่างเล็ก ๆ ในอาภรณ์สีดำและขาวจึงปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะกล่าวคำถวายพระพรพร้อมเพรียงกัน

    “ถวายพระพรเสด็จพ่อเพคะ”

    “ตามสบายเถิด” หลังได้ยินคำนั้น กงจู่ทั้งสองจึงคิดจะหันไปคารวะผู้อาวุโสอีกหนึ่งคนให้ห้อง แต่ก็ถูกคนผู้นั้นเอ่ยขึ้นเสียก่อน

    “ถวายพระกงจู่พ่ะย่ะค่ะ” เป็นเถียนเทียนเหอ หรือก็คืออัครเสนาบดีเถียน ผู้ทรงเป็นที่ปรึกษาของฮ่องเต้ตั้งแต่รัชสมัยของเฉียงหลงฮ่องเต้ กล่าวง่าย ๆ ก็คือที่ปรึกษาของพระอัยกาของกงจู่ทั้งสองพระองค์นั่นเองที่เอ่ยขึ้นก่อน

    “คารวะอัครเสนาบดีเถียน”

    “หามิได้ หามิได้ พระองค์ทรงเป็นถึงกงจู่ไม่ควรทำความเคารพผู้ที่เป็นเพียงอัครมหาเสนาบดีเช่นกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” เถียนเทียนเหอกล่าวอย่างเกรงใจและร้อนรน ด้วยเกรงว่าอาจทำให้โอรสสวรรค์ไม่พอใจที่ราชธิดาทำความเคารพขุนนางยศต่ำกว่า แต่ในใจกลับชื่นชมกงจู่ทั้งสองเสียเหลือเกิน ที่มีมารยาทแม้กระทั่งกับขุนนางเช่นตน

    “ได้อย่างไรกัน ข้าและน้องรองเป็นผู้น้อยส่วนท่านเป็นผู้อาวุโส เสด็จแม่กล่าวว่าผู้น้อยย่อมต้องเคารพผู้อาวุโสกว่า” และประโยคนั้นยิ่งทำให้อัครเสนาบดีชื่นชมมากกว่าเดิม ด้วยกงจู่ทั้งสองแทนตนว่าข้า หาใช่คำว่าเปิ่นกงจู่ ดูแล้วช่างน่าเอ็นดูยิ่ง

     

    โอรสสวรรค์เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงทรงพระสรวลเสียงดังราวกับพออกพอใจ สร้างความงุนงงให้ขุนนางอาวุโสได้เป็นอย่างดี

    “ดี ดีมาก มารดาของเจ้าสอนเจ้ามาดีจริง ๆ ท่านอัครเสนาบดีดูสิ บุตรสาวเจิ้นน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ แล้วเจิ้นจะให้พวกนางออกไปเผชิญโลกกว้างตามลำพังได้อย่างไรกัน?” ประโยคแรกของจินหลงฮ่องเต้นั้นกล่าวชมราชธิดา ส่วนประโยคหลังกลับกล่าวตัดพ้ออย่างเศร้าสร้อย ฮ่องเต้พระองค์นี้ปรับเปลี่ยนอารมณ์ตนเองได้ไวยิ่งนัก

     

    “ที่บิดาเรียกพวกเจ้ามาครานี้ รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”

    “ลูกทราบเพคะ” หลังได้ยินคำนั้น โอรสสวรรค์ถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความใจหายก่อนจะกล่าวประโยคถัดไป

    “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ส่วนท่านอัครเสนาบดีคงทราบดีอยู่แล้วใช่หรือไม่”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    “เจิ้นต้องการให้ท่านออกความเห็นเกี่ยวกับสำนักฝึกฝนที่เหมาะสมกับลูกหญิงให้หน่อย”

    หลังกล่าวจบเนตรมังกรเหลือบไปมองที่บุตรสาวตนเล็กน้อยอย่างนึกเป็นห่วงด้วยกลัวว่าลูกรักจะเสียใจที่ต้องจากบ้านไกล แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะนัยน์ตาของเด็กน้อยทั้งสองคนมีเพียงความมุ่งมั่น สิ่งนั้นสร้างความปวดใจให้บิดาเช่นเขาเสียเหลือเกิน

    เหตุใดกันบุตรสาวที่น่ารักจึงดูอยากออกจากอ้อมอกของบิดาผู้นี้เสียขนาดนั้น อ่า...บิดาปวดใจเหลือเกินลูกรัก

     

    หวงไป๋หลง องค์หญิงรองของแคว้นที่เห็นบิดาตนทำสีหน้าเช่นนั้นจึงได้คิดกับตนเองเบา ๆ

    เสด็จพ่อต้องกำลังคิดอะไรแปลก ๆ อยู่อย่างแน่นอน นางกล้าเดิมพันด้วยเสี่ยวหลงเปาทั้งจานที่เสด็จแม่ทำให้เลยเชียว!

     

    ผิดกับดวงตากร้านโลกของขุนนางเฒ่าที่เหลือบไปเห็นใบหน้าที่ดูเศร้าหมอง ปนเจ็บปวดของนายเหนือหัว ก็อดคิดไม่ได้ว่านายตนนั้นอาจจะกำลังคิดมากเรื่องสำนักฝึกฝนจนประชวร จึงรีบเร่งกล่าวเสนออย่างไม่รอช้า

     

    “ทูลฝ่าบาท ว่ากันว่าที่เหนือสุดของแคว้นเรา มีเทือกเขาหิมะที่ไม่มีวันละลายตั้งอยู่ ที่แห่งนั้นถูกขนานนามว่า เทือกเขาตงเทียน รอบ ๆ เทือกเขามีป่ามายาขนาดใหญ่ อันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรนานาชนิด โดยสัตว์อสูรที่อ่อนแอที่สุดจากที่แห่งนั้นเพียงหนึ่งตัวสามารถทำลายจวนขนาดใหญ่ได้ถึงสามจวนในพริบตาเดียว เป็นอันรู้กันดีว่า ผู้ที่เข้าไปในป่ามายาหรือป่าตงเทียน ล้วนแต่มิเคยมีผู้ใดรอดกลับมาได้เลย แม้เพียงศพก็ไม่มี

    เสียงเล่าลือยังมิจบเพียงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เหล่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ชายขอบนอกเขตป่าตงเทียนในทุกคืนเดือนมืด คนทุกคนจะฝันเห็นสิ่งเดียวกันคือ หญิงสาวผมสีขาวเป็นประกายกลมกลืนไปกับสีผิวขาวนวล มักจะมาในชุดสีแดงชาด และมักมีพญาอสรพิษตนใหญ่อยู่ใกล้ ๆ กับสตรีนางนั้นเสมอ สตรีผมขาวในความฝันมักจะบอกกล่าวให้ความรู้กับชาวบ้านทุกคราไป จึงมิแปลกอันใดที่จะเป็นที่เล่าลือถึงสตรีนางนั้น จนกระทั่งในวันหนึ่งได้มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าตงเทียน เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างความตื่นตกใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก

    ชายผู้ที่ออกมาจากป่าตงเทียนนั้นสวมชุดฝึกวรยุทธสีแดงชาด สร้างความคุ้นตาให้ชาวเมืองเป็นอย่างยิ่งเพราะมันเป็นชุดที่คล้ายกับสตรีผมขาวในความฝันพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่เขาคนนั้นจะขอเข้าพบหัวหน้าหมู่บ้านในทันที หลังจากผ่านไปเพียงชั่วยามกว่า ๆ คนผู้นั้นก็ออกมา และเดินกลับหายเข้าไปในป่าตงเทียนทันที เพียงหลังจากชายแปลกหน้าหายไปได้ไม่นาน ชาวบ้านจึงได้รับรู้เรื่องราวจากการถ่ายทอดโดยตรงจากหัวหน้าหมู่บ้าน

    เขากล่าวว่าชายคนเมื่อครู่เป็นคนจากพรรคหยงเหยวี่ยนฮวา ที่ตั้งอยู่ในใจกลางเทือกเขาตงเทียน เขาเป็นผู้นำสารจากประมุขพรรคมามอบให้หัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งเนื้อความในสารกล่าวถึงพายุที่กำลังจะมาในอีกห้าวันจากนี้ หลายคนเชื่อว่าเป็นจริง บ้างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และบางคนไม่เชื่อเลย แต่เพราะความสามัคคีของหมู่บ้านทำให้ไม่มีผู้ใดขัดที่จะทำตามสารนั้น กลุ่มแรกที่ดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษก็ได้ทำตามคำสั่งของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เห็นเช่นนั้นคนที่เหลือจึงช่วยกันทำงานอย่างขันแข็ง

    เวลาผ่านไปห้าวัน ท้องฟ้าในเช้าวันนั้นแปรปรวนราวกับจะเกิดพายุใหญ่ เพียงไม่นานนักห่าฝนก็เทลงมา พายุในครั้งนั้นตกติดต่อกันถึงเจ็ดวัน กระหม่อมคาดว่าพายุที่ว่าคงเป็นพายุใหญ่เมื่อราว ๆ เจ็ดปีก่อน เหตุการณ์ครั้งนั้นหมู่บ้านรอบข้างเดือดร้อนกันถ้วนหน้าด้วยผลผลิตทางการเกษตรที่เสียหาย และไม่มีการกักตุนอาหาร ผิดกับหมู่บ้านที่ติดกับป่าตงเทียน ที่ไม่เพียงไม่ได้รับความเสียหายซ้ำยังปลอดภัยกันถ้วนหน้า เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ชาวบ้านสรรเสริญและเคารพประมุขพรรคหยงเหยวี่ยนฮวาอย่างสนิทใจ จนถึงขั้นตั้งชื่อหมู่บ้านว่าหมู่บ้านหยงเหยวี่ยนฮวาเพื่อให้เกียรติพรรคที่ช่วยตนไว้

    หลังจากนั้นไม่นานจึงทำให้พวกเขาทราบว่าพรรคหยงเหยวี่ยนฮวานี้เป็นพรรคเดียวกับสำนักอันดับหนึ่งเมื่องหลายร้อยปีก่อน กล่าวกันว่าเป็นดังดอกไม้สีชาดที่ผลิบานงดงามท่ามกลางเทือกเขาตงเทียนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ราวกับจักรพรรดินีแห่งหมู่มวลดอกไม้ฤดูหนาว ไม่เพียงเท่านี้ยังมีตำนานกล่าวถึงดอกสือซว่านวิเศษที่ผลิบานเพียงที่พรรคหยงเหยวี่ยนฮวา ว่ากันว่ามันเป็นดอกไม้ที่รักษาได้ทุกโรค หากผู้ใดได้รับดอกสือซว่านจากพรรคหยงเหยวี่ยนฮวามาบดทำเป็นยารักษา โรคที่เป็นอยู่ก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง บ้างก็ว่ามันสามารถคืนชีวิตให้คนตายได้ น่าเสียดายที่ดอกไม้ชนิดวิเศษนี้มีอยู่เพียงที่เดียวคือพรรคหยงเหยวี่ยนฮวาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีกล่าวยาวเหยียด เรื่องเล่ามันยาวเสียจนขนาดที่ผู้เล่าต้องขอน้ำชาเพิ่มเพื่อดับกระหาย

     

    หลังโอรสสวรรค์ได้ฟังเรื่องเล่า ดวงตามังกรเปล่งประกายวาววับอย่างสนใจ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

    “ท่านจะกล่าวว่าสำนักหยงเหยวี่ยนฮวาที่ว่านั้น เหมาะสมกับลูกหญิงใช่หรือไม่!?"

    “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

    ก่อนที่ทั้งสองจะได้สนทนากันต่อ ฟางกงกงจึงได้เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน

    “ขออภัยฝ่าบาท ฮองเฮาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” โอรสสวรรค์ได้ยินเช่นนั้นจึงคิดว่า ภรรยาตนคงอยากรับรู้เรื่องลูกด้วยจึงอนุญาตให้เข้ามา

    หรงฮองเฮาเอ่ยทำความเคารพสวามี จากนั้นผู้ที่มียศต่ำกว่าทั้งสามคนจึงได้ทำความเคารพฮองเฮาตามพิธี

     

    “หม่อมฉันขอกล่าวตามตรงว่าหม่อมฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้ลูก ๆ ทั้งสองเข้าฝึกฝนที่สำนักหยงเหยวี่ยนฮวาเพคะ” หรงฮองเฮาที่มาทันฟังเรื่องเล่าของอัครเสนาบดี ได้เอ่ยประโยคที่สร้างความไม่เข้าใจให้ผู้ฟังไม่น้อย

    “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า? เจ้าพอจะบอกเหตุผลพี่ได้หรือไม่?” จินหลงฮ่องเต้เอ่ยถาม

    “ฝ่าบาท สำนักหยงเหยวี่ยนฮวาที่ท่านอัครเสนาบดีกล่าวมานั้นใช่ว่าหม่อมฉันกล่าวหาว่าไม่ดี เพียงแต่ว่าพวกเราทั้งหมดล้วนรู้เรื่องสงครามสวรรค์เมื่อหลายร้อยปีก่อนดี หากพรรคหยงเหยวี่ยนฮวาเป็นดั่งเช่นที่ท่านอัครเสนาบดีกล่าวจริง มิใช่ว่านั่นคือสำนักอันเป็นต้นเหตุของสงครามหรอกหรือเพคะ? อีกทั้งจากที่กล่าวมาสำนักฝึกฝนที่ว่าตั้งอยู่กล่างป่าตงเทียน สัตว์อสูรอาศัยอยู่มากมาย เส้นทางจากตีนเขาไปถึงกลางเทือกเขานั้นแสนไกล จากที่ฟังดูแล้ว หม่อมฉันคิดว่าอันตรายเกินไปสำหรับลูกหญิงเพคะ” สัญชาตญาณความเป็นแม่ที่ถูกปลุกขึ้นมานั้น ทำให้คนพูดน้อยอย่างหรงซิ่วอิงสามารถที่จะกล่าวออกมายาวเหยียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งคำที่กล่าวมายังมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย

     

    หวงเฮยหลงนั้นอึกอักอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่ตนรู้ออกไป

    “ทูลเสด็จแม่ เรื่องนี้ลูกคิดว่ามิได้มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวเพคะ”

    “อย่างไร?”

    “เสด็จแม่จำวันเกิดของลูกและไป่ไป๋เมื่อปีก่อนได้หรือไม่เพคะ?”

    “แม่จำได้ ครานั้นเจ้าเล่าให้แม่ฟังว่าได้สหายคนแรกมา ใช่หรือไม่?”

    “เพคะ สหายผู้นั้นคือองค์ชายเจ็ดของแคว้นเสวียนอู่ นามหยินหานตง นามรองมี่เสอ พี่ชายของเขาคือองค์ชายสามหยินซิ่นหลิง นามรองคุนเสอ องค์ชายสามผู้นี้คือศิษย์สำนักหยงเหยวี่ยนเพคะ” คำพูดนี้ทำให้มารดาแห่งแผ่นดินเบาใจลงได้บ้างว่าอย่างน้อยสำนักที่กล่าวมานั้นพอจะมีน้ำหนักที่ดีขึ้นมานิดหน่อย แต่ถึงกระนั้นพระนางก็ยังคงไม่หมดเรื่องกังวลใจ

    “แม่เข้าใจแล้ว แต่วิธีการเดินทางเล่า ลูกคิดจะให้แม่ปวดใจตายหรือกระไรกัน เจ้าทั้งสองจะขึ้นเขาฝ่าฝูงสัตว์อสูรไปเช่นไร?” ยิ่งพูดออกมา พระนางยิ่งใจหาย สำนักหยงเหยวี่ยนมีจริงแล้วอย่างไร ไม่มีจริงแล้วอย่างไร ในเมื่อหนทางที่จะไปนั้นแสนลำบาก บุตรสาวนางแค่เจ็ดขวบจะเดินทางกันได้เยี่ยงไรกัน

    “น้องหญิงเจ้าใจเย็นลงก่อน ลูกจะไปหรือไม่นั้นให้ลูกเป็นผู้ตัดสินเถิด เจ้าอย่าวู่วามเลย” จินหลงฮ่องเต้เอ่ยตอบภรรยาตนพลางส่งสัญญาณออกคำสั่งให้อัครเสนาบดีเถียนออกจากห้องไป เพลานี้ในห้องทรงอักษรจึงเหลือเพียงผู้สูงศักดิ์ทั้งสี่

    “เสด็จพี่! ท่านไม่เป็นห่วงลูกบ้างหรือ จิ้งเอ๋อร์กับหมิ่นเอ๋อร์จะไปได้อย่างไร?” ก่อนที่สุรเสียงกังวานจะได้กล่าวสิ่งใดต่อก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะสัมผัสบนข้อมือ ดวงตาหงส์หันไปมองที่สัมผัสนั้น มือเล็ก ๆ ของลูกสาวคนรองกำลังคว้าจับข้อมือของนางเอาไว้ ใบหน้าหวานแย้มยิ้มเบา ๆ ฝ่ามือของบุตรสาวคนโตวางอยู่บนหลังมืออีกข้างของนาง เสียงเย็นสบายหูดังขึ้นและเป็นไปด้วยความเชื่องช้าราวกับกำลังปลอบประโลมนางอยู่

    “เสด็จแม่อย่ากังวล ลูกและน้องรองตัดสินใจจะไปศึกษาที่สำนักหยงเหยวี่ยนฮวา แม้หนทางจะอันตรายแต่เสด็จแม่เคยกล่าวกับลูกว่า เชื่อในตัวของลูกและไป่ไป๋ว่าเราต้องทำได้ มันจะเป็นเช่น...อีกทั้งท่านน้าที่เป็นแม่ทัพประจำทิศเหนือของแคว้นเราก็ประจำอยู่ใกล้ ๆ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นท่านน้าสามารถช่วยพวกเราได้”

    “เสด็จแม่โปรดวางใจ พวกเราให้สัญญาว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัยและภาคภูมิ” ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกัน

     

    น้ำพระเนตรของมารดาแห่งแผ่นดินหลั่งไหลอาบแก้มนวล พระโอษฐ์แย้มยิ้มอ่อนแรง แม้จะห่วงหาสักเพียงใดแต่ในเมื่อบุตรีเอ่ยเช่นนี้ นางคงต้องปล่อยวาง อย่างไรเสียชีวิตก็ของพวกนาง ย่อมต้องให้ทั้งสองคนเลือกทางเดินกันเอาเอง

    “เด็กดื้อ พวกเจ้าสัญญากับแม่แล้วนะ” น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง แต่กลับอ่อนใจ

    “เพคะ พวกเราสัญญา”

     

    จินหลงฮ่องเต้ทำเพียงทอดพระเนตรอย่างเงียบงัน ใช่ว่าเขาไม่ห่วงลูก เพียงแต่บางทีการปล่อยให้เด็กทั้งสองคนไปใช้ชีวิตกันเองบ้างก็ถือเป็นเรื่องดี แต่อีกใจนึงกลับไม่อยากปล่อยทั้งสองคนไป เป็นเพราะเขาที่ทำให้ลูกสาวคนโตกดดันตัวเองมากเกินไป ในกาลก่อนเขาไม่เคยคาดหวังว่าบุตรีทั้งคู่ต้องเก่งกาจหรือมีพลังอันแข็งแกร่งเหนือใคร เพียงให้เป็นคนดีก็เพียงพอ แต่เพราะนามหลงที่มีอยู่ในชื่อนั้นพวกนางจึงจำต้องพยายามมากกว่าผู้อื่นจนความสามารถนั้นเป็นที่เลื่องลือมากขึ้นเรื่อย ๆ

     

    ลึก ๆ ในใจของฮ่องเต้เฉกเช่นเขาจึงได้มีความคาดหวังโผล่ขึ้นมา มีคำ ๆ หนึ่งที่เสด็จพ่อของเขาเคยกล่าวเอาไว้ก่อนสวรรณคต การเป็นฮ่องเต้ที่ดีไม่อาจเป็นสามีและบิดาที่ดีได้ และเช่นเดียวกันการเป็นบิดาและสามีที่ดีก็ไม่อาจเป็นฮ่องเต้ที่ได้ ในครานั้นเขาไม่อาจเข้าใจประโยคนั้นได้เลย แต่ในยามนี้ในฐานะบิดาแล้วเขาไม่อยากให้บุตรสาวต้องลำบาก แต่ในฐานะฮ่องเต้เขากลับคาดหวังให้ลูก ๆ ทำได้ดีที่สุด

    เป็นความรู้สึกที่น่ารังเกียจ และน่าชิงชังเหลือเกิน

     

    ตำหนักหลิ่งเหวิน สวนอิงฮวา[9]

    สามวันถัดมาในเช้าวันเกิดของกงจู่ฝาแฝด องค์หญิงน้อยทั้งสองคนตัดสินใจมาเยี่ยมฮองไทเฮาก่อนที่จะถึงเวลาฉลองวันเกิด หวงเฮยหลงและน้องสาวยืนหยุดอยู่ที่หน้าทางเข้าสวนอิงฮวา เสียงหัวเราะพูดคุยสนุกสนานดังพัดผ่านมาตามลม คาดว่าเวลานี้เหล่าองค์หญิงองค์ชายคงอยู่กันพร้อมหน้า

     

    ขันทีที่ประจำหน้าทางเข้าหวังจะประกาศการมาของกงจู่ทั้งสองก็ต้องถูกหยุดเอาไว้โดยเจ้าของชื่อ

     

    แฝดมังกรลัดเลาะตามทางเดินไปอย่างเงียบงัน ดวงตาทั้งสองสีเก็บเอาบรรยากาศเวลานี้เอาไว้เต็มอก ใบอิงฮวาในฤดูชิวเทียนมีสีแดง และส้มสลับไปมา เสียงน้ำตกเทียมดังคลอไปกับเสียงหัวเราะของเด็กน้อยทั้งชายหญิง และเสียงพูดสนทนาของเหล่าหญิงสาว ร่างขาวดำหลบที่หลังต้นไม้ใหญ่จ้องมองไปยังภาพบรรยากาศอบอุ่นตรงอย่างเงียบงัน หวงไป๋หลงเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าเป็นเหตุให้ผู้พี่ต้องยกมือขึ้นลูบหัวเพื่อปลอบประโลม แต่ทำอย่างไรไม่รู้จึงได้กลายเป็นว่ายืนน้ำตาไหลนองหน้ากันสองคน

     

    “พี่ใหญ่! พี่รอง!” เสียงแหลมเล็กของเด็กชายวัยหกขวบดังขึ้นเมื่อตนสังเกตเห็นคนคุ้นตายืนอยู่ห่าง ๆ สองแฝดแทบเช็ดน้ำตาออกไม่ทัน หวงหลิ่งหลงแย้มยิ้มดีใจ

    “เสด็จพี่ พวกท่านร้องไห้หรือ?” แต่ผู้ที่เดินเข้ามาใกล้กลับเป็นหวงฮุ่ยหมิง หรือมู่หลง น้องหกของพวกนาง

    “ร้องไห้อะไรกันเล่า! พี่รองคนนี้แค่ฝุ่นเข้าตาต่างหาก” หวงไป๋หลงกล่าวทัดทานคำพูดน้องชาย

    “แต่ท่านจมูกแดง” หวงมู่หลงยังคงสงสัย

    “เป็นเพราะฝุ่นเยอะ ก็เลยจามอย่างไรล่ะ” และมังกรขาวก็ยังคงกล่าวตอบไปเช่นเดิม และก่อนที่สงครามน้ำลายจะยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ฮองไทเฮาจึงเอ่ยเรียกขึ้นมาเสียก่อน ทั้งสามคนจึงต้องเดินเข้าไปให้บริเวณศาลาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นอิงฮวาหลายต้น

     

    “ถวายพระพรเสด็จย่า เสด็จแม่ และเสด็จแม่เฟยทั้งสามเพคะ” เสียงถวายพระพรดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

    “ตามสบาย”

    “ขอบพระทัยเพคะ” หลังกล่าวจบฮองไทเฮาจึงเชื้อเชิญหลานสาวให้นั่งลงข้างตน ฝ่ามือของหญิงชราลูบไปบนศีรษะทุยของหลานสาวอย่างเบามือ

     

    “ถ้าหลานหญิงออกไปฝึกแล้วย่าคงคิดถึงน่าดู น้อง ๆ เจ้าคงถามหาไม่เว้นวันเลยเชียว”

    “เสด็จพี่จะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” องค์ชายเจ็ดหวงจิ่นเลี่ยน หรือนามรองหั่วหลง บุตรชายของหลิวเต๋อเฟย หวงหั่วหลงมีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ ๆ ขององค์หญิงแปดที่มีเรื่องราวกันเมื่อคราวก่อน

    “พี่จะออกไปฝึก จิ่นเอ๋อร์ต้องเชื่อฟังเสด็จแม่และดูแลน้องแปดน้องเก้าดี ๆ เข้าใจหรือไม่?” หวงเฮยหลงเอ่ยกับน้องชายต่างมารดาด้วยความรัก

    “จิ่นเลี่ยนเข้าใจแล้ว แล้วเสด็จพี่จะกลับมาเมื่อใดหรือ?”

    “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ส่วนเรื่องกลับมาเมื่อใดพี่ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เจ้าอยู่ที่นี่อย่าซุกซนแล้วก็อย่าทะเลาะกับเต๋อเฟยบ่อยนักเล่า อย่างไรเสียหลิวเต๋อเฟยก็เป็นมารดาของเจ้า”

    “จิ่นเลี่ยนจะทำตามที่พี่หญิงบอก แต่ท่านต้องรักษาตัวดี ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ” องค์หญิงใหญ่เมื่อได้ยินดังนั้นก็วางใจ แล้วพยักหน้ารับปากน้องชายแต่โดยดี พร้อมยกมือลูบศีรษะของน้องชายเบา ๆ

    “อะไรกันน้องเจ็ด ไยเจ้าลาแต่พี่ใหญ่ไม่เห็นมาเอ่ยลาพี่รองคนนี้บ้างเล่า หืม?” เป็นหวงไป๋หลงที่มักจะกล่าวขัดบรรยากาศอยู่ร่ำไป แต่มันก็เป็นข้อดีเพราะทำให้บรรยากาศไม่ชวนหดหู่ไปมากกว่านี้

     

    และเพราะประโยคขัดนั้นเองที่ทำให้เกิดสงครามน้ำลายขนาดย่อมขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จากที่ถกเถียงกันอยู่สองคนกลายเป็นว่าองค์ชายสามก็มาเข้าร่วมด้วยเมื่อไรก็ไม่อาจรู้ได้

    “แม่ดีใจที่พวกเจ้ารักใคร่กันนะ” ฮองเฮาเอ่ยขึ้น

    “ถูกของพี่หญิงใหญ่ เห็นลูก ๆ รักกันเช่นนี้แม่เบาใจเหลือเกิน” เฉินกุ้ยเฟยกล่าวรับ ใบหน้าค่อนไปทางหวานสวยของพระสนมเอกเผยความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด ฮองไทเฮาที่นั่งฟังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    “ปีนี้จิ้งเอ๋อร์กับหมิ่นเอ๋อร์ต้องออกไปฝึก ปีหน้าก็เป็นคราวของเฟยเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์ วังหลังแห่งนี้คงเงียบยิ่งกว่าเดิมมากนัก” เยวี่ยนซูเฟยกล่าวกับตนเองอย่างใจหาย ส่วนผู้ฟังที่เหลือก็พร้อมใจกันถอนหายใจออกมาอย่างวูบโหวง

    “เด็ก ๆ โตกันเร็วเกินไปหรือไม่นะ?” แม้เสียงของหม่าเสียนเฟยจะดังเบาสักเพียงใดแต่สำหรับบรรยากาศเงียบงันเช่นนี้กลับทำให้เสียงดังขึ้นอย่างทั่วถึง

    “เอาล่ะ ๆ อย่าเศร้าหมองนักเลยวันนี้วันเกิดหลานหญิงเราไม่ควรเศร้าหมองกันเช่นนี้” เมื่อผู้เป็นใหญ่เห็นว่าบรรยากาศนั้นเศร้าหมองเกินไปจึงต้องเอ่ยขึ้น

    “ถูกของเสด็จแม่ วันนี้วันดีไม่ควรโศกเศร้ากันจริง ๆ ไปจิ้งเอ๋อร์ หมิ่นเอ๋อร์ เราไปเตรียมตัวกันเถอะ” จากนั้นฮองเฮาจึงทำความเคารพแม่สามีแล้วจึงพาบุตรสาวออกไป

     

    ดวงตาของมังกรดำเหลือบไปเห็นองค์หญิงน้อยทั้งสองที่นั่งเงียบอยู่ที่มุม จึงคิดจะเข้าไปทักทายแต่เพราะหรงฮองเฮานั้นจูงมือตนอยู่ จึงไม่อาจผละออกไปได้ นางจึงได้เพียงเก็บงำความสงสัยเอาไว้

     

    และแล้วงานฉลองครบเจ็ดชันษาของกงจู่ทั้งสองพระองค์ก็จบสิ้นลงในยามเย็น ค่ำคืนนั้นองค์หญิงใหญ่ไม่อาจข่มตาหลับได้เลย ร่างเล็กในอาภรณ์สีดำที่กลมกลืนไปกับความมืดจึงค่อย ๆ ลัดเลาะหลบเวรยาม มุ่งหน้าตรงไปที่สถานที่ส่วนตัวของตนเองที่อยู่ใกล้กับตำหนักหมิงเซียนของเฉินกุ้ยเฟย

     

    ที่แห่งนั้นมีสถานที่ที่เรียกว่าสระมรกตอยู่ ทั้งยังมีต้นเฟิงฉู่[10]ขนาดใหญ่ที่สุดในวังหลวงอยู่หนึ่งต้น กิ่งก้านสาขาของมันใหญ่พอที่จะให้ผู้ใหญ่หลายคนขึ้นไปนั่งได้สบาย และในยามกลางวันยังเป็นร่มเงาให้ผู้คนได้หลบแดด

     

    ร่างเล็ก ๆ ของนางนั่งอยู่บนกิ่งสูงที่สุดที่พอจะนั่งได้ ดวงตามังกรสีเงินสว่างจดจ้องไปยังสระมรกตเบื้องล่าง ใบเฟิงฉู่สีแดงสดในฤดูใบไม้ร่วงปลิวโปรยปราย แสงจันทร์ที่กระทบผิวน้ำดูราวกับภาพของสรวงสวรรค์ เส้นเกศาสีขาวเงินที่ไม่ได้ถูกรวบให้เรียบร้อยนั้นปลิวไปพร้อมกับสายลมที่พัดพา

     

    “น้องสี่ น้องห้า เมื่อหลายเดือนก่อนพี่ใหญ่ยังไม่ได้มาอวยพรวันเกิดพวกเจ้าเลยสินะ ครานี้พี่คงไม่ได้อยู่ที่วังหลวงอีกหลายปี จึงคิดจะมาลาพวกเจ้าก่อน ถึงแม้เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันแต่พี่ก็ยังระลึกเสมอว่าพวกเจ้าคือน้องชาย วันนี้ดวงจันทร์งามนักพี่ใหญ่ว่าจะเล่นเพลงให้พวกเจ้าฟัง เพลงนี้พี่แต่งเองพวกเจ้าลองฟังดูเถอะ” น้ำเสียงเจือความคิดถึงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันยามค่ำคืน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าองค์หญิงใหญ่นั้นตรัสกับผู้ใด แต่ผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ต้นเฟิงฉู่นั้นรู้ดี

     

    เฉินกุ้ยเฟยที่ยามนี้ประทับอยู่ที่เรือนของตำหนักหมิงเซียน ใกล้ ๆ กับสระสรกต ได้ยินเสียงแผ่วของหวงเฮยหลงอย่างชัดเจน เมื่อหลายปีก่อนที่แห่งเป็นเพียงสระน้ำโล่งกว้างที่มีต้นเฟิงฉู่ขึ้นเพียงต้นเดียว ต่อมาเมื่อนางแท้งบุตร เถ้าอังคารของบุตรชายถูกกลบฝังไว้ที่แห่งนี้ตามความต้องการของนางเอง ส่วนที่ที่เถ้ากระดูกนั้นถูกฝังอยู่ก็คือให้ต้นเฟิงฉู่ใหญ่ต้นนั้น

     

    ในครานั้นนางหวังเพียงอยากให้ลูกน้อยอยู่ใกล้ ๆ ตน แต่ทว่าเมื่อสามปีก่อนอยู่ ๆ องค์หญิงใหญ่ก็มา ณ ที่แห่งนี้ ปีนขึ้นไปนั่งบนต้นเฟิงฉู่ใหญ่ต้นนั้น ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอ่ยลำพังเพียงผู้เดียว สำหรับกุ้ยเฟยเช่นนางนั่นไม่ได้น่าตกใจอะไร แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือคำเรียกขานที่เอ่ยออกมา น้องสี่ น้องห้า จะใช่ใครอื่นใดไปได้อีก น้องเสียจากบุตรชายที่ตายไปแล้วของนาง

     

    นางเคยเอ่ยถามออกไป ส่วนคำตอบที่ได้ยินมาก็คือ

    “หลายวันก่อน เสด็จแม่กุ้ยเฟยหลับอยู่ที่เก๋งริมสระมรกต และกล่าวละเมอเรียกน้องสี่กับน้องห้าออกมา จริง ๆ แล้วจางจิ้งสงสัยมาโดยตลอดว่าน้องสี่กับน้องห้าหายไปที่ใด จึงได้ไปเรียนถามเสด็จแม่”

    “พี่หญิงใหญ่ตอบเช่นใด”

    “เสด็จแม่กล่าวว่าน้องสี่กับน้องห้านอนอยู่ที่นี่ จางจิ้งจึงมาพูดคุยเป็นเพื่อนเล่นกับน้องทั้งสองคนเพคะ”

     

    ตั้งแต่นั้นมาองค์หญิงใหญ่ก็มักจะมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับน้องของตน จากนั้นเพราะต้องเรียนมากขึ้น จากที่มาทุกวัน เหลือเป็นสัปดาห์ครั้ง เป็นเดือนละครั้ง และสิ้นสุดที่ปีละครั้ง วันนั้นวันที่ลูกแฝดของนางเกิดมาและตายลง วันครบรอบเมื่อหลายเดือนก่อนหวงเฮยหลงไม่ได้มาเพราะติดเรียนและฝึกฝน ดูท่าแล้ววันนี้คงจะเป็นวันชดเชยกระมัง

     

    ท่วงทำนองแห่งความคิดถึงดังหวีดหวิวออกมาจากขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดาเลานึง น่าอัศจรรย์ที่มันกลับแสนไพรเราะเกินจะบรรยาย เสียงขลุ่ยเลานั้นดังขึ้นพร้อมกับสายลมที่กรีดกราย กลีบใบไม้สีแดงที่พัดพาบนอากาศคล้ายกำลังเต้นรำให้กับท่วงทำนองดนตรี แสงจันทร์ กลีบใบไม้ ผืนแผ่นน้ำ เสียงดนตรี และหญิงงาม จะมีสิ่งใดงดงามมากกว่านี้ได้กัน

     

    น้ำตาเฉินกุ้ยเฟยรินไหลอาบแก้มนวล จากนี้ไปอีกหลายปีบุตรชายของนางคงไม่ได้ฟังเสียงดนตรีจากพี่สาวของพวกเขา ช่างเป็นเรื่องที่น่าใจหายจริง ๆ

     

    เสียงดนตรีจบลงแล้ว ร่างเล็ก ๆ ของกงจู่จึงขยับตัวลงจากต้นไม้ ก่อนจะทำบางสิ่งที่ลำต้นไม้ใหญ่อยู่ครู่หนึ่งจึงจากไป กุ้ยเฟยที่ไม่อาจทนความสงสัยของตนเองได้ จึงเสด็จออกไปดู และมันก็เป็นอีกครั้งที่พระนางแย้มยิ้มทั้งน้ำตา

     

    วาโยพัดเคลื่อนแคล้ว  มาถึงชุนเทียน

    ใจพี่คิดคะนึง           ห่วงเจ้า

    แสงเหิงเยว่[11]สาดถึง     มาเล่าคีตะ

    ใจพี่พะวงเฝ้า           ก่อนสิ้นเพลา

                                หวงจางจิ้ง เฮยหลง

     

    **********

     

    [9] อิงฮวา คือ ดอกซากุระ

    [10] เฟิงฉู่ คือ ต้นเมเปิ้ล

    [11] เหิงเยว่ (恒月) แปลว่า ดวงจันทร์แห่งความเป็นนิรันดร์

     

    ไรท์แต่งกลอนจีนไม่เป็น เอาโคลงสี่สุภาพไปแทนละกันเนอะ!
      

    ขอบคุณสำหรับการติดตาม

    ซานเฟยหย่า

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×