คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 ถกเถียง (รีไรท์)
ตำหนักเฉียนชิง เรือนคัมภีร์ส่วนพระองค์
ห้องทรงอักษร
“ทูลฝ่าบาท
กงจู่ทั้งสองพระองค์เสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของฟางกงกง อันเป็นกงกงคนสนิทของจินหลงฮ่องเต้เอ่ยกับนายตน
“ให้ลูกหญิงเข้ามาได้เลย”
สุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยตอบ
“พ่ะย่ะค่ะ”
ผ่านไปไม่นานนักร่างเล็ก
ๆ ในอาภรณ์สีดำและขาวจึงปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะกล่าวคำถวายพระพรพร้อมเพรียงกัน
“ถวายพระพรเสด็จพ่อเพคะ”
“ตามสบายเถิด”
หลังได้ยินคำนั้น กงจู่ทั้งสองจึงคิดจะหันไปคารวะผู้อาวุโสอีกหนึ่งคนให้ห้อง
แต่ก็ถูกคนผู้นั้นเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ถวายพระกงจู่พ่ะย่ะค่ะ”
เป็นเถียนเทียนเหอ หรือก็คืออัครเสนาบดีเถียน
ผู้ทรงเป็นที่ปรึกษาของฮ่องเต้ตั้งแต่รัชสมัยของเฉียงหลงฮ่องเต้ กล่าวง่าย ๆ
ก็คือที่ปรึกษาของพระอัยกาของกงจู่ทั้งสองพระองค์นั่นเองที่เอ่ยขึ้นก่อน
“คารวะอัครเสนาบดีเถียน”
“หามิได้
หามิได้
พระองค์ทรงเป็นถึงกงจู่ไม่ควรทำความเคารพผู้ที่เป็นเพียงอัครมหาเสนาบดีเช่นกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
เถียนเทียนเหอกล่าวอย่างเกรงใจและร้อนรน
ด้วยเกรงว่าอาจทำให้โอรสสวรรค์ไม่พอใจที่ราชธิดาทำความเคารพขุนนางยศต่ำกว่า
แต่ในใจกลับชื่นชมกงจู่ทั้งสองเสียเหลือเกิน
ที่มีมารยาทแม้กระทั่งกับขุนนางเช่นตน
“ได้อย่างไรกัน
ข้าและน้องรองเป็นผู้น้อยส่วนท่านเป็นผู้อาวุโส
เสด็จแม่กล่าวว่าผู้น้อยย่อมต้องเคารพผู้อาวุโสกว่า”
และประโยคนั้นยิ่งทำให้อัครเสนาบดีชื่นชมมากกว่าเดิม
ด้วยกงจู่ทั้งสองแทนตนว่าข้า หาใช่คำว่าเปิ่นกงจู่ ดูแล้วช่างน่าเอ็นดูยิ่ง
โอรสสวรรค์เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงทรงพระสรวลเสียงดังราวกับพออกพอใจ
สร้างความงุนงงให้ขุนนางอาวุโสได้เป็นอย่างดี
“ดี
ดีมาก มารดาของเจ้าสอนเจ้ามาดีจริง ๆ ท่านอัครเสนาบดีดูสิ
บุตรสาวเจิ้นน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ แล้วเจิ้นจะให้พวกนางออกไปเผชิญโลกกว้างตามลำพังได้อย่างไรกัน?”
ประโยคแรกของจินหลงฮ่องเต้นั้นกล่าวชมราชธิดา ส่วนประโยคหลังกลับกล่าวตัดพ้ออย่างเศร้าสร้อย
ฮ่องเต้พระองค์นี้ปรับเปลี่ยนอารมณ์ตนเองได้ไวยิ่งนัก
“ที่บิดาเรียกพวกเจ้ามาครานี้
รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
“ลูกทราบเพคะ”
หลังได้ยินคำนั้น โอรสสวรรค์ถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความใจหายก่อนจะกล่าวประโยคถัดไป
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว
ส่วนท่านอัครเสนาบดีคงทราบดีอยู่แล้วใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นต้องการให้ท่านออกความเห็นเกี่ยวกับสำนักฝึกฝนที่เหมาะสมกับลูกหญิงให้หน่อย”
หลังกล่าวจบเนตรมังกรเหลือบไปมองที่บุตรสาวตนเล็กน้อยอย่างนึกเป็นห่วงด้วยกลัวว่าลูกรักจะเสียใจที่ต้องจากบ้านไกล
แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะนัยน์ตาของเด็กน้อยทั้งสองคนมีเพียงความมุ่งมั่น
สิ่งนั้นสร้างความปวดใจให้บิดาเช่นเขาเสียเหลือเกิน
เหตุใดกันบุตรสาวที่น่ารักจึงดูอยากออกจากอ้อมอกของบิดาผู้นี้เสียขนาดนั้น
อ่า...บิดาปวดใจเหลือเกินลูกรัก
หวงไป๋หลง
องค์หญิงรองของแคว้นที่เห็นบิดาตนทำสีหน้าเช่นนั้นจึงได้คิดกับตนเองเบา ๆ
เสด็จพ่อต้องกำลังคิดอะไรแปลก ๆ อยู่อย่างแน่นอน
นางกล้าเดิมพันด้วยเสี่ยวหลงเปาทั้งจานที่เสด็จแม่ทำให้เลยเชียว!
ผิดกับดวงตากร้านโลกของขุนนางเฒ่าที่เหลือบไปเห็นใบหน้าที่ดูเศร้าหมอง
ปนเจ็บปวดของนายเหนือหัว
ก็อดคิดไม่ได้ว่านายตนนั้นอาจจะกำลังคิดมากเรื่องสำนักฝึกฝนจนประชวร
จึงรีบเร่งกล่าวเสนออย่างไม่รอช้า
“ทูลฝ่าบาท
ว่ากันว่าที่เหนือสุดของแคว้นเรา มีเทือกเขาหิมะที่ไม่มีวันละลายตั้งอยู่
ที่แห่งนั้นถูกขนานนามว่า เทือกเขาตงเทียน รอบ ๆ เทือกเขามีป่ามายาขนาดใหญ่
อันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรนานาชนิด
โดยสัตว์อสูรที่อ่อนแอที่สุดจากที่แห่งนั้นเพียงหนึ่งตัวสามารถทำลายจวนขนาดใหญ่ได้ถึงสามจวนในพริบตาเดียว
เป็นอันรู้กันดีว่า ผู้ที่เข้าไปในป่ามายาหรือป่าตงเทียน
ล้วนแต่มิเคยมีผู้ใดรอดกลับมาได้เลย แม้เพียงศพก็ไม่มี
เสียงเล่าลือยังมิจบเพียงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ
เหล่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ชายขอบนอกเขตป่าตงเทียนในทุกคืนเดือนมืด
คนทุกคนจะฝันเห็นสิ่งเดียวกันคือ หญิงสาวผมสีขาวเป็นประกายกลมกลืนไปกับสีผิวขาวนวล
มักจะมาในชุดสีแดงชาด และมักมีพญาอสรพิษตนใหญ่อยู่ใกล้ ๆ กับสตรีนางนั้นเสมอ
สตรีผมขาวในความฝันมักจะบอกกล่าวให้ความรู้กับชาวบ้านทุกคราไป
จึงมิแปลกอันใดที่จะเป็นที่เล่าลือถึงสตรีนางนั้น
จนกระทั่งในวันหนึ่งได้มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าตงเทียน
เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างความตื่นตกใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก
ชายผู้ที่ออกมาจากป่าตงเทียนนั้นสวมชุดฝึกวรยุทธสีแดงชาด
สร้างความคุ้นตาให้ชาวเมืองเป็นอย่างยิ่งเพราะมันเป็นชุดที่คล้ายกับสตรีผมขาวในความฝันพ่ะย่ะค่ะ
ก่อนที่เขาคนนั้นจะขอเข้าพบหัวหน้าหมู่บ้านในทันที หลังจากผ่านไปเพียงชั่วยามกว่า ๆ
คนผู้นั้นก็ออกมา และเดินกลับหายเข้าไปในป่าตงเทียนทันที
เพียงหลังจากชายแปลกหน้าหายไปได้ไม่นาน
ชาวบ้านจึงได้รับรู้เรื่องราวจากการถ่ายทอดโดยตรงจากหัวหน้าหมู่บ้าน
เขากล่าวว่าชายคนเมื่อครู่เป็นคนจากพรรคหยงเหยวี่ยนฮวา
ที่ตั้งอยู่ในใจกลางเทือกเขาตงเทียน
เขาเป็นผู้นำสารจากประมุขพรรคมามอบให้หัวหน้าหมู่บ้าน
ซึ่งเนื้อความในสารกล่าวถึงพายุที่กำลังจะมาในอีกห้าวันจากนี้
หลายคนเชื่อว่าเป็นจริง บ้างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และบางคนไม่เชื่อเลย
แต่เพราะความสามัคคีของหมู่บ้านทำให้ไม่มีผู้ใดขัดที่จะทำตามสารนั้น
กลุ่มแรกที่ดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษก็ได้ทำตามคำสั่งของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
เห็นเช่นนั้นคนที่เหลือจึงช่วยกันทำงานอย่างขันแข็ง
เวลาผ่านไปห้าวัน
ท้องฟ้าในเช้าวันนั้นแปรปรวนราวกับจะเกิดพายุใหญ่ เพียงไม่นานนักห่าฝนก็เทลงมา
พายุในครั้งนั้นตกติดต่อกันถึงเจ็ดวัน
กระหม่อมคาดว่าพายุที่ว่าคงเป็นพายุใหญ่เมื่อราว ๆ เจ็ดปีก่อน เหตุการณ์ครั้งนั้นหมู่บ้านรอบข้างเดือดร้อนกันถ้วนหน้าด้วยผลผลิตทางการเกษตรที่เสียหาย
และไม่มีการกักตุนอาหาร ผิดกับหมู่บ้านที่ติดกับป่าตงเทียน ที่ไม่เพียงไม่ได้รับความเสียหายซ้ำยังปลอดภัยกันถ้วนหน้า
เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ชาวบ้านสรรเสริญและเคารพประมุขพรรคหยงเหยวี่ยนฮวาอย่างสนิทใจ
จนถึงขั้นตั้งชื่อหมู่บ้านว่าหมู่บ้านหยงเหยวี่ยนฮวาเพื่อให้เกียรติพรรคที่ช่วยตนไว้
หลังจากนั้นไม่นานจึงทำให้พวกเขาทราบว่าพรรคหยงเหยวี่ยนฮวานี้เป็นพรรคเดียวกับสำนักอันดับหนึ่งเมื่องหลายร้อยปีก่อน
กล่าวกันว่าเป็นดังดอกไม้สีชาดที่ผลิบานงดงามท่ามกลางเทือกเขาตงเทียนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว
ราวกับจักรพรรดินีแห่งหมู่มวลดอกไม้ฤดูหนาว ไม่เพียงเท่านี้ยังมีตำนานกล่าวถึงดอกสือซว่านวิเศษที่ผลิบานเพียงที่พรรคหยงเหยวี่ยนฮวา
ว่ากันว่ามันเป็นดอกไม้ที่รักษาได้ทุกโรค หากผู้ใดได้รับดอกสือซว่านจากพรรคหยงเหยวี่ยนฮวามาบดทำเป็นยารักษา
โรคที่เป็นอยู่ก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง บ้างก็ว่ามันสามารถคืนชีวิตให้คนตายได้
น่าเสียดายที่ดอกไม้ชนิดวิเศษนี้มีอยู่เพียงที่เดียวคือพรรคหยงเหยวี่ยนฮวาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
อัครเสนาบดีกล่าวยาวเหยียด
เรื่องเล่ามันยาวเสียจนขนาดที่ผู้เล่าต้องขอน้ำชาเพิ่มเพื่อดับกระหาย
หลังโอรสสวรรค์ได้ฟังเรื่องเล่า
ดวงตามังกรเปล่งประกายวาววับอย่างสนใจ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ท่านจะกล่าวว่าสำนักหยงเหยวี่ยนฮวาที่ว่านั้น
เหมาะสมกับลูกหญิงใช่หรือไม่!?"
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ก่อนที่ทั้งสองจะได้สนทนากันต่อ
ฟางกงกงจึงได้เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“ขออภัยฝ่าบาท
ฮองเฮาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” โอรสสวรรค์ได้ยินเช่นนั้นจึงคิดว่า ภรรยาตนคงอยากรับรู้เรื่องลูกด้วยจึงอนุญาตให้เข้ามา
หรงฮองเฮาเอ่ยทำความเคารพสวามี
จากนั้นผู้ที่มียศต่ำกว่าทั้งสามคนจึงได้ทำความเคารพฮองเฮาตามพิธี
“หม่อมฉันขอกล่าวตามตรงว่าหม่อมฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้ลูก
ๆ ทั้งสองเข้าฝึกฝนที่สำนักหยงเหยวี่ยนฮวาเพคะ” หรงฮองเฮาที่มาทันฟังเรื่องเล่าของอัครเสนาบดี
ได้เอ่ยประโยคที่สร้างความไม่เข้าใจให้ผู้ฟังไม่น้อย
“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า?
เจ้าพอจะบอกเหตุผลพี่ได้หรือไม่?” จินหลงฮ่องเต้เอ่ยถาม
“ฝ่าบาท
สำนักหยงเหยวี่ยนฮวาที่ท่านอัครเสนาบดีกล่าวมานั้นใช่ว่าหม่อมฉันกล่าวหาว่าไม่ดี
เพียงแต่ว่าพวกเราทั้งหมดล้วนรู้เรื่องสงครามสวรรค์เมื่อหลายร้อยปีก่อนดี
หากพรรคหยงเหยวี่ยนฮวาเป็นดั่งเช่นที่ท่านอัครเสนาบดีกล่าวจริง
มิใช่ว่านั่นคือสำนักอันเป็นต้นเหตุของสงครามหรอกหรือเพคะ? อีกทั้งจากที่กล่าวมาสำนักฝึกฝนที่ว่าตั้งอยู่กล่างป่าตงเทียน
สัตว์อสูรอาศัยอยู่มากมาย เส้นทางจากตีนเขาไปถึงกลางเทือกเขานั้นแสนไกล
จากที่ฟังดูแล้ว หม่อมฉันคิดว่าอันตรายเกินไปสำหรับลูกหญิงเพคะ”
สัญชาตญาณความเป็นแม่ที่ถูกปลุกขึ้นมานั้น
ทำให้คนพูดน้อยอย่างหรงซิ่วอิงสามารถที่จะกล่าวออกมายาวเหยียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งคำที่กล่าวมายังมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย
หวงเฮยหลงนั้นอึกอักอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่ตนรู้ออกไป
“ทูลเสด็จแม่
เรื่องนี้ลูกคิดว่ามิได้มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวเพคะ”
“อย่างไร?”
“เสด็จแม่จำวันเกิดของลูกและไป่ไป๋เมื่อปีก่อนได้หรือไม่เพคะ?”
“แม่จำได้
ครานั้นเจ้าเล่าให้แม่ฟังว่าได้สหายคนแรกมา ใช่หรือไม่?”
“เพคะ
สหายผู้นั้นคือองค์ชายเจ็ดของแคว้นเสวียนอู่ นามหยินหานตง นามรองมี่เสอ
พี่ชายของเขาคือองค์ชายสามหยินซิ่นหลิง นามรองคุนเสอ
องค์ชายสามผู้นี้คือศิษย์สำนักหยงเหยวี่ยนเพคะ” คำพูดนี้ทำให้มารดาแห่งแผ่นดินเบาใจลงได้บ้างว่าอย่างน้อยสำนักที่กล่าวมานั้นพอจะมีน้ำหนักที่ดีขึ้นมานิดหน่อย
แต่ถึงกระนั้นพระนางก็ยังคงไม่หมดเรื่องกังวลใจ
“แม่เข้าใจแล้ว
แต่วิธีการเดินทางเล่า ลูกคิดจะให้แม่ปวดใจตายหรือกระไรกัน
เจ้าทั้งสองจะขึ้นเขาฝ่าฝูงสัตว์อสูรไปเช่นไร?” ยิ่งพูดออกมา พระนางยิ่งใจหาย
สำนักหยงเหยวี่ยนมีจริงแล้วอย่างไร ไม่มีจริงแล้วอย่างไร ในเมื่อหนทางที่จะไปนั้นแสนลำบาก
บุตรสาวนางแค่เจ็ดขวบจะเดินทางกันได้เยี่ยงไรกัน
“น้องหญิงเจ้าใจเย็นลงก่อน
ลูกจะไปหรือไม่นั้นให้ลูกเป็นผู้ตัดสินเถิด เจ้าอย่าวู่วามเลย”
จินหลงฮ่องเต้เอ่ยตอบภรรยาตนพลางส่งสัญญาณออกคำสั่งให้อัครเสนาบดีเถียนออกจากห้องไป
เพลานี้ในห้องทรงอักษรจึงเหลือเพียงผู้สูงศักดิ์ทั้งสี่
“เสด็จพี่! ท่านไม่เป็นห่วงลูกบ้างหรือ จิ้งเอ๋อร์กับหมิ่นเอ๋อร์จะไปได้อย่างไร?”
ก่อนที่สุรเสียงกังวานจะได้กล่าวสิ่งใดต่อก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะสัมผัสบนข้อมือ
ดวงตาหงส์หันไปมองที่สัมผัสนั้น มือเล็ก ๆ
ของลูกสาวคนรองกำลังคว้าจับข้อมือของนางเอาไว้ ใบหน้าหวานแย้มยิ้มเบา ๆ
ฝ่ามือของบุตรสาวคนโตวางอยู่บนหลังมืออีกข้างของนาง เสียงเย็นสบายหูดังขึ้นและเป็นไปด้วยความเชื่องช้าราวกับกำลังปลอบประโลมนางอยู่
“เสด็จแม่อย่ากังวล
ลูกและน้องรองตัดสินใจจะไปศึกษาที่สำนักหยงเหยวี่ยนฮวา
แม้หนทางจะอันตรายแต่เสด็จแม่เคยกล่าวกับลูกว่า เชื่อในตัวของลูกและไป่ไป๋ว่าเราต้องทำได้
มันจะเป็นเช่น...อีกทั้งท่านน้าที่เป็นแม่ทัพประจำทิศเหนือของแคว้นเราก็ประจำอยู่ใกล้
ๆ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นท่านน้าสามารถช่วยพวกเราได้”
“เสด็จแม่โปรดวางใจ
พวกเราให้สัญญาว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัยและภาคภูมิ”
ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกัน
น้ำพระเนตรของมารดาแห่งแผ่นดินหลั่งไหลอาบแก้มนวล
พระโอษฐ์แย้มยิ้มอ่อนแรง แม้จะห่วงหาสักเพียงใดแต่ในเมื่อบุตรีเอ่ยเช่นนี้
นางคงต้องปล่อยวาง อย่างไรเสียชีวิตก็ของพวกนาง
ย่อมต้องให้ทั้งสองคนเลือกทางเดินกันเอาเอง
“เด็กดื้อ
พวกเจ้าสัญญากับแม่แล้วนะ” น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง แต่กลับอ่อนใจ
“เพคะ
พวกเราสัญญา”
จินหลงฮ่องเต้ทำเพียงทอดพระเนตรอย่างเงียบงัน
ใช่ว่าเขาไม่ห่วงลูก
เพียงแต่บางทีการปล่อยให้เด็กทั้งสองคนไปใช้ชีวิตกันเองบ้างก็ถือเป็นเรื่องดี
แต่อีกใจนึงกลับไม่อยากปล่อยทั้งสองคนไป เป็นเพราะเขาที่ทำให้ลูกสาวคนโตกดดันตัวเองมากเกินไป
ในกาลก่อนเขาไม่เคยคาดหวังว่าบุตรีทั้งคู่ต้องเก่งกาจหรือมีพลังอันแข็งแกร่งเหนือใคร
เพียงให้เป็นคนดีก็เพียงพอ แต่เพราะนามหลงที่มีอยู่ในชื่อนั้นพวกนางจึงจำต้องพยายามมากกว่าผู้อื่นจนความสามารถนั้นเป็นที่เลื่องลือมากขึ้นเรื่อย
ๆ
ลึก
ๆ ในใจของฮ่องเต้เฉกเช่นเขาจึงได้มีความคาดหวังโผล่ขึ้นมา มีคำ ๆ หนึ่งที่เสด็จพ่อของเขาเคยกล่าวเอาไว้ก่อนสวรรณคต
การเป็นฮ่องเต้ที่ดีไม่อาจเป็นสามีและบิดาที่ดีได้
และเช่นเดียวกันการเป็นบิดาและสามีที่ดีก็ไม่อาจเป็นฮ่องเต้ที่ได้
ในครานั้นเขาไม่อาจเข้าใจประโยคนั้นได้เลย แต่ในยามนี้ในฐานะบิดาแล้วเขาไม่อยากให้บุตรสาวต้องลำบาก
แต่ในฐานะฮ่องเต้เขากลับคาดหวังให้ลูก ๆ ทำได้ดีที่สุด
เป็นความรู้สึกที่น่ารังเกียจ และน่าชิงชังเหลือเกิน
ตำหนักหลิ่งเหวิน
สวนอิงฮวา[9]
สามวันถัดมาในเช้าวันเกิดของกงจู่ฝาแฝด
องค์หญิงน้อยทั้งสองคนตัดสินใจมาเยี่ยมฮองไทเฮาก่อนที่จะถึงเวลาฉลองวันเกิด
หวงเฮยหลงและน้องสาวยืนหยุดอยู่ที่หน้าทางเข้าสวนอิงฮวา
เสียงหัวเราะพูดคุยสนุกสนานดังพัดผ่านมาตามลม
คาดว่าเวลานี้เหล่าองค์หญิงองค์ชายคงอยู่กันพร้อมหน้า
ขันทีที่ประจำหน้าทางเข้าหวังจะประกาศการมาของกงจู่ทั้งสองก็ต้องถูกหยุดเอาไว้โดยเจ้าของชื่อ
แฝดมังกรลัดเลาะตามทางเดินไปอย่างเงียบงัน
ดวงตาทั้งสองสีเก็บเอาบรรยากาศเวลานี้เอาไว้เต็มอก ใบอิงฮวาในฤดูชิวเทียนมีสีแดง
และส้มสลับไปมา เสียงน้ำตกเทียมดังคลอไปกับเสียงหัวเราะของเด็กน้อยทั้งชายหญิง
และเสียงพูดสนทนาของเหล่าหญิงสาว ร่างขาวดำหลบที่หลังต้นไม้ใหญ่จ้องมองไปยังภาพบรรยากาศอบอุ่นตรงอย่างเงียบงัน
หวงไป๋หลงเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าเป็นเหตุให้ผู้พี่ต้องยกมือขึ้นลูบหัวเพื่อปลอบประโลม
แต่ทำอย่างไรไม่รู้จึงได้กลายเป็นว่ายืนน้ำตาไหลนองหน้ากันสองคน
“พี่ใหญ่!
พี่รอง!” เสียงแหลมเล็กของเด็กชายวัยหกขวบดังขึ้นเมื่อตนสังเกตเห็นคนคุ้นตายืนอยู่ห่าง
ๆ สองแฝดแทบเช็ดน้ำตาออกไม่ทัน หวงหลิ่งหลงแย้มยิ้มดีใจ
“เสด็จพี่
พวกท่านร้องไห้หรือ?” แต่ผู้ที่เดินเข้ามาใกล้กลับเป็นหวงฮุ่ยหมิง หรือมู่หลง
น้องหกของพวกนาง
“ร้องไห้อะไรกันเล่า! พี่รองคนนี้แค่ฝุ่นเข้าตาต่างหาก”
หวงไป๋หลงกล่าวทัดทานคำพูดน้องชาย
“แต่ท่านจมูกแดง”
หวงมู่หลงยังคงสงสัย
“เป็นเพราะฝุ่นเยอะ
ก็เลยจามอย่างไรล่ะ” และมังกรขาวก็ยังคงกล่าวตอบไปเช่นเดิม
และก่อนที่สงครามน้ำลายจะยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ฮองไทเฮาจึงเอ่ยเรียกขึ้นมาเสียก่อน
ทั้งสามคนจึงต้องเดินเข้าไปให้บริเวณศาลาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นอิงฮวาหลายต้น
“ถวายพระพรเสด็จย่า
เสด็จแม่ และเสด็จแม่เฟยทั้งสามเพคะ” เสียงถวายพระพรดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“ตามสบาย”
“ขอบพระทัยเพคะ”
หลังกล่าวจบฮองไทเฮาจึงเชื้อเชิญหลานสาวให้นั่งลงข้างตน ฝ่ามือของหญิงชราลูบไปบนศีรษะทุยของหลานสาวอย่างเบามือ
“ถ้าหลานหญิงออกไปฝึกแล้วย่าคงคิดถึงน่าดู
น้อง ๆ เจ้าคงถามหาไม่เว้นวันเลยเชียว”
“เสด็จพี่จะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
องค์ชายเจ็ดหวงจิ่นเลี่ยน หรือนามรองหั่วหลง บุตรชายของหลิวเต๋อเฟย
หวงหั่วหลงมีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ ๆ ขององค์หญิงแปดที่มีเรื่องราวกันเมื่อคราวก่อน
“พี่จะออกไปฝึก
จิ่นเอ๋อร์ต้องเชื่อฟังเสด็จแม่และดูแลน้องแปดน้องเก้าดี ๆ เข้าใจหรือไม่?”
หวงเฮยหลงเอ่ยกับน้องชายต่างมารดาด้วยความรัก
“จิ่นเลี่ยนเข้าใจแล้ว
แล้วเสด็จพี่จะกลับมาเมื่อใดหรือ?”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว
ส่วนเรื่องกลับมาเมื่อใดพี่ก็ไม่อาจรู้ได้
แต่เจ้าอยู่ที่นี่อย่าซุกซนแล้วก็อย่าทะเลาะกับเต๋อเฟยบ่อยนักเล่า
อย่างไรเสียหลิวเต๋อเฟยก็เป็นมารดาของเจ้า”
“จิ่นเลี่ยนจะทำตามที่พี่หญิงบอก
แต่ท่านต้องรักษาตัวดี ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ” องค์หญิงใหญ่เมื่อได้ยินดังนั้นก็วางใจ
แล้วพยักหน้ารับปากน้องชายแต่โดยดี พร้อมยกมือลูบศีรษะของน้องชายเบา ๆ
“อะไรกันน้องเจ็ด
ไยเจ้าลาแต่พี่ใหญ่ไม่เห็นมาเอ่ยลาพี่รองคนนี้บ้างเล่า หืม?”
เป็นหวงไป๋หลงที่มักจะกล่าวขัดบรรยากาศอยู่ร่ำไป แต่มันก็เป็นข้อดีเพราะทำให้บรรยากาศไม่ชวนหดหู่ไปมากกว่านี้
และเพราะประโยคขัดนั้นเองที่ทำให้เกิดสงครามน้ำลายขนาดย่อมขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
จากที่ถกเถียงกันอยู่สองคนกลายเป็นว่าองค์ชายสามก็มาเข้าร่วมด้วยเมื่อไรก็ไม่อาจรู้ได้
“แม่ดีใจที่พวกเจ้ารักใคร่กันนะ”
ฮองเฮาเอ่ยขึ้น
“ถูกของพี่หญิงใหญ่
เห็นลูก ๆ รักกันเช่นนี้แม่เบาใจเหลือเกิน” เฉินกุ้ยเฟยกล่าวรับ
ใบหน้าค่อนไปทางหวานสวยของพระสนมเอกเผยความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
ฮองไทเฮาที่นั่งฟังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ปีนี้จิ้งเอ๋อร์กับหมิ่นเอ๋อร์ต้องออกไปฝึก
ปีหน้าก็เป็นคราวของเฟยเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์
วังหลังแห่งนี้คงเงียบยิ่งกว่าเดิมมากนัก” เยวี่ยนซูเฟยกล่าวกับตนเองอย่างใจหาย
ส่วนผู้ฟังที่เหลือก็พร้อมใจกันถอนหายใจออกมาอย่างวูบโหวง
“เด็ก
ๆ โตกันเร็วเกินไปหรือไม่นะ?” แม้เสียงของหม่าเสียนเฟยจะดังเบาสักเพียงใดแต่สำหรับบรรยากาศเงียบงันเช่นนี้กลับทำให้เสียงดังขึ้นอย่างทั่วถึง
“เอาล่ะ
ๆ อย่าเศร้าหมองนักเลยวันนี้วันเกิดหลานหญิงเราไม่ควรเศร้าหมองกันเช่นนี้”
เมื่อผู้เป็นใหญ่เห็นว่าบรรยากาศนั้นเศร้าหมองเกินไปจึงต้องเอ่ยขึ้น
“ถูกของเสด็จแม่
วันนี้วันดีไม่ควรโศกเศร้ากันจริง ๆ ไปจิ้งเอ๋อร์ หมิ่นเอ๋อร์
เราไปเตรียมตัวกันเถอะ” จากนั้นฮองเฮาจึงทำความเคารพแม่สามีแล้วจึงพาบุตรสาวออกไป
ดวงตาของมังกรดำเหลือบไปเห็นองค์หญิงน้อยทั้งสองที่นั่งเงียบอยู่ที่มุม
จึงคิดจะเข้าไปทักทายแต่เพราะหรงฮองเฮานั้นจูงมือตนอยู่ จึงไม่อาจผละออกไปได้
นางจึงได้เพียงเก็บงำความสงสัยเอาไว้
และแล้วงานฉลองครบเจ็ดชันษาของกงจู่ทั้งสองพระองค์ก็จบสิ้นลงในยามเย็น
ค่ำคืนนั้นองค์หญิงใหญ่ไม่อาจข่มตาหลับได้เลย
ร่างเล็กในอาภรณ์สีดำที่กลมกลืนไปกับความมืดจึงค่อย ๆ ลัดเลาะหลบเวรยาม
มุ่งหน้าตรงไปที่สถานที่ส่วนตัวของตนเองที่อยู่ใกล้กับตำหนักหมิงเซียนของเฉินกุ้ยเฟย
ที่แห่งนั้นมีสถานที่ที่เรียกว่าสระมรกตอยู่
ทั้งยังมีต้นเฟิงฉู่[10]ขนาดใหญ่ที่สุดในวังหลวงอยู่หนึ่งต้น
กิ่งก้านสาขาของมันใหญ่พอที่จะให้ผู้ใหญ่หลายคนขึ้นไปนั่งได้สบาย และในยามกลางวันยังเป็นร่มเงาให้ผู้คนได้หลบแดด
ร่างเล็ก
ๆ ของนางนั่งอยู่บนกิ่งสูงที่สุดที่พอจะนั่งได้
ดวงตามังกรสีเงินสว่างจดจ้องไปยังสระมรกตเบื้องล่าง ใบเฟิงฉู่สีแดงสดในฤดูใบไม้ร่วงปลิวโปรยปราย
แสงจันทร์ที่กระทบผิวน้ำดูราวกับภาพของสรวงสวรรค์
เส้นเกศาสีขาวเงินที่ไม่ได้ถูกรวบให้เรียบร้อยนั้นปลิวไปพร้อมกับสายลมที่พัดพา
“น้องสี่
น้องห้า เมื่อหลายเดือนก่อนพี่ใหญ่ยังไม่ได้มาอวยพรวันเกิดพวกเจ้าเลยสินะ
ครานี้พี่คงไม่ได้อยู่ที่วังหลวงอีกหลายปี จึงคิดจะมาลาพวกเจ้าก่อน
ถึงแม้เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันแต่พี่ก็ยังระลึกเสมอว่าพวกเจ้าคือน้องชาย
วันนี้ดวงจันทร์งามนักพี่ใหญ่ว่าจะเล่นเพลงให้พวกเจ้าฟัง เพลงนี้พี่แต่งเองพวกเจ้าลองฟังดูเถอะ”
น้ำเสียงเจือความคิดถึงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันยามค่ำคืน
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าองค์หญิงใหญ่นั้นตรัสกับผู้ใด แต่ผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ต้นเฟิงฉู่นั้นรู้ดี
เฉินกุ้ยเฟยที่ยามนี้ประทับอยู่ที่เรือนของตำหนักหมิงเซียน
ใกล้ ๆ กับสระสรกต ได้ยินเสียงแผ่วของหวงเฮยหลงอย่างชัดเจน
เมื่อหลายปีก่อนที่แห่งเป็นเพียงสระน้ำโล่งกว้างที่มีต้นเฟิงฉู่ขึ้นเพียงต้นเดียว
ต่อมาเมื่อนางแท้งบุตร เถ้าอังคารของบุตรชายถูกกลบฝังไว้ที่แห่งนี้ตามความต้องการของนางเอง
ส่วนที่ที่เถ้ากระดูกนั้นถูกฝังอยู่ก็คือให้ต้นเฟิงฉู่ใหญ่ต้นนั้น
ในครานั้นนางหวังเพียงอยากให้ลูกน้อยอยู่ใกล้
ๆ ตน แต่ทว่าเมื่อสามปีก่อนอยู่ ๆ องค์หญิงใหญ่ก็มา ณ ที่แห่งนี้
ปีนขึ้นไปนั่งบนต้นเฟิงฉู่ใหญ่ต้นนั้น ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอ่ยลำพังเพียงผู้เดียว
สำหรับกุ้ยเฟยเช่นนางนั่นไม่ได้น่าตกใจอะไร
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือคำเรียกขานที่เอ่ยออกมา น้องสี่ น้องห้า
จะใช่ใครอื่นใดไปได้อีก น้องเสียจากบุตรชายที่ตายไปแล้วของนาง
นางเคยเอ่ยถามออกไป
ส่วนคำตอบที่ได้ยินมาก็คือ
“หลายวันก่อน
เสด็จแม่กุ้ยเฟยหลับอยู่ที่เก๋งริมสระมรกต และกล่าวละเมอเรียกน้องสี่กับน้องห้าออกมา
จริง ๆ แล้วจางจิ้งสงสัยมาโดยตลอดว่าน้องสี่กับน้องห้าหายไปที่ใด จึงได้ไปเรียนถามเสด็จแม่”
“พี่หญิงใหญ่ตอบเช่นใด”
“เสด็จแม่กล่าวว่าน้องสี่กับน้องห้านอนอยู่ที่นี่
จางจิ้งจึงมาพูดคุยเป็นเพื่อนเล่นกับน้องทั้งสองคนเพคะ”
ตั้งแต่นั้นมาองค์หญิงใหญ่ก็มักจะมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับน้องของตน
จากนั้นเพราะต้องเรียนมากขึ้น จากที่มาทุกวัน เหลือเป็นสัปดาห์ครั้ง
เป็นเดือนละครั้ง และสิ้นสุดที่ปีละครั้ง วันนั้นวันที่ลูกแฝดของนางเกิดมาและตายลง
วันครบรอบเมื่อหลายเดือนก่อนหวงเฮยหลงไม่ได้มาเพราะติดเรียนและฝึกฝน
ดูท่าแล้ววันนี้คงจะเป็นวันชดเชยกระมัง
ท่วงทำนองแห่งความคิดถึงดังหวีดหวิวออกมาจากขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดาเลานึง
น่าอัศจรรย์ที่มันกลับแสนไพรเราะเกินจะบรรยาย เสียงขลุ่ยเลานั้นดังขึ้นพร้อมกับสายลมที่กรีดกราย
กลีบใบไม้สีแดงที่พัดพาบนอากาศคล้ายกำลังเต้นรำให้กับท่วงทำนองดนตรี แสงจันทร์
กลีบใบไม้ ผืนแผ่นน้ำ เสียงดนตรี และหญิงงาม จะมีสิ่งใดงดงามมากกว่านี้ได้กัน
น้ำตาเฉินกุ้ยเฟยรินไหลอาบแก้มนวล
จากนี้ไปอีกหลายปีบุตรชายของนางคงไม่ได้ฟังเสียงดนตรีจากพี่สาวของพวกเขา
ช่างเป็นเรื่องที่น่าใจหายจริง ๆ
เสียงดนตรีจบลงแล้ว
ร่างเล็ก ๆ ของกงจู่จึงขยับตัวลงจากต้นไม้
ก่อนจะทำบางสิ่งที่ลำต้นไม้ใหญ่อยู่ครู่หนึ่งจึงจากไป
กุ้ยเฟยที่ไม่อาจทนความสงสัยของตนเองได้ จึงเสด็จออกไปดู
และมันก็เป็นอีกครั้งที่พระนางแย้มยิ้มทั้งน้ำตา
วาโยพัดเคลื่อนแคล้ว มาถึงชุนเทียน
ใจพี่คิดคะนึง ห่วงเจ้า
แสงเหิงเยว่[11]สาดถึง มาเล่าคีตะ
ใจพี่พะวงเฝ้า ก่อนสิ้นเพลา
หวงจางจิ้ง เฮยหลง
**********
[9] อิงฮวา คือ ดอกซากุระ
[10] เฟิงฉู่ คือ ต้นเมเปิ้ล
[11] เหิงเยว่ (恒月)
แปลว่า ดวงจันทร์แห่งความเป็นนิรันดร์
ไรท์แต่งกลอนจีนไม่เป็น
เอาโคลงสี่สุภาพไปแทนละกันเนอะ!
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
ซานเฟยหย่า
ความคิดเห็น