ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    雪見 ครั้นเมื่อเหมันต์มาเยือน

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 กำเนิดบุตรมังกร (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 65


    รัชศกชงหยวนที่ 5 วังหลวง แคว้นชิงหลง

    สายลมพัดผ่านกรีดอากาศดังเป็นเสียงแหลมสูง ใบไม้แห้งในฤดูใบไม้ร่วงต่างโปรยปรายเพราะต้องสายลม ท้องฟ้ามืดมิดสุกสกาวไปด้วยแสงของดวงดารา เขตพระราชฐานชั้นในที่เวลานี้ควรจะเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา และเสียงกรีดร้องราวเจ็บปวดอย่างสุดแสนที่ดังไม่หยุดมาหลายชั่วยามแล้ว

     

    โอรสสวรรค์ในอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยนักเดินไปมาที่หน้าตำหนักแห่งหนึ่ง ราวกับต้องการระบายความเครียดของตนเอง ฮองไทเฮานั่งพักที่ตำหนักรับรอง นางกำนัลข้างกายผู้หนึ่งใช้พัดโบกสะบัดไล่ความร้อน อีกผู้หนึ่งนำเครื่องหอมมีฤทธิ์แก้อาการวิงเวียนส่งให้ผู้เป็นนาย หญิงสาวหลายคนนั่งจับจ้องไปยังห้องอันมีเสียงกรีดร้องของสตรีผู้หนึ่งอย่างคาดหวัง

     

    สำหรับสนมผู้มีจิตใจอันดำมืด และคิดอิจฉาริษยานั้น ความคาดหวังที่ว่าคงไม่พ้นให้ทั้งฮองเฮาและบุตรที่กำลังจะเกิดมานั้น สิ้นใจไปเสีย บ้างก็คาดหวังให้ทารกที่กำลังจะเกิดมานั้นมีเพศเป็นหญิง ด้วยหวังว่าองค์หญิงคงจะไม่มีสิทธิในการสืบราชบัลลังก์  แต่สำหรับคนสนิทของฮองเฮาอย่าง เฉินกุ้ยเฟย เยวี่ยนซูเฟย และหม่าเสียนเฟยนั้น กลับกำลังคาดหวังให้ผู้ที่ตนนับถือเป็นพี่หญิงใหญ่และบุตรที่กำลังจะเกิดมาปลอดภัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็เพียงพอ

     

    ทว่าภายในตำหนักประสูตินั้น ไร้วี่แววของความเงียบสงบ หมอหญิงและหมอตำแยหลายคนวิ่งวุ่นไปทั่ว และในที่สุดเวลาที่เสียงกรีดร้องสุดท้ายดังขึ้น หรงฮองเฮาแทบสิ้นสติแต่ก็ยังคงครองสติตนเองเพื่อพบหน้าบุตรคนแรก

    “เป็นองค์หญิงเพคะฮองเฮา องค์หญิงใหญ่เพคะ” เพียงทว่าเสียงของหมอตำแยผู้นั้น กลับไม่อาจดังเข้าสู่โสตประสาตของมารดาแห่งแผ่นดินได้เลย หมอตำแยผู้นั้นเบิกตากว้าง ปากตะโกนบอกคนที่เหลือปาว ๆ ว่ายังมีเด็กอีกคนที่ยังไม่ออกมา และแล้วความวุ่นวายก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง

     

    ฮองไทเฮาที่ยังคงประทับอยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นอีกครั้ง สีพระพักตร์ที่กำลังดีขึ้นก็ซีดเผือกลงไปยิ่งกว่าเก่า ซื่อฟูเหรินทั้งสาม นั่งกุมมือเคียงข้างกันอย่างเคร่งเครียด ฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นี้แทบจะถลาเข้าไปในห้อง ๆ นั้นหากไม่ได้ฮองไทเฮาห้ามเอาไว้ บรรยากาศเคร่งเครียดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ...และแล้ว ความวุ่นวายผ่านเลยไปไม่นานนัก ตำหนักประสูติก็เงียบเสียงลงไปอีกครั้ง

     

    บุตรีทั้งสองถูกนำมาวางไว้ใกล้อ้อมแขนของผู้เป็นมารดา น้ำตาแห่งความสุขไหลอาบแก้มของหรงซิ่วอิง มารดาแห่งแผ่นดินแย้มสรวลอย่างอ่อนแรง

     

    “ลูกหญิงของแม่ ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง” น้ำเสียงแห่งความอ่อนโยนถูกส่งไปยังทารกตัวแดงทั้งสองคน ก่อนที่ความเหนื่อยล้าจะเข้าครอบงำ ครั้นที่ดวงตาปรือปรอยนั้นจะหลับลง กลีบปากสวยได้ส่งคำสั่งให้คนสนิท “นำลูกหญิงไปหาฝ่าบาทเถิด พระองค์คงรอนานแล้ว”

    “เพคะ” นางกำนัลคนสนิทตอบกลับอย่างดีใจ ก่อนจะสั่งให้หมอรอบกายและนางกำนัลรอบ ๆ ให้ปรนนิบัติฮองเฮาให้ดี ว่าแล้วนางก็ได้นำร่างน้อย ๆ ขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ออกไปหาผู้เป็นราชบิดา

    โอรสสวรรค์ที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าประตูตำหนักถูกเปิดออก ก็ทรงได้รีบถลาเข้าไปทันที ทว่าก่อนที่ร่างสูงนั้นจะได้ย่างกรายเข้าไปให้ตำหนัก กลับต้องหยุดชะงักลงเสียก่อน ดวงตามังกรสีขาวเงินจับจ้องไปยังร่างแดง ๆ ของเด็กน้อยในอ้อมแขนของคนสนิทภรรยาตน แววตานั้นคล้ายอ่อนแสงลงหลายส่วน เสียงนุ่มทุ้มถามออกไปอย่างร้อนรน และแฝงไปด้วยความตื้นตันใจอย่างยิ่ง

     

    “เป็นหญิงหรือชาย?

    “เป็นพระราชธิดาทั้งสองพระองค์เพคะฝ่าบาท”

    หลังได้รับคำตอบ ดวงหน้าของผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งแผ่นดินแย้มสรวลด้วยความรู้สึกสุขใจและโล่งอกที่ธิดาของพระองค์สามารถลืมตาดูโลกได้โดยปลอดภัย หลังจากนั้นแววตาของพระองค์จึงเปลี่ยนเป็นดูคล้ายกับกำลังกลั้นหัวเราะ ด้วยดวงตาของเขาเผลอไปมองเห็นกิริยาแสนน่ารักของบุตรสาวหมาด ๆ ของตนเอง

     

    หวงจินหลงฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังบนศีรษะน้อย ๆ ทารกเจ้าของไรผมสีน้ำหมึก ใบหน้าของนางแย้มยิ้มกว้าง ดวงตาสุกสกาวนั้นช่างดูคล้ายคลึงกับมารดาของนางเหลือเกิน ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งเด็กน้อยก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา บรรยากาศรอบข้างดูคล้ายถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์ กลับกันทารกอีกผู้หนึ่งได้ครอบครองเส้นผมสีขาวสว่าง แววตาสีขาวเงินเช่นเดียวกันกับเขาทำเพียงจับจ้องมาอย่างสงสัยใคร่รู้เท่านั้น คนหนึ่งหัวเราะอีกคนกลับแสนนิ่งสงบ สำหรับเขาแล้วสิ่งนั้นดูน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

    “ส่งคนพี่มาให้เจิ้น” หวงฮ่องเต้ออกคำสั่ง นางกำนัลปฏิบัติตาม ทารกผมขาวถูกส่งให้กับนายเหนือหัว มือใหญ่ของเขาเอื้อมมือออกไปรับมา และกล่าวให้นางกำนัลคนเดิมให้อุ้มลูกคนรองเดินตามตนเองไป

     

    ร่างสูงโอบอุ้มลูกคนแรกไปหาราชมารดาของพระองค์ ดวงตาคมออกคำสั่งให้นางกำนัลนำลูกสาวคนรองไปให้ฮองไทเฮาที่ยืนอยู่ไม่ไกล เมื่อหมดหน้าที่แล้วนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาจึงกลับเข้าไปหาผู้เป็นนายอีกครั้ง

     

    “ยินดีกับด้วยเสด็จแม่ด้วย ท่านได้หลานสาวพร้อมกันถึงสองคน” หวงฮ่องเต้เอ่ยกับมารดาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

    “แม่ต่างหากที่ต้องยินดีกับฝ่าบาท ดูสิได้บุตรสาวน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้…แล้วเด็กคนนี้เป็นผู้น้องเช่นนั้นหรือ?” ฮองไทเฮายิ้มรับอย่างสุขใจ แล้วจึงกล่าวถามถึงทารกน้อยในอ้อมอกในประโยคถัดมา แท้จริงแล้วพระนางไม่จำเป็นต้องเสด็จมาที่นี่ก็ได้ แต่เพราะความเอ็นดูในลูกสะใภ้จึงได้เดินทางมา ไม่คิดไม่ฝันว่าตนจะได้หลานพร้อมกันถึงสองคน

    “เสด็จแม่กล่าวถูกต้อง”

    “ฝ่าบาทตั้งชื่อแล้วหรือยัง” หลังจากคำถามนั้น ฮ่องเต้ได้เงียบเสียงลงอย่างครุ่นคิด และเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา

    “หวงจางหมิ่น นามรองให้เรียกขานว่าไป๋หลง” สุรเสียงที่ตรัสออกมาของโอรสสวรรค์แฝงไปด้วยความเอ็นดู ปกติแล้วนามรองมักจะได้รับตอนอายุ 5 ขวบ แต่สำหรับราชวงศ์หวงแล้ว นามรองจำเป็นต้องตั้งขึ้นพร้อมกับนามแรกเกิด

    “มังกรขาว? นามของแฝดพี่หรือฝ่าบาท” ฮองไทเฮาเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะหากเป็นมังกรขาวอย่างไรก็ต้องเป็นนามของผู้มีเส้นเกศาสีขาวเช่นองค์หญิงใหญ่ โดยไม่ได้ทักท้วงนามรองที่ได้รับ เพราะเห็นว่าสมควรแล้ว

    “เป็นนามของผู้น้อง เสด็จแม่ดูนางเถิด ดูร่าเริงและส่องสว่างเหลือเกิน ทั้งยังเกิดใต้ชะตามังกร เหมาะกับชื่อมังกรขาวเป็นที่สุด” หลังฮองไทเฮาได้รับคำตอบก็อมยิ้มแม้ว่าคำตอบนั้นจะผิดคาดไปบ้างก็ตาม และนึกกับตนในใจว่านามของผู้พี่คงไม่พ้นมีคำว่ามังกรดำติดชื่อมา “ลูกหญิงคนโต ลูกคิดเอาไว้ว่าให้ชื่อ หวงจางจิ้ง นามรองเฮยหลง เสด็จแม่เห็นเป็นเช่นไร” ฮองไทเฮาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

     

    หลังจากพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ ได้รับพระราชทานนามของตนเอง เหล่าสนมนางในทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ การได้รับพระราชทานนามที่มีความหมายว่ามังกร ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนในราชวงศ์ที่เป็นบุรุษแต่กงจู่ทั้งสองพระองค์นั้นเป็นสตรี การใช้ชื่อมังกรจะมีความหมายอื่นใดไปได้อีก นอกเสียจากฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ต้องการให้กงจู่ทั้งสองพระองค์นั้นมีสิทธิ์ในการช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทปกครองแคว้นชิงหลงในรัชสมัยต่อไป

     

    แต่ครั้นจะขัดพระประสงค์ก็คงจะกระไรอยู่ เหล่าหญิงสาวจึงทำได้เพียงกัดฟันกล่าวชื่นชมกงจู่ทั้งสองออกไปตามมารยาท ทั้งที่ด้านในนั้นร้อนระอุราวกับพร้อมจะปะทุตลอดเวลา โอรสสวรรค์ยิ้มรับไม่ถึงดวงตา ก่อนจะกล่าวขับไล่กลาย ๆ ให้สนมทุกคนกลับตำหนักตนเองไปพักผ่อน จนกระทั่งเหลือเพียงซื่อฟูเหรินทั้งสาม ที่บัดนี้ยังคงจับจ้องไปยังดรุณีตัวน้อยในอ้อมอกของสวามีไม่วางตา

     

    ก่อนที่เฉินกุ้ยเฟยผู้มียศสูงสุดจะนำการทำความเคารพฮ่องเต้ และฮองไทเฮาตามลำดับ ดวงตาหงส์ของพระนางเปล่งประกายวาววับด้วยความดีใจ สุรเสียงหวานล้ำเอ่ยขึ้นฟังดูสบายหู

    “ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะขออุ้มกงจู่ได้หรือไม่เพคะ” โอรสสวรรค์ครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะอนุญาต และแล้วร่างน้อย ๆ ของทารกตัวแดงในห่อผ้าสีทองอร่ามก็ถูกส่งมาอยู่ในอ้อมอกของเฉินกุ้ยเฟย

    “มังกรดำผู้สงบนิ่ง เป็นนามที่เหมาะกับกงจู่เหลือเกินเพคะฝ่าบาท”

    “เป็นจริงดังเจ้าว่า ดูสิ จนตอนนี้ยังไม่ร้องออกมาสักแอะ ดูทีแล้วคงถอดแบบเสด็จแม่ออกมาเลยกระมัง” หลังได้ยินบุตรชายแขวะตนเอง ฮองไทเฮาไม่รอช้าที่จะถือโอกาสตอบกลับบุตรชายไปอย่างเจ็บแสบเช่นกัน

    “ดีสิ หลานหญิงจะได้ไม่ทำตัวหยอกล้อเล่นไปทั่วเช่นฝ่าบาท” ประโยคนั้นสร้างเสียงหัวเราะเล็ก ๆ จากวงสนทนาได้เป็นอย่างดี หลังฮองไทเฮาว่าจบ ดวงตาหงส์ที่ดูกร้านโลกจึงได้หันไปที่เยวี่ยนซูเฟย และหม่าเสียนเฟย “พวกเจ้าไม่สนใจมาดูหลานหญิงคนรองหน่อยหรือ ซูเฟยอีกเพียงห้าเดือนก็จะคลอดแล้ว ควรทำความคุ้นชินกับทารก พวกเจ้าทั้งสามยังต้องช่วยฮองเฮาเลี้ยงดูองค์หญิง ควรทำความคุ้นชินกับหลาน ๆ ของอ้ายเจียเอาไว้บ้าง” ประโยคแรกของพระนางนั้นกล่าวแนะนำเฟยทั้งสอง ส่วนประโยคหลังกว่าวกับทุกคนในที่นั้น รอยยิ้มแห่งความปิติจริงใจฉายชัดบนใบหน้าสวยของฟูเหรินทั้งสาม ก่อนที่ทั้งซูเฟยและเสียนเฟยจะกล่าวขอบพระทัยเต็มพิธี

     

    หลังจากนั้นผู้สูงศักดิ์ทุกพระองค์ก็ได้เดินทางกลับตำหนักตนเอง กงจู่ฝาแฝดถูกส่งคืนให้ฮองเฮาผู้เป็นราชมารดา โดยมีโอรสสวรรค์ผู้เป็นบิดายังคงไม่ยอมห่างไปไหนไกล

     

    ยามเช้าของวันใหม่เข้ามาเยือน แสงสีทองอันอบอุ่นแผ่ขยายทั่วทั้งแคว้น ใบไม้สีสันแดงส้มสดใสปรากฏสู่สายตา เสียงนกร้องขับขานยามเช้าดูคล้ายกับการขับกล่อมของธรรมชาติ ประชาชนชาวแคว้นมังกรฟ้าเริ่มออกมาปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเอง เสียงฆ้องระฆังหน้าวังหลวงดังกังวาน ประกาศแผ่นใหญ่ถูกนำมาติดเพื่อให้เหล่าประชาชนรับรู้ข่าวสารที่น่าดีใจที่สุดในยามนี้ ความของเนื้อหาโดยคร่าว ๆ กล่าวว่า จินหลงฮ่องเต้ออกราชโองการอีกสามวันจากนี้ไป จะมีการจัดงานฉลองทั่วทั้งแคว้นนานเจ็ดวันเจ็ดคืน เพื่อฉลองการประสูติของพระราชธิดาฝาแฝด หวงเฮยหลง และหวงไป๋หลง พระราชธิดาแห่งจินหลงฮ่องเต้ และหรงฮองเฮา

     

    ข่าวดีนี้แผ่ขยายออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ทั่วทุกหนแห่งของแคว้นชิงหลง ไม่ว่าจะหัวเมืองน้อยใหญ่เพียงใดก็ต่างรับรู้ถึงข่าวนี้ภายในเวลาไม่นาน ไม่ว่าจะสามัญชน ขุนนางน้อยใหญ่ล้วนปิติยินดี นามของหรงฮองเฮาที่ให้กำเนิดพระราชธิดาฝาแฝดขจรไกล และกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ภายในเวลาไม่นาน

     

    และเรื่องน่ายินดีก็มาเยือนอีกครา ห้าเดือนถัดมาเยวี่ยนซูเฟยได้ประสูติการองค์ชายสาม พระราชทานนามหวงเฟยเทียน และได้รับนามรองทันทีเช่นกับพี่สาวทั้งสองคน นามรองนั้นคือหลิ่งหลง ทว่าความสุขกลับผ่านไปได้ไม่นานนัก เมื่อเดือนถัดมาเฉินกุ้ยเฟยกลับตกพระโลหิตโดยไม่ทราบสาเหตุ เหตุการณ์ครานั้นทราบจากหมอหลวงมาว่า ผู้ที่สิ้นพระชนไปคือองค์ชายฝาแฝด ซ้ำแล้วเคราะห์กรรมยังไม่หมดเพียงเท่านั้นเมื่อหมอหลวงกราบทูลว่าพระนางไม่สามารถมีโอรสสืบสกุลหวงได้อีกแล้ว เฉินกุ้ยเฟยเสียพระทัยอย่างหนักล้มป่วยอยู่นานหลายเดือน เป็นโชคดีที่เหล่าองค์หญิงองค์ชายน้อยสามารถเยียวยาจิตใจของพระนางได้

     

    วันเวลาผันผ่าน ฤดูกาลผันเปลี่ยน จากวันเป็นเดือนและเดือนกลายเป็นปี จากครั้งแรกที่สององค์หญิงแฝดได้ลืมตาดูโลก ฤดูชิวเทียน[1]ก็ได้ผันผ่านมาแล้วถึงเจ็ดครั้ง มังกรดำและมังกรขาวแห่งตระกูลหวงมีพระชนมายุได้ 7 ชันษาแล้ว เหล่าองค์หญิงและองค์ชายน้อยที่คลานตามกันมาเริ่มโตขึ้นทุก ๆ วัน เป็นเรื่องน่ายินดีที่บุตรธิดาโอรสสวรรค์ทั้งเจ็ดพระองค์ต่างรักใคร่กลมเกลียวกันดียิ่งนัก

     

    รัชศกชงหยวนที่ 12 วังหลวง ตำหนักคุนหนิง

    เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยหลายคนหยอกล้อกันดังขึ้นเป็นระยะ เสียงหัวเราะใสกังวาลนั้นได้สร้างบรรยากาศแสนอบอุ่นอาบย้อมทั่วบริเวณ

    “พี่หญิงใหญ่! เหมยเอ๋อร์กับหลันเอ๋อร์ทำมงกุฎดอกไม้มามอบให้พี่หญิงใหญ่เพคะ!” เสียงเล็กใสขององค์หญิงแปดตะโกนเรียกพี่สาวมาแต่ไกลด้วยความสนิทสนมเป็นกันเอง ส่วนผู้ที่ถูกเรียกนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นจากตำราที่กำลังอ่านอยู่เพื่อหันมองน้องสาวทั้งสอง เก๋งกลางของตำหนักคุนหนิงที่เคยเงียบสงบคงจะไม่สงบอีกต่อไปเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าดวงหน้าขององค์หญิงใหญ่หวงเฮยหลงภายใต้หน้ากากหยกดำราคาแพงได้หลบซ่อนสิ่งใดเอาไว้บ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉายชัดที่สุดคือริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อนั้นได้เผยรอยยิ้มขบขันออกมา ดวงตาสีเงินภายใต้หน้ากากมองเห็นองค์หญิงแปดที่วิ่งหน้าตั้งอย่างไม่รักษากิริยา กำลังกึ่งจูงกึ่งลากแขนองค์หญิงเก้าผู้เป็นน้องสาวให้ตามตนเองมาด้วย

     

    สุรเสียงเย็นเอื่อยแฝงความอบอุ่นของดรุณีน้อยจึงจำต้องเอ่ยขึ้นเพื่อสั่งสอนให้น้อง ๆ รักษากิริยาตนเอง และเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง

    “น้องแปด น้องเก้ารักษากิริยาด้วย ประเดี๋ยวจะหกล้ม”

    “พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล เหมยเอ๋อร์ไม่หกล้มแน่นอนเพคะ!” แต่เด็กน้อยวัยสี่ขวบทั้งสองคนยังคงวิ่งไม่หยุด ปากเล็ก ๆ ขององค์หญิงแปดกล่าวตอบผู้เป็นพี่แทนน้องสาวอย่างซุกซน จนเด็กน้อยทั้งสองสามารถวิ่งมาหาพี่หญิงของตนได้

     

    องค์หญิงน้อยวัยสี่ขวบทั้งสอง เมื่อวิ่งมาจนถึงที่นั่งขององค์หญิงใหญ่แล้ว องค์หญิงแปดหวงซิ่นฉี นามรองเหมยฮวาจึงดันหลังองค์หญิงเก้าหวงซืออ้าย นามรองหลันฮวาผู้น้องมาด้านหน้าตนเอง พร้อมกระซิบกระซาบกันสองคน โดยไม่รู้เลยว่าเสียงนั้นดังมากเพียงใด

    “น้องเก้า เจ้าเอาของที่พวกเราทำมาให้พี่ใหญ่สิ” หวงหลันฮวาที่ได้ยินคำสั่งนั้นพยักหน้ารับอย่างน่ารัก ริมฝีปากสีดั่งผลเถาจื่อ[2]เม้มเข้าหากันแน่นอย่างประหม่า ดวงตากลมโตสีราวเหล้าองุ่นเฉกเช่นเฉินฮองไทเฮาลอกแลกไปมา

    “ให้พี่ใหญ่เพคะ...” แขนเล็ก ๆ ของหวงหลันฮวายื่นมงกุฎดอกไม้ประดับดอกจวี๋ฮวา[3]สีเหลืองนวลมาตรงหน้าองค์หญิงใหญ่

    “ขอบใจเจ้า เหมยเอ๋อร์กับหลันเอ๋อร์ช่วยกันทำหรือ?” นางเอ่ยถาม

    “เพคะ! เหมยเอ๋อร์กับน้องเก้าช่วยกันทำเมื่อครู่ พี่รองบอกว่าจวี๋ฮวาเป็นดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ร่วง” หวงเหมยฮวากล่าวตอบอย่างฉะฉาน ดวงตาสีไพลินดังเช่นหลิวเต๋อเฟยผู้เป็นมารดาทอประกายสดใส

    “ให้พี่ทาย ผู้ที่สอนเจ้าทำคงเป็นน้องรองเช่นกันใช่หรือไม่?” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกัน “พี่รองของพวกเจ้าชอบเที่ยวเล่น หนีเรียนวิชาการปกครองของราชครูหม่าเป็นประจำ วิ่งเล่นไปทุกที่ไม่ซ้ำกัน ครานี้มาอยู่กับพวกเจ้านี่เอง”

     

    หลังจากองค์หญิงใหญ่หวงเฮยหลงตรัสออกมาได้ไม่นานนัก สุรเสียงที่มีความคล้ายกันกับนางแต่กลับขี้เล่นมากกว่า ดังขึ้นที่ทางเดินของเก๋งกลางน้ำ ปรากฏร่างของเด็กสาวที่ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหน้ากากหยกขาว ในอาภรณ์สีขาวสว่างก้าวเดินเข้ามาในบริเวณของเก๋งกลางน้ำ

    “ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่เพคะ” เจ้าของผมสีน้ำหมึกกล่าวหยอกล้อผู้เป็นพี่ พลางทำท่าทางถวายพระพรเสียเต็มพิธีอย่างน่าหมั่นไส้

    “เจ้าไม่ต้องมาประชดประชันพี่เลยนะ ราชครูหม่าบ่นอยู่สองเค่อ[4]กว่าจะจบพี่ทนได้ แต่กับน้องสามรายนั้นแทบจะเอาหน้าจุ่มน้ำหมึกอยู่รอมร่อ ดีที่น้องหกคอยปลุกตลอด เจ้าไม่สงสารหูพี่ก็ช่วยสงสารน้องสามกับน้องหกที่ต้องอดนอนตอนยามซื่อ[5]ด้วยเถอะ” คนเป็นพี่เมื่อเห็นน้องสาวฝาแฝดตัวเองก็บ่นยาวอย่างระอาใจ

    “โถ่พี่ใหญ่ ไป๋หลงน้องสาวคนนี้ไม่ได้หนีเรียนเสียหน่อยเพคะ ข้าไปช่วยน้องเจ็ดวิ่งไล่จับเสี่ยวเจียวหั่วต่างหาก...ไม่นึกว่ากว่าจะจับได้ก็เลยเวลาเรียนเสียแล้ว” หวงไป๋หลงโกหกหน้าตาย พลางทำเสียงออดอ้อนน่าสงสาร

    “ลูกไม้ของเจ้าใช้ไม่ได้กับพี่หรอกนะไป่ไป๋ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าน้องเจ็ดอายุห้าขวบแล้ว ตอนนั้นย่อมต้องอยู่ฝึกอ่านเขียน ไม่มีทางไปวิ่งไล่จับเสี่ยวเจียวหั่วกับเจ้าได้หรอก” และคนพี่ก็ตอบกลับอย่างทันกัน

     

    น่าสงสารก็แต่องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าที่ต้องมองดูพี่สาวสองคนเถียงกันตาปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ รู้จักก็เพียงแต่ว่าเสี่ยวเจียวหั่วที่ว่านั่นคือสุนัขที่พี่เจ็ดของตนเลี้ยงเอาไว้

    ก่อนที่สงครามน้ำลายจะออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้ เพียงไม่นานก็ได้มีผู้ที่เข้ามาใหม่เพิ่มมาอีกคน สตรีผู้นั้นแสดงใบหน้าหยิ่งผยอง สีหน้าขององค์หญิงแปดหวงเหมยฮวาแลดูคล้ายกับเป็นปรปักษ์ขึ้นมาทันตาเห็น

     

    ณ เวลานั้นบรรยากาศสดใสกลายเป็นเย็นเยียบภายในชั่วพริบตา ท่าทางแสนผ่อนคลายของมังกดำและมังกรขาวแห่งชิงหลงเมื่อครู่มลายหายไป เหลือเพียงความสูงศักดิ์อันไม่อาจเอื้อมเข้ามาแทนที่ สลัดทิ้งซึ่งกิริยาขี้เล่นทิ้งจนหมดสิ้น

     

    “ถวายพระพรกงจู่” การถวายความเคารพเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง

    “นางกำนัลตำหนักหมิงเจ๋อมีธุระอะไรกับเปิ่นกงจู่อย่างนั้นหรือ? หรือว่าหลิวเต๋อเฟยให้มารับน้องแปดกลับตำหนัก” หวงเฮยหลงเอ่ยถามเสียงเรียบ

    “เพคะ” นางกำนัลเอ่ยตอบเสียงห้วน

    “แต่ข้ายังไม่อยากกลับ นี่เพิ่งต้นยามเว่ย[6]ไยเสด็จแม่ต้องรีบเรียกข้ากลับด้วย” เสียงเล็ก ๆ ของหวงเหมยฮวาเอ่ยขัดอย่างไม่ยินยอม นางมาถึงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำเหตุใดต้องกลับกัน

    “ทูลองค์หญิง หลิวเต๋อเฟยรับสั่งให้องค์หญิงเสด็จไปเรียนเขียนพู่กันเพคะ” หวงเหมยฮวาด้วยความเป็นเด็กจึงเก็บสีหน้าไม่อยู่ ความไม่พอใจฉายชัดบนใบหน้า นางเพิ่งเรียนดนตรีจบได้หยุดพักไม่เท่าไรก็ต้องเรียนอีกแล้วเช่นนั้นหรือ

     

    ดวงตามังกรของหวงเฮยหลงได้เหลือบไปเห็นน้องเก้าของตนเองกำลังหลบอยู่ด้านหลังน้องรอง ดวงตาสีเหล้าองุ่นคลอไปด้วยน้ำตาคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อเพราะทนกับสถานการณ์กดดันไม่ไหว จึงเกิดสงสารเห็นใจ แววตาสีเงินตวัดกลับมาที่นางกำนัลตรงหน้าอีกครั้งสลับกับใบหน้ารื้นน้ำตาขององค์หญิงแปด มือน้อย ๆ ของหวงหลันฮวากำชายเสื้อของนางเอาไว้แน่น สุดท้ายแล้วนางจึงได้ตัดสินใจเอ่ยข้อเสนอออกไปให้ข้อตกลงเป็นกลางที่สุด ทว่าก่อนที่หวงเฮยหลงจะได้กล่าวอะไรออกไป สุรเสียงทรงอำนาจจึงดังขึ้นมาก่อน

     

    “ลูกแปดได้พักยังไม่ถึงชั่วยาม[7]ดี เปิ่นกงเห็นว่าเด็กไม่ควรเรียนหนักถึงเพียงนั้น เจ้ากลับไปกราบทูลเต๋อเฟยว่าเมื่อสิ้นสุดยามเว่ยลูกแปดจะกลับไปเอง” แววตาขององค์หญิงแปดคล้ายมีความหวังขึ้นมา เป็นหรงฮองเฮาที่ปรากฏกายขึ้น เดิมทีพระนางเพียงต้องการมาแอบดูลูกเงียบ ๆ แต่บังเอิญพบเข้ากับสถานการณ์ตรงหน้า ดูแล้วเด็ก ๆ คงไม่สามารถแก้ไขได้เอง อีกอย่างหนึ่งคือเหมยฮวาอายุเพียงสี่ขวบควรมีเวลาเที่ยวเล่นเฉกเช่นเด็กทั่วไป ไม่ควรต้องไปกดดันเพราะมารดาหวังใช้เป็นเครื่องมือสร้างอำนาจ

     

    องค์หญิงเก้าที่มองเห็นมารดาก็รีบกระวีกระวาดวิ่งไปหลบด้านหลัง

    “ถวายพระพรเสด็จแม่” สองแฝดมังกรเอ่ยขึ้น ก่อนที่องค์หญิงแปดจะเอ่ยตามหลัง “ถวายพระพรเสด็จแม่ฮองเฮา”

     

    นางกำนัลผู้นั้นอึกอักเพียงเล็กน้อย แต่ก็ต้องปฏิบัติตามราชธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด แล้วจึงกล่าวต่อ

    “ถวายพระพรหวงโฮ่วเหนียงเหนี่ยง ทูลฮองเฮา สิ่งนี้เป็นพระประสงค์ของหลิวเต๋อเฟยเพคะ ไม่อาจขัดได้เพคะ”

     

    หลังประโยคนั้นบรรยากาศคล้ายเย็นเยือกขึ้น ดวงตาหงส์ของมารดาแห่งแผ่นดินหันกลับไปมองที่นางกำนัลคนสนิท

    “ลู่เจียว พาลูกหญิงกลับเข้าไปในตำหนัก จิ้งเอ๋อร์อยู่กับแม่” ประโยคแรกนั้นตรัสกับนางกำนัลคนสนิท ส่วนประโยคหลังตรัสกับบุตรสาวคนโตของตนเอง ผู้ที่รับฟังอยู่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หวงเฮยหลงที่ยืนอยู่ด้านหน้าเมื่อครู่ ถอยตัวมายืนที่ด้านหลังของราชมารดา ตอนนี้ภายในเก๋งกลางน้ำหลงเหลือเพียงผู้สูงศักดิ์สองคนและนางกำนัลต่างตำหนักเพียงหนึ่งคน

     

    “จิ้งเอ๋อเล่าเรื่องที่ทำวันนี้ให้แม่ฟังได้หรือไม่?”

    “เพคะ ลูกอ่านตำราอยู่ที่นี่ตั้งแต่กลางยามอู่[8] เมื่อต้นยามเว่ยน้องแปดและน้องเก้าจับจูงมือกันเข้ามาหาลูกเพื่อมอบสิ่งนี้ให้” มือบางยกมงกุฎดอกไม้ให้มารดาแห่งแผ่นดินทอดพระเนตร และเล่าต่อ “คุยเล่นกันได้ไม่นานน้องรองก็เข้ามาหา ระยะเวลาทั้งหมดยังไม่ถึงเค่อดี นางกำนัลตำหนักหมิงเจ๋อจึงเข้ามา ถัดจากนั้นก็เป็นไปตามที่เสด็จแม่ทอดพระเนตรเห็นเพคะ” เสียงกังวานขององค์หญิงใหญ่กล่าวตอบอย่างฉะฉาน หรงฮองเฮาพยักหน้าพึงพอใจ แต่กลับมีเสียงขัดขึ้นเสียก่อน

     

    “ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันมาตามคำสั่งเต๋อเฟยไม่อาจรอนานกว่านี้ได้” ยังคงเป็นนางกำนัลคนเดิมที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไร้มารยาท

    “เช่นนั้นรึ? เปิ่นกงเป็นใคร? แล้วเจ้าเป็นใคร? เป็นเพียงนางกำนัลริอาจสอดปากขัดเปิ่นกงเช่นนี้ นายของเจ้ามิสอนมารยาทหรือไรกัน?” ดวงตาหงส์ตวัดมองอย่างแข็งกร้าว “หรือว่าเจ้าเพิ่งเข้ามาใหม่จึงไร้การอบรมสั่งสอน? ...แต่ก็ไม่น่าใช่ นางกำนัลทุก ๆ คนจำต้องได้รับการสั่งสอนเกี่ยวกับลำดับในวังหลวงว่าใครสูงกว่าใคร หรือใครต่ำกว่าใคร ในวังหลังแห่งนี้รองจากฮองไทเฮา เปิ่นกงคือผู้มีอำนาจสูงสุด กลับไปบอกนายเจ้าว่าเป็นคำสั่งของเปิ่นกง ลูกหญิงแปดจะกลับไปตำหนักหมิงเจ๋อเมื่อสิ้นสุดยามเว่ยเท่านั้น หาไม่แล้วเปิ่นกงจะถือว่าพวกเจ้าทั้งนายทั้งบ่าว ขัดคำสั่งของฮองเฮาอย่างเปิ่นกง คงต้องลงอาญาตามระเบียบ” ได้ยินมารดาแห่งแผ่นดินกล่าวเช่นนี้มีหรือใครจะกล้าขัด นางกำนัลผู้นั้นจำต้องล่าถอยกลับไปด้วยเกรงกลัวอาญา

     

    “สมกับเป็นเสด็จแม่” หวงเฮยหลงกล่าวหยอกล้อมารดาตน ใบหน้าของดรุณีน้อยทอความตลกขบขันออกมาทางแววตา

    “ลูกคนนี้นี่ เมื่อครู่แม่ช่วยเจ้านะยังมาเล่นอีก” มังกรดำอมยิ้มอย่างขบขันไม่เลิกรา ถึงจะรู้สึกขอบคุณในน้ำพระทัยของราชมารดา แต่อีกใจนึงนางกลับคิดว่ามารดาคงเพียงอย่างสนุกสนานเท่านั้นเองกระมัง “จริงสิ แม่ลืมไปเลย ดูเหมือนฝ่าบาทเรียกหาลูกกับน้องรองของลูกนะ รีบไปเถอะ”

    “เรื่องอะไรหรือเพคะ?”

    “แม่ก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าคงเป็นเรื่องของวันเกิดลูกกระมัง อีกเพียงสามวันลูกแม่ก็จะครบ 7 ขวบแล้ว ฝ่าบาทคงอยากจะสอบถามสิ่งที่พวกเข้าอยากได้”

    “...” หรงฮองเฮาเมื่อสังเกตเห็นว่าบุตรีเงียบไป ใบหน้าที่เคยกวาดตามองรอบ ๆ สวน จึงได้วกกลับมามองที่บุตรสาวอีกครั้ง ใบหน้าที่ปกติมักจะฉาบไปด้วยความเย็นเยือกและสูงศักดิ์ บัดนี้กลับอ่อนลงหลายส่วน น้ำเสียงอบอุ่นของพระนางกล่าวกับลูกรักด้วยความอาทร

    “กังวลหรือลูก?”

    “...เพคะเสด็จแม่” หรงซิ่วอิงแย้มยิ้มให้บุตรีคลายกังวล

    “ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว แม่รู้ว่าจิ้งเอ๋อร์ และหมิ่นเอ๋อร์ของแม่ต้องทำได้ จากกันครานี้ใช่ว่าจะจากกันตลอดไป เชื่อแม่เถอะไม่กี่ปีลูกทั้งสองของแม่ก็คงกลับมาแล้ว”

     

    สุรเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นช่างอบอุ่นนัก ฝ่ามือเรียวสวยของมารดาแห่งแผ่นดินเอื้อมไปลูบศีรษะของลูกรักอย่างทะนุถนอม พระโอษฐ์แย้มยิ้มสวยหวาน ดวงตาสีเงินของหวงเฮยหลงน้ำตาคลอเบ้า ใคร ๆ ต่างก็กล่าวว่านางเก่งกาจเกินใคร บุ๋นไม่เป็นรอง บู๊ไม่มีใครเทียบ แต่ใครจะรู้ว่ากงจู่พระองค์นี้ติดเสด็จแม่ของตนมากเพียงใด ในหนึ่งวันไม่ว่างานจะน้อยหรือมาก จะต้องมีเวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามให้กับราชมารดาอยู่เสมอ วันเกิดครบเจ็ดชันษาครานี้กลับต้องจากกันหลายปี

     

    ด้วยธรรมเนียมของราชวงศ์ อันกล่าวไว้ว่าเมื่อมีอายุครบเจ็ดปี ไม่ว่าจะชายหรือหญิงล้วนต้องออกจากวังหลวงเพื่อไปศึกษาที่สำนักต่าง ๆ โดยส่วนมากองค์ชายมักเข้าฝึกที่สำนักฝึกยุทธ บ้างก็เกี่ยวกับการปกครอง ส่วนองค์หญิงก็คงเข้าฝึกฝนที่สำนักเกี่ยวกับศาสตร์ศิลป์ของสตรี

     

    แต่สำหรับมังกรคู่แห่งแคว้นชิงหลงนั้นต่างออกไป กงจู่ทั้งสองพระองค์มีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์ การเรียนของทั้งคู่จึงยากกว่าสมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์ ด้วยต้องเรียนทั้งศาสตร์ศิลป์ การปกครอง หรือแม้แต่วิทยายุทธ เพื่อที่จะสามารถเข้าชิงตำแหน่งไท่จื่อได้อย่างภาคภูมิ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือหากไม่สามารถเป็นรัชทายาทได้ อย่างน้อยศาสตร์ศิลป์ที่ร่ำเรียนมาก็จะสามารถใช้งานได้ในตำแหน่งขององค์หญิง

     

    มังกรดำที่ได้ฟังคำพูดของมารดาก็เบาใจ ถึงแม้ประโยคนั้นจะเป็นเพียงการให้กำลังใจของมารดาก็ตาม ภายในใจของกงจู่น้อยตัดสินใจเป็นแม่นมั่นแล้วว่านางจะตั้งใจฝึกฝนให้สำเร็จวิชาโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้กลับมาอยู่กับมารดา และน้อง ๆ ของตนโดยเร็ว

    “เช่นนั้นลูกทูลลาเสด็จแม่ ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่เป็นห่วง ลูกจะพยายามให้ดีที่สุดเพคะ” ความมุ่งมั่นนั้นส่งผ่านแววตาออก ว่าแล้วก่อนกลับออกไปก็ยังคงไม่ลืมหยิบตำราออกไปด้วย

     

    มารดาแห่งแผ่นดินมองตามแผ่นหลังน้อย ๆ นั้นไกลออกไป นางก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดแผ่นหลังของบุตรสาวจึงได้ห่างไกลนัก ราวกับว่าบุตรสาวได้แบกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้บนบ่าเล็ก ๆ นั่น มารดาอย่างนางคงทำได้เพียงให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ คอยมองดูแผ่นหลังเล็ก ๆ ของลูกรักค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้นอย่างภาคภูมิ

     

    **********

     

    [1] ชิวเทียน (秋天) คือ ฤดูใบไม้ร่วง

    [2] ผลเถาจื่อ (桃子) คือ ลูกพีช

    [3] ดอกจวี๋ฮวา () คือ ดอกเก๊กฮวย

    [4] เค่อ คือ 15 นาที

    [5] ยามซื่อ คือ 9.00 10.59

    [6] ยามเว่ย คือ 13.00 14.59

    [7] ชั่วยาม คือ 2 ชั่วโมง

    [8] ยามอู่ คือ 11.00 12.59

     

    ไรท์ขอสารภาพว่าการคำค้นหาแรกก่อนเขียน

    คือ"ประสบการคลอดลูกแฝด"

    แต่จนแล้วจนรอดก็หาข้อมูลไม่ได้เท่าที่ควรอยู่ดี

    สภาพตอนเขียนเสร็จก็เลยแปลก ๆ หน่อยน่ะค่ะ

    แหะๆ
     

    ขอบคุณสำหรับการติดตาม

    ซานเฟยหย่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×