คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 กำเนิดบุตรมังกร (รีไรท์)
รัชศกชงหยวนที่
5 วังหลวง
แคว้นชิงหลง
สายลมพัดผ่านกรีดอากาศดังเป็นเสียงแหลมสูง
ใบไม้แห้งในฤดูใบไม้ร่วงต่างโปรยปรายเพราะต้องสายลม
ท้องฟ้ามืดมิดสุกสกาวไปด้วยแสงของดวงดารา เขตพระราชฐานชั้นในที่เวลานี้ควรจะเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
และเสียงกรีดร้องราวเจ็บปวดอย่างสุดแสนที่ดังไม่หยุดมาหลายชั่วยามแล้ว
โอรสสวรรค์ในอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยนักเดินไปมาที่หน้าตำหนักแห่งหนึ่ง
ราวกับต้องการระบายความเครียดของตนเอง ฮองไทเฮานั่งพักที่ตำหนักรับรอง
นางกำนัลข้างกายผู้หนึ่งใช้พัดโบกสะบัดไล่ความร้อน อีกผู้หนึ่งนำเครื่องหอมมีฤทธิ์แก้อาการวิงเวียนส่งให้ผู้เป็นนาย
หญิงสาวหลายคนนั่งจับจ้องไปยังห้องอันมีเสียงกรีดร้องของสตรีผู้หนึ่งอย่างคาดหวัง
สำหรับสนมผู้มีจิตใจอันดำมืด
และคิดอิจฉาริษยานั้น
ความคาดหวังที่ว่าคงไม่พ้นให้ทั้งฮองเฮาและบุตรที่กำลังจะเกิดมานั้น สิ้นใจไปเสีย
บ้างก็คาดหวังให้ทารกที่กำลังจะเกิดมานั้นมีเพศเป็นหญิง ด้วยหวังว่าองค์หญิงคงจะไม่มีสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ แต่สำหรับคนสนิทของฮองเฮาอย่าง เฉินกุ้ยเฟย
เยวี่ยนซูเฟย และหม่าเสียนเฟยนั้น กลับกำลังคาดหวังให้ผู้ที่ตนนับถือเป็นพี่หญิงใหญ่และบุตรที่กำลังจะเกิดมาปลอดภัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็เพียงพอ
ทว่าภายในตำหนักประสูตินั้น
ไร้วี่แววของความเงียบสงบ หมอหญิงและหมอตำแยหลายคนวิ่งวุ่นไปทั่ว
และในที่สุดเวลาที่เสียงกรีดร้องสุดท้ายดังขึ้น หรงฮองเฮาแทบสิ้นสติแต่ก็ยังคงครองสติตนเองเพื่อพบหน้าบุตรคนแรก
“เป็นองค์หญิงเพคะฮองเฮา
องค์หญิงใหญ่เพคะ” เพียงทว่าเสียงของหมอตำแยผู้นั้น
กลับไม่อาจดังเข้าสู่โสตประสาตของมารดาแห่งแผ่นดินได้เลย
หมอตำแยผู้นั้นเบิกตากว้าง ปากตะโกนบอกคนที่เหลือปาว ๆ
ว่ายังมีเด็กอีกคนที่ยังไม่ออกมา และแล้วความวุ่นวายก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
ฮองไทเฮาที่ยังคงประทับอยู่ด้านนอก
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นอีกครั้ง สีพระพักตร์ที่กำลังดีขึ้นก็ซีดเผือกลงไปยิ่งกว่าเก่า
ซื่อฟูเหรินทั้งสาม นั่งกุมมือเคียงข้างกันอย่างเคร่งเครียด ฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นี้แทบจะถลาเข้าไปในห้อง
ๆ นั้นหากไม่ได้ฮองไทเฮาห้ามเอาไว้ บรรยากาศเคร่งเครียดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ...และแล้ว
ความวุ่นวายผ่านเลยไปไม่นานนัก ตำหนักประสูติก็เงียบเสียงลงไปอีกครั้ง
บุตรีทั้งสองถูกนำมาวางไว้ใกล้อ้อมแขนของผู้เป็นมารดา
น้ำตาแห่งความสุขไหลอาบแก้มของหรงซิ่วอิง มารดาแห่งแผ่นดินแย้มสรวลอย่างอ่อนแรง
“ลูกหญิงของแม่
ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง” น้ำเสียงแห่งความอ่อนโยนถูกส่งไปยังทารกตัวแดงทั้งสองคน
ก่อนที่ความเหนื่อยล้าจะเข้าครอบงำ ครั้นที่ดวงตาปรือปรอยนั้นจะหลับลง
กลีบปากสวยได้ส่งคำสั่งให้คนสนิท “นำลูกหญิงไปหาฝ่าบาทเถิด พระองค์คงรอนานแล้ว”
“เพคะ”
นางกำนัลคนสนิทตอบกลับอย่างดีใจ ก่อนจะสั่งให้หมอรอบกายและนางกำนัลรอบ ๆ
ให้ปรนนิบัติฮองเฮาให้ดี ว่าแล้วนางก็ได้นำร่างน้อย ๆ ขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ออกไปหาผู้เป็นราชบิดา
โอรสสวรรค์ที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าประตูตำหนักถูกเปิดออก ก็ทรงได้รีบถลาเข้าไปทันที ทว่าก่อนที่ร่างสูงนั้นจะได้ย่างกรายเข้าไปให้ตำหนัก
กลับต้องหยุดชะงักลงเสียก่อน ดวงตามังกรสีขาวเงินจับจ้องไปยังร่างแดง ๆ
ของเด็กน้อยในอ้อมแขนของคนสนิทภรรยาตน แววตานั้นคล้ายอ่อนแสงลงหลายส่วน
เสียงนุ่มทุ้มถามออกไปอย่างร้อนรน และแฝงไปด้วยความตื้นตันใจอย่างยิ่ง
“เป็นหญิงหรือชาย?”
“เป็นพระราชธิดาทั้งสองพระองค์เพคะฝ่าบาท”
หลังได้รับคำตอบ
ดวงหน้าของผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งแผ่นดินแย้มสรวลด้วยความรู้สึกสุขใจและโล่งอกที่ธิดาของพระองค์สามารถลืมตาดูโลกได้โดยปลอดภัย
หลังจากนั้นแววตาของพระองค์จึงเปลี่ยนเป็นดูคล้ายกับกำลังกลั้นหัวเราะ ด้วยดวงตาของเขาเผลอไปมองเห็นกิริยาแสนน่ารักของบุตรสาวหมาด
ๆ ของตนเอง
หวงจินหลงฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังบนศีรษะน้อย
ๆ ทารกเจ้าของไรผมสีน้ำหมึก ใบหน้าของนางแย้มยิ้มกว้าง
ดวงตาสุกสกาวนั้นช่างดูคล้ายคลึงกับมารดาของนางเหลือเกิน ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งเด็กน้อยก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
บรรยากาศรอบข้างดูคล้ายถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์
กลับกันทารกอีกผู้หนึ่งได้ครอบครองเส้นผมสีขาวสว่าง แววตาสีขาวเงินเช่นเดียวกันกับเขาทำเพียงจับจ้องมาอย่างสงสัยใคร่รู้เท่านั้น
คนหนึ่งหัวเราะอีกคนกลับแสนนิ่งสงบ
สำหรับเขาแล้วสิ่งนั้นดูน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก
“ส่งคนพี่มาให้เจิ้น”
หวงฮ่องเต้ออกคำสั่ง นางกำนัลปฏิบัติตาม ทารกผมขาวถูกส่งให้กับนายเหนือหัว
มือใหญ่ของเขาเอื้อมมือออกไปรับมา และกล่าวให้นางกำนัลคนเดิมให้อุ้มลูกคนรองเดินตามตนเองไป
ร่างสูงโอบอุ้มลูกคนแรกไปหาราชมารดาของพระองค์
ดวงตาคมออกคำสั่งให้นางกำนัลนำลูกสาวคนรองไปให้ฮองไทเฮาที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เมื่อหมดหน้าที่แล้วนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาจึงกลับเข้าไปหาผู้เป็นนายอีกครั้ง
“ยินดีกับด้วยเสด็จแม่ด้วย
ท่านได้หลานสาวพร้อมกันถึงสองคน” หวงฮ่องเต้เอ่ยกับมารดาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“แม่ต่างหากที่ต้องยินดีกับฝ่าบาท
ดูสิได้บุตรสาวน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้…แล้วเด็กคนนี้เป็นผู้น้องเช่นนั้นหรือ?” ฮองไทเฮายิ้มรับอย่างสุขใจ
แล้วจึงกล่าวถามถึงทารกน้อยในอ้อมอกในประโยคถัดมา
แท้จริงแล้วพระนางไม่จำเป็นต้องเสด็จมาที่นี่ก็ได้
แต่เพราะความเอ็นดูในลูกสะใภ้จึงได้เดินทางมา
ไม่คิดไม่ฝันว่าตนจะได้หลานพร้อมกันถึงสองคน
“เสด็จแม่กล่าวถูกต้อง”
“ฝ่าบาทตั้งชื่อแล้วหรือยัง”
หลังจากคำถามนั้น ฮ่องเต้ได้เงียบเสียงลงอย่างครุ่นคิด และเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“หวงจางหมิ่น
นามรองให้เรียกขานว่าไป๋หลง” สุรเสียงที่ตรัสออกมาของโอรสสวรรค์แฝงไปด้วยความเอ็นดู
ปกติแล้วนามรองมักจะได้รับตอนอายุ 5 ขวบ แต่สำหรับราชวงศ์หวงแล้ว
นามรองจำเป็นต้องตั้งขึ้นพร้อมกับนามแรกเกิด
“มังกรขาว? นามของแฝดพี่หรือฝ่าบาท” ฮองไทเฮาเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะหากเป็นมังกรขาวอย่างไรก็ต้องเป็นนามของผู้มีเส้นเกศาสีขาวเช่นองค์หญิงใหญ่
โดยไม่ได้ทักท้วงนามรองที่ได้รับ เพราะเห็นว่าสมควรแล้ว
“เป็นนามของผู้น้อง
เสด็จแม่ดูนางเถิด ดูร่าเริงและส่องสว่างเหลือเกิน ทั้งยังเกิดใต้ชะตามังกร
เหมาะกับชื่อมังกรขาวเป็นที่สุด” หลังฮองไทเฮาได้รับคำตอบก็อมยิ้มแม้ว่าคำตอบนั้นจะผิดคาดไปบ้างก็ตาม
และนึกกับตนในใจว่านามของผู้พี่คงไม่พ้นมีคำว่ามังกรดำติดชื่อมา “ลูกหญิงคนโต
ลูกคิดเอาไว้ว่าให้ชื่อ หวงจางจิ้ง นามรองเฮยหลง เสด็จแม่เห็นเป็นเช่นไร”
ฮองไทเฮาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
หลังจากพระราชธิดาทั้งสองพระองค์
ได้รับพระราชทานนามของตนเอง
เหล่าสนมนางในทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
การได้รับพระราชทานนามที่มีความหมายว่ามังกร ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนในราชวงศ์ที่เป็นบุรุษแต่กงจู่ทั้งสองพระองค์นั้นเป็นสตรี
การใช้ชื่อมังกรจะมีความหมายอื่นใดไปได้อีก
นอกเสียจากฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ต้องการให้กงจู่ทั้งสองพระองค์นั้นมีสิทธิ์ในการช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทปกครองแคว้นชิงหลงในรัชสมัยต่อไป
แต่ครั้นจะขัดพระประสงค์ก็คงจะกระไรอยู่
เหล่าหญิงสาวจึงทำได้เพียงกัดฟันกล่าวชื่นชมกงจู่ทั้งสองออกไปตามมารยาท ทั้งที่ด้านในนั้นร้อนระอุราวกับพร้อมจะปะทุตลอดเวลา
โอรสสวรรค์ยิ้มรับไม่ถึงดวงตา ก่อนจะกล่าวขับไล่กลาย ๆ ให้สนมทุกคนกลับตำหนักตนเองไปพักผ่อน
จนกระทั่งเหลือเพียงซื่อฟูเหรินทั้งสาม ที่บัดนี้ยังคงจับจ้องไปยังดรุณีตัวน้อยในอ้อมอกของสวามีไม่วางตา
ก่อนที่เฉินกุ้ยเฟยผู้มียศสูงสุดจะนำการทำความเคารพฮ่องเต้
และฮองไทเฮาตามลำดับ ดวงตาหงส์ของพระนางเปล่งประกายวาววับด้วยความดีใจ
สุรเสียงหวานล้ำเอ่ยขึ้นฟังดูสบายหู
“ฝ่าบาท
หม่อมฉันอยากจะขออุ้มกงจู่ได้หรือไม่เพคะ”
โอรสสวรรค์ครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะอนุญาต และแล้วร่างน้อย ๆ
ของทารกตัวแดงในห่อผ้าสีทองอร่ามก็ถูกส่งมาอยู่ในอ้อมอกของเฉินกุ้ยเฟย
“มังกรดำผู้สงบนิ่ง
เป็นนามที่เหมาะกับกงจู่เหลือเกินเพคะฝ่าบาท”
“เป็นจริงดังเจ้าว่า
ดูสิ จนตอนนี้ยังไม่ร้องออกมาสักแอะ ดูทีแล้วคงถอดแบบเสด็จแม่ออกมาเลยกระมัง”
หลังได้ยินบุตรชายแขวะตนเอง
ฮองไทเฮาไม่รอช้าที่จะถือโอกาสตอบกลับบุตรชายไปอย่างเจ็บแสบเช่นกัน
“ดีสิ
หลานหญิงจะได้ไม่ทำตัวหยอกล้อเล่นไปทั่วเช่นฝ่าบาท” ประโยคนั้นสร้างเสียงหัวเราะเล็ก
ๆ จากวงสนทนาได้เป็นอย่างดี หลังฮองไทเฮาว่าจบ ดวงตาหงส์ที่ดูกร้านโลกจึงได้หันไปที่เยวี่ยนซูเฟย
และหม่าเสียนเฟย “พวกเจ้าไม่สนใจมาดูหลานหญิงคนรองหน่อยหรือ ซูเฟยอีกเพียงห้าเดือนก็จะคลอดแล้ว
ควรทำความคุ้นชินกับทารก พวกเจ้าทั้งสามยังต้องช่วยฮองเฮาเลี้ยงดูองค์หญิง
ควรทำความคุ้นชินกับหลาน ๆ ของอ้ายเจียเอาไว้บ้าง”
ประโยคแรกของพระนางนั้นกล่าวแนะนำเฟยทั้งสอง ส่วนประโยคหลังกว่าวกับทุกคนในที่นั้น
รอยยิ้มแห่งความปิติจริงใจฉายชัดบนใบหน้าสวยของฟูเหรินทั้งสาม ก่อนที่ทั้งซูเฟยและเสียนเฟยจะกล่าวขอบพระทัยเต็มพิธี
หลังจากนั้นผู้สูงศักดิ์ทุกพระองค์ก็ได้เดินทางกลับตำหนักตนเอง
กงจู่ฝาแฝดถูกส่งคืนให้ฮองเฮาผู้เป็นราชมารดา
โดยมีโอรสสวรรค์ผู้เป็นบิดายังคงไม่ยอมห่างไปไหนไกล
ยามเช้าของวันใหม่เข้ามาเยือน
แสงสีทองอันอบอุ่นแผ่ขยายทั่วทั้งแคว้น ใบไม้สีสันแดงส้มสดใสปรากฏสู่สายตา
เสียงนกร้องขับขานยามเช้าดูคล้ายกับการขับกล่อมของธรรมชาติ ประชาชนชาวแคว้นมังกรฟ้าเริ่มออกมาปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเอง
เสียงฆ้องระฆังหน้าวังหลวงดังกังวาน
ประกาศแผ่นใหญ่ถูกนำมาติดเพื่อให้เหล่าประชาชนรับรู้ข่าวสารที่น่าดีใจที่สุดในยามนี้
ความของเนื้อหาโดยคร่าว ๆ กล่าวว่า จินหลงฮ่องเต้ออกราชโองการอีกสามวันจากนี้ไป
จะมีการจัดงานฉลองทั่วทั้งแคว้นนานเจ็ดวันเจ็ดคืน
เพื่อฉลองการประสูติของพระราชธิดาฝาแฝด หวงเฮยหลง และหวงไป๋หลง
พระราชธิดาแห่งจินหลงฮ่องเต้ และหรงฮองเฮา
ข่าวดีนี้แผ่ขยายออกไปราวกับไฟลามทุ่ง
ทั่วทุกหนแห่งของแคว้นชิงหลง
ไม่ว่าจะหัวเมืองน้อยใหญ่เพียงใดก็ต่างรับรู้ถึงข่าวนี้ภายในเวลาไม่นาน ไม่ว่าจะสามัญชน
ขุนนางน้อยใหญ่ล้วนปิติยินดี นามของหรงฮองเฮาที่ให้กำเนิดพระราชธิดาฝาแฝดขจรไกล
และกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ภายในเวลาไม่นาน
และเรื่องน่ายินดีก็มาเยือนอีกครา
ห้าเดือนถัดมาเยวี่ยนซูเฟยได้ประสูติการองค์ชายสาม พระราชทานนามหวงเฟยเทียน
และได้รับนามรองทันทีเช่นกับพี่สาวทั้งสองคน นามรองนั้นคือหลิ่งหลง
ทว่าความสุขกลับผ่านไปได้ไม่นานนัก เมื่อเดือนถัดมาเฉินกุ้ยเฟยกลับตกพระโลหิตโดยไม่ทราบสาเหตุ
เหตุการณ์ครานั้นทราบจากหมอหลวงมาว่า ผู้ที่สิ้นพระชนไปคือองค์ชายฝาแฝด
ซ้ำแล้วเคราะห์กรรมยังไม่หมดเพียงเท่านั้นเมื่อหมอหลวงกราบทูลว่าพระนางไม่สามารถมีโอรสสืบสกุลหวงได้อีกแล้ว
เฉินกุ้ยเฟยเสียพระทัยอย่างหนักล้มป่วยอยู่นานหลายเดือน
เป็นโชคดีที่เหล่าองค์หญิงองค์ชายน้อยสามารถเยียวยาจิตใจของพระนางได้
วันเวลาผันผ่าน
ฤดูกาลผันเปลี่ยน จากวันเป็นเดือนและเดือนกลายเป็นปี
จากครั้งแรกที่สององค์หญิงแฝดได้ลืมตาดูโลก ฤดูชิวเทียน[1]ก็ได้ผันผ่านมาแล้วถึงเจ็ดครั้ง
มังกรดำและมังกรขาวแห่งตระกูลหวงมีพระชนมายุได้ 7
ชันษาแล้ว เหล่าองค์หญิงและองค์ชายน้อยที่คลานตามกันมาเริ่มโตขึ้นทุก ๆ วัน
เป็นเรื่องน่ายินดีที่บุตรธิดาโอรสสวรรค์ทั้งเจ็ดพระองค์ต่างรักใคร่กลมเกลียวกันดียิ่งนัก
รัชศกชงหยวนที่
12
วังหลวง ตำหนักคุนหนิง
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยหลายคนหยอกล้อกันดังขึ้นเป็นระยะ
เสียงหัวเราะใสกังวาลนั้นได้สร้างบรรยากาศแสนอบอุ่นอาบย้อมทั่วบริเวณ
“พี่หญิงใหญ่!
เหมยเอ๋อร์กับหลันเอ๋อร์ทำมงกุฎดอกไม้มามอบให้พี่หญิงใหญ่เพคะ!”
เสียงเล็กใสขององค์หญิงแปดตะโกนเรียกพี่สาวมาแต่ไกลด้วยความสนิทสนมเป็นกันเอง
ส่วนผู้ที่ถูกเรียกนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นจากตำราที่กำลังอ่านอยู่เพื่อหันมองน้องสาวทั้งสอง
เก๋งกลางของตำหนักคุนหนิงที่เคยเงียบสงบคงจะไม่สงบอีกต่อไปเสียแล้ว
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าดวงหน้าขององค์หญิงใหญ่หวงเฮยหลงภายใต้หน้ากากหยกดำราคาแพงได้หลบซ่อนสิ่งใดเอาไว้บ้าง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉายชัดที่สุดคือริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อนั้นได้เผยรอยยิ้มขบขันออกมา
ดวงตาสีเงินภายใต้หน้ากากมองเห็นองค์หญิงแปดที่วิ่งหน้าตั้งอย่างไม่รักษากิริยา
กำลังกึ่งจูงกึ่งลากแขนองค์หญิงเก้าผู้เป็นน้องสาวให้ตามตนเองมาด้วย
สุรเสียงเย็นเอื่อยแฝงความอบอุ่นของดรุณีน้อยจึงจำต้องเอ่ยขึ้นเพื่อสั่งสอนให้น้อง
ๆ รักษากิริยาตนเอง และเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง
“น้องแปด
น้องเก้ารักษากิริยาด้วย ประเดี๋ยวจะหกล้ม”
“พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล
เหมยเอ๋อร์ไม่หกล้มแน่นอนเพคะ!” แต่เด็กน้อยวัยสี่ขวบทั้งสองคนยังคงวิ่งไม่หยุด
ปากเล็ก ๆ ขององค์หญิงแปดกล่าวตอบผู้เป็นพี่แทนน้องสาวอย่างซุกซน
จนเด็กน้อยทั้งสองสามารถวิ่งมาหาพี่หญิงของตนได้
องค์หญิงน้อยวัยสี่ขวบทั้งสอง
เมื่อวิ่งมาจนถึงที่นั่งขององค์หญิงใหญ่แล้ว องค์หญิงแปดหวงซิ่นฉี นามรองเหมยฮวาจึงดันหลังองค์หญิงเก้าหวงซืออ้าย
นามรองหลันฮวาผู้น้องมาด้านหน้าตนเอง พร้อมกระซิบกระซาบกันสองคน
โดยไม่รู้เลยว่าเสียงนั้นดังมากเพียงใด
“น้องเก้า
เจ้าเอาของที่พวกเราทำมาให้พี่ใหญ่สิ” หวงหลันฮวาที่ได้ยินคำสั่งนั้นพยักหน้ารับอย่างน่ารัก
ริมฝีปากสีดั่งผลเถาจื่อ[2]เม้มเข้าหากันแน่นอย่างประหม่า
ดวงตากลมโตสีราวเหล้าองุ่นเฉกเช่นเฉินฮองไทเฮาลอกแลกไปมา
“ให้พี่ใหญ่เพคะ...”
แขนเล็ก ๆ ของหวงหลันฮวายื่นมงกุฎดอกไม้ประดับดอกจวี๋ฮวา[3]สีเหลืองนวลมาตรงหน้าองค์หญิงใหญ่
“ขอบใจเจ้า
เหมยเอ๋อร์กับหลันเอ๋อร์ช่วยกันทำหรือ?” นางเอ่ยถาม
“เพคะ! เหมยเอ๋อร์กับน้องเก้าช่วยกันทำเมื่อครู่
พี่รองบอกว่าจวี๋ฮวาเป็นดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ร่วง” หวงเหมยฮวากล่าวตอบอย่างฉะฉาน
ดวงตาสีไพลินดังเช่นหลิวเต๋อเฟยผู้เป็นมารดาทอประกายสดใส
“ให้พี่ทาย
ผู้ที่สอนเจ้าทำคงเป็นน้องรองเช่นกันใช่หรือไม่?” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกัน
“พี่รองของพวกเจ้าชอบเที่ยวเล่น หนีเรียนวิชาการปกครองของราชครูหม่าเป็นประจำ
วิ่งเล่นไปทุกที่ไม่ซ้ำกัน ครานี้มาอยู่กับพวกเจ้านี่เอง”
หลังจากองค์หญิงใหญ่หวงเฮยหลงตรัสออกมาได้ไม่นานนัก
สุรเสียงที่มีความคล้ายกันกับนางแต่กลับขี้เล่นมากกว่า ดังขึ้นที่ทางเดินของเก๋งกลางน้ำ
ปรากฏร่างของเด็กสาวที่ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหน้ากากหยกขาว ในอาภรณ์สีขาวสว่างก้าวเดินเข้ามาในบริเวณของเก๋งกลางน้ำ
“ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่เพคะ”
เจ้าของผมสีน้ำหมึกกล่าวหยอกล้อผู้เป็นพี่
พลางทำท่าทางถวายพระพรเสียเต็มพิธีอย่างน่าหมั่นไส้
“เจ้าไม่ต้องมาประชดประชันพี่เลยนะ
ราชครูหม่าบ่นอยู่สองเค่อ[4]กว่าจะจบพี่ทนได้
แต่กับน้องสามรายนั้นแทบจะเอาหน้าจุ่มน้ำหมึกอยู่รอมร่อ ดีที่น้องหกคอยปลุกตลอด
เจ้าไม่สงสารหูพี่ก็ช่วยสงสารน้องสามกับน้องหกที่ต้องอดนอนตอนยามซื่อ[5]ด้วยเถอะ” คนเป็นพี่เมื่อเห็นน้องสาวฝาแฝดตัวเองก็บ่นยาวอย่างระอาใจ
“โถ่พี่ใหญ่
ไป๋หลงน้องสาวคนนี้ไม่ได้หนีเรียนเสียหน่อยเพคะ
ข้าไปช่วยน้องเจ็ดวิ่งไล่จับเสี่ยวเจียวหั่วต่างหาก...ไม่นึกว่ากว่าจะจับได้ก็เลยเวลาเรียนเสียแล้ว”
หวงไป๋หลงโกหกหน้าตาย พลางทำเสียงออดอ้อนน่าสงสาร
“ลูกไม้ของเจ้าใช้ไม่ได้กับพี่หรอกนะไป่ไป๋
เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าน้องเจ็ดอายุห้าขวบแล้ว ตอนนั้นย่อมต้องอยู่ฝึกอ่านเขียน
ไม่มีทางไปวิ่งไล่จับเสี่ยวเจียวหั่วกับเจ้าได้หรอก” และคนพี่ก็ตอบกลับอย่างทันกัน
น่าสงสารก็แต่องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าที่ต้องมองดูพี่สาวสองคนเถียงกันตาปริบ
ๆ อย่างไม่เข้าใจ รู้จักก็เพียงแต่ว่าเสี่ยวเจียวหั่วที่ว่านั่นคือสุนัขที่พี่เจ็ดของตนเลี้ยงเอาไว้
ก่อนที่สงครามน้ำลายจะออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้
เพียงไม่นานก็ได้มีผู้ที่เข้ามาใหม่เพิ่มมาอีกคน สตรีผู้นั้นแสดงใบหน้าหยิ่งผยอง สีหน้าขององค์หญิงแปดหวงเหมยฮวาแลดูคล้ายกับเป็นปรปักษ์ขึ้นมาทันตาเห็น
ณ
เวลานั้นบรรยากาศสดใสกลายเป็นเย็นเยียบภายในชั่วพริบตา
ท่าทางแสนผ่อนคลายของมังกดำและมังกรขาวแห่งชิงหลงเมื่อครู่มลายหายไป
เหลือเพียงความสูงศักดิ์อันไม่อาจเอื้อมเข้ามาแทนที่ สลัดทิ้งซึ่งกิริยาขี้เล่นทิ้งจนหมดสิ้น
“ถวายพระพรกงจู่”
การถวายความเคารพเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง
“นางกำนัลตำหนักหมิงเจ๋อมีธุระอะไรกับเปิ่นกงจู่อย่างนั้นหรือ?
หรือว่าหลิวเต๋อเฟยให้มารับน้องแปดกลับตำหนัก” หวงเฮยหลงเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เพคะ”
นางกำนัลเอ่ยตอบเสียงห้วน
“แต่ข้ายังไม่อยากกลับ
นี่เพิ่งต้นยามเว่ย[6]ไยเสด็จแม่ต้องรีบเรียกข้ากลับด้วย”
เสียงเล็ก ๆ ของหวงเหมยฮวาเอ่ยขัดอย่างไม่ยินยอม
นางมาถึงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำเหตุใดต้องกลับกัน
“ทูลองค์หญิง
หลิวเต๋อเฟยรับสั่งให้องค์หญิงเสด็จไปเรียนเขียนพู่กันเพคะ” หวงเหมยฮวาด้วยความเป็นเด็กจึงเก็บสีหน้าไม่อยู่
ความไม่พอใจฉายชัดบนใบหน้า นางเพิ่งเรียนดนตรีจบได้หยุดพักไม่เท่าไรก็ต้องเรียนอีกแล้วเช่นนั้นหรือ
ดวงตามังกรของหวงเฮยหลงได้เหลือบไปเห็นน้องเก้าของตนเองกำลังหลบอยู่ด้านหลังน้องรอง
ดวงตาสีเหล้าองุ่นคลอไปด้วยน้ำตาคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อเพราะทนกับสถานการณ์กดดันไม่ไหว
จึงเกิดสงสารเห็นใจ แววตาสีเงินตวัดกลับมาที่นางกำนัลตรงหน้าอีกครั้งสลับกับใบหน้ารื้นน้ำตาขององค์หญิงแปด
มือน้อย ๆ ของหวงหลันฮวากำชายเสื้อของนางเอาไว้แน่น สุดท้ายแล้วนางจึงได้ตัดสินใจเอ่ยข้อเสนอออกไปให้ข้อตกลงเป็นกลางที่สุด
ทว่าก่อนที่หวงเฮยหลงจะได้กล่าวอะไรออกไป สุรเสียงทรงอำนาจจึงดังขึ้นมาก่อน
“ลูกแปดได้พักยังไม่ถึงชั่วยาม[7]ดี เปิ่นกงเห็นว่าเด็กไม่ควรเรียนหนักถึงเพียงนั้น
เจ้ากลับไปกราบทูลเต๋อเฟยว่าเมื่อสิ้นสุดยามเว่ยลูกแปดจะกลับไปเอง”
แววตาขององค์หญิงแปดคล้ายมีความหวังขึ้นมา เป็นหรงฮองเฮาที่ปรากฏกายขึ้น
เดิมทีพระนางเพียงต้องการมาแอบดูลูกเงียบ ๆ แต่บังเอิญพบเข้ากับสถานการณ์ตรงหน้า
ดูแล้วเด็ก ๆ คงไม่สามารถแก้ไขได้เอง อีกอย่างหนึ่งคือเหมยฮวาอายุเพียงสี่ขวบควรมีเวลาเที่ยวเล่นเฉกเช่นเด็กทั่วไป
ไม่ควรต้องไปกดดันเพราะมารดาหวังใช้เป็นเครื่องมือสร้างอำนาจ
องค์หญิงเก้าที่มองเห็นมารดาก็รีบกระวีกระวาดวิ่งไปหลบด้านหลัง
“ถวายพระพรเสด็จแม่”
สองแฝดมังกรเอ่ยขึ้น ก่อนที่องค์หญิงแปดจะเอ่ยตามหลัง “ถวายพระพรเสด็จแม่ฮองเฮา”
นางกำนัลผู้นั้นอึกอักเพียงเล็กน้อย
แต่ก็ต้องปฏิบัติตามราชธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด แล้วจึงกล่าวต่อ
“ถวายพระพรหวงโฮ่วเหนียงเหนี่ยง
ทูลฮองเฮา สิ่งนี้เป็นพระประสงค์ของหลิวเต๋อเฟยเพคะ ไม่อาจขัดได้เพคะ”
หลังประโยคนั้นบรรยากาศคล้ายเย็นเยือกขึ้น
ดวงตาหงส์ของมารดาแห่งแผ่นดินหันกลับไปมองที่นางกำนัลคนสนิท
“ลู่เจียว
พาลูกหญิงกลับเข้าไปในตำหนัก จิ้งเอ๋อร์อยู่กับแม่”
ประโยคแรกนั้นตรัสกับนางกำนัลคนสนิท ส่วนประโยคหลังตรัสกับบุตรสาวคนโตของตนเอง
ผู้ที่รับฟังอยู่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หวงเฮยหลงที่ยืนอยู่ด้านหน้าเมื่อครู่
ถอยตัวมายืนที่ด้านหลังของราชมารดา
ตอนนี้ภายในเก๋งกลางน้ำหลงเหลือเพียงผู้สูงศักดิ์สองคนและนางกำนัลต่างตำหนักเพียงหนึ่งคน
“จิ้งเอ๋อเล่าเรื่องที่ทำวันนี้ให้แม่ฟังได้หรือไม่?”
“เพคะ
ลูกอ่านตำราอยู่ที่นี่ตั้งแต่กลางยามอู่[8] เมื่อต้นยามเว่ยน้องแปดและน้องเก้าจับจูงมือกันเข้ามาหาลูกเพื่อมอบสิ่งนี้ให้”
มือบางยกมงกุฎดอกไม้ให้มารดาแห่งแผ่นดินทอดพระเนตร และเล่าต่อ
“คุยเล่นกันได้ไม่นานน้องรองก็เข้ามาหา ระยะเวลาทั้งหมดยังไม่ถึงเค่อดี นางกำนัลตำหนักหมิงเจ๋อจึงเข้ามา
ถัดจากนั้นก็เป็นไปตามที่เสด็จแม่ทอดพระเนตรเห็นเพคะ” เสียงกังวานขององค์หญิงใหญ่กล่าวตอบอย่างฉะฉาน
หรงฮองเฮาพยักหน้าพึงพอใจ แต่กลับมีเสียงขัดขึ้นเสียก่อน
“ฮองเฮาเพคะ
หม่อมฉันมาตามคำสั่งเต๋อเฟยไม่อาจรอนานกว่านี้ได้”
ยังคงเป็นนางกำนัลคนเดิมที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไร้มารยาท
“เช่นนั้นรึ?
เปิ่นกงเป็นใคร? แล้วเจ้าเป็นใคร? เป็นเพียงนางกำนัลริอาจสอดปากขัดเปิ่นกงเช่นนี้
นายของเจ้ามิสอนมารยาทหรือไรกัน?” ดวงตาหงส์ตวัดมองอย่างแข็งกร้าว
“หรือว่าเจ้าเพิ่งเข้ามาใหม่จึงไร้การอบรมสั่งสอน? ...แต่ก็ไม่น่าใช่ นางกำนัลทุก
ๆ คนจำต้องได้รับการสั่งสอนเกี่ยวกับลำดับในวังหลวงว่าใครสูงกว่าใคร
หรือใครต่ำกว่าใคร ในวังหลังแห่งนี้รองจากฮองไทเฮา เปิ่นกงคือผู้มีอำนาจสูงสุด
กลับไปบอกนายเจ้าว่าเป็นคำสั่งของเปิ่นกง
ลูกหญิงแปดจะกลับไปตำหนักหมิงเจ๋อเมื่อสิ้นสุดยามเว่ยเท่านั้น หาไม่แล้วเปิ่นกงจะถือว่าพวกเจ้าทั้งนายทั้งบ่าว
ขัดคำสั่งของฮองเฮาอย่างเปิ่นกง คงต้องลงอาญาตามระเบียบ”
ได้ยินมารดาแห่งแผ่นดินกล่าวเช่นนี้มีหรือใครจะกล้าขัด
นางกำนัลผู้นั้นจำต้องล่าถอยกลับไปด้วยเกรงกลัวอาญา
“สมกับเป็นเสด็จแม่”
หวงเฮยหลงกล่าวหยอกล้อมารดาตน ใบหน้าของดรุณีน้อยทอความตลกขบขันออกมาทางแววตา
“ลูกคนนี้นี่ เมื่อครู่แม่ช่วยเจ้านะยังมาเล่นอีก”
มังกรดำอมยิ้มอย่างขบขันไม่เลิกรา ถึงจะรู้สึกขอบคุณในน้ำพระทัยของราชมารดา แต่อีกใจนึงนางกลับคิดว่ามารดาคงเพียงอย่างสนุกสนานเท่านั้นเองกระมัง
“จริงสิ แม่ลืมไปเลย ดูเหมือนฝ่าบาทเรียกหาลูกกับน้องรองของลูกนะ รีบไปเถอะ”
“เรื่องอะไรหรือเพคะ?”
“แม่ก็ไม่ทราบ
แต่คิดว่าคงเป็นเรื่องของวันเกิดลูกกระมัง อีกเพียงสามวันลูกแม่ก็จะครบ 7
ขวบแล้ว ฝ่าบาทคงอยากจะสอบถามสิ่งที่พวกเข้าอยากได้”
“...”
หรงฮองเฮาเมื่อสังเกตเห็นว่าบุตรีเงียบไป ใบหน้าที่เคยกวาดตามองรอบ ๆ สวน จึงได้วกกลับมามองที่บุตรสาวอีกครั้ง
ใบหน้าที่ปกติมักจะฉาบไปด้วยความเย็นเยือกและสูงศักดิ์ บัดนี้กลับอ่อนลงหลายส่วน
น้ำเสียงอบอุ่นของพระนางกล่าวกับลูกรักด้วยความอาทร
“กังวลหรือลูก?”
“...เพคะเสด็จแม่”
หรงซิ่วอิงแย้มยิ้มให้บุตรีคลายกังวล
“ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว
แม่รู้ว่าจิ้งเอ๋อร์ และหมิ่นเอ๋อร์ของแม่ต้องทำได้
จากกันครานี้ใช่ว่าจะจากกันตลอดไป
เชื่อแม่เถอะไม่กี่ปีลูกทั้งสองของแม่ก็คงกลับมาแล้ว”
สุรเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นช่างอบอุ่นนัก
ฝ่ามือเรียวสวยของมารดาแห่งแผ่นดินเอื้อมไปลูบศีรษะของลูกรักอย่างทะนุถนอม
พระโอษฐ์แย้มยิ้มสวยหวาน ดวงตาสีเงินของหวงเฮยหลงน้ำตาคลอเบ้า ใคร ๆ
ต่างก็กล่าวว่านางเก่งกาจเกินใคร บุ๋นไม่เป็นรอง บู๊ไม่มีใครเทียบ
แต่ใครจะรู้ว่ากงจู่พระองค์นี้ติดเสด็จแม่ของตนมากเพียงใด
ในหนึ่งวันไม่ว่างานจะน้อยหรือมาก จะต้องมีเวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามให้กับราชมารดาอยู่เสมอ
วันเกิดครบเจ็ดชันษาครานี้กลับต้องจากกันหลายปี
ด้วยธรรมเนียมของราชวงศ์
อันกล่าวไว้ว่าเมื่อมีอายุครบเจ็ดปี ไม่ว่าจะชายหรือหญิงล้วนต้องออกจากวังหลวงเพื่อไปศึกษาที่สำนักต่าง
ๆ โดยส่วนมากองค์ชายมักเข้าฝึกที่สำนักฝึกยุทธ บ้างก็เกี่ยวกับการปกครอง
ส่วนองค์หญิงก็คงเข้าฝึกฝนที่สำนักเกี่ยวกับศาสตร์ศิลป์ของสตรี
แต่สำหรับมังกรคู่แห่งแคว้นชิงหลงนั้นต่างออกไป
กงจู่ทั้งสองพระองค์มีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์ การเรียนของทั้งคู่จึงยากกว่าสมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์
ด้วยต้องเรียนทั้งศาสตร์ศิลป์ การปกครอง หรือแม้แต่วิทยายุทธ เพื่อที่จะสามารถเข้าชิงตำแหน่งไท่จื่อได้อย่างภาคภูมิ
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือหากไม่สามารถเป็นรัชทายาทได้
อย่างน้อยศาสตร์ศิลป์ที่ร่ำเรียนมาก็จะสามารถใช้งานได้ในตำแหน่งขององค์หญิง
มังกรดำที่ได้ฟังคำพูดของมารดาก็เบาใจ
ถึงแม้ประโยคนั้นจะเป็นเพียงการให้กำลังใจของมารดาก็ตาม ภายในใจของกงจู่น้อยตัดสินใจเป็นแม่นมั่นแล้วว่านางจะตั้งใจฝึกฝนให้สำเร็จวิชาโดยเร็วที่สุด
เพื่อจะได้กลับมาอยู่กับมารดา และน้อง ๆ ของตนโดยเร็ว
“เช่นนั้นลูกทูลลาเสด็จแม่
ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่เป็นห่วง ลูกจะพยายามให้ดีที่สุดเพคะ”
ความมุ่งมั่นนั้นส่งผ่านแววตาออก ว่าแล้วก่อนกลับออกไปก็ยังคงไม่ลืมหยิบตำราออกไปด้วย
มารดาแห่งแผ่นดินมองตามแผ่นหลังน้อย
ๆ นั้นไกลออกไป นางก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดแผ่นหลังของบุตรสาวจึงได้ห่างไกลนัก
ราวกับว่าบุตรสาวได้แบกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้บนบ่าเล็ก ๆ นั่น
มารดาอย่างนางคงทำได้เพียงให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ คอยมองดูแผ่นหลังเล็ก ๆ ของลูกรักค่อย
ๆ เติบใหญ่ขึ้นอย่างภาคภูมิ
**********
[1] ชิวเทียน (秋天) คือ
ฤดูใบไม้ร่วง
[2] ผลเถาจื่อ
(桃子) คือ ลูกพีช
[3] ดอกจวี๋ฮวา
(菊花) คือ ดอกเก๊กฮวย
[4] เค่อ คือ
15 นาที
[5] ยามซื่อ
คือ 9.00 – 10.59
[6] ยามเว่ย
คือ 13.00 – 14.59
[7] ชั่วยาม
คือ 2 ชั่วโมง
[8] ยามอู่
คือ 11.00 – 12.59
ไรท์ขอสารภาพว่าการคำค้นหาแรกก่อนเขียน
คือ"ประสบการคลอดลูกแฝด"
แต่จนแล้วจนรอดก็หาข้อมูลไม่ได้เท่าที่ควรอยู่ดี
สภาพตอนเขียนเสร็จก็เลยแปลก ๆ
หน่อยน่ะค่ะ
แหะๆ
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
ซานเฟยหย่า
ความคิดเห็น