คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เล่ม 1 บทที่ 4 ชายชรากับปลาประหลาด
ทันทีที่ทั้งคู่โผล่พรวดพ้นผิวน้ำ เรมีฟถึงกับไอแค่ก ๆ น้ำหูน้ำตาไหล ร็อกก้ามองไปในน้ำอย่างหวาดหวั่น เห็นเจ้าตัวประหลาดอีกหลายตัวเป็นเงาทะมึน มีทั้งขนาดใหญ่กว่าและตัวเล็กกว่าที่ตกได้ ต่างตรงรี่มาหาพวกเขา แค่เห็นฟันกับครีบแล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกขวัญผวา จึงรีบลากเรมีฟกลับขึ้นฝั่งอย่างเฉียดฉิว
ขณะที่พวกมันพยายามกระโจนขึ้นมาบนฝั่งให้ได้ พลันบังเกิดเสียงกระสุนปืนกลหนักดังแหวกอากาศอยู่ใกล้ ๆ อย่างหูดับตับไหม้ พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มใกล้เข้ามา ปลาประหลาดสะดุ้งตกใจว่ายหนีไป ทิ้งให้เด็กทั้งสองมองหน้ากันด้วยความฉงน…
เรมีฟกับร็อกก้ายังคงข้องใจเรื่องเจ้าปลาประหลาดพวกนั้น ไม่ได้สนใจเสียงเครื่องยนต์ที่ดังอื้ออึงอยู่ แต่แล้วเมื่อมีเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว เรมีฟฉวยคันเบ็ดตกปลาที่เหลือ วิ่งปราดเข้าในไปในพุ่มไม้ข้างชายน้ำอีกด้านที่มาของเสียงระเบิด โดยไม่สนใจคำคัดค้านของร็อกก้า เด็กหนุ่มส่ายหน้า เหลียวดูที่ทะเลสาบอีกครั้ง ก่อนจะตามไปหาเรมีฟด้วยความเป็นห่วง
เมื่อมาถึง ภาพตรงหน้าปรากฏยานเกราะบินได้จำนวนหลายลำกำลังไล่ล่ากันอยู่ ฝ่ายที่ถูกไล่ล่าเป็นยานที่มีขนาดเทอะทะรูปร่างเหมือนเต่าทองเป็นยานคลาสลักซูรี่ที่มีระบบเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในโลกซึ่งมีเพียงไม่กี่ลำ เนื่องจากมันมีราคาที่แพงระยับ เพราะใช้เครื่องยนต์ระบบแอนไทแกรวิตี (anti-gravity) จึงทำให้สามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้อย่างอิสระ ยานเต่าทองลำดังกล่าวขนาบไว้ด้วยยานรบหุ้มเกราะอีก 4 ลำที่เล็กกว่า บินคุ้มกันอยู่
อีกฝ่ายเป็นฝูงยานขนาดเล็กที่มีรูปร่างเพรียวลม ชื่อของมันคือโฮเวอร์ไบค์ ลักษณะคล้ายมอเตอร์ไซค์ไร้ล้อที่บินได้โดยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เจ็ต จึงทำให้มันลอยบนพื้นเตี้ย ๆ ได้ ทั้งหมดติดปืนกลหนักและเกราะด้านหน้าคนขี่
เด็กทั้งสองเฝ้าดูอย่างตื่นตาตื่นใจ ที่ด้านข้างยานเต่าทองติดตราสัญลักษณ์ อีเอฟอาร์มี ของสหพันธรัฐ แต่มันมีมงกุฎครอบอยู่บนสัญลักษณ์ด้วย แสดงว่าเป็นยานที่มาจากเมืองหลวง ส่วนโฮเวอร์ไบค์ที่ไล่ติดตามมีคนขับเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งหุ่นยนต์ หรือที่เรียกกันว่าไซบอร์ก
เสียงปืนกลอัตโนมัติดังถี่ยิบจนเกือบจะเป็นเสียงลากยาว ตามมาด้วยเสียงปล่อยจรวดนำวิถีขนาดเล็กที่เห็นเป็นสายสีขาวลากยาวหลายเส้น ทันใดนั้นยานรบคุ้มกันทั้งสี่ลำของสหพันธรัฐระเบิดเป็นจุณ ส่วนยานเต่าทองเริ่มมีควัน และไฟลุกไหม้ที่ด้านท้ายจนปักหัวลงพื้น เพราะระบบต้านแรงโน้มถ่วงหยุดทำงาน
เรมีฟกับร็อกก้าซุ่มดูอย่างลุ้นระทึก ยานของฝ่ายไซบอร์กซึ่งน่าเป็นกลุ่มกบฏเฮลป์ได้ล้อมหน้าล้อมหลังยานรูปเต่าทองเอาไว้ แต่ทันใดนั้น มียานลำเล็กอีกลำแยกส่วนออกจากยานเต่าทองก่อนที่มันจะระเบิด แล้วพุ่งหนีมายังริมน้ำซึ่งเป็นที่ที่เด็กทั้งสองซ่อนตัวอยู่
พวกไซบอร์กเบนหัวไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ ยานลำน้อยหนีไปได้ไม่ไกลก็ถูกยิง มันบินเซถลาแท่ด ๆ ชนเข้ากับริมตลิ่ง แถมเฉี่ยวศีรษะเรมีฟไปเพียงนิดเดียว หลังจากกลิ้งโค่โล่สองสามตลบ พลัน ฝาครอบยานเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งที่สวมชุดขาวคล้ายนักวิทยาศาสตร์พยายามตะเกียกตะกายออกมาจากยาน เขาปัดไฟที่ไหม้ตรงชายเสื้อให้ดับอย่างร้อนรน เมื่อออกมาได้ เขาก้าวเท้าวิ่งหนีสุดชีวิต โดยมีพวกเฮลป์ที่ประหนึ่งทูตมรณะไล่ตาม
ในขณะนั้นเอง ชายชราชุดขาวหันมาเห็นเรมีฟกับร็อกก้า เขาโบกมืออย่างร้อนรน เป็นทำนองว่าให้เด็กทั้งสองหนีไป แต่ร็อกก้ากลับคว้าเบ็ดตกปลาจากมือเรมีฟ ตวัดคันเบ็ดให้เอ็นไปพันกับลำต้นของต้นไม้ใกล้ ๆ แล้วขึงมันขวางเส้นทางเอาไว้
สายเอ็นแม้บางใส แต่ก็เหนียวและมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งขนาดปลาปีศาจยื้อไว้ยังไม่ขาด พวกเฮลป์ที่ขี่โฮเวอร์ไบค์มาสี่ลำไม่ทันเห็นสายเอ็น จึงทยอยถูกเกี่ยวล้มคว่ำไม่เป็นท่า บ้างก็กระเด็นไปตกในทะเลสาบ พวกที่ตกไปไกลจากฝั่งก็จมหายในทันที เพราะร่างที่เป็นไซบอร์กนั้นมีน้ำหนักมากเกินกว่าจะว่ายน้ำได้ ส่วนอีกสองคนที่กระเด็นไปที่ตื้นกว่าต่างตะเกียกตะกายลุกขึ้น พร้อมกับส่องปืนมายังพวกเขาทั้งสาม
แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์โลหิตนองผืนพสุธา เพียงวูบเดียว ไซบอร์กทั้งสองคนถูกหางสีดำทะมึนของสัตว์อะไรบางอย่าง พุ่งพรวดขึ้นมาจากผิวน้ำรัดคอเอาไว้ แล้วกระชากกลับลงไปในทะเลสาบ ชายชราเงยหน้ามาเห็นเหตุการณ์ ได้แต่ยืนอ้าปากค้าง
“ปลาผ่าสายพันธุ์ที่ผู้ว่าการมลรัฐแจ้งมา มันตัวใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ”
แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวตกตะลึง พวกเขาเผ่นหนีกระเจิง พอไกลจากฝั่งแล้วจึงกลั้นใจหันกลับมา แต่ไม่มีเงาของอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากเห็นผิวน้ำกระเพื่อมอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อยกลับมาสงบราบเรียบตามเดิม...
ทั้งสามคนมีเวลาตกตะลึงไม่มากนัก เพราะพวกเฮลป์ยังเหลืออีกหลายคน ต่างขับโฮเวอร์ไบค์ตรงรี่มาหาพวกเขาด้วยความโกรธแค้น พวกเขาวิ่งหนีไปยังด้านตรงข้ามกับทะเลสาบ ชายชราหน้าแดงก่ำ หายใจหอบแล้วหยุดวิ่งเสียดื้อ ๆ
“คุณตาครับจับมือผมไว้!” ร็อกก้าวิ่งกลับไปพยุงชายชรา แต่เขาสั่นศีรษะพลางกุมหน้าอกตัวเอง
“ไม่เป็นไร พวกเธอไปเถอะ พวกมันต้องการแค่ฉันคนเดียว”
“ไม่ได้! ต้องหนีไปด้วยกัน” ร็อกก้ายืนกราน ชายชราในชุดขาวจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความซาบซึ้ง
“ขอบคุณพวกเธอมาก แต่อย่ามาเสี่ยง รีบหนีไปซะ”
แต่ร็อกก้าไม่ยอม เขาย่อเข่าลงเตรียมจะแบกชายชราแปลกหน้าขึ้นหลัง แต่แล้ว พลันปรากฏยานรบหลายลำบินร่อนลงมาจากชายป่าด้านตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของเขตเมืองอุตสาหกรรมการบินแมกโตซิส
กระสุนปืนใหญ่ลอยข้ามหัวทั้งสาม ก่อเกิดเสียงระเบิดกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือน ทั้งสามรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สิ่งที่มาช่วยเขาคือยานรบของทหารสังกัดเมืองแมกโตซิส เป็นยานรบพิสัยไกล ซึ่งมีเทคโนโลยีและอาวุธยุทโธปกรณ์ล้ำสมัย ยานเหล่านั้นเปิดฉากระดมยิงฝ่ายเฮลป์ร่วงผล็อยทีละลำ ๆ ขับไล่พวกที่เหลือแตกกระเจิงจนหนีเอาชีวิตรอดไปคนละทิศละทาง
เมื่อพวกเฮลป์แตกพ่ายไม่เป็นขบวนแล้ว หนึ่งในยานหุ้มเกราะของแมกโตซิสร่อนลงจอดตรงหน้าพวกเขา แล้วมีเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มหนึ่งลงมาจากยาน พวกเขาทำความเคารพต่อชายชรา
“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ ดร. บรองก์ ที่พวกเรามาช่วยท่านเกือบไม่ทันการณ์ มันเป็นความผิดของหน่วยข่าวกรองเราเอง”
ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุด และมีตำแหน่งสูงที่สุดเป็นผู้กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ร็อกก้าที่รู้เรื่องเกี่ยวกับทหารเป็นอย่างดี มองยศบนบ่าแล้วก็รู้ว่าชายผู้นี้เป็นพันโทของกองทัพ
แต่ชายชราที่ชื่อ ดร. บรองก์ กลับกล่าวพลางพยักหน้าว่า
“ไม่สิ ฉันต้องขอบคุณคุณต่างหาก ไม่ได้คุณมาช่วยพวกเราคงแย่ ผู้พันโอริก”
“แล้วเด็กสองคนนี้...”
ผู้พันโอริกเพ่งดูเรมีฟกับร็อกก้าด้วยความสนใจ ดูเหมือนเขาออกอาการแปลกใจที่เห็นร็อกก้าที่นี่ ส่วนเรมีฟจ้องผู้พันโอริกตาไม่กะพริบ โอริกมีใบหน้าเหลี่ยม ผมสีทองสั้นทรงลานบิน และสวมถุงมือหนังสีดำทั้งสองข้าง
“อะ อ้อ... เด็กสองคนนี้ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ถ้าไม่ได้พวกเขาล่ะก็ คงแย่” บรองก์มองเด็กทั้งสองด้วยความชื่นชม
“เธอทั้ง 2 ชื่ออะไร” บรองก์กระซิบถาม
“ผมร็อกก้าครับ”
“ส่วนผมชื่อเรมีฟครับ”
บรองก์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ทำท่าจะแนะนำเด็กทั้งสอง โอริกชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า
“ร็อกก้า ทำไมถึงมาโผล่ที่ทะเลสาบได้ แล้วนี่ผู้ปกครองของพวกเธอรู้รึเปล่า” เรมีฟอ้าปากหวอ พอรู้ตัวรีบหุบ แล้วถามเสียงดังว่า
“รู้จักเราด้วย!?”
“นั่นสิ ผู้พันรู้จักเด็กสองคนนี้หรือ?” แม้แต่ ดร. บรองก์ยังประหลาดใจ ที่คนระดับสูงอย่างโอริกไม่น่าจะรู้จักเด็กท่าทางมอซอทั้ง 2 นี้ โอริกกระแอมทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า
“รู้จักคนเดียวครับ ผมเพิ่งได้คุยกับร็อกก้าเมื่อเช้านี้ ว่าแต่... เรื่องที่เราคุยกันไว้ พร้อมแล้วใช่ไหม?”
ผู้พันโอริกตบไหล่ร็อกก้าเบา ๆ ซึ่งร็อกก้าก็พยักหน้า ทำเอาเรมีฟงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้ว่าพวกเขาไปรู้จักกันตอนไหน และกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?
เรมีฟขุ่นข้อง ซักไซ้เด็กหนุ่มเป็นการใหญ่ แต่ร็อกก้ากลับอิด ๆ เอื้อน ๆ บอกแต่ว่าเดี๋ยวกลับถึงค่ายแล้วค่อยเล่าให้ฟัง
ผู้พันโอริกอารักขา ด.ร. บรองก์กลับเข้าเมือง แถมยังพาเด็กทั้งสองขึ้นยานเพื่อกลับค่ายด้วย ทำเอาเรมีฟตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นยานรบของจริง ไม่ต้องเดินกลับให้เมื่อยขา
ระหว่างที่ยานรบพิสัยไกลบินอยู่เหนือยอดไม้ เรมีฟมัวแต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความประทับใจ จนเขาลืมความตั้งใจที่จะถามถึงความสัมพันธ์อันน่าฉงนของร็อกก้ากับโอริกไปเสียสิ้น ส่วนร็อกก้ากลับฉวยโอกาสคอยฟังคำสนทนาระหว่างผู้พันโอริกกับ ดร. บรองก์ ด้วยความอยากรู้ว่า ดร. บรองก์คือใครกันแน่? เพราะดูท่าทางคนระดับผู้พันยังพินอบพิเทาต่อเขาถึงขนาดนั้น แสดงว่าชายชราคนนี้ต้องไม่ธรรมดา
เสียดายว่ายานลำนี้ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงค่าย ทำให้ร็อกก้าไม่อาจทราบได้ แต่ก็พอรู้คร่าว ๆ ว่า ด.ร. บรองก์ผู้นี้มาจากเมืองหลวง เดินทางมายังเมืองอุตสาหกรรมการบินแมกโตซิส เพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่าง ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้ตัวอย่างที่ต้องการมาแล้ว และจะนำสิ่งนั้นกลับไปวิจัยที่เมืองหลวงต่อไป
แต่ก่อนจากกัน ด.ร. บรองก์จับมือขอบคุณเรมีฟกับร็อกก้าอีกครั้ง ชื่นชมในความกล้าหาญ และบอกว่าจะไม่ลืมบุญคุณของพวกเขาไปตลอดชีวิต...
เมื่อเรมีฟกับร็อกก้ากลับถึงค่ายผู้อพยพ ยามนั้นพระอาทิตย์คล้อยต่ำลับเหลี่ยมสันทรายไปแล้ว พร้อมกับเริ่มปรากฏแสงไฟจากค่าย คล้ายกับทุ่งแห่งแสงที่ส่องสว่างสีนวลตา หากแต่มันยังไม่อาจสว่างไสวเท่ากับแสงจากหลังม่านเหล็กสีดำทะมึน ภายในเมืองแมกโตซิสเลยแม้แต่น้อย
ร็อกก้าขอตัวกลับบ้าน และได้กำชับกับเรมีฟไม่ให้เขานำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปบอกใคร แม้กับทีลาโซก็ตาม เรมีฟเดินไปตามทางที่มีแสงไฟด้วยความฉุนเฉียว ที่ดันลืมถามเรื่องโอริกไปเสียสนิท
ระหว่างทางเขาพบพวกทหารเต็มไปหมด เดินเข้า ๆ ออก ๆ เต็นท์นั้นเต็นท์นี้ เที่ยวรื้อของไปทั่ว แล้วซักถามเกือบทุกคนที่พบเห็น ปกติแล้วคนของทางการจะไม่ยุ่มย่ามในค่ายถ้าไม่มีเหตุจำเป็น
เด็กชายเก็บความสงสัยไว้ในใจ จนกระทั่งมาถึงเต็นท์ของเขา แล้วก็เห็นร่างเล็ก ๆ ของทีลาโซ กำลังชะเง้อมองหาอะไรบางอย่าง ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ทำเอาเรมีฟชักเป็นกังวลขึ้นมาหน่อย ๆ คาดเดาในใจ ว่างานนี้ไม่แคล้วต้องถูกลีซอนโบยแหง ๆ
แต่ปรากฏว่า ทันทีที่ทีลาโซเห็นเรมีฟ เธอส่งเสียงร้องเรียกพี่ชายด้วยความดีใจ แล้วรีบมุดเข้าไปในเต็นท์ ต่อจากนั้นสักประเดี๋ยว ลีซอนผู้เป็นแม่ก็วิ่งพรวดออกมาคว้าตัวเขามากอดไว้แน่นพร้อมกับละล่ำละลักว่า
“ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณ ๆ ที่ลูกไม่เป็นอะไร”
“ละ ลีซอน มีอะไรกันเหรอ” เรมีฟตกใจ เขาหันไปมองทีลาโซ เธอยืนปาดน้ำตาอยู่ใกล้ ๆ เด็กชายมึนงงหนักเข้าไปอีก
ลีซอนคลายวงแขนที่กอดเรมีฟไว้ ตัวเธอเองก็เกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เรมีฟไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วลีซอนกลับตวาดด้วยความโมโห
“หายไปไหนกันมา หายไปทั้ง แม่กับลุงโมฟเป็นห่วงพวกเจ้าจะบ้าตายอยู่แล้ว สั่งแล้วใช่ไหมให้อยู่แต่ในเต็นท์ แล้วทำไมทำแบบนี้”
“อะ... อะไรกัน ผมก็แค่ไปตกปลากับร็อกก้าที่ทะเลสาบ ตอนนี้เขาก็กลับบ้านไปแล้ว”
เรมีฟตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ลีซอนมีท่าทีอ่อนลง เมื่อได้รู้ว่าเรมีฟแค่แอบไปตกปลาเท่านั้น จึงถอนหายใจ แล้วมองสำรวจร่างกายอันมอมแมมของเขา
“มือไปโดนอะไรมา?”
“ปะ... เปล่านี่ครับ” เรมีฟหงายมือดู ถึงได้รู้ว่าเป็นแผล คงเกิดจากเชือกบาดตอนตกลงไปในทะเลสาบ และเพิ่งรู้สึกตัวว่าเจ็บ
“มาให้แม่ดู” ลีซอนพูดเสียงอ่อนลง แล้วคว้ามือเขามากุมไว้ “ซนจริง ๆ”
บ่นเสร็จก็ค่อย ๆ ห่อปาก เป่าลมอุ่น ๆ รดมือเขาดั่งร่ายมนตร์อยู่หลายที แล้วเหลือบตามองด้วยประกายแห่งความห่วงใยและความรัก คำถามว่า “เจ็บไหมลูก” แสดงออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด
“ผะ... ผม ไม่เป็นอะไรแล้วครับ” เรมีฟก้มหน้า แต่ก็เหลือบตามอง
“กลับบ้านกัน เดี๋ยวแม่ใส่ยาให้”
“ขอบคุณฮะ”
เธอยิ้มขณะน้ำตาคลอเบ้า เอื้อมมือมาลูบคลำใบหน้าของเขา เห็นแม่เป็นห่วงเขาถึงขนาดนี้ ทำให้เรมีฟรู้สึกผิด เลยกล่าวอย่างสำนึกผิดว่า
“ผมขอโทษครับ ต่อไปจะบอกก่อนว่าจะไปไหน ผมสัญญา...”
ลีซอนกอดเขาอีกครั้ง “สัญญากับแม่แล้วนะ”
เรมีฟพยักหน้า แต่พอเห็นทีลาโซจ้องอยู่ จึงหลิ่วตาทีหนึ่ง ทำให้เด็กหญิงแอบหัวเราะคิก เธอคงรู้ดีว่า พี่ชายสุดแสบคนนี้ทำตัวเป็นเด็กดีได้ไม่กี่วัน ประเดี๋ยวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“ทำไมวันนี้เป็นห่วงผมจัง ทุกทีก็กลับค่ำ ๆ มืด ๆ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“แม่จะไม่เป็นห่วงได้ยังไง เพราะพวกเจ้าชอบไปคลุกคลีกับตาเฒ่ามิไกเป็นประจำ แล้วรู้หรือเปล่า วันนี้เกิดเรื่องมากมายขึ้นที่ค่ายของเรา เรื่องน่ากลัว”
“อะไร!? แล้วตามิไกเกี่ยวอะไรด้วย? จริงสิ ตะกี้ผมเห็นพวกทหารเต็มไปหมดเลย มีอะไรกันเหรอ” เรมีฟทำท่ากระตือรือร้นด้วยความอยากรู้ ลีซอนถอนหายใจ แล้วค่อยบอกเขาว่า
“ต้นเหตุมาจากตาเฒ่ามิไกนั่นล่ะ วันนี้ตอนบ่าย ๆ เขากับพวกถูกทหารฆ่าตาย”
เรมีฟตกตะลึงยืนตัวแข็งทื่อ ก็เมื่อเช้าเรมีฟเพิ่งคุยกับมิไกอยู่แหม็บ ๆ
“ตะ ตาย ตายได้ยังไง!?” เด็กชายแทบจะตะโกนเสียงดัง
“เบาเสียงหน่อย ตอนนี้พวกทหารกำลังตรวจค่ายอย่างเข้มงวด แล้วก็จับผู้ต้องสงสัยไปหลายคนแล้ว”
“ผู้ต้องสงสัย?” เห็นสีหน้างุนงงของเรมีฟ เธอจึงอธิบายว่า
“แม่ไม่นึกเลยว่าที่ผ่านมาเฒ่ามิไกคนนั้นก็เป็นหนึ่งในเฮลป์ที่แอบแฝงเข้ามาอยู่ในค่ายนี้”
“หะ หา!” เรมีฟอ้าปากค้าง ลีซอนกล่าวเสริมด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“วันนี้ เขากับพวกพากันไปปล้นขบวนยานของรัฐบาล มีคนตายด้วย”
“ปล้นอะไรเหรอครับ” เรมีฟทำหน้าซีดเพราะเหมือนว่าเขาจะอยู่ในเหตุการณ์
“แม่ไม่รู้หรอก รู้แค่ตอนนี้คนในกำแพงเมืองโกรธมาก เลยสั่งให้ทหารไล่รื้อค้นในค่ายกันยกใหญ่ สุดท้ายก็จับคนที่สงสัยว่าจะเป็นเฮลป์ไปได้หลายคน เฮ้อ... อย่างคุณยอร์ชินั้นก็ใช่”
ยอร์ชิด้วยหรือ? เขาคือคนที่ให้เรมีฟกับร็อกก้ายืมเบ็ดตกปลาอยู่บ่อย ๆ เบ็ดที่หายไปคันหนึ่งวันนี้ก็ของเขา นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมีแต่พวกเฮลป์เต็มไปหมด วันนี้ที่ทะเลสาบก็ใช่
ขณะที่เรมีฟรู้สึกเหมือนกับว่า ภายในสมองของเขากำลังถูกจับเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา ลีซอนก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า
“ตอนนี้แยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นผู้อพยพธรรมดา หรือเป็นพวกเฮลป์ มันน่าสงสัยไปหมด ขอให้รัฐบาลอย่าเหมารวมพวกเราไปด้วยเลย” ลีซอนสั่นศีรษะด้วยความหนักใจ “แค่นี้ก็อยู่กับลำบากจะแย่ ขืนเป็นแบบนี้ พวกเราจะได้รับความไว้ใจจากสหพันธรัฐได้ยังไง”
ความคิดเห็น