ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    P2 เจ้าชายจักรกล The Prince of Two Worlds

    ลำดับตอนที่ #4 : เล่ม 1 บทที่ 3 ชีวิตปราศจากกองขยะ

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 65


    มันช่างเป็นวันที่สุดแสนจะน่าเบื่อของเรมีฟในรอบปีก็ว่าได้ เพราะจากเหตุระเบิดที่ภูเขาขยะเมื่อวาน ทางการมีคำสั่งให้ที่นั่นเป็นเขตหวงห้ามชั่วคราว แล้วจัดทหารหน่วยหนึ่งคอยตรวจตราบริเวณพื้นที่โดยรอบอย่างเข้มงวดในระดับสาม

    แถมเมื่อตอนเช้า ลีซอนยังสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้เรมีฟออกนอกบ้าน พร้อมกับขู่คาดโทษเอาไว้ด้วยเสียงดุ ๆ ก่อนที่เธอจะจูงทีลาโซไปโบสถ์ด้วยกัน แน่นอนว่าเรมีฟต้องหงุดหงิดหัวเสียเป็นอันมากและแน่นอนอีกว่า เขาต้องฝ่าฝืนคำสั่งลอบออกไปอย่างท้าทาย

    พอออกมาแล้วเจ้าเด็กดื้อก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี จึงเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย เห็นเด็ก ๆ วิ่งเล่นไล่จับกัน ผู้หญิงกลุ่มใหญ่หอบเสื้อผ้าไปต่อคิว รอซักที่เครื่องซักอบแห้งส่วนกลาง ขณะที่ผู้ชายกลุ่มหนึ่งสุมหัวกันเล่นหมากรุกอย่างสนุกสนาน

    รู้ตัวอีกทีเด็กชายก็มุ่งหน้ามาถึงกระโจมหลังใหญ่ ที่ตั้งอยู่ในสุดของค่ายผู้อพยพ ซึ่งเป็นที่พักของตาเฒ่ามิไก และยังเป็นศูนย์บัญชาการสมาพันธ์กองขยะอีกด้วย

    กระโจมแบบชาวอาหรับ ด้านหน้ามีกองไฟซึ่งมอดแล้ว กับหม้อก้นดำแขวนอยู่บนกิ่งง่ามไม้ที่ปักอยู่ใกล้ ๆ กัน ส่วนรอบกระโจมเต็มไปด้วยเศษเหล็กกองสุม มิไกเป็นผู้รับซื้อไว้จากพวกเด็ก ๆ ที่หามาขาย แต่ยังไม่ได้แปรสภาพให้กลายเป็นของมีค่า

    เสียงทุบโลหะดังแก๊ง ๆ ดังลอดออกมาจากข้างในกระโจม เรมีฟแหวกผ้าม่านเข้าไป เห็นเฒ่ามิไกผู้มีรูปร่างผอมเกร็งหลังค่อมเล็กน้อยแต่ดูแข็งแรง ดวงตาข้างหนึ่งของเขามีแถบผ้าปิดไว้อย่างกับโจรสลัด แก้มซ้ายมีแผลเป็นขนาดใหญ่ ปากคาบมวนยาสูบกลิ่นฉุนจนเรมีฟหน้าเบ้ เขากำลังง่วนอยู่กับการใช้ค้อนทุบชิ้นส่วนอะไหล่ยานให้แตก เพื่อจะนำเอาขดลวดทองแดงออกมา

    เขาเงยหน้าปาดเหงื่อ เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาคือเรมีฟ จึงขยี้มวนยาสูบที่เหลือกับโต๊ะ แล้วส่งเสียงดุ ๆ มาว่า

    “ไงล่ะไอ้ตัวเล็ก ได้ข่าวเมื่อวานเอ็งไประเบิดกองขยะซะเละเทะเลยนี่ ยังกล้าเสนอหน้ามาที่นี่อีกเรอะ”

    เฒ่ามิไกคว้าไม้เท้าพร้อมกับลุกขึ้นยืน เผยให้เห็นสิ่งสะดุดตา นอกเหนือจากใบหน้าอัปลักษณ์ นั่นคือขาข้างขวาของเขา ตั้งแต่เหนือเข่าลงไปนั้นเป็นเครื่องจักร ที่ส่งเสียงเบา ๆ จากการสูบฉีดของปั๊มระบบนิวเมติก

    ในยุคสมัยนี้ ผู้คนที่มีร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นเครื่องจักรกลนั้นมิใช่เรื่องแปลก เพราะภัยสงครามอันรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นทุก ๆ ที่ จึงทำให้มีผู้สูญเสียแขนขาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ใช่ผู้พิการทุกคนจะหาซื้ออวัยวะเทียมมาใส่ได้ เพราะชิ้นส่วนพวกนี้มีราคาแพงระยับ แต่มิไกที่ทำกำไรจากการค้าขายเศษเหล็ก เลยพอมีปัญญาซื้อขาเทียมตกรุ่นได้ และสำหรับผู้ที่มีร่างกายหลาย ๆ ส่วนเป็นเครื่องจักรกล มักถูกคนทั่วไปเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า ไซบอร์ก

    มิไกปั้นหน้าดุขยับเดินเข้ามาหาเรมีฟ แต่เด็กชายหาได้กลัวเกรงไม่ ทั้งสองจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละ แต่แล้วมิไกกลับหัวเราะฮ่า ๆ พร้อมกับขยี้หัวเรมีฟพลางพูดว่า

    “ข้าแบ่งเขตนั้นให้เอ็งสองคน ไม่ได้ให้เอาไว้ระเบิดเล่นนะโว้ย” มิไกส่ายหน้าก่อนถอนหายใจ “แล้ววันนี้มีของอะไรมาแลกไหมล่ะ ไอ้ตัวเล็ก”

    เรมีฟตัวน้อยได้แต่หัวเราะแฮะ ๆ พลางส่ายหน้า สายตากลับเหล่ไปที่ถาดใส่ผลไม้ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะรวม ๆ กับขนมปังและเนื้อก้อนอย่างดี

    “ไม่มีของแลกก็อด ไป ๆ ได้แล้ว อย่ามาเกะกะ” มิไกกล่าวเหมือนไม่แยแสพร้อมกับรุนหลังเรมีฟที่ทำหน้าบูดบึ้ง แต่มิไกก็หยิบองุ่นยื่นให้หนึ่งพวง ถึงแกจะปากร้ายแต่ก็ใจดีในระดับหนึ่งทีเดียว

    “เอานี่ไป แล้วไม่ต้องมากวนข้าอีก วันนี้ข้ามีธุระสำคัญมากต้องทำ” เรมีฟรีบรับมาด้วยดวงตาเป็นประกาย แต่ไม่วายพูดว่า

    “ตา ๆ ขอเปลี่ยนเป็นแอปเปิลได้ไหม”

    มิไกเขกกะโหลกด้วยความหมั่นไส้ “เกินไปแล้ว ไอ้นี่”

    เด็กชายซู้ดปากแล้วก้มหน้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าถาม “แล้ว... ถ้าผมอยากได้แอปเปิลสักสองลูก ผมต้องเอาอะไรมาแลก?”

    มิไกอ้าปากไม่ทันจะตอบ แต่แล้วกลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาว่า “จากไอ้เด็กปากดีเมื่อวาน เปลี่ยนเป็นขอทานไปแล้วเหรอ”

    เอียนเรเดินเข้ามาในกระโจมพร้อมกับสิ่งของจำนวนมาก ที่หามาได้จากกองขยะเมื่อวาน สำหรับลูกค้ารายใหญ่ เฒ่ามิไกย่อมต้อนรับขับสู้อย่างดี เด็กร่างท้วมยักคิ้วทำหน้าอย่างคนเหนือกว่าใส่เรมีฟ

    เด็กชายนัยน์ตาสีเขียวได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทั้ง ๆ ที่ปากยังเจ่อจากเหตุชกต่อยเมื่อวาน จึงรีบเดินหนีออกไปจากกระโจม

    “ระวังตัวไว้ล่ะ ถ้าเขตขยะเปิดแล้วเห็นแกไปป้วนเปี้ยนแถวนั้นละก็...” เอียนเรกระซิบบอกขณะเดินสวนกัน เรมีฟหันไปถลึงตาใส่อย่างไม่เกรงกลัวส่งเป็นสัญญาณนัย ๆ ไปว่าอย่างแกจะทำอะไรได้แล้วปิดประตูปัง

    พอออกมาด้านนอกเรมีฟบิผลองุ่นกินอย่างหัวเสียแล้วทำหน้าแหย “ถ้าจะเปรี้ยวขนาดนี้ก็เป็นมะนาวเถอะ อย่าเป็นองุ่นเลย” เรมีฟพ่นเมล็ดออกมาก่อนจะสบถต่อ “ให้มาได้ตาแก่บ้าเอ๊ย”

    ในขณะเดียวกันนั้นเอง มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเกือบสิบคน กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้พอดี พวกเขาเหลือบมองเด็กชายแวบหนึ่งอย่างไม่สนใจ ก่อนจะมุดเข้าไปในกระโจมของมิไก จากนั้นก็ได้ยินเสียงเฒ่ามิไกร้องว่า

    “มากันแล้วสินะ ปล่อยให้ตาแก่อย่างข้ารอซะนาน เอ้าเจ้าอ้วนออก ๆ ไปได้แล้ว”

    เห็นเอียนเรโดนถีบหัวส่งออกมา เรมีฟซึ่งเพิ่งเข้าไปแอบอยู่ตรงพุ่มไม้อดหัวเราะคิกคักไม่ได้ เอียนเรบ่นอุบเป็นหมีกินผึ้ง พลางหอบข้าวหอบของที่ยังไม่ทันจะขายกลับไปอย่างหน้ามุ่ย

    เรมีฟเกิดความสงสัยพร้อมกับพยายามเงี่ยหูฟังที่ข้างกระโจมแต่ไม่ได้ยินอะไร นอกจากตอนหนึ่งที่มิไกตะโกนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด จนดังลอดออกมาข้างนอกว่า “อิริเดียม” และ “บรองก์” ซึ่งเรมีฟฟังแล้วไม่เข้าใจแม้แต่น้อย...

    หลังออกมาจากกระโจมของเฒ่ามิไกแล้ว เรมีฟลังเลว่าจะเอาองุ่นพวงนี้ไปให้ทีลาโซดีหรือเปล่า มันเปรี้ยวขาดใจเลย

    ไม่ดีกว่า เพราะไม่อยากเสี่ยงเจอลีซอน... สุดท้ายก็ตกลงใจไปหาร็อกก้าแทน ตอนนี้อยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำเสียด้วย

    เมื่อไปถึงเต็นท์ของร็อกก้า เรมีฟเป็นอันต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะนอกจากไม่มีใครอยู่แล้ว เต็นท์ยังโล่งอย่างประหลาด ข้าวของที่เคยรกรุงรังมานาน ถูกจัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

    เรมีฟสังเกตเห็นแถบป้ายทหารของหน่วยต่าง ๆ จากทั่วโลก ซึ่งทั้งหมดเป็นของสะสมสุดหวงของร็อกก้า ปกติจะติดไว้บนผนัง แต่บัดนี้กลับถูกปลดลงมาจนหมดสิ้น แล้วใส่เก็บไว้ในขวดโหลใบหนึ่ง และมันยังวางอยู่บนกระเป๋าเดินทางอีกด้วย

    เรมีฟรู้ดีว่าร็อกก้าอยากเป็นทหารมาตลอด เรียกว่าทุกลมหายใจเข้าออกเลยก็ว่าได้ ร็อกก้าพูดถึงเรื่องนี้ให้เรมีฟฟังเป็นประจำ แต่สำหรับเรมีฟแล้ว เขารังเกียจทหารสหพันธรัฐ ซึ่งความคิดนี้ก็เหมือน ๆ กับประชาชนส่วนใหญ่ในค่ายอพยพแห่งนี้

    แม้พวกชาวค่ายจำต้องพึ่งพาพลังงาน อาหาร และยาในการดำรงชีวิตประจำวันจากกองทัพ แต่ก็เป็นไปอย่างกระเบียดกระเสียร เช่นในการจ่ายอาหารแต่ละครั้งฝูงชนต้องแย่งชิงกันเหมือนกับการแจกทานให้คนจรจัด เพราะมันไม่เพียงพอต่อความต้องการ

    ทหารเหล่านั้น นอกจากคอยแต่ข่มเหงรังแกชาวค่ายแล้ว พวกเขายังเป็นผู้ “พราก” คนที่รักไป จากสงครามย่อย ๆ ในแต่ละครั้ง แทบทุกคนในค่ายต้องมีใครสักคนในครอบครัวที่ถูกพรากไป และไม่มีวันใดที่พวกเขาจะข่มตาหลับได้อย่างสนิทใจ พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าในวันข้างหน้าจะมีใครอีกที่ต้องจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

    โมฟผู้เป็นบิดาไม่พอใจที่ร็อกก้าอยากเป็นทหาร พวกเขาทุ่มเถียงทะเลาะกันบ่อยครั้ง โมฟด่าคนที่อยากเป็นทหารว่า พวกกระสันจะเป็นหมารับใช้กองทัพ ดีแต่รับคำสั่งให้ฆ่าคนไปวัน ๆ

    แต่ร็อกก้ากลับมีความคิดอีกอย่าง ครั้งหนึ่งเขาเล่าให้เรมีฟฟังหลังจากเพิ่งทะเลาะกับโมฟมา เรมีฟจำคำพูดและใบหน้าของร็อกก้าได้เป็นอย่างดี ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง และดวงตาที่มีประกายแห่งความทะเยอทะยาน ขณะที่ทั้งสองนอนหงายดูดวงดาวบนแท็งก์น้ำ

    “การได้เข้าไปอยู่ในกองทัพ อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเร่ร่อนอยู่ข้างนอกอย่างนี้ ได้เรียนหนังสือ แล้วฉันจะเรียนรู้มันทุกอย่างเลย เพื่อวันข้างหน้าฉันอาจจะได้มีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโตของสหพันธ์ แล้วฉันจะทำให้ทุกคนที่นี่มีชีวิตที่ดีกว่านี้”

    ถ้าเป็นคนอื่นคงคิดว่าฝันเฟื่อง แต่เรมีฟมั่นใจว่า คนอย่างร็อกก้าสามารถทำได้อย่างที่พูด ถ้าเขาตั้งใจจะทำ

    “ไปเป็นพวกเฮลป์ไม่ดีกว่าเหรอ เท่กว่าไปเป็นพวกหมารับใช้ของกองทัพตั้งเยอะ” เขาพูดตามประสาเด็ก ร็อกก้าสั่นหน้า มือก่ายหน้าผาก รับลมราตรีเย็น ๆ ก่อนจะบอกกับเรมีฟว่า

    “มันไม่เหมือนกันหรอกนะ เด็ก ๆ อย่างนายอธิบายไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก”

    “ฉันไม่เด็กแล้ว” เรมีฟตัวน้อยโมโห “อย่างน้อยฉันก็ได้ยินมาว่า คนที่สมัครไปเป็นหมารับใช้จะต้องยอม... เอ่อยอม... มันเรียกอะไรนะ”

    “สัตยบรรณาการ” ร็อกก้าบอกให้

    “ใช่ ๆ สัตยบรรณาการ 'แลก' สิ่งสำคัญเสียก่อนเพื่อให้ได้เป็นทหาร หรือเพื่อให้ได้เป็นพลเรือน” ร็อกก้าเงียบไป เรมีฟจึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

    “ฉันไม่รู้หรอก ว่าพวกมันต้องการอะไรจากเราแต่เด็กจากกองขยะในค่ายอพยพอย่างเรา ๆ จะมีอะไรเป็นของสำคัญมาก ๆ ไปแลกกับเขาล่ะ” เด็กหนุ่มฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจ นอนจ้องดาวอยู่สักครู่ แล้วตอบเสียงเบาว่า

    “อาจจะเป็นวิญญาณ และก็... อิสรภาพทั้งชีวิตล่ะมั้ง”

    เมื่อเรมีฟเลิกนึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ร็อกก้าเผยสิ่งวาดหวังให้ฟังแล้ว เขาก็มุดออกมานอกเต็นท์ เผอิญว่าร็อกก้ากลับมาพอดี แถมในมือยังถือคันเบ็ดสองคันกับถังเปล่ามาด้วย

    “เดาไม่ผิดเลยว่านายต้องมาหา ฉันเลยไปยืมเบ็ดตกปลาจากคุณยอร์ชิมาน่ะ แล้วว่าจะชวนนายไปตกปลาด้วยกันหน่อย”

    “ตกปลา?” เรมีฟกะพริบตา ร็อกก้ายิ้มขำขัน

    “ทำไมล่ะ ทำหน้าเหมือนไม่เคยไปกับฉัน นี่ก็หลายเดือนแล้วนะ”

    “ปะ เปล่า ๆ แล้วจะไปที่ไหนดีล่ะ บึงข้างภูเขาขยะเหรอ”

    “ไม่เอาล่ะ น้ำเหม็นจะตาย และมันก็ไม่มีปลาแล้วด้วย ฉันจะพานายไปที่ทะเลสาบต่างหาก”

    “โหย ไกลจะตาย”

    “เอาน่า ๆ เปลี่ยนบรรยากาศด้วยไง ไปเหอะ”

    ในที่สุดทั้งคู่ก็ออกเดินทางไปยังทะเลสาบ ซึ่งอยู่ห่างจากค่ายผู้อพยพไปประมาณ 10 กิโลเมตร เมื่อลัดเลาะทิวเขาไปเรื่อย ๆ พอเริ่มเมื่อยขา ก็มาถึง มันเป็นทะเลสาบขนาดไม่ใหญ่นัก ด้านหนึ่งติดภูเขาสูงอีกด้านเป็นทะเลทราย น้ำในทะเลสาบสงบนิ่ง บางครั้งจะได้ยินเสียงจ๋อมแจ๋มของปลาที่แหวกว่ายบ้าง นกบ้าง เสียงกบบ้าง เป็นต้น

    แต่วันนี้บรรยากาศมันผิดแผกจากครั้งล่าสุดที่พวกเขาเคยมาเมื่อหลายเดือนก่อน เรมีฟบอกไม่ถูกว่าต่างจากเดิมตรงไหน รู้แต่ว่ามันเงียบสงัดและวังเวงไม่เหมือนเดิม จนเขากระสับกระส่ายด้วยจิตใจที่ไม่สงบ

    ลมนิ่ง แผ่นน้ำราบเรียบ ไร้เงาของสิ่งมีชีวิต เหมือนกับพวกเขาได้เข้ามาแดนร้าง กิ่งไม้ตายซากที่โผล่พ้นน้ำยังดูน่ากลัวราวกับเป็นเงื้อมมือปีศาจ

    ร็อกก้าผิวปากทำลายความเงียบขณะวางถังไม้ ก่อนจะนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง แล้วเริ่มวางเบ็ดด้วยท่าทีสบายอารมณ์ เรมีฟถือคันเบ็ดนั่งยอง ๆ อยู่ริมน้ำ สายตาล่อกแล่กไปมา

    “เป็นอะไรของนาย ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว?” ร็อกก้าหันมามอง

    “ไม่รู้สิ” เรมีฟหันมาสั่นหน้า “มันเงียบจัง ทุกทีไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย ฉันรู้สึกเสียวสันหลังยังไงไม่รู้แฮะ” ร็อกก้าเองก็รู้สึกได้เหมือนกัน แต่เขากลับพูดว่า

    “ไม่มีอะไรหรอกน่าก็แค่วันนี้ไม่ค่อยมีลมพัดน่ะ ที่จริงทะเลสาบนี่ก็เป็นที่ที่น้าลีซอนพบนายนะ นึกว่าจะคุ้นกับบรรยากาศซะอีก” พูดจบร็อกก้าก็ทำหน้าเจื่อนลงเพราะมันอาจไปกระทบจิตใจของเรมีฟ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เด็กชายทำหน้ามุ่ย พลางใช้มือฟาดน้ำที่เย็นจัดราวน้ำแข็ง

    “ฉันรู้หรอกน่า แถมนายกับลุงโมฟยังช่วยลีซอนปิดเรื่องนี้มาตั้งนานจนฉันมารู้ความจริงเอง” แล้วเรมีฟก็เขยิบมานั่งกอดเข่าข้าง ๆ ร็อกก้าพลางพูดว่า

    “ฉันเป็นใครและมาจากไหนกันแน่?”

    ถามพลางถอนหายใจเหมือนไม่ต้องการคำตอบ ร็อกก้าจึงถอนหายใจตาม เขารู้สึกผิดเล็กน้อยที่เป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน จึงนิ่งเฉย ไม่อยากตอกย้ำให้เรมีฟเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่ได้เป็นลูกแท้ ๆ ของลีซอน เขาเหมือนเป็นตัวปลอมที่มาทดแทนเรมีฟตัวจริงซึ่งตายไป

    ไวเท่าความคิด จู่ ๆ เด็กชายก็เอ่ยถามเรื่องลูกชายคนก่อนของลีซอนขึ้นมาจริง ๆ

    “นายรู้จักเรมีฟคนก่อนไหม?”

    “ก็รู้ราง ๆ ตอนนั้นฉันยังเด็กมากน่ะ”

    “เล่าให้ฟังหน่อย”

    “ก็ บ้านเราอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาอายุพอ ๆ กับฉันแหละ”

    “แล้วเขาตาย เอ่อ หาย... ไปได้ยังไง”

    “พ่อฉันเคยเล่าให้ฟังว่าน่าจะก่อนเจอนายในแคปซูลราว ๆ 15 วัน ผู้อพยพเดินทางมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง หัวหน้าขบวนประกาศให้หยุดพักเพื่อเตรียมเสบียงและน้ำ เพราะพ้นเขตตรงนั้นไปก็จะเข้าสู่เขตทะเลทรายแล้ว คุณน้าลีซอนตอนนั้นกำลังตั้งท้องทีลาโซ จู่ ๆ ก็เจ็บท้องมาก ตอนนั้นเรมีฟอายุ 4 ขวบเองมั้ง เขาคงเป็นห่วงแม่ เลยวิ่งลงไปตักน้ำโดยไม่มีใครรู้ แล้วก็พลัดตกลงไป น้ำคงจะเชี่ยวน่าดู ไม่มีใครกล้าลงไปช่วย เขาเลย... โดนน้ำพัดหายไป” ร็อกก้าหันไปมองเรมีฟที่นั่งยอง ๆ ก้มหน้านิ่ง

    “เขา... ดูรักลีซอนจัง ไม่เหมือนฉันเลย” เมื่อได้ยินเรมีฟตัดพ้อเช่นนั้น ร็อกก้าจึงพยายามชวนคุยเรื่องอื่นไปเรื่อย แต่สองชั่วโมงถัดมาเรมีฟก็ยังไม่วายบ่นขึ้นมาอีกว่า

    “ปลาไม่กินเหยื่อเลย ฉันเนี่ยเหมือนตัวซวยจริง ๆ ดูสิไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ทำให้ใครต่อใครเดือดร้อน ไหนจะเรื่องเมื่อวานนี้อีก... ทำให้นายไปหาของที่ภูเขาขยะไม่ได้แล้ว”

    ร็อกก้าเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย แล้วเขาก็ตวัดคันเบ็ดขึ้นมาจากน้ำ เรมีฟปล่อยเบ็ดของตัวเอง พลางส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น แต่พอเห็นสิ่งที่ติดขึ้นมาก็ทำหน้าผิดหวัง

    “ไหมล่ะ ได้ยางล้อจักรยานเฉยเลย” บ่นอย่างเบื่อหน่าย มือพลางปลดตะขอเบ็ดเป็นระวิง

    “ช่างเถอะน่า อย่าคิดมาก ฉันไม่เห็นว่านายจะเป็นตัวซวยตรงไหน อย่าลืมว่าเมื่อวานนายก็เป็นคนเจอกระสุนปืนใหญ่เป็นคนแรก เราแค่โชคไม่ดีที่พวกเอียนเรมาจ๊ะเอ๋เข้าซะก่อน แล้วก็ล้อรถนี่ ถ้าได้อีกล้อนะ เราจะได้เอามาประกอบเป็นจักรยานขี่กลับค่าย ตกอีกสิ เผื่อได้ตัวถัง” ร็อกก้าตบไหล่เขาเล่นแล้วหัวเราะร่า

    “เออ ๆ สนุกเข้าไป” เรมีฟหรี่ตา แล้วถอนหายใจ “แต่... แปลกนะ ทำไมคราวนี้ไม่มีปลามาติดเบ็ด คราวก่อนยังตกได้ตั้งหลายตัว”

    “ตกไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร อย่าบ่นให้เสียบรรยากาศสิ ฉันกำลังสนุกเลย”

    “ตกปลาไม่ได้นี่มันสนุกตรงไหน น่าเบื่อจะตาย”

    “การรอคอยอย่างใจจดใจจ่อก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่งนะ”

    เรมีฟทำปากเบ้ “บ้าไปแล้ว”

    “ถ้างั้นฉันจะเล่าอะไรเด็ด ๆ ให้ฟัง จะได้ไม่เบื่อ” ร็อกก้าพูดพร้อมกับหย่อนเบ็ดลงไปใหม่

    “ฉันได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกันว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีคนในค่ายมาตกปลาที่นี่แล้วหายสาบสูญไปหลายคน เลยไม่ค่อยมีใครมาที่นี่ไง มันถึงได้เงียบอย่างนี้” เล่าพลางเหล่ตามองเรมีฟ “ไม่แน่นะ พวกนั้นอาจถูกผีพรายในน้ำจับกินก็ได้”

    “บะ บ้าสิ ไปหลอกเด็กเล็ก ๆ เหอะ” ปากกล่าวเสียงแข็ง แต่ตัวกลับเบียดมาหาร็อกก้า เด็กหนุ่มเบือนหน้าแอบปิดปากหัวเราะจนตัวสั่น

    ทันใดนั้นเอง เอ็นเบ็ดของร็อกก้าก็กระตุกและแกว่งไปแกว่งมาอย่างแรง เรมีฟชี้มือชี้ไม้ร้องเสียงหลงว่า ปลาติดเบ็ดแล้ว ๆ ร็อกก้าใช้กำลังข้อแขนที่แข็งแรง งัดชักเย่อสู้กับปลาในน้ำ ซึ่งมองเห็นเป็นเงาสีดำทะมึนมีศีรษะโต

    ชั่วประเดี๋ยว ร็อกก้าตวัดคันเบ็ดให้มันโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำจนได้ แต่ก็สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทั้งสองไม่เคยเห็นปลาพันธุ์นี้มาก่อน ลำตัวของมันเป็นสีดำ มีขนาดความยาวครึ่งเมตร เด็กหนุ่มจึงสาวเบ็ดให้มันเข้ามาใกล้ ๆ

    ขณะที่เรมีฟปล่อยวางคันเบ็ดเพื่อเตรียมถังไม้ ปลาประหลาดตัวนั้นกลับแผ่ครีบข้างลำตัว ที่มีลักษณะคล้ายก้างแหลมหลายชิ้น มันอ้าปากเห็นซี่ฟันเรียงกันคมกริบ แถมยังแผดเสียงแหลมสูงแสบแก้วหู

    ร็อกก้าผงะด้วยความตกใจ เผลอปล่อยคันเบ็ด ตัวประหลาดรูปร่างคล้ายปลาตัวนั้นกระโจนกลับลงไปในน้ำ ทั้ง ๆ ที่ตะขอยังเกี่ยวอยู่ในปาก ขณะที่มันกำลังลากคันเบ็ดไปด้วย เรมีฟตัดสินใจจับปลายไม้เอาไว้ด้วยความเสียดาย ร่างของเขากระตุกวูบ รู้ตัวอีกทีเด็กชายพุ่งพรวดไปข้างหน้า

    เสียงเรมีฟตกลงไปในน้ำดังตูมใหญ่ ร็อกก้าร้องตะโกนบอกให้เรมีฟปล่อยคันเบ็ดก่อนจะพุ่งหลาวลงไปช่วย

    เรมีฟจมอยู่ใต้น้ำ ถูกลากดำลึกลงไปเรื่อย ๆ เพราะมือข้างหนึ่งพันกับเส้นเอ็น น้ำเย็นจัดจนเสียดกระดูก หูก็อื้ออึง น้ำทะลักเข้าจมูกปาก ตกใจแทบสิ้นสติ แต่ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีแขนข้างหนึ่งเกี่ยวเอวไว้ แล้วพาเขาแหวกว่ายกลับขึ้นสู่แสงสว่างเบื้องบน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×