คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เล่ม 1 บทที่ 2 สายสัมพันธ์ต่างสายเลือด
ปี ส.ศ. 113 (สหพันธรัฐศักราช)
11 ปีผ่านไป
นัยน์ตาสีเขียวสดใสของเรมีฟจับจ้องเด็กหนุ่มร่างสูงกำยำวัย 15 ปี ผู้มีผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มผู้ที่กำลังยืนเด่นบนกองเศษเหล็ก เมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นเห็นเรมีฟก็กวักมือพลางส่งเสียงเรียกอย่างร้อนรน
“เร็ว ๆ เข้า เดี๋ยวจะอดได้ของดี”
“จะรีบทำไม แถวนี้มันเขตเรา”
เด็กชายบ่นแต่ก็ยื่นมือให้ร็อกก้าช่วยฉุดดึงตัวเขาปีนขึ้นบนยอด เมื่อมองรอบบริเวณ ภาพที่ปรากฏต่อสายตา คือพื้นที่กว้างกว่าห้าตารางกิโลเมตร เต็มไปด้วยขยะอุตสาหกรรมกองพะเนินเป็นภูเขาเลากา บนยอดเนินต่าง ๆ มีเด็กวัยรุ่นหลายกลุ่มกระจัดกระจายคุ้ยหาสิ่งของที่พอนำไปขายได้ เช่นเดียวกับพวกเขาทั้งสอง ร็อกก้าใช้ดวงตาสีเขียวคู่สวยจ้องเขาแล้วกล่าวว่า
“พวกเอียนเรมันไม่ยอมทำตามข้อตกลง มันรวมกลุ่มกันตั้งเป็นมาเฟีย นึกจะคุ้ยตรงไหนก็คุ้ยแย่งคนอื่นไปทั่ว”
เรมีฟมีท่าทีฉุนเฉียวขึ้นมาทันที เด็กชายวัยย่าง 12 ปีผู้มีดวงตาเป็นสีเขียวกับเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเช่นกันกับร็อกก้า กล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“เหอะ! ก็ลองมาแย่งสิ ไม่เคยกลัวเลย”
“เถอะน่า ฉันไม่อยากจะมีเรื่อง อยู่เงียบ ๆ อย่างนี้ล่ะดีแล้ว” ร็อกก้าเอ่ยพลางดันแผ่นเหล็กหนาให้พ้นทาง โดยไม่สนใจท่าทีกระฟัดกระเฟียดของเรมีฟ
“นายก็พูดแบบนี้ทุกที แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้เราเหลือที่หาของอยู่นิดเดียว” ถึงปากจะโวย แต่ก็ช่วยร็อกก้าค้นหาสิ่งของบนกองเศษเหล็ก ซึ่งเมื่อเช้าพวกในเมืองเพิ่งนำของใหม่มาทิ้งทับของเก่า
ทั้งสองหากันอยู่ร่วมชั่วโมง บางครั้งเรมีฟเจอหลายสิ่งที่คิดว่าน่าสนใจ จะรีบวิ่งตื๋อมาให้ร็อกก้าดู แต่ส่วนใหญ่เด็กหนุ่มจะสั่นศีรษะบอกว่าขายไม่ได้ราคา ทำให้เรมีฟต้องเขวี้ยงทิ้งอย่างเสียดาย
เด็กทั้งสองเหงื่อไหลไคลย้อย เมื่อตะวันคล้อยเข้าหาเส้นขอบฟ้า เรมีฟปีนขึ้นไปบนเนินแห่งหนึ่ง คราวนี้สายตาของเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า มันมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกยาวราวหนึ่งเมตร หัวเป็นปลายแหลม สนิมจับเกรอะกรัง จึงส่งเสียงโหวกเหวกเรียกร็อกก้า
“ไหน ๆ เจออะไร” ร็อกก้าวิ่งขึ้นมาบนเนินอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นของสิ่งนั้น เขาทำตาวาวกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“นี่มันกระสุนปืนต่อสู้อากาศยานไฮเปอร์แคนนอน วันนี้พวกเราโชคดีแล้ว” แทนที่จะดีใจตาม เรมีฟกลับรีบถอยอย่างหวาด ๆ ถามว่า
“มัน คงไม่ระเบิด?”
ร็อกก้าหัวเราะ ใช้มือขยี้หัวเรมีฟที่เขารักเหมือนเป็นน้องแท้ ๆ “ถ้ามันยังใช้ได้พวกทหารคงไม่เอามาทิ้งหรอก คิดว่ากระสุนน่าจะด้าน แต่แปลกมาก ปกติของแบบนี้เขาไม่เอามาทิ้งที่นี่นะ”
“แล้ว มันขายได้หรือเปล่า?”
“ขายได้สิ!” ร็อกก้าพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ถึงข้างนอกจะเป็นเหล็กขึ้นสนิม แต่ข้างในมันมีชิ้นส่วนที่เรียกว่าชิปนำวิถี เราเอาไปให้คุณมิไกที่รับซื้อ แงะเอาชิปออกมาก็เรียบร้อยแล้ว”
“เหรอ... มันจะพอซื้อแอปเปิลได้สัก 3 ลูกไหม” เรมีฟมองกระสุนปืนใหญ่ตาเป็นประกาย
“ได้ น่าจะได้เป็นลังเลย”
ร็อกก้ายิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วบอกเขาให้ช่วยหิ้วกันคนละข้างเพื่อนำมันลงมาจากเนิน กระสุนปืนหนักเอาการ ทำเอาแขนของเรมีฟถึงกับล้า ต้องคอยยก ๆ วาง ๆ อยู่ตลอด ผิดกับร็อกก้าที่ไม่แสดงอาการว่ายกไม่ไหวเลยสักนิด เขายกด้านหัวซึ่งหนักกว่ามาก ให้เรมีฟคอยถือประคองส่วนท้ายเท่านั้น
“ว้าว! ของดี ๆ วันนี้คู่หูตาเขียวขุดเจอของดี” เสียงพูดดังทุ้ม เมื่อหันไปก็พบกับเด็กชายร่างใหญ่เดินขึ้นมาจากด้านล่าง “หนักไหม? สนใจให้พวกข้าช่วยแบกลงไปให้ไหม บริการให้ฟรี ๆ เลยนะ”
เขาปรากฏตัวพร้อมกับเด็กวัยรุ่นหน้าตาท่าทางดูไม่เป็นมิตรอีกนับสิบคน ทั้งหมดยืนดักหน้าดักหลังเรมีฟกับร็อกก้าเอาไว้ ไม่เปิดโอกาสให้หนีได้
“ทำอย่างนี้ไม่ถูกนะเอียนเร ตรงนี้มันเขตหากินของเรา ตอนประชุมแบ่งเขตกองขยะ คุณมิไกก็แบ่งไว้ชัดเจนแล้ว ที่ของพวกนายอยู่ตรงมุมด้านเหนือโน่น”
ร็อกก้ารู้ดี คำพูดของเอียนเรที่ว่าจะช่วยแบกให้นั้นหมายถึงอะไร แต่เขาพยายามพูดด้วยเหตุผล ด้วยใบหน้าที่สงบเยือกเย็นเพื่อไม่ให้เกิดเรื่อง แต่...
“ไปไกล ๆ เลยไอ้กอริลลาปากเหม็น อดอยากมาจากไหน แย่งกันอยู่ได้”
เป็นเสียงแหลมเล็กของเรมีฟ เขาวางกระสุนปืนใหญ่ลงแล้วชี้หน้าด่าทอ เอียนเรกัดฟันกรอด เด็กหนุ่มร่างยักษ์ไม่ชอบให้ใครเรียกเขาเช่นนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นจริงก็ตาม
“แน่ะ! ไอ้ลูกหมานี่” พร้อมกับเดินเข้ามาหาแต่ร็อกก้าใช้ตัวบังไว้ เอียนเรจึงหยุดและกล่าวต่อ “ข้าไม่สนใจหรอกว่าตาเฒ่ามิไกจะแบ่งเขตหากินให้พวกแกยังไง ข้าแค่อยากได้ลูกกระสุนนั่น”
“ใช่ ก็แค่ส่งมาให้พวกเรา” บรรดาลูกสมุนกลัวไม่มีบท ต่างพูดเห็นพ้องกับเอียนเรกันใหญ่
ร็อกก้าขมวดคิ้ว มีความขุ่นเคืองในดวงตาอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังสะกดกลั้นกล่าวอย่างใจเย็นว่า
“พวกนายยึดทำเลดีที่สุดไปแล้ว แถมคนของนายก็มีตั้งเยอะ แค่นี้ยังไม่พอใจอีกเหรอ พวกเราไม่เคยไปยุ่มย่ามในที่ของนายเลยนะ แล้วทำไมทำแบบนี้”
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า ก็วันนี้เครื่องขนถ่ายดันเอาขยะใหม่มาทิ้งตรงเขตของแก จะโทษก็ไปโทษคนในเมืองนู่น” เอียนเรยักไหล่ ทำหน้าไม่สนโลก
ขณะที่ร็อกก้าพยายามนึกหาคำพูดดี ๆ เพื่อทำให้พวกเอียนเรเปลี่ยนใจ แต่เรมีฟกลับทำในสิ่งตรงข้าม
“ย้าก!”
ว่าแล้วก็กระโจนโดดถีบยอดอกเด็กหนุ่มร่างผอมสูงผู้หนึ่ง โดยไม่สนใจว่ามีขนาดตัวผิดกันลิบลับ ไม่มีใครคาดคิดและไม่มีใครได้ทันตั้งตัวเด็กโย่งคนนั้นก็ล้มลงไปก้นจ้ำเบ้า จุกเสียดจนหน้าเขียวเสียแล้ว
“พัง!” ร็อกก้ากล่าวพลางถอนหายใจ เมื่อเอียนเรเห็นเช่นนั้นจึงปรี่เข้าไปหมายต่อยเรมีฟให้สลบ แต่ร็อกก้าตัดสินใจอย่างฉับไว ยื่นเท้าแหย่ขวางทาง เอียนเรโดนสกัดขาล้มคว่ำหน้ากระแทกเข้ากับขอบตู้เย็นเก่า ๆ ใบหนึ่ง เลือดสด ๆ ทะลักออกมาทั้งทางปากและจมูก
แผนเจรจาสันติภาพตามที่ร็อกก้าวาดหวังไว้เป็นอันต้องเก็บพับไป อุตส่าห์อดทนหลบเลี่ยงพวกเอียนเรมาได้หลายเดือน สุดท้ายต้องมาพังไปเพราะเจ้าเรมีฟตัวแสบคนเดียว
การลงมือของเรมีฟและร็อกก้ากระตุ้นต่อมความโกรธเกรี้ยวไปทั่วทั้งกลุ่ม การตะลุมบอนครั้งใหญ่จึงเริ่มขึ้น แต่มันไม่ค่อยยุติธรรมนัก พวกเอียนเรแต่ละคนตัวใหญ่กว่า ยังรุมกันเข้ามา 13 ต่อ 2 แต่ความเป็นจริงแล้ว เหมือนร็อกก้าลุยเดี่ยวเสียมากกว่า ทางหนึ่งคอยระวังไม่ให้ใครแตะต้องเรมีฟตัวน้อยได้ อีกทางต้องเตะต่อยสกัดทุกคนที่รุมเข้ามา
สิ่งไม่น่าเชื่อพลันบังเกิดขึ้น ต่อให้ใครมาเห็นแล้วเอาไปเล่าย่อมไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอน เพราะร็อกก้าเพียงคนเดียว สามารถปราบเด็กตัวโตถึงสิบสามคนลงได้
ร็อกก้าหลบหลังอยู่ท่ามกลางดงหมัดเท้าขณะต่อยสวนไปอย่างหนักหน่วง เล่นเอาพวกเอียนเรถึงกับนอนเห็นดาวระยิบ
“นายบังคับฉันเองนะ เอียนเร” ร็อกก้ากล่าวเสียงเข้มพลางหอบเพียงเล็กน้อย ผิดกับพวกเอียนเรที่หมอบกระแตอยู่แทบเท้า ต่างพากันร้องโอดโอย
เรมีฟซึ่งไวเป็นปรอท ยังถูกต่อยปากเจ่อตาเขียวไปข้าง เขากุมเบ้าตาพลางจ้องมองแผ่นหลังร็อกก้าด้วยสายตาแห่งความนับถือ
แม้ร็อกก้าบุตรชายคนเดียวของลุงโมฟจะเป็นแค่เพื่อนบ้าน แต่ก็สนิทและนับถือกันจนสัญญาว่าจะเป็นพี่น้องกัน ทว่าเรมีฟกลับไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่
เอียนเรยักแย่ยักยันลุกขึ้น เขาถุยน้ำลายปนเลือด ดวงตาจับจ้องทั้งสองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ และจู่ ๆ เขากลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นตรงข้าม แสยะยิ้มเหมือนกำลังถือไพ่เหนือกว่า
“เออ! เดี๋ยวจะหัวเราะไม่ออก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กระสุนปืนนั่นต้องเป็นของพวกข้า”
เอียนเรผิวปาก ทันใดนั้น เด็กหนุ่มอีกคนก็โผล่มาจากหลังกองขยะด้านหลังของทั้งสอง แถมยังจูงเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่กำลังหน้าซีดเผือดมาด้วยอีกคน
“ทีลาโซ !?”
ทันทีที่เรมีฟและร็อกก้าเห็นตัวประกัน พวกเขาเอ่ยชื่อของเด็กหญิงอย่างตื่นตระหนก
เด็กหญิงผู้มีทรงผมตัดสั้นแค่ติ่งหู อายุ 11 ปี ใบหน้ากลมแก้มสีชมพู มีดวงตากลมโตสุกสกาวราวกับดวงดาว เธอดูเฉลียวฉลาดกว่าเด็กทั่วไป ซึ่งคงเป็นเพราะแว่นตาที่เธอสวมอยู่มีส่วนช่วยให้ใครต่อใครคิดอย่างนั้น
“หนูขอโทษ...” ทีลาโซทำหน้าจวนร้องไห้อยู่รอมร่อ รู้ตัวดีว่าเป็นเพราะเธอ ทำให้พี่ทั้งสองต้องตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ
เด็กหญิงคงแอบตามทั้งสองมาที่ภูเขากองขยะอยู่นานแล้ว แต่เธอไม่กล้าออกมาให้เห็นเพราะกลัวพี่ทั้ง 2 ดุ ทั้งที่พวกเขาย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้ตามมา แม้รู้เหตุผลที่เด็กหญิงตามมาเพราะความเหงาแต่เรมีฟไม่วายจ้องทีลาโซตาเขียวปั้ด
ร็อกก้าข่มความโกรธเอาไว้อย่างถึงที่สุด เจรจาต่อรองกับเอียนเร “ปล่อยเธอ แล้วนายจะได้สิ่งที่ต้องการ”
“เข้าใจอะไรง่าย ๆ แบบนี้ก็ดี แต่ว่านะ”
เอียนเรปาดเลือดกำเดาที่ยังไหลอยู่ สายตาจ้องเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีเขียว ในใจนั้นเต็มไปด้วยความแค้นและรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง เขาต้องเรียกศักดิ์ศรีความเป็นลูกพี่ใหญ่คืนมา เอียนเรจึงเอ่ยว่า
“กระสุนปืนต้องเป็นของฉันอยู่แล้วแต่นายทำพวกเราเกินไป จะใช้คืนยังไงหือ?” ร็อกก้าเงียบ ได้แต่จ้องตาเอียนเรด้วยความโกรธ แต่เมื่อมองไปที่ทีลาโซแล้ว เขาจึงหลับตาแล้วถอนหายใจแล้วตอบว่า
“จะเอายังไงก็เอา”
“มีสองทางเลือกคือพวกแกจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก หรือมาเหยียบได้แต่ต้องแบ่งของให้ฉันครึ่ง ๆ”
ร็อกก้าขมวดคิ้ว ริมฝีปากบางเม้มแน่น แต่เขาเห็นเด็กคนที่กุมตัวทีลาโซ ได้ใช้มีดคมกริบจ่อไปที่ลำคอขาวของเธอ เด็กคนนั้นทำเสียงจุ๊ ๆ พร้อมกับส่ายหน้าจนทีลาโซตัวสั่น สุดท้ายร็อกก้าได้แต่ถอนใจ “ก็ได้ ๆ ครึ่งก็ครึ่ง”
แต่เรมีฟกลับตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่ายอมเด็ดขาด”
ทันใดนั้น เรมีฟตัดสินใจอย่างฉับพลัน ก้มคว้าลูกเหล็กที่หมายตาจากพื้นขึ้นมา กระโดดขึ้นคร่อมกระสุนปืนใหญ่ เงื้อลูกเหล็กทำท่าจะทุบไปที่หัวกระสุน เอียนเรและพวกถึงกับตาเหลือก ร้องห้ามเสียงหลง
“อย่าทำบ้า ๆ นะโว้ย เดี๋ยวได้ตายกันหมดนี่” ร็อกก้าใจหายวาบ
“หยุดนะเรมีฟ ถึงกระสุนมันจะด้าน แต่ถ้ามีของหนัก ๆ ไปทุบมันจะระเบิด” แต่เรมีฟกลับหันมามองหน้าร็อกก้าอย่างเย็นชาพลางหัวเราะหึหึ
“ก็ตายกันให้หมด”
แก๊ง!!
เป็นเสียงดังกังวานของโลหะกระทบกัน เอียนเรและพวกใบหน้าถอดสี เผ่นป่าราบกันไปคนละทิศละทาง ทิ้งเด็กหญิงที่ตกใจแทบสิ้นสติอยู่อย่างนั้น ร็อกก้าหน้าซีดเผือด แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงเข้าไปคว้าข้อมือเรมีฟ วิ่งลากมาหาทีลาโซ อุ้มเธอขึ้นมา แล้ววิ่งสุดแรงเกิดเพื่อไปให้พ้น ๆ จากที่นั่น
เมื่อออกมานอกเขตขยะอุตสาหกรรม ร็อกก้าเห็นว่าไม่มีทั้งประกายไฟ และไม่มีเสียงระเบิดดังตูมตาม จึงเหวี่ยงเรมีฟลงกับพื้นด้วยความโกรธจัด พร้อมกับตวาดว่า
“เป็นบ้าอะไร ไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงน้องบ้าง”
แทนที่เรมีฟจะสลด แต่เด็กชายกลับนั่งหัวเราะเสียยกใหญ่ จนร็อกก้ากับทีลาโซมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“เปล่า ๆ ฉันไม่ได้บ้า” เรมีฟกลั้นหัวเราะแทบแย่ “เห็นท่าวิ่งเอียนเรมันหรือเปล่า นอกจากหน้าจะเหมือนกอริลลาแล้วท่าวิ่งนี่ชัดเลย”
คราวนี้เขากุมท้องหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล ร็อกก้าเริ่มเอะใจ คนอย่างเรมีฟไม่น่าบ้าเลือดถึงขนาดเอาชีวิตตัวเอง และน้องสาวมาเสี่ยง จึงถามว่า
“เมื่อกี้นี้นายทำอะไรกันแน่ เห็นไม่ถนัด?”
“ก็แค่แอบเอาแผ่นเหล็กมาวางบนปลอกกระสุนก่อนจะเอาลูกเหล็กเคาะ ก็เท่านั้นเอง พวกมันกลัวขี้ขึ้นสมองไปเอง” เรมีฟเงยหน้ามาฉีกยิ้มหน้าระรื่น
“บ้าแล้ว นั่นมันก็ยังทำให้ระเบิดได้อยู่ดีนะ” ร็อกก้าโวย
“หือ” เรมีฟยิ้มแห้ง ๆ
ร็อกก้าไม่รู้จะโกรธหรือขำดี จึงทำได้แค่ตบหัวเขาผู้เป็นเสมือนน้องชายตัวแสบด้วยความหมั่นไส้ ทันใดนั้นเสียงระเบิดกัมปนาทก็ดังมาจากข้างหลังผืนดินสั่นสะเทือน เด็กทั้งสามสะดุ้งเฮือก รีบหันไปมองยังภูเขากองขยะปรากฏว่าบริเวณที่พวกเขาเพิ่งจะต่อยตีกับพวกเอียนเรเมื่อครู่เริ่มถล่มลงมา เสียงดังโครมครามวุ่นวายมีควันพวยพุ่งฟุ้งตลบ ทั้งเรมีฟร็อกก้าและทีลาโซหน้าซีดเผือด ร็อกก้าพูดปากคอสั่น
“ปะ เป็นไงล่ะ มันระเบิดจริง ๆ”
เรมีฟเกาหัวทำหน้างง ๆ “อดขายเลย”
“นี่ไม่ตายก็ดีเท่าไรแล้ว” ร็อกก้าเขกหัวเขาอีกรอบ
คนที่หน้าซีดที่สุดคือทีลาโซ เธอตัวสั่นเพราะกลัวเสียงอะไรก็ตามที่ดังมาก ๆ ร็อกก้าจึงลูบหัวเด็กหญิงแล้วใช้สายตาขุ่นเคืองจ้องเรมีฟอย่างตำหนิ แม้เรมีฟจะเชิดหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สาแต่กลับมองทีลาโซด้วยแววตาห่วงใยเสียยิ่งกว่าใคร
“พี่ขอโทษ" เรมีฟปลอบน้องสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ทีลาอยากกินแอปเปิลหรือเปล่า พี่สัญญาว่าจะหาแอปเปิลมาไถ่โทษ ตกลงไหม”
ดวงตาของทีลาโซเป็นประกายทันทีเมื่อถูกเสนอด้วยของกิน ตั้งแต่จำความได้ เธอเคยกินแอปเปิลแค่ครั้งเดียว แต่เป็นครั้งเดียวที่ไม่ลืมเลือนกับรสชาติที่หวานฉ่ำ "จริง ๆ นะคะ"
"สัญญา ๆ"
ร็อกก้ามองทั้งสองแล้วยิ้มพลางส่ายหน้า "ถึงกับเอาของกินมาล่อน้อง นายนี่มัน" เขาเพิ่งเข้าใจว่าทำไมเรมีฟถึงได้ถามว่าเงินจากลูกกระสุนนั่นสามารถซื้อแอปเปิลได้กี่ผล สิ่งนี้ถือเป็นของหายากยิ่ง โดยเฉพาะในค่ายผู้อพยพด้วยแล้ว มันมีค่าราวกับอัญมณีทีเดียว
เมื่อนภาอาบแสงสีสนธยา ร็อกก้าจึงชักชวนน้องทั้งสองกลับบ้าน ทิ้งภูเขากองขยะอุตสาหกรรมไว้เบื้องหลัง โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ อยู่ในสายตาของนายทหารผู้หนึ่งซึ่งเขาเผอิญผ่านมาเห็นเข้าพอดี
นายทหารสัญญาบัตรแห่งกองกำลังสหพันธรัฐโลกผู้นี้ ซึ่งมีนามว่าโอริก เขามีภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งที่ได้รับมอบหมายมา แล้วการกระทำของเด็กทั้งสามสะกิดความสนใจของเขาเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่ร็อกก้าแยกไปยังบ้านของตัวเองแล้ว เรมีฟจูงทีลาโซกลับบ้านของพวกเขาเช่นกัน อันที่จริงน่าจะเรียกว่าเต็นท์เสียมากกว่า แต่มันได้ให้ความอบอุ่นแก่เขาและทีลาโซมานานนับสิบปี แม้ว่ามันเป็นแค่ผ้าใบเก่าปุปะก็ตาม
เต็นท์ของพวกเขาปักอยู่ท่ามกลางเต็นท์ผู้อพยพนับพัน ๆ หลัง แสงไฟจากเต็นท์ต่าง ๆ เริ่มปรากฏให้เห็น ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ควันจากการหุงหาอาหารลอยอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะฟุ้งกระจายเมื่อโดนลมหนาวพัดมา โดยมีกำแพงเมืองแมกโตซิสสูงยี่สิบเมตรดำทะมึน กำแพงแห่งม่านเหล็กที่ขวางกั้นแสงสีความเจริญไว้ภายในเป็นฉากหลัง
เรมีฟมุดเข้าไปในเต็นท์ พบว่าข้างในมืดสลัว มารดาของเขายังไม่กลับ จึงบอกให้ทีลาโซรออยู่ในเต็นท์ เขาแบกแบตเตอรี่ที่หมดแล้วเดินไปที่บ่อหมักขยะเพื่อสับเปลี่ยนอันใหม่ที่ชาร์จเต็มแล้ว
ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ได้นี้เกิดจากการปั่นไฟโดยอาศัยก๊าซมีเทนที่เกิดจากกระบวนการหมักของบ่อขยะอินทรีย์ซึ่งชาวค่ายได้ช่วยกันสร้างไว้ให้แต่ละบ้านได้ใช้ฟรี หากแต่ต้องเตรียมแบตเตอรี่มาชาร์จเอง นอกจากจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้แล้ว ก๊าซดังกล่าวยังถูกจัดเก็บไว้ในถังเพื่อนำไปใช้สำหรับหุงต้มอีกด้วย
แสงไฟส่องสว่างไปทั่วเต็นท์ขนาดห้าตารางเมตร เผยให้เห็นข้าวของภายในเต็นท์ที่วางระเกะระกะ เตากับอุปกรณ์ประกอบอาหารอยู่ที่มุมหนึ่ง มีเตียงสองเตียง หีบใส่เสื้อผ้า และของที่ใช้การไม่ได้สี่ห้าอย่าง ซึ่งเรมีฟเก็บมาจากภูเขาขยะ เพราะเห็นว่าน่าสนใจดี
ทีลาโซนั่งบนเตียงไม้ผุ แต่เรมีฟออกไปยืนที่หน้าเต็นท์ ยืดตัวชะเง้อมองไปที่เรือนไม้ขนาดใหญ่ซอมซ่อหลังหนึ่งที่เห็นอยู่ไกล ๆ มันเป็นสถานที่ที่คนแถวนั้นอุปโลกน์ให้เป็นโบสถ์ เอาไว้ทำพิธีกรรมทางศาสนาทุกวันอาทิตย์ ลีซอนแม่ของพวกเขาทำงานเป็นคนทำความสะอาดอยู่ที่นั่น
เรมีฟทำหน้าเบ้ทุกครั้งที่แม่ชวนเขาไปที่โบสถ์ เพราะมันน่าเบื่อโดยเฉพาะเสียงขับร้องประสานเสียงชวนง่วง เขามักหาทางหลบเลี่ยงที่จะไปเข้าโบสถ์เสมอ ๆ ซึ่งผิดกับทีลาโซ เธอมักจะตามแม่ไปบ่อยครั้งทั้ง ๆ ที่ไม่มีพิธีกรรมอันใด
สองแม่ลูกศรัทธาในพระเจ้าอย่างหมดใจ บางครั้งเรมีฟทำสีหน้าเบื่อหน่ายให้พวกเธอเห็นบ่อย ๆ ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดกับทั้งสองว่าทำไมสิ่งที่ลีซอนนับถือถึงได้ลำเอียง ไร้เมตตา เพราะไม่เคยเหลียวแลผู้อพยพอย่างเรา ๆ เอาแต่ช่วยเหลือคนหลังกำแพงเมืองอยู่ข้างเดียว
ผลจากความที่ปากเสีย ทำให้ถูกลีซอนตีและต่อว่ายกใหญ่ หาว่าเขาลบหลู่พระเจ้า แล้วให้กล่าวขอโทษพระเจ้าต่อหน้าเธอ ซึ่งเรมีฟก็ทำ ๆ ไปอย่างนั้น แต่ในใจยังคงต่อต้านเช่นเดิม
เรมีฟเห็นแม่ของเขาเดินออกมาจากโบสถ์ ในมือถือตะกร้าใส่ขนมปังปอนด์ก้อนใหญ่มาด้วย เรมีฟ รีบหันไปหาทีลาโซปั้นหน้าขึงขังทำเสียงดุ
“นี่ทีลา เรื่องวันนี้ห้ามบอกลีซอนเลยนะ”
“ทำไมล่ะคะ...” เด็กหญิงกะพริบตาปริบ ๆ
“ห้ามบอกเรื่องระเบิดด้วย ห้ามเด็ดขาด”
“แต่...”
“จะแต่อะไรเล่า!" เอามือทึ้งผมตัวเองอย่างร้อนรน "แล้วไอ้เรื่องที่พี่ไปต่อยกับเอียนเรก็ห้ามพูดด้วย”
เด็กชายพูดเสียงแผ่วเหมือนกลัวใครจะได้ยิน เขาหันกลับไปแล้วเหมือนนึกอะไรออกอีกจึงหันกลับมากล่าวเน้นย้ำ “รวมทั้งเรื่องที่โดนพวกนั้นจับเอามีดจ่อคอ อันนี้ก็ห้ามบอกเด็ดขาด”
เมื่อเห็นทีลาโซทำหน้าเสียเรมีฟจึงพูดเสียงอ่อนลง เขานั่งลงข้าง ๆ โอบไหล่น้องสาวพลางกล่าวว่า
“ถ้าลีซอนรู้ จะเป็นห่วงพวกเรามาก ไม่อยากให้แม่ต้องมากังวลน่าจะดีกว่าใช่ไหม”
ทีลาโซพยักหน้าหงึกหงักพลางก้มหน้า แว่นตาเลื่อนลงมาจากดั้งจมูก เผยให้เห็นดวงตาไร้เดียงสาเหลือบจ้องสบตาพี่ชาย ขณะเดียวกันลีซอนผู้เป็นมารดาได้เข้ามาในเต็นท์
“เด็ก ๆ หิวหรือยังจ๊ะ รอแม่นานไหม”
ขณะกล่าวอย่างอารมณ์ดี สายตาก็เหลือบมองลูกทั้งสอง ทีลาโซนั่งตัวแข็งอยู่บนเตียง เรมีฟรีบเอามือปิดเบ้าตาข้างที่ถูกต่อย เธอชะงักกึก ความเป็นแม่ทำให้รู้สึกได้ในทันทีถึงความผิดปกติของลูก ๆ ลีซอนเท้าสะเอวพร้อมกับเอ่ยเสียงดุว่า
“ไหนบอกมาสิว่าพวกลูก ๆ ไปซนที่ไหนกันมา แล้วเรมีฟไปมีเรื่องกับใครมาอีก?”
“เปล่า ผมก็ออกไปหาของที่ภูเขาเศษเหล็กเหมือนเคย ไปกับร็อกก้า ลีซอนก็รู้นี่...” เรมีฟพูดเร็วปรื๋อ จนดูเหมือนว่าเร็วเกินไป พลางปั้นหน้าให้ดูปกติที่สุด แล้วแอบเหล่ตาไปยังทีลาโซ
“หนะ หนูก็... อยู่แต่ เอ่อ...”
ทีลาโซกลับก้มหน้า ไม่กล้าสบตาผู้เป็นแม่ เธออ้ำอึ้งเพราะไม่เคยพูดโกหกเลยสักครั้งเรมีฟจึงจ้องน้องตาเขียว เขียวทั้งดวงตาทั้งรอบขอบตา ทั้งที่เตี๊ยมกันไว้แล้วแท้ ๆ
“เรมีฟ! ไม่ต้องไปมองน้องอย่างนั้นเลยแล้วก็ไม่ต้องเอามือปิดด้วย คราวนี้ไปต่อยกับใครอีกล่ะ” ถามเสร็จเธอก็หันหน้ามาทางทีลาโซ “แล้วลูกตามพี่เขาไปอีกแล้วใช่ไหม”
เพียงเท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทีลาโซเบะปากน้ำตาไหล ลีซอนต่อว่าเด็กทั้งสองเป็นการใหญ่ สุดท้ายก็หวดก้นกันไปคนละหลายที เรมีฟถูกฟาดแรงหน่อยและมากครั้งกว่า ในฐานะที่เป็นพี่
เมื่อตีก้นเสร็จ ลีซอนกล่าวน้ำเสียงจริงจังปนเป็นห่วงว่า
“อย่าก่อเรื่องอีกเลยนะแม่ขอร้อง พักนี้มันยิ่งมีข่าวว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในค่ายเราบ่อย ๆ แถมยังทำลับ ๆ ล่อ ๆ ดูน่ากลัว”
เรมีฟนิ่วหน้าเพราะก้นระบม แต่ก็ถามไปว่า “พวกไหนครับ มาดีหรือมาร้าย”
ลีซอนสั่นหน้า นัยน์ตามีความกังวลแฝงอยู่ “แม่ไม่รู้หรอก เห็นคนที่โบสถ์บอกว่ามีกันสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นพวกเฮลป์ อีกฝ่ายเป็นพวกทหารในเมืองปลอมตัวมาสืบ”
“น่าสนุก” ตาของเรมีฟเป็นประกาย
“เรมีฟ!” ลีซอนส่ายหน้า “ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง ที่เพิ่งโดนตีไปนี่สำนึกบ้างหรือเปล่า"
"ผมแค่บอกว่า 'น่าสนุก' เองนะครับ"
"คราวที่แล้วที่ลูกพูดคำนี้ผลคือเต็นท์คุณโจนาธานถูกเผา”
“โธ่ ก็ไอ้หมอนั่นมันชอบมาตามจีบลีซอนนี่ ผมก็แค่สั่งสอนมันเล็ก ๆ น้อย ๆ”
“หยุด! แล้วเลิกเรียกชื่อแม่ห้วน ๆ ซะที คำว่า ‘แม่’ สั้น ๆ มันพูดยากนักหรือยังไง ถ้ายังจะดื้ออย่างนี้ต่อ แม่คงต้องไปคุยกับมิไก ห้ามไม่ให้ไปภูเขาเศษเหล็กอีก”
เรมีฟอ้าปากค้างแล้วก็โมโหกระฟัดกระเฟียด การหาของเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าแล้วเธอยังจะมาห้ามเขา
เรมีฟระบายความหงุดหงิด ด้วยการขยับเท้าเตะหีบใส่เสื้อผ้าเสียงดัง แล้วหุนหันออกไปจากเต็นท์ โดยมีลีซอนมองเงาหลังลูกชายหัวดื้ออย่างปวดใจ
เธออุตส่าห์เฝ้าเลี้ยงดู ทะนุถนอม ให้ความรักโดยคิดว่าเรมีฟคือลูกแท้ ๆ เหมือนทีลาโซ แต่เรมีฟกลับไม่เรียกเธอว่า “แม่” อีกเลย นับตั้งแต่ที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นแค่เด็กที่ถูกเก็บมาจากทะเลสาบ
ตอนแรกลีซอนตั้งใจจะปกปิดให้ได้นานที่สุด เพราะกลัวว่ามันจะกลายเป็นปมด้อยของเรมีฟ แต่ความลับนี้ถูกเปิดเผยเร็วกว่าที่คาด จากคนในค่ายด้วยกันเองที่เล่าให้เขาฟัง ทำให้นับแต่นั้นมา จากเด็กที่ว่านอนสอนง่าย อ่อนโยน ต้องกลับกลายเป็นเด็กดื้อรั้น มีอารมณ์รุนแรง และดีแต่สร้างปัญหาให้ลีซอนปวดหัวมาโดยตลอด...
เรมีฟปีนขึ้นไปบนแท็งก์น้ำสูง 13 เมตร แล้วนอนตากลมห้อยขาดูดาวบนท้องนภาราตรี ดวงดาวดารดาษดุจกากเพชรกระจัดกระจายเกลื่อนฟ้า ที่แห่งนี้เงียบสงบ เขาชอบขึ้นมาข้างบนเพื่อปลดปล่อยจินตนาการและความคิด บางครั้งก็คาดเดาว่ามีดาวดวงใดมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ บางครั้งก็นับดาวเล่น ตั้งชื่อให้กับมันเป็นต้น
สถานที่นี้เป็นแห่งเดียวที่ทำให้อารมณ์ของเรมีฟเย็นลงได้ เด็กชายล้วงฮาร์โมนิกาหรือหีบเพลงปาก ซึ่งมันทำมาจากทองคำแท้ เรมีฟเก็บสิ่งนี้ได้ที่ภูเขาขยะเมื่อปีก่อน แล้วนำมาทำเป็นสร้อยห้อยคอไว้
ตอนที่พบมัน ร็อกก้าเองก็อยากได้เช่นกัน เขาต้องร้องขออยู่นาน ในที่สุดร็อกก้าก็ยอมให้อย่างเสียดาย แต่ร็อกก้าบอกไว้ว่า ถึงอย่างไรฮาร์โมนิกาชิ้นนี้ก็นำไปแลกซื้ออะไรไม่ได้ แม้มันจะทำมาจากทองก็ตาม
“ถ้าเป็นโลกยุคเก่า มันคงมีราคา แต่สำหรับที่นี่แล้วมันไม่มีค่าอะไรเลย เอาไปแลกขนมปังสักก้อนยังไม่ได้”
เรมีฟนึกถึงคำพูดของร็อกก้า เด็กชายหยิบมันขึ้นมาดูลวดลายแกะสลักบนด้าม เขาขัดมันอย่างดีจนขึ้นเงา เรมีฟจรดฮาร์โมนิกากับริมฝีปากแล้วเริ่มเป่า มันไม่เป็นทำนองเพลงสักนิด เพราะเรมีฟเป่ามันไม่เป็น แถมตรงช่องเสียงคีย์โดก็พังเสียแล้ว แต่กระนั้นเรมีฟก็ยังรักหีบเพลงชิ้นนี้อยู่ดี
ศีรษะใครคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาตรงแถวบันได เรมีฟเหลือบไปเห็นจึงหยุดเป่า
“ว่าไงเจ้าตัวเล็ก น้าลีซอนตามหาอยู่แน่ะ” เรมีฟขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเก็บฮาร์โมนิกาไว้ในเสื้อ
“อืม” ร็อกก้าปีนขึ้นมานั่งข้าง ๆ มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเรมีฟอยู่ที่ไหน
“นายจะนอนตากลมประท้วงอยู่ที่นี่ทั้งคืนก็ตามใจ แต่ว่าไม่หิวข้าวหรือไง?” เด็กชายไม่ยอมตอบ ร็อกก้าทำหน้าขบขันพลางใช้มือขยี้หัวเรมีฟ “ยังไม่ชินอีกเหรอ ขนาดฉันยังรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้นายโดนตี แล้วก็จะน้อยใจขึ้นมาบนนี้ มันวน ๆ แบบนี้หลายทีแล้ว น่า ไปกินข้าวเหอะ”
ในที่สุดเรมีฟจึงยอมให้ร็อกก้าพาส่งกลับเต็นท์ เห็นลีซอนยืนชะเง้อคอรอเขาอยู่ เธอยิ้มและถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นเขากลับมา แต่เรมีฟยังทำเป็นถือทิฐิ เข้าไปนั่งหน้าบึ้งอยู่บนเตียง ไม่พูดอะไร แต่ลีซอนกลับยิ้ม เธอนำอาหารส่วนที่เก็บไว้ให้เขาออกมาวางไว้ข้างเตียง แล้วหันไปนั่งเย็บเสื้อของเรมีฟซึ่งขาดเป็นรูเพราะความซนเป็นประจำ
เรมีฟเมียง ๆ มอง ๆ ลีซอน ซึ่งง่วนอยู่กับการซ่อมเสื้อให้เขา ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินขนมปังกับซุปหัวหอม ซุปอุ่นและรสชาติอร่อย รสเดิม ๆ ที่คุ้นลิ้นแผ่ซ่านสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ทั้งสองยังคงไม่พูดไม่จากัน ลีซอนเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมามองดูเรมีฟ เธอยิ้มเล็กน้อยแล้วลงมือเย็บเสื้อต่อไปเงียบ ๆ รสของซุปได้สื่อความหมายแทนแล้ว ว่าลีซอนพร้อมให้อภัยเขาในทุก ๆ เรื่อง และจะคอยเฝ้าดูเขาเติบโตด้วยความห่วงใยเสมอ
ส่วนทีลาโซที่กินอาหารค่ำเสร็จนานแล้ว เธอคร่ำเคร่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วรุ่นเก่าซึ่งมีฮาร์ดดิสก์ขนาดเพียง 32 เพตะไบต์เท่านั้น เรมีฟกับร็อกก้าเก็บได้ที่ภูเขาเศษเหล็กข้างกำแพง เขานำมันไปให้เฒ่ามิไกซ่อม และมอบให้ทีลาโซเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปลายปีที่แล้ว
ทีลาโซใช้เวลาทั้งวันขลุกอยู่แต่กับคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น โดยไปขอไฟล์ข้อมูลความรู้ต่าง ๆ จากคอมพิวเตอร์ส่วนกลางของห้องสมุดสาธารณะภายในโบสถ์ที่ทางหน่วยงานการกุศลของคนหลังม่านกำแพงเมืองแมกโตซิสได้สร้างไว้ และก่อนหน้านั้นเธอยังมีโอกาสได้เรียนหนังสือจากมิชชันนารีของศาสนจักร แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ นั่นก็เพียงพอทำให้เธอเก็บเกี่ยวความรู้ให้พอที่จะอ่านออกเขียนได้ และเรียนรู้ต่อยอดเองจากคอมพิวเตอร์เครื่องดังกล่าว
จนกระทั่งวิกาลมากแล้ว ลีซอนพาทีลาโซเข้านอน ส่วนเรมีฟขดตัวนอนเงียบ ๆ อยู่อีกฟากของเตียง ลีซอนชะโงกหน้ามาดู เขาทำเป็นหลับ แต่ในใจนั้นหายโกรธเคืองมารดาตั้งนานแล้ว
ขณะเคลิบเคลิ้ม เรมีฟได้ยินเสียงสวบสาบเหมือนมีใครมุดเต็นท์เข้ามา จึงเงยหน้าขึ้นมามอง
“ว่าไงเจ้าตัวแสบ”
ที่แท้ก็เป็นลุงโมฟ พ่อของร็อกก้าแวะมาทักทาย เรมีฟได้แต่พยักหน้าแล้วล้มตัวลงนอนต่อส่วนโมฟหันไปปรึกษาบางอย่างกับลีซอน น้ำเสียงค่อนข้างเคร่งเครียดมาก เรมีฟไม่สนว่าทั้งสองพูดคุยกันเรื่องอะไร เพราะเขาง่วงมาก แต่ก่อนจะผล็อยหลับไป เรมีฟได้ยินเสียงข้างนอกเต็นท์ดูวุ่นวาย เสียงฝีเท้าของผู้คนย่ำไปย่ำมา ซึ่งผิดปกติไปจากทุกคืน...
ภาพโดย RP31
ความคิดเห็น