ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    P2 เจ้าชายจักรกล The Prince of Two Worlds

    ลำดับตอนที่ #2 : เล่ม 1 ปฐมบท สองเด็กชายตาสีเขียว

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 65


    ปี ส.ศ. 102 (สหพันธรัฐศักราช)

    Step to Armageddon Report (ซาร์)

    ‘โลก’ ดาวเคราะห์ดวงที่ 3 ในระบบสุริยจักรวาล ในยุคที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ ผู้มีมันสมองปราดเปรื่องกว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิด จึงคิดว่าเผ่าพันธุ์ของตนได้ครอบครองดาวสีน้ำเงินแห่งนี้มาเนิ่นนานนับตั้งแต่เริ่มปรับตัวจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มาเดินสองเท้าแยกเผ่าพันธุ์ออกจากลิงและพัฒนาจนสามารถยืนตัวตรง รู้จักการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อล่าสัตว์ จนก่อร่างสร้างอารยธรรมเป็นของตัวเองอย่างรวดเร็ว...


    ลีซอนเก็บกระดาษแผ่นพับใบนี้ใส่กระเป๋า มันปลิวมาตามสายลมแห้งแล้งบนพื้นที่ราบทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ในขณะที่เธอกับบรรดาเพื่อนผู้อพยพหลายร้อยคน รวมกันเป็นกองคาราวานขนาดใหญ่เคลื่อนขบวนเป็นแถวยาวเหยียดผ่านเทือกเขาสันทรายสูงชันสลับสล้างชั้นสีส้มแดงท่ามกลางแสงแดดแผดเผา ก่อเกิดคลื่นไอระอุร้อนเต้นระริกทำให้ลำคอของเธอแห้งผาก

    “ไหวรึเปล่าลีซอน เอาน้ำอีกไหม?”

    เสียงและใบหน้าที่แสดงถึงความห่วงใยของบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าหยาบกร้าน แต่แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทร

    ลีซอนมองเขาด้วยสายตาแห่งความสำนึกบุญคุณ แม้กระหายแต่ก็ฝืนยิ้ม กล่าวอย่างเกรงใจว่า

    “คุณโมฟเก็บไว้ให้ร็อกก้าดื่มเถิดค่ะ น้ำในกระติกเหลือน้อยแล้ว”

    ชายวัยกลางคนที่ชื่อโมฟ หันไปมองเด็กชายตัวน้อยอายุ 4 ปีผู้เป็นบุตรชายของเขา ร็อกก้าเงยหน้ามองแล้วส่งยิ้มกว้างให้พ่อขณะกระโดดไปมาอย่างกระปรี้กระเปร่า โมฟจึงบอกกับลีซอนว่า

    “ไม่เป็นไร ลีซอนต่างหากที่ควรต้องดื่ม ยิ่งกำลังท้องอยู่ด้วย...”

    โมฟไม่พูดต่อแต่ยัดเยียดกระติกน้ำให้หญิงสาวโดยไม่สนว่าเธอจะปฏิเสธหรือไม่ พร้อมกับมองเธอด้วยความเห็นใจ ผู้หญิงคนนี้ตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว กลับต้องมาลำบากลำบนเดินทางไกลเป็นระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตรจากถิ่นฐานเดิม เพื่อไปยังค่ายผู้อพยพนอกเมืองอุตสาหกรรมการบินแมกโตซิส ซึ่งทางกองทัพแห่งสหพันธรัฐโลกเพิ่งเปิดรับผู้อพยพจากต่างเขตเข้ามา อันที่จริงโมฟกับลีซอนอาศัยอยู่ละแวกเดียวกันในหมู่บ้านทางใต้ในเขต 8 ซึ่งโชคร้ายที่เขตนั้นอยู่ใกล้กับฐานที่มั่นสำคัญแห่งหนึ่งของกลุ่มกบฏเฮลป์ ที่เพิ่งยึดครองได้จากอีฟ่า

    แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือสงครามระหว่างอีฟ่ากับเฮลป์ การต่อสู้มีขึ้นอย่างดุเดือดและจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายหลัง ทำให้สามีของลีซอนซึ่งมีอาชีพเป็นนักดนตรีหาเลี้ยงชีพต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารของอีฟ่าแล้วเสียชีวิตไปในสงครามครั้งนั้น หมู่บ้านถูกทำลายสิ้น พวกเขาจึงทิ้งถิ่นฐานอพยพย้ายที่อยู่มา

    ความเศร้าโศกที่สูญเสียสามียังไม่ทันจาง ในระหว่างที่อพยพเดินทางรอนแรมด้วยเท้าก่อนเข้าเขตทะเลทรายบุตรชายของเธอซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกับร็อกก้าต้องจากไปอีกคน เขาพลัดตกลงไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากถูกกระแสน้ำพัดหายไป

    โมฟเองซึ่งเสียภรรยาไปเช่นกัน อดเป็นห่วงไม่ได้ที่ลีซอนอาจต้องเสียเด็กในท้องไปอีกคน ผู้หญิงท้องแก่ตัวคนเดียว แม้เขาจะทราบว่าลีซอนมีน้องสาวอีกคนที่เหลือเป็นญาติเพียงคนเดียว แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันและไม่สามารถติดต่อได้ เขาจึงคอยช่วยเหลือเธอตลอดทาง คอยเจียดน้ำและอาหารที่มีน้อยนิดให้ และคอยให้กำลังใจหญิงสาวหัวใจแทบสลายผู้นี้ตลอดเวลา

    โมฟคะยั้นคะยอให้ลีซอนดื่มน้ำเยอะ ๆ พลางบอกให้เธออย่าท้อ ค่ายผู้อพยพแห่งใหม่อยู่อีกไม่ไกล

    “ต้องมีชีวิตรอดให้ได้นะ ให้เด็กคนนี้เกิดมาและเลี้ยงดูเขาต่อไปให้ได้นะ” โมฟกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    ลีซอนลูบท้องตัวเองอย่างทะนุถนอม เธอนึกถึงเสียงดนตรีที่สามีของเธอชอบบรรเลงขับกล่อมให้เธอกับลูกฟังก่อนนอน นึกถึงใบหน้าของเขา รอยยิ้มของเขา

    ลีซอนพยักหน้าให้โมฟแล้วบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าจะทำให้ได้ เธอตัดสินใจแล้วว่าเมื่อคลอดลูกออกมาจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้อย่างดีที่สุด ให้สมกับความรักที่สามีทุ่มเทให้ แม้ต้องเผชิญกับโลกอันโหดร้ายที่รออยู่ราวกับหมาป่าซึ่งหมอบซุ่มรอเหยื่อในความมืดอย่างเงียบกริบ...

    ผ่านไปอีกหนึ่งราตรีแห่งความยากลำบาก ผ่านความหนาวเหน็บในห้วงวิกาลยาวนาน จวบจนแสงแห่งความอบอุ่นยามอรุณรุ่งมาเยือน ขบวนผู้อพยพเก็บผ้าห่ม กินเสบียงกรังที่เหลือ แล้วเริ่มต้นออกเดินทางสู่อนาคตใหม่อีกครั้ง

    ลีซอนเดินอุ้ยอ้ายรั้งท้ายขบวนโดยมีสองพ่อลูกโมฟกับร็อกก้าคอยดูแลอย่างเป็นห่วง ในวันนี้หลังจากเดินพ้นเทือกเขาหินทรายผ่านมาได้สองชั่วโมงเศษ ทัศนียภาพรอบด้านเริ่มเปลี่ยนแปลง พวกเขาเห็นความเขียวขจีของหมู่ไม้มากขึ้น พร้อมกับสายลมโชยที่ไม่ผ่าวร้อนเช่นที่แล้วมา ทำให้ทุกคนในคาราวานผู้อพยพใจชื้นและมีกำลังใจในการก้าวไปข้างหน้า

    ระหว่างเดินทาง มีเรื่องน่าตื่นตระหนก เมื่อขอบฟ้าด้านที่พวกเขามุ่งหน้าไปปรากฏแสงสีขาวพุ่งวาบลงมา มีลักษณะเป็นเส้นสายยาว แต่เพียงแวบเดียวก็หายไป ผู้คนต่างโจษจันถึงปรากฏการณ์นี้ ผู้เฒ่าผู้แก่กังวลว่ามันอาจเป็นลางร้ายอย่างหนึ่ง แต่สำหรับคนหนุ่มสาวกลับเชื่อว่านี่คือนิมิตหมายอันดีสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่

    บ่ายสองโมงตรง กองคาราวานผู้อพยพได้เคลื่อนมาถึงริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ชายผู้ซึ่งรับหน้าที่นำทางกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจต่อทุกคนว่าอีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงค่ายผู้อพยพแล้ว พร้อมกับชี้ให้ดูเมืองหนึ่งซึ่งเห็นอยู่ลิบตา

    ผู้อพยพดีใจกันถ้วนหน้า ต่างเร่งรีบเดินทางต่อ เพื่อให้ถึงจุดหมายเร็วไว แต่ลีซอนที่กัดฟันตรากตรำเดินทางเป็นระยะไกล แถมยังอุ้มท้องซึ่งเหมือนเป็นลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าปวดขาจนทานทนไม่ไหว จึงขอนั่งพักเท้าอยู่ริมทะเลสาบชั่วครู่หนึ่ง

    ลีซอนใบหน้าซีดเซียว เหงื่อไหลจนเปียกชุ่มเสื้อผ้าทั้งตัว นั่งพักอยู่บนหินกลมเกลี้ยงก้อนหนึ่งใต้ร่มไม้ โมฟไม่ได้ติดตามคาราวานไป ซึ่งท้ายขบวนลับหายไปจากสายตาแล้ว เขาถือกระติกน้ำไปที่ทะเลสาบ เพื่อนำไปให้ลีซอนดื่มแก้กระหาย

    ทันทีที่มือข้างที่ถือกระติกจุ่มลงไปในน้ำ เขาถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะน้ำในทะเลสาบเย็นจัดราวกับน้ำแข็ง!?

    โมฟเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เมื่อสังเกตดูดี ๆ จะพบว่าชั้นน้ำแข็งบางเบาลอยตัวอยู่ริมฝั่ง เขาขบคิดไม่เข้าใจไฉนน้ำในทะเลสาบถึงได้เย็นเฉียบปานนี้ ทั้งที่ภูมิประเทศในเขตนี้เป็นที่ราบสูงแห้งแล้ง มีต้นไม้ขึ้นไม่มากอากาศก็ร้อนอบอ้าว

    ร็อกก้าไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเขาถอดเสื้อผ้าเหวี่ยงทิ้งแล้วกระโจนลงไปในน้ำที่เย็นจัด แหวกว่ายด้วยความสนุกสนาน พร้อมทั้งโบกไม้โบกมือให้พ่อ แต่โมฟกลับรีบลุยน้ำไปหิ้วตัวบุตรชายจอมซนขึ้นมาพร้อมกับดุด่าว่า

    “อยู่นิ่ง ๆ บ้างเถอะพ่อขอร้อง เผลอไม่ได้เป็นต้องเล่นซนตลอด”

    โมฟยืนแช่อยู่ในน้ำรู้สึกได้ถึงความเย็นแทรกซึมที่ผิดปกติร่างกายเหมือนถูกเข็มนับพันทิ่มแทง จึงลากขากลับขึ้นฝั่ง จัดแจงสวมเสื้อผ้าให้ร็อกก้าอย่างรวดเร็ว กลัวว่าบุตรชายจะหนาวสั่นแต่ปรากฏว่าร็อกก้าแข็งแรงยิ่งนัก ไม่มีอาการตัวสั่นให้เห็น

    “ไม่หนาวเลยเหรอลูก?!” โมฟถามด้วยความฉงน ขนาดเขาซึ่งเป็นผู้ใหญ่เนื้อตัวยังเริ่มสั่นสะท้าน

    “น้ำเย็น น้ำเย็น ร็อกก้าชอบ” เด็กชายตบมือแปะ ๆ สีหน้าสดชื่น

    ตั้งแต่เกิดมาร็อกก้าเป็นเด็กที่แข็งแรง มีน้ำอดน้ำทนเป็นเยี่ยมขนาดผู้ใหญ่ยังยอมแพ้ อีกทั้งเมื่อสักครู่ ร็อกก้าสามารถว่ายน้ำได้โดยที่ไม่มีใครเคยสอนเขามาก่อน ขณะที่โมฟงุนงงอยู่นั้น ร็อกก้ากลับชี้นิ้วไปยังโขดหินกองหนึ่ง ร้องโหวกเหวกดังว่า

    “พ่อ ๆ นั่นอะไรน่ะ?”

    เมื่อหันไปดูก็พบกับวัตถุสีขวาวมีรูปทรงรีเหมือนไข่ขนาดใหญ่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่า ที่จริงแล้วมันคือแคปซูลซึ่งข้างในมีทารกชายน่ารักน่าชังนอนหลับอยู่

    ด้วยความประหลาดใจ เขานำมันไปให้ลีซอนดู เธออุทานเมื่อเห็นเด็ก โมฟช่วยเปิดฝาครอบแคปซูลออก แล้วนำทารกให้เธออุ้ม ทันทีที่อยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาว เด็กทารกพลันลืมตาขึ้น จ้องมองเธอตาไม่กะพริบ ทำให้ลีซอนหลงรักเด็กผู้นี้ขึ้นมาทันใด

    “น่ารักจัง ใครช่างกล้าทิ้งหนู” เธอหันมองรอบข้างก็ไม่พบกับผู้อพยพกลุ่มอื่น เพราะกลุ่มของเธอนั้นคือท้ายขบวนแล้ว พลางทำหน้าหยอกล้อทารกน้อยอย่างเอ็นดู ยิ่งพิศยิ่งอุ้มยิ่งถูกชะตา โมฟก้มลงดูใบหน้าเด็กน้อยวัยแบเบาะใกล้ ๆ ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า

    “ตาของเด็กคนนี้มีสีเขียวเหมือนร็อกก้า”

    “เหมือนกัน เหมือนกัน” ร็อกก้าส่งเสียง เขายื่นนิ้วชี้ ทารกใช้มือน้อย ๆ กำเอาไว้ ดวงตาสีเขียวสองคู่สบกันเป็นครั้งแรก ส่วนลีซอนมองเด็กทารกผู้นี้ด้วยดวงตาและความรู้สึกของแม่ที่เปี่ยมล้น

    “ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้เอง” ต่อจากนั้น ลีซอนขยับให้เด็กทารกผู้นี้แนบใกล้ ๆ ท้องของเธอ

    “ทีลาโซ... ในที่สุดหนูก็ได้พี่ชายคนใหม่แล้วนะ ดีใจไหม นี่คือพี่เรมีฟ พี่ชายของหนูนะ”

    แม้เกรงใจแต่โมฟอดเอ่ยปากไม่ได้ว่า “ผมว่า ดูไปสักพักก่อนจะดีกว่าไหมอย่าเพิ่งตัดสินใจ เอาไปให้กองคาราวานดูก่อนเผื่อเป็นลูกใคร”

    “ไม่ค่ะ”

    ลีซอนมองหน้าโมฟบอกเขาด้วยสายตาว่าเชื่อใจเถิด หากไม่ใช่เธอคงไม่มีใครอีกแล้ว ต้องเป็นแม่ที่แย่ขนาดไหนถึงได้ทิ้งลูกไว้ข้างทะเลสาบแบบนี้ ทว่าสิ่งที่ลีซอนคิดกลับย้อนมาทิ่มแทงเธอ เพราะลูกชายของเธอก็เพิ่งพลัดตกน้ำหายไปเมื่อหลายวันก่อน ลีซอนจึงกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะพูดต่อไปว่า

    “ฉันจะเลี้ยงดูเขา ฉันเชื่อว่าเด็กคนนี้คือบุตรที่พระเจ้าประทานมาให้แทนเรมีฟที่จากไป” ทารกน้อยได้ยินเสียงลีซอนเรียกเขา เรมีฟคนใหม่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ส่งเสียงร้องอ้อแอ้อย่างอารมณ์ดี...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×