คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ปีศาจก็คือปีศาจอยู่วันยังค่ำ!!!
“อะ...อะ...ไอ้ปีศาจ!”
“ทำไมเรียกพี่ริวอย่างนั้นล่ะครับ”
“นายโทรมาทำไม ไม่สิ! ฉันต้องถามว่านายโทรมาได้ไง นายมีเบอร์ฉันได้ไง!”
“รู้มั้ยว่าพี่เป็นใคร”
“ไอ้ปีศาจ”
ฉันตอบ
“หึๆๆ ตอบผิดคร้าบ พี่เป็นประธานนักเรียนนะ”
“แล้วไง คิดจะเอาตำแหน่งประธานมาขู่เรอะ!”
ฉันบอกอย่างเกรี้ยวกราด
“ไม่ใช่! พี่เป็นประธาน เพราะฉะนั้นประวัติของนักเรียนทั้งหมดในโรงเรียนนี้ ก็อยู่ในกำมือพี่ไง แค่หาเบอร์โทรศัพท์ของที่หมายหัว เอ๊ย!!หมายตาไว้ซักคนมันก็ไม่ต่างอะไรกับเวลาเจอส้วมตอนปวดขี้หรอกนะ”
ดูมัน...เปรียบทียบแบบนี้รู้สึกดีกับมันขึ้นเยอะเลย =_=
“ฮือๆๆ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฮือๆๆ ฉันกลัวแล้ว ขอร้องล่ะ!”
“เอ๊ะ!”
“คิดจะให้ฉันพูดแบบนี้ล่ะสิ! อย่าฝันให้ยากเลย!”
คลิก!
ฉันวางหูโทรศัพท์ไปทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ โฮะๆๆ คิดว่าโทรมาขู่แค่นี้ฉันจะกลัวงั้นเหรอ ไม่มีทาง!
และในคืนนั้น...
“นะๆๆ แม่จ๋าแม่ เปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่เถอะนะ! T^T”
“อะไรของแก จะเปลี่ยนทำไมให้เปลืองตังค์ล่ะ มันไม่ได้เสียซะหน่อย”
“มันเก่าแล้วอ่า...”
“เพิ่งซื้อเมื่อปีที่แล้วเนี่ยนะ!”
“...-_-“
“งั้น ๆ ให้หนูย้ายโรงเรียนก็ได้นะคะๆๆ”
“ไร้สาระจริงเลยแกน่ะ”
“แม่จ๋าๆๆๆ”
“ไปนอนได้แล้วไป..”
“หา!! จริงเหรอ”
“นี่แก!เบาๆหน่อยสิ”
ฉันตวาดพร้อมกับยื่นมือไปอุดปากยัยแพม
“อ้ออันอกไออี้อ่า”
“แกเห็นมั้ยว่าคนแถวนี้เค้ามองมากันหมดแล้ว”
“โอ้ดอี เอาอือออกไอ้อัง”
ฉันเอามืออกจากปากมัน ในขณะที่ยัยแพมรีบโพล่งออกมาเบาๆ
“ฉันว่าพี่ริวต้องสนใจแกแน่ๆเลย”
“เค้าสนใจจะแกล้งฉันมากกว่า”
ไม่รู้ยัยแพมใช้สมองส่วนไหนคิด คนอย่างนายนั่นไม่มีวันมาสนใจฉันหรอก และถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงฉันคงเป็นผู้หญิงที่โชคร้ายที่สุดในโลก...
“แล้วหลังจากนั้นเค้าโทรมาอีกมั้ย”
“ไม่รู้สิ ฉันเอาสายโทรศัพท์ออกน่ะ”
“โธ่เอ๊ย! ทำไมแกไม่คุยกับเค้าไปให้รู้เรื่องเลยล่ะ ว่าเค้าต้องการอะไร โทรมาทำไม”
แพมเสนอ
“นี่ๆ คุยกับคนแบบนั้นเนี่ยนะ ไม่รู้เรื่องหรอกมีแต่จะเสียเวลา”
“แล้วแกจะทำยังไงต่อไป จะหนีแบบนี้ไปตลอดเหรอ ดีนะที่เมื่อวานมีไอ้จุ้นอยู่ด้วยไม่งั้นแกเสร็จเขาแน”
“ใครว่าฉันหนี ฉันแค่ขอเวลาคิดเท่านั้นเอง เรื่องมันก็แค่เกิดจากน้ำแดงแก้วนั้นแท้ๆนะ ทำไมเค้าถึงต้องมาวุ่นวายกับฉันล่ะ หรือว่าเค้าอยากจะแก้แค้นเรื่องที่ฉันเอาน้ำสาดเค้าต่อหน้าคนอื่นๆ เฮ้อ..แต่เรื่องนิดๆหน่อยๆแค่นั้นเอง เลิกแล้วต่อกันก็ไม่ได้”
“แกว่านิดหน่อยเหรอยะ ที่เอาน้ำไปสาดใส่หน้าเขาทั้งแก้วน่ะ”
“โธ่เว้ย...ฉันไม่รู้ๆๆ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้ว”
ฉันพูดอย่างหัวเสียก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง ทำไมมันถึงได้วุ่นวายขนาดนี้นะ
“เป็นไรไปน่ะ”
ฉันหันไปหาเจ้าของเสียง ไอ้จุ้นนั่นเอง
“อ๋อ...เปล่าน่ะ แค่เครียดนิดหน่อย”
ฉันตอบกลับไปอย่างมึนๆ
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเธอเครียดเรื่องอะไร แต่บางทีปัญหาบางอย่างมันอาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่เธอคิดมากไปเองก็ได้”
ไอ้จุ้นพูดได้เท่านั้นแล้วก็ลุกไปคุยกับพวกไอ้เต้ยที่หลังห้อง ไอ้นี่นี่ทุกทีเลย ชอบพูดอะไรที่ยากจะแปลความ ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ฉันว่าฉันฟังมันพูดแล้วจะยิ่งเครียดมากกว่า
แล้วการเรียนวันนี้ก็ผ่านพ้นไปอีกวัน โดยที่ฉันไม่สามารถซึมซับอะไรเข้าสมองเลย
“วันนี้แกเหม่อทั้งวันเลยนะรู้ตัวรึเปล่า”
แพมบอกขณะที่เรากำลังเดินออกจากประตูโรงเรียน วันนี้เรานัดกันไว้ว่าจะไปเดินเล่นที่ห้างกันต่อเพราะมีร้านหนังสือเปิดใหม่ที่ฉันและยัยแพมสนใจ
“ก็ไม่ได้เป็นไรนี่ ฉันรู้สึกสดชื่น ร่าเริงชิบห_ายเลย -_-”
ฉันบอกเนือยๆ
“เฮอะๆ แกรู้มั้ยว่าหน้าแกกับคำพูดน่ะ มันตรงข้ามกันเลยว่ะ”
“...-_-“
ที่ห้างสรรพสินค้า...
“เล่มไหนวะที่แกบอกว่าจะซื้อ ไม่เห็นมีเลยอ่ะ”
ฉันถามขณะพลิกหนังสือที่หยิบขึ้นมาส่งๆอย่างเซ็งๆ
“มันมีจริงๆ ฉันเปิดเว็บดูเมื่อวาน”
แพมตอบขึงขัง
“ฉันว่าไปถามพี่พนักงานดีกว่า”
ฉันบอกพลางชี้ไปที่พี่ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ขณะที่เราสองคนมุ่งหน้าไป
“พี่คะ! ฉันอยากถามว่า...ว่า...ว่า”
ยังไม่ทันที่ฉันจะยิงคำถามจบพี่คนนั้นก็หันมาก่อน และฉันก็ต้องถูกสะกดให้ค้างอยู่อย่างนั้น
“มีไรครับ”
ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นพวกเรา เพราะยังคงคอนเซปต์เดิมคือแย้มรอยยิ้มเทพบุตรนั่นใส่พวกเราทันทีที่หันมา
“ริว!”
ฉันเรียกชื่อหมอนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ส่วนยัยแพมก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากฉัน
“ไม่ยักรู้นะว่าน้องเบลคิดถึงพี่ ถึงขนาดจะต้องมาหาพี่ที่นี่น่ะ”
“คงไม่หรอกค่ะ เพราะถ้าฉันรู้ว่ามาแล้วจะต้องซวยแบบนี้ฉันคงไม่มาหรอก อ๊ะ! หวังว่าคงไม่ต้องบอกนะคะว่าอะไรคือเรื่องซวยๆที่เกิดขึ้นกับฉัน”
ฉันบอกยืดยาวก่อนจะยิ้มแยกเขี้ยวให้กับตาเก๊กหล่อที่ยืนยู่ตรงหน้า ในขณะที่แพมสะกิดฉันเบาๆเป็นเชิงห้าม แต่ฉันก็ยังทำหน้าด้าน เอ๊ย!! หน้านิ่งไม่รับรู้อากัปกิริยาของมัน แถมยังฉุดกระชากลากถูมันออกมาจากร้านหนังสือนั่นโดยไม่หันกลับไปมองคนข้างหลัง...
ฉันคงจะได้ทำอย่างนั้นแล้วถ้าไอ้บ้าริวไม่มายืนขวางฉันไว้
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป!”
“นี่...ฉันเป็นลูกค้านะ และในฐานะที่นายเป็นแค่ลูกจ้างนายก็ควรที่จะมีมารยาทกับลูกค้าของนาย!! ถอยไป!!”
ฉันตวาดใส่ ทำให้คนในร้านหันมามองเป็นตาเดียว อ๊ะ! ดีสิจะได้รู้ไงว่าหมอเนี่ยเป็นลูกจ้างที่เลวแค่ไหน สมควรอย่างยิ่งที่จะโดนนายจ้างไล่ออก ฉันเชิดหน้าใส่ไอ้ริวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เธอยังออกไปไหนไหนไม่ได้...”
เอ๊ะ! ทำไมถึงหน้าด้านอย่างนี้นะ
“โอ๊ย!! นายมีสิทธิ์อะไรมาบังคับฉัน หา! ถ้าขืนนายยังตื๊อไม่เลิก ฉันจะไปเรียกเจ้าของร้านให้ไล่นายออก!!(ถึงตอนนี้ยัยแพมสะกิดฉันพร้อมทำหน้าเหยเกอีกแล้ว)”
ฉันขู่ริวอย่างคนที่เหนือกว่า พลางส่งสายตาพิฆาตไปยังยัยแพมที่ไม่ช่วยตอบโต้อะไรเลยแถมยังทำหน้าซีดเหมือนไก่เป็นลูคีเมียโดนต้มอีก!! แล้วจู่ๆไอ้ริวก็พูดขึ้นเสียงกับฉัน...
“ฉันไม่ได้อยากจะตื๊อเธอนะ เธอจะออกไปจากร้านก็ได้ไม่ว่าหรอก แต่เอาหนังสือที่อยู่ในมือเธอคืนมาก่อนเซ่! หรือไม่ก็ไปจ่ายตังค์ค่าหนังสือนั่นให้เรียบร้อยที่เคาน์เตอร์ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจับเธอข้อหาขโมยของ!!”
ว่าไงนะ!! กรี๊ดดดด! ฉันถือไอ้หนังสือบ้านี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะ!! อ๊ายยย!! อายๆๆๆๆจนอยากจะเสกหนังหน้าตัวเองเข้าท้องของใครซักคนก็ได้ ฉันส่งหนังสือให้หมอนั่นโดยไม่พูดและไม่มองแม้แต่ปลายมือด้วยซ้ำ
“ก็แค่นั้นแหละ...ไม่งั้นจะให้พ่อฉันที่เป็นเจ้าของร้านจัดการกับเธอ!!”
จบประโยคคนในร้านที่มองอยู่ต่างหันไปซุบซิบๆกัน ในขณะที่ฉันไม่สนอะไรแล้วสวมวิญญาณนักวิ่งลมตดเอ๊ย!!กรดวิ่งหน้าตั้งออกจากร้านพร้อมใบหน้าที่แตกละเอียด T^T
“แกเห็นมั้ยแพม หมอนั่นตามจองล้างจองผลาญฉันไม่เลิก...ยัยแพม!”
ยัยบ้าหายไปไหนแล้วฟะ! ไม่ได้ตามมาด้วยกันเหรอเนี่ย ฉันหันรีหันขวางมองซ้ายทีขวาทีแต่ก็ยังไม่เห็นเงาหัวยัยนั่น โอ๊ย!! ให้ตายเถอะ นี่ถ้าฉันมีมือถือฉันก็คงจะโทรจิกยัยนั่นไปแล้ว แต่จะว่าแพมมันก็ไม่มีมือถือเหมือนกันนี่... ช่วยไม่ได้แฮะ...กลับบ้านคนเดียวแล้วกัน
แต่ถ้าฉันรู้ว่าหากกลับบ้านแล้วต้องมาเจอนายซาตานริวยืนอยู่หน้าบ้าน ฉันคงเลือกที่จะนอนข้างถนนดีกว่า
“นายมาได้ไง!! OoO^^”
“โอ๊ะ! อย่าทำหน้าเหมือนดีใจที่ได้เจอพี่สิ น้องเบล ^_^”
ฮ้า...ไอ้บ้านี่มันมีตารึเปล่าเนี่ย ฉันไปทำหน้าแบบนั้นเมื่อไหร่ แล้วไอ้หมอนี่มันมาทำพระแสงไรของมันล่ะ โอ๊ย!!วันนี่มันเป็นวันซวยของฉันจริงๆด้วย นี่ถ้าฉันกลับเข้าไปไหนบ้านแล้วปรากฏว่ามีขโมยมายกเค้าจนเหลือแต่บ้านโล่งๆ ฉันคงไม่แปลกใจเลย
“บ้านสวยดีนะ!”
หมอนั่นเอ่ยอย่างไม่รู่สึกรู้สาพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ฉัน ในขณะที่ฉันได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก
จะมาไม้ไหนของเขานะ หวังว่าคงไม่ได้มาวางระเปิดบ้านฉันหรอกนะ แย่ชะมัดแล้วงี้ชีวิตฉันจะหาความเป็นตัวของตัวเองได้อีกมั้ยเนี่ย ชื่อแซ่ก็รู้แล้ว เบอร์โทรก็รู้แล้ว แล้วยังที่อยู่อีก โอ...ไม่นะ!! แล้วตอนนั้นเองฉันก็คิดอะไรขึ้นมาได้อย่างนึง
“อ้อ...จะบอกอะไรให้นะ เนี่ยไม่ใช่บ้านฉันหรอก เป็นบ้านของญาติฉันต่างหาก”
ฉันโกหกหน้าตาย
“บ้านญาติงั้นเหรอ...”
“ใช่ ปกติฉันไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก ที่จริงแล้ววันนี้ฉันมาเยี่ยมลุงน่ะ”
“เธอจะบอกว่านี่เป็นบ้านลุงของเธอเหรอ”
หมอนั่นถามด้วยสีหน้าบอกแววสงสัย เมื่อฉันเห็นว่าแผนของฉันเริ่มได้ผล ฉันจึงสาธยายต่อไป
“นายคงจะไปดูจากใบประวัติในห้องแนะแนวมาใช่มั้ย คือในนั้นฉันกรอกที่อยู่ของลุง เพราะจริงๆแล้วฉันเกิดที่นี่ ในใบสัมมะโนครัวฉันก็เลยเขียนที่อยู่นี้ด้วย ก็...เคยอาศัยอยู่ที่นี่ตอนเด็ก แต่ว่าพอเริ่มอยู่ชั้นประถมฉันก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นกับพ่อแม่แล้วก็พี่”
“อ๋อ...อย่างนั้นเองเหรอ”
“ใช่...^_^”
“งั้นที่ฉันมาก็ไม่ใช่บ้านเธองั้นสิ”
หมอนั่นทำหน้าครุ่นคิด
“แต่ว่าบังเอิญจังนะที่ฉันมาวันที่เธอมาเยี่ยมลุงพอดีเลย มันคงเป็นพรหมลิขิต”
หมอนั่นพูดพร้อมหัวเราะในลำคอ ยังจะมีน่ามาขำอีกเรอะ!!! ในสถานการณ์ตอนนี้นายควรจะยืนหน้าเสียแล้วก็เดินคอตกกลับไปซะถึงจะถูก
“เอาล่ะๆ ทีนี้นายก็รู้ตัวสินะว่าไม่ควรจะยืนอยู่ตรงนี้ รีบกลับไปซักทีไป”
ฉันว่าพลางออกแรงผลักนายริวให้เดินออกไปให้พ้นบริเวณหน้าบ้าน แต่ดูเหมือนขาของมันจะถูกตรึงเอาไว้กับพื้นดินไม่ยอมขยับไปไหนแม้นิดเดียว
“เธอมาที่นี่คนเดียวเหรอ”
โอ๊ย!! ทำไมถึงชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านนักนะ
“ก็ใช่น่ะเซ่!!”
ฉันตอบไปอย่างเสียมิได้
“อ้าว...นึกว่ามากับแม่เธอซะอีก นานจะมาเยี่ยมญาติทีน่าจะพาพ่อกับแม่มาด้วยนะ”
หมอนั่นยังไม่หมดข้อสงสัย
“ฉันอยากมาคนเดียว แล้วฉันจะมากับใครมันก็เรื่องของฉัน!! กลับไปได้แล้ว!!”
ฉันชักฉุนแล้วนะ นี่ถ้าไอ้บ้านี่ยังไม่ไปอีกฉันจะเรียกตำรวจจริงๆด้วย ยังไงฉันก็ให้นายรู้ไม่ได้หรอกว่าฉันอยู่ที่นี่ เพราะแม้จะเหลืออีกเพียงเล็กน้อยแต่ฉันก็ยังอยากจะพบกับคำว่า ‘สงบสุข’ ในพื้นที่เล็กๆที่เรียกว่า ‘บ้านของฉัน’ เพราะฉนั้นฉันจะให้ไอ้บ้าโรคจิตนี่มาวุ่นวายไม่ได้!!
“เอ๊...แต่เมื่อกี๊ฉันยังเข้าไปคุยกับแม่เธอยู่เลยนะ ในบ้านน่ะ”
ริวจบประโยคด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่ฉันแทบจะช๊อคตายเมื่อได้ยินอย่างนั้น มะ...หมายความว่าไอ้ริวมันก็เข้าไปในบ้านฉันแล้วงั้นสิ แถมยังคุยกับแม่ฉันด้วยงั้นเหรอ
ทันใดนั้นหญิงสาววัยกลางคนในชุดอยู่บ้าน ก็เปิดประตูออกมาและกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เบล กลับมาแล้วเหรอลูก แม่กำลังรออยู่เชียวเข้ามาเร็วๆสิ เนี่ยริวเค้ามารอได้ซักพักแล้วรู้มั้ย”
แม่ฉันนั่นเอง...ฉันเหลือบไปมองหน้าไอ้โรคจิต เห็นหมอนั่นยิ้มกว้างให้แม่ฉัน
“พอดีเจอเบลระหว่างทางพอดีเลยครับ ก็เลยเดินคุยกันมา”
“โอ้เหรอจีะ
งั้นก็เข้ามาคุยกันในบ้านสิ”
แม่ฉันตอบรพลางจูงมือหมอนั่นเข้าบ้าน OoO เฮ้อ...ฉันอยากเป็นลมๆๆ เหตุการณ์มันกลับตาลปัตรแบบนี้ได้ไง TT^TT
เป็นอันว่าฉันต้องเข้ามาพร้อมด้วยไอ้โรคจิตริวที่ทำหน้าแป้นแล้นในขณะที่จ้อกับแม่ฉันไม่หยุด รู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้มีกันอยู่สองคนรึไง เห็นใจคนอื่นซะบ้างสิ! ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางเอกเอ็มวี คนเดียวไม่เหงาเท่าสามคนของเม
เหงา...ยิ่งกว่าตอนที่ไม่เหลือใคร
ยิ่งเห็นทั้งเขาและเธอก็ยิ่งเหงา...
เหมือนมาอยู่เป็นแค่ส่วนเกินระหว่างเธอและเขา
เพิ่งรู้คนเดียวไม่เหงาเท่าสามคน
โอ๊ย!! ฉันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆเลย นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย...ฉันคิดอะไรอยู่นะ สงสัยเป็นเพราหมู่นี้ฉันนอนน้อยแน่ๆ เฮ้อ...คืนนี้คงจะต้องรีบนอนแต่หัวค่ำซะหน่อยแล้ว...
“อู๊ย! ตายจริง หกโมงครึ่งแล้วเหรอเนี่ย เดี๋ยวแม่ต้องต้องไปแล้วล่ะ นัดกับเพื่อนเอาไว้”
อยู่แม่ฉันก็โพล่งๆออกมา แถมยังบอกว่าจะออกไปข้างนอกอีก ดีๆออกไปเลยแล้วพาไอ้โรคจิตนั่นกลับไปด้วย เชอะ! จะมาทำไมก็ไม่รู้
“งั้นแม่ต้องไปก่อนแล้วนะ เอ่อ...ตามสบายนะจ๊ะริว ถ้าหิวก็ให้ยัยเบลทำอะไรให้กินนะ”
“อะไรนะคะ!! แม่...แม่จะทิ้งหนูเอาไว้กับไอ้บ้านี่ไม่ได้นะคะ แล้วทำไมหนูจะต้องทำอาหารให้หมอนี่กินด้วยล่ะ”
ฉันแหวทันทีที่ได้ยินประโยคที่แม่พูด นี่แม่ฉันกินอะไรเข้าไปเนี่ย ฉันเป็นลูกสาวแท้ๆแต่กลับปล่อยให้อยู่กับผู้ชายสองต่อสองในช่วงเวลาโพล้เพล้แบบนี้
“พูดจาให้มันดีหน่อยนะ! เอ่อ...ริวจ๊ะ ถ้าเห็นว่ายัยนี่ไม่เชื่อฟังก็ตีได้เลยนะคะ”
“เอ่อ..ครับๆ ^_^”
“งั้นรบกวนด้วยนะคะ...นี่ยัยเบลทำตัวดีๆนะแกน่ะ!”
แม่ทิ้งท้ายเอาไว้อย่างนั้นก่อนออกไป และหลังจากนั้นบ้านทั้งบ้านก็มีแต่ความเงียบสงัด แต่ฉันไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นนาน ฉันทิ้งบอมบ์ทันทีหลังจากเวลาผ่านไปสิบวินาที
“นายทำบ้าอะไรของนาย!!! นายกำลังสมรู้ร่วมคิดกับแม่วางแผนจะแกล้งฉันใช่มั้ย หรือว่านายแอบเอายาอะไรให้แม่ฉันกินแม่ฉันถึงได้เป็นแบบนั้นนะ ฮ้า... นายออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ และไม่ต้องกลับมาอีก เข้าใจมั้ย!!!!”
“นี่ใจเย็นๆก่อนสิ ทำโวยวายไปได้”
“นายบอกฉันมานะ นายพูดอะไรกับแม่ฉันแม่ฉันถึงได้เป็นแบบนี้ ปกติแม่ไม่เคยทิ้งฉันให้อยู่ลำพังด้วยซ้ำ”
อันนี้เป็นอีกข้อที่ฉันโกหก ก็ปรกติฉันอยู่บ้านคนเดียวจนชินเพราะพ่อกับแม่รวมทั้งพี่เบลมักจะออกไปทำงาน ไม่ได้กลับบ้านกลับช่องเท่าไหร่ แต่พูดไปเพราะความปลอดภัย อีกทั้งอารมณ์มันพาไป
แต่แล้วจู่ๆหมอนั่นก็หัวเราะ...-_-^
“ฮะๆๆๆๆ >O<”
“นายเป็นบ้าอะไรอ่ะ หัวเราะทำไม”
ฉันถามอยากหวาดๆขณะถอยห่างออกจากหมอนั่น โรคจิตชัดๆเลย ฉันไม่น่ามาเจอกับไอ้บ้านี่เลย
“นี่ๆ เป็นอะไรไป หนีฉันทำไมล่ะ ไม่ใช่พวกโรคจิตซักหน่อย”
นายริวหยุดหัวเราะแล้วพูดราวกับอ่านใจฉันออก
“นายมันน่ากลัวสุดๆเลยรู้มั้ย ตกลงจะบอกฉันได้รึยังว่าทำไมแม่ฉันถึงยอมให้ฉันอยู่กับคนโรคจิตอย่างนายอ่ะ!!”
ฉันถามอย่างหมดความอดทน แล้วคว้าหมอนที่อยู่บนโซฟามากอดไว้ เพราะถ้าเพื่อว่าคำตอบของหมอนั่นไม่เป็นที่พอใจ ฉันจะขวางไอ้เจ้าสี่เหลี่ยมนุ่มๆนั่นใส่หน้าเขาได้ทันที เฮ้อ...แต่ทำไมฉันมาหาอะไรที่มันดีกว่านี้ฟะ! หมอนเนี่ยนะ++ มันน่าจะเป็นไม้หน้าสามหรือกระถามต้นไม้ใหญ่ๆมากกว่า T^T
แล้วหมอนั่นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งก่อนจะตอบ
“ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าฉันเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียน ถูกส่งมาให้มาสอนอังกฤษรุ่นน้อง
ที่สอบตกอย่างเธอก็แค่นั้น...นี่จะทำอะไรน่ะ เฮ้ย!! อย่า...!!!!”
ไม่ทันแล้ว...หม้ออะลูมิเนียมใบใหญ่ที่ฉันเพิ่งไปคว้ามาแทนหมอนเมื่อครู่นี้ ถูกขว้างใส่หน้าไอ้รุ่นพี่ชั่วคนนั้นเข้าแบบพอดิบพอดี ก่อนที่จะทันพูดจบประโยคซะอีก
ความคิดเห็น