คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ศัตรูหมายเลขสอง
เจ็บใจที่สุด!! ทำไมฉันจะต้องโดนไอ้คนแบบนั้นมาด่าต่อหน้าคนทั้งโรงอาหารทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยนะ เสียแรงที่ฉันเห็นว่าเขาหน้าตาดี เลยพลอยคิดไปว่านิสัยก็จะดีเหมือนหน้าตาด้วย ฉันสาบานได้เลยนะว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครทำให้ฉันเกลียดได้เพียงแค่เห็นหน้าครั้งแรก
มีไอ้บ้านี่แหละเป็นคนแรกเลย!!
พี่ต้า...แฟนของยัยแพมแม้จะดูนิสัยดีก็จริง แต่ทำไมถึงได้คบกับเพื่อนนิสัยเลวๆอย่างไอ้ริวนั่นซะได้ เฮอะ! ท่าทางจะหลงแฟนตัวเองหัวปักหัวปำเลยล่ะสิท่า แล้วทำไมยัยนั่นถึงไม่พูดอะไรบ้างเลยล่ะ ความจริงตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนผิด วิ่งมาชนฉันเอง
“โอ๊ย! >O<”
ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกเจ็บแปล๊บตรงบริเวณสะโพก จนต้องเผลอร้องออกมา สงสัยคงจะเป็นตอนที่ฉันเซไปชนเข้ากับมุมโต๊ะเมื่อกี๊แน่ๆเลย
ฉันก้าวเดินอาดๆด้วยความโมโห แล้วก็รู้สึกตัวได้ว่ามาหยุดอยู่ที่สวนหย่อมบริเวณหน้าอาคารหนึ่ง เฮ้อ...นั่งสงบใจซักหน่อยดีมั้ยเรา
ฉันนั่งลงกับเก้าอี้มาหินตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะทอดสายตามองออกมายังสนามหญ้ากว้างใหญ่ข้างหน้าโรงเรียน ที่พวกผู้ชายกำลังเตะบอลกันอย่างสนุกสนาน คิดๆไปแล้วก็อยากจะขอโทษยัยแพม ที่ฉันทำให้ต้องเกิดเรื่องราวแย่ๆแบบนั้น ทั้งที่มันอยากจะให้ฉันรู้จักคุ้นเคยกับพี่พวกนั้นแท้ๆ แต่จะมาโทษฉันไม่ได้หรอก ต้องโทษไอ้หมอนั่นต่างหากที่ทำตัวไร้สาระ!
“แฮ่กๆๆ ยัยเบล หาตั้งนาน”
ฉันหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะพบยัยแพมยืนหน้าแดงหอบแฮ่กๆเป็นหมาหอบแดดอยู่ข้างหลัง
“...”
ฉันได้แต่ถอนหายใจให้มันอย่างไม่รู้จะทำอะไร
“แกหายโมโหแล้วใช่มั้ย”
มันถามก่อนเดินมานั่งที่เก้าอี้มาหินตัวเดียวกับฉัน
“แกจะด่าอะไรฉันอีกล่ะ”
ฉันถามมันเสียงเรียบๆ แต่ใจไม่ได้เรียบตามน้ำเสียง
“ฉันจะด่าแกทำไม แกไม่ผิดอะไรนี่ เห็นอยู่ว่าพี่ป่านเค้าวิ่งมาชนแกโดยไม่ระวังเองง่ะ”
“แต่คนอื่นเค้าไม่คิดเหมือนแกนี่”
ฉันบอกเคืองๆ
“อ๋อ...พี่ริวน่ะเหรอ ช่างหัวหมอนั่นมันเด่ะ ลองเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับแฟนน่ะ หมอนั่นมักจะทำตัวไร้เหตุผลอย่างนี้เสมอแหละ”
“ทำไม ไอ้บ้านั่นมันหลงแฟนมันมากเลยเหรอ”
“อันนี้ฉันก็ไม่รู้นะ ถามเพื่อนๆในกลุ่มเค้าดูก็บอกแต่ว่าคบกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว แต่ฉันว่าเค้าก็ทำเวอร์เกินไปจริงๆนั่นแหละ ถ้าฉันเป็นแกฉันอาจจะยิ่งกว่าเอาน้ำสาดหน้าก็ได้นะ”
แพมออกความเห็น
“ช่างแมร่งเถอะ! ไม่ต้องพูดถึงไอ้ริวนั่นแล้ว! นึกถึงแล้วก็โมโห แต่...แกไม่ได้โกรธแฟนแกใช่มั้ย...เอ่อ...พี่ต้าน่ะ”
ฉันถาม
“เปล่านี่”
“เออๆ ดีแล้วล่ะ เพราะฉันคิดว่าเค้าเป็นคนที่ดีคนนึงเลยนะ”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ เฮ้ย!”
แพมอุธานพร้อมทำหน้าตกใจ
“ทำไมเหรอ”
“นั่นมันไอ้จุ้นนี่ เห็นผู้หญิงคนนั้นรึเปล่า”
แพมชี้ไปที่หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่อยู่ห่างจากพวกเราไปไม่ไกลนัก เห็นพอชัดว่าจะเป็นไอ้จุ้นกับผู้หญิงคนหนึ่ง
หน้าตาน่ารัก
“นั่นมัน...น้องขวัญนี่!”
ฉันบอก พลางมองไปที่ทั้งสองคนอย่างแปลกใจ
“น้องเขามาอยู่กับไอ้จุ้นได้ไง หรือว่าเป็นแฟนกัน”
“ฉันว่า ไอ้จุ้นมันไปจีบน้องเขามากกว่า แกไม่เห็นเหรอ ว่าน้องเค้าหน้าแดงๆอ่ะ เฮอะ! ท่าทางกวนๆอย่างหมอนั่นน่ะ ไม่มีทางที่น้องขวัญจะมาชอบได้หรอกเฟ้ย!”
ฉันว่า แพมพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็จริงอยู่นะที่ไอ้จุ้นมันดูกวนๆ แต่ความจริงหน้าตามันก็หล่อไม่เบาเลยนะ”
“แกมีตารึเปล่ายะยัยแพม! ฉันรู้จักมันมาตั้งแต่ตอนป.5ยังไม่เห็นมีวี่แววเลย”
“เฮ้ย! ไอ้จุ้นมันเดินไปแล้วเว้ย สงสัยว่ามันจะแห้วซะล่ะมั้ง”
ฉันมองไปทางนั้นพลางคิดว่าไม่รู้จะสะใจหรือสงสารมันดี
และแล้วเย็นวันพุธที่สุดโคตรจะน่าเบื่อก็มาถึง โดยเฉพาะเวลานี้
“พวกแกจะกลับแล้วเหรอ”
ฉันถามแพมกับนิ้งด้วยหน้าไร้วิญญาณ
“ก็ฉันไม่ตกเหมือนแกนี่”
นิ้งหันมาตอบพลางขยับแว่นหนึ่งทีตามเอกลักษณ์
“โทษทีนะ ฉันนัดพี่ต้าไว้อ่ะ ^_^”
แพมบอกขอโทษอย่างรู้สึกผิด แต่ดูสีหน้ามันแล้วไม่เห็นจะรู้สึกผิดสักนิด -_-
“เออๆ ไปไหนก็ไปเลยไอ้พวกทิ้งเพื่อน”
หลังจากนั้นฉันกับเพื่อนในห้องทีตกภาษาอังกฤษก็มานั่งจับจองพื้นที่ภายในห้องสามสามสองกันเป็นที่เรียบร้อย ฉันเองพยายามเลือกที่นั่งที่ค่อนไปทางข้างหลังเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตุเวลางีบหลับ
ดูๆไปแล้วคนที่ตกอังกฤษในชั้นม.5 ทั้งหมดก็มีไม่เยอะเท่าไหร่นะ ประมาณสี่สิบกว่าคน โอ๊ะ! แล้วฉันเป็นหนึ่งในจำนวนคนพวกนี้เนี่ยนะ! -_-
หลังจากที่คนทยอยเข้ามานั่งที่กันเรียบร้อยแล้ว ก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงคนนึงท่าทางห้าวๆเดินถือแผ่นกระดาษส่งตามโต๊ะต่างๆเพื่อเป็นการเช็คชื่อ โอ๊ะ! มีคนเข้ามาอีกคนนึง เป็นรุ่นพี่ผู้ชายด้วย คราวนี้เป็น...
ไอ้ริว!! O_O
มันมาทำอะไรที่นี่ฟะ! จะว่ามันตกเลขก็คงไม่ใช่เพราะถ้ามันตกมันก็ไปเรียนกับพวกม.6สิ มันมาทำไรที่นี่!!ฉันมองมันเลิ่กลั่กในขณะที่มันเดินไปหน้าห้องแล้วหยิบไมค์ขึ้นมาพูด...
“หวัดดีน้องๆ พี่ชื่อริว จะมาสอนภาษาอังกฤษให้นะครับ”
ว่าไงนะ!! โอ้! มายบุดด้าห์!!
“น้องม.5 นี่ยังดีนะครับตกภาษาอังกฤษกันน้อยกว่าพวกพี่ซะอีก ถ้าไงเดี๋ยวเซ็นชื่อกับพี่หม่อนก่อนนะครับ”
ริวพูดยิ้มพลางชี้ไปที่รุ่นพี่ห้าวๆคนเมื่อกี๊ พี่คนนั้นพยักหน้ายิ้มๆ
“พี่ริวคะ พี่ริวเป็นนายแบบใช่มั้ยคะ!”
มีผู้หญิงคนนึงถามขึ้น
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่ถ่ายรูปลงนิตยสารนิดหน่อยอ่ะ ^_^”
ไอ้ริวตอบพลางยิ้มหวานให้ หนอย...ไอ้...ไอ้ซาตานในคราบเทพบุตร!!
“พี่ริวเท่จังเลยค่ะ”
“พี่ริวจะสอนเรื่องอะไรคะ เรามาสอนกันตัวต่อตัวดีกว่า”
อะ...ไอ้พวกนี้มันเป็นผู้หญิงแน่รึเปล่าฟะ! พูดออกมาได้ไงไม่อายปาก น่าสงสารพ่อแม่จริงๆ
“นี่เธอ...หวังว่าคงจะไม่บ้าตามยัยพวกนั้นนะ”
ไอ้จุ้นซึ่งนังอยู่ถัดจากฉันกระซิบบอก และฉันก็ได้แต่ชูกำปั้นไปให้มัน
“เอาล่ะๆ พี่ว่าเรามาเริ่มเรียนกันดีกว่า
”
และฉันก็ไม่อยากจะสนใจอะไรอีก เพราะไม่งั้นฉันคงจะช๊อกตาย เพราะความโกรธมันไปอุดตันเส้นเลือด! ไม่ยักรู้แฮะว่าหมอนั่นเก่งอังกฤษด้วย เอ...จะว่าไปอาจารย์เอมใจก็เคยพูดเปรยๆไว้เหมือนกัน ว่ามีรุ่นพี่ม.6 คนนึงจะมาสอนอังกฤษให้ แต่ยักรู้ว่าจะเป็นไอ้นี่...
หลังขากเวลาผ่านไปราวๆยี่สิบนาที ฉันจะหลับอยู่แล้วทว่า...
“น้องครับ! น้องคนนั้นน่ะ”
ทันใดนั้นไอ้ริวก็เรียกเสียงดัง และชี้มาที่ฉัน ในขณะที่ฉันกำลังเหม่อ
“เอ๊ะ!”
ฉันอุธาน
“น้องนั่นแหละครับ ยืนขึ้นซิ”
หนอย...จะมาไม้ไหนอีกล่ะ! ฉันค่อยๆยืนพลางส่งสายตาเคียดแค้นไปให้
“ชื่ออะไรครับ”
มันถามชื่อฉัน ถ้าหากฉันรู้ชื่อแม่มันก็คงจะตอบไปแล้วล่ะ แต่ฉันไม่รู้ก็เลยได้แต่ตอบตามความจริง
“แล้วชื่อจริงล่ะครับ ^_^”
“รลลณี!”
ฉันตอบห้วนๆ
“งั้นช่วยแปลคำนี้ให้หน่อยได้มั้ย”
“หา!”
ฉันมองไปที่กระดานตามคำที่หมอนั่นชี้ อ๋อ...นี่คิดจะแกล้งให้ฉันอายใช่มั้ย ฝันไปเถอะ! เอ่อ...ว่าแต่ว่ามันแปลว่าอะไรฟะ
“ได้มั้ยครับ!”
หมอนั่นถามพลางยิ้มกวนประสาท
“เอ่อ...”
ไอ้บ้าเอ๊ย!! จะให้ฉันตอบได้ไง ก็ฉันไม่รู้นี่หว่า แต่ถ้าฉันบอกไปว่าไม่รู้หมอนั่นก็ต้องสะใจน่ะสิ!! อ๊ายยยย! เจ็บใจชะมัด
“ว่าไง...”
“อุณหภูมิ”
ในตอนนั้นเอง ไอ้จุ้นหันมากระซิบบอกฉันเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน ฉันจึงได้แต่มองมันตาปริบ
“อะ...อุณหภูมิ!”
ฉันตอบออกไป พลางเหล่มองไปที่ไอ้จุ้น
“ใช้ได้ๆ”
ไอ้ริวพูดและพยักหน้าเล็กน้อยแต่ฉันว่าเหมือนมันจะพูดกับตัวเองมากกว่า แต่ยังไงฉันก็รอดแล้วล่ะ! ฉันนั่งลงก่อนจะหันไปมองไอ้จุ้นซึ่งกำลังก้มหน้าเขียนอะไรยุกยิก
“ขอบใจนะ”
ฉันบอกไอ้จุ้นขณะที่กำลังเดินออกมาจะกลับบ้าน
“เรื่องไร...อ๋อ...ไม่เป็นไรหรอก”
“เอ๊ะ!”
“คือ...ฉันแค่เห็นว่า คนฉลาดก็ย่อมจะต้องช่วยเหลือคนโง่อยู่แล้ว”
ไอ้จุ้นลอยหน้าบอก
“งั้น...ฉันขอถอนคำพูด ที่ขอบคุณนายไปเมื่อกี๊ -_-”
ฉันบอกก่อนจะแลบลิ้นใส่มัน
“แต่ว่านะ...ถ้านายไม่ช่วยฉันตอนนั้น ฉันคงจะเจ็บใจมากเลยล่ะ!”
ฉันบอก
“พี่คนนั้นน่ะ...พี่ริวอ่ะ”
“ทำไม”
ฉันถาม
“เหมือนว่าเค้าจะจงใจแกล้งเธอนะ”
“นายก็สังเกตุเห็นเหมือนกันเหรอ!!”
ฉันถามอย่างกะตือรือล้น
“อ๋อ...ฉันก็ไม่ได้สังเกตุอะไรหรอก มันเห็นกันชัดๆอยู่แล้ว เธอรู้จักกับเค้าเหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอกนะ เรียกว่าศัตรูจะดีกว่า”
ฉันบอก
“เธอนี่ไม่เคยเป็นมิตรกับใครเลยนะ ชอบสร้างแต่ศัตรู”
“หา!”
“ก็จริงมั้ยล่ะ เธอชอบเที่ยวบอกใครต่อใครว่าเป็นศัตรูกับคนโน้นคนนี้ ทั้งที่ตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าอยากเป็นศัตรูกับเธอรึเปล่า”
“เอ๋...”
ฉันมองหน้านายจุ้นงงๆ มันหมายความว่าไงฟะที่มันพูด
“นี่เธอ...”
ใครคนนึงเรียกฉันขณะจับแขนฉัน ฉันหันไปมองและเป็นไปตามสัญชาตญาณ ฉันสะบัดแขนทันทีที่หันไปเห็นเจ้าของเสียง ในขณะที่ไอ้จุ้นมองอย่างงงๆ
“ริว!”
หมอนั่นยิ้มให้ฉันราวกับฉันเป็นพวกผู้หญิงที่ควรจะหลงไหลในรอยยิ้มนั้น แต่ฉันกลับขมวดคิ้ว
“จะกลับบ้านแล้วเหรอ”
“ใช่ กลับกับเพื่อน”
ประโยคหลังฉันพูดก่อนจะหันไปมองไอ้จุ้น
“งั้นฉันคงต้องขอยืมตัวเพื่อนของนายหน่อยนะ”
ไอ้ริวหันไปพูดกับจุ้น ซึ่งมันก็มองกลับมาแบบประมาณว่าอะไรกันเนี่ย
“จุ้น! ไปกันเถอะ อย่าไปเสียเวลาพูดกับคนแบบนี้เลย”
ฉันหันไปบอกจุ้นพร้อมกับดึงข้อมือมันให้เดินตามมา
เราสองคนเดินดุ่มๆโดยไม่หันกลับไปมองจนกระทั่งรอดพ้นจากเงื้อมือไอ้ปีศาจ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันงงไปหมดแล้ว”
จุ้นถามฉัน
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คนสองคนที่เกลียดขี้หน้ากัน”
ฉันตอบ
“เธอหมายถึงเธอกับฉันเหรอ”
ไอ้จุ้นถามต่อ โอ๊ย! ทำไมตานี่ถึงซื่อบื้อแบบนี้นะ
“ฉันหมายถึงฉันกับไอ้...ริวต่างหาก!”
ฉันตอบคำถามอย่างโมโหๆ
“รู้แล้วๆ แต่ไม่เห็นต้องบีบมือฉันแน่นขนาดนี้เลยนี่!”
“เอ๊ะ! โทษที”
จริงด้วยฉันยังไม่ได้ปล่อยมือออกจากมันเลยนี่ ว่าแล้วฉันก็รีบปล่อยมือจากมันก่อนจะเดินจ้ำอ้าวนำหน้ามัน
แต่พอฉันนึกอะไรได้อย่างฉันจึงหันหลังไปหามัน
“นายไม่ต้องกลับกับฉันหรอก หมอนั่นมันคงไม่ตามมาแล้วล่ะ อ้อ! แล้วอีกอย่าง เมื่อวานฉันเห็นนะ นายไปสารภาพรักกับน้องขวัญน่ะ อย่าเสียใจไปเลยนายก็ไม้ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก ฉันเชื่อว่ายังมีผู้หญิงดีๆรอนายอยู่”
ฉันบอกก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรฉันถึงพูดออกไปแบบนั้น อาจเป็นเพราะอย่างน้อยๆตัวตนจริงของมันก็ยังดีกว่าใครบางคนที่ฉันโคตรจะเกลียด!
ฉันกลับมาถึงบ้านอย่างอ่อนระโหยโรยแรง อันที่จริงก็ไม่ได้ใช้พลังงานเยอะอะไรนักหรอก เฮ้อ...แต่ทำไมมันถึงรุ้สึกล้าๆไงไม่รู้ -_-
“อ้าวพี่...”
ฉันร้องทักทันที่เห็นพี่แบมนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาหน้าทีวี ดูหมดสภาพยิ่งกว่าฉันเสียอีก
“กลับมาแล้วเหรอ”
พี่แบมถามแต่ตายังคงจดจ้องอยู่กับจอทีวีข้างหน้า
“อื้อ...ไม่มีงานเหรอ”
“มี แต่ทำเสร็จแล้ว”
“แล้วนั่นดูอะไรอยู่ล่ะ”
ฉันถามขณะเดินไปเก็บกระเป๋า เพราะเห็นว่าพี่แกไม่มีทีท่าว่าสนใจอะไรเลยนอกจากจอทีวีข้างหน้า
“ไม่มีไรหรอก”
“เอ๋”
“ดูเรื่อยเปื่อยน่ะ”
สงสัยวันนี้จะเมาค้าง หรือไม่ก็อาจจะไม่สบายเพราะปกติยัยนี่น่าจะด่าฉัน หรือไม่ก็ต้องกระแนะกระแหนประมาณว่า ‘ยุ่งไรกับฉันล่ะ!’ หรืออะไรซักอย่างแล้ว พิลึกคน!
“นี่ยัยเบล”
“หือ...อะไร”
“ใครต่อใครคงจะรู้กันหมดสินะ ว่าแกเป็นน้องฉัน”
“แล้วทำไมล่ะ ถามอะไรแปลกๆ”
ฉันถามอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้รอฟังคำตอบอะไร เพียงแต่คิดว่าพี่แบมคงไม่อยากมีน้องอย่างฉันล่ะมั้ง ถึงได้ถามอะไรแบบนั้น เฮ้อ...ฉันมันแย่อะไรนักหนารึไง
“นี่!”
พี่แบมเรียกขณะที่ฉันกำลังเดินขึ้นบันไดไปข้างบน
“อะไรอีกล่ะ!”
ฉันหันไปถามอย่างเสียมิได้ ยังมีอะไรที่พี่สาวผู้แสนดีอยากจะคุยกับน้องสาวแย่ๆอีก
“ฉันจะย้ายไปอยู่คอนโดนะ!”
“หา! OoO”
ฉันอุธานออกมา ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“จะย้ายไปเมื่อไหร่”
ฉันถามต่อ
“พรุ่งนี้”
“พ่อกับแม่รู้รึยัง”
“รู้แล้ว ก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วย”
พี่ตอบยังคงไม่หันมามองหน้า ในขณะที่ฉันจ้องตาแทบถลน
“ทำไมล่ะ มีอะไรรึเปล่า ทะเลาะกับแม่เหรอ”
ประโยคสุดท้ายฉันถามไปงั้นแหละ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าพ่อกับแม่ท่านไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว วันๆแทบจะไม่ค่อยเจอหน้ากันอยู่แล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก มันเดินทางสะดวกดี”
“...”
ฉันยังคงนิ่งเงียบจ้องมองลึกเข้าไปในตาของพี่ แต่ก็ค้นอะไรไม่พบเลยนอกจากความว่างเปล่า
“เป็นบ้าอะไรยะ! จ้องอยู่ได้ รู้แล้วน่าว่าฉันเสวย!”
เป็นครั้งแรกตั้งแต่สนทนากันที่ยัยนี่หันมา และตวาดฉันด้วยเสียงแหลมอันคุ้นเคย ฉันจึงยิ้มออกมาอย่าง
โล่งอก
“ค่อยยังชั่ว...พี่จะย้ายออกไปน่ะ ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่อย่าทำท่าทางเหมือนสวมวิญญาณนางเอกแบบนั้นสิ มันใจคอไม่ดี”
“ฉันแค่เหนื่อยน่ะ เอ๊ะ! นี่แกเห็นฉันเป็นนางร้ายเหรอไง!!”
ฉันมองพี่อีกแว้บนึงก่อนจะขึ้นไปข้างบนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า และใช้เวลาหมดไปกับการอ่านการ์ตูนที่เพิ่งซื้อมา
กรี๊งงงงงงง กรี๊งงงงงงงง
โอ๊ย!! ใครโทรมาตอนนี้ฟะ กำลังเข้าได้เข้าเข็มเลย นางเอกกับพระเอกจะจูบกันอยู่แล้ว คอยดูนะ! แม่จะด่าให้ยับเลย
“ฮัลโหล!”
“...”
“ฮัลโหล!!!”
“ขอสายเบลครับ”
เป็นเสียงผู้ชายที่ฟังยังไงก็ไม่คุ้นเลย ทำให้ฉันชะงักไปก่อนตอบว่า...
“พูดอยู่ นั่นใครน่ะ!”
“โอ๊ะ! ทำไมทำเสียงดุแบบนั้นล่ะ”
“นายเป็นใคร!”
ฉันถามแบบโคตรจะเหลืออด
“โถ่! จำไม่ได้เหรอ ก็พี่ริวของน้องเบลไงล่ะ หึๆๆ”
หมอนั่นบอกด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ก่อนจะหัวเราะราวกับพวกโรคจิต
ความคิดเห็น