ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักแห่งสยาม

    ลำดับตอนที่ #1 : เริ่มต้น การกลับมา

    • อัปเดตล่าสุด 11 ม.ค. 52


     ฝน -
    คุณเคยมีรักมั้ย? ผมหมายถึงรักที่เป็นรักจริงๆ รักที่เกิดจากความเข้าใจจนกลายมาเป็นความผูกพันกัน วันใดที่ใครมีปัญหา แต่เราก็ยังคงมีกำลังใจให้”กันและกัน”เสมอ จากเพื่อนสมัยเด็ก กลายมาเป็นคนพิเศษ และจากคนพิเศษก้าวข้ามมาเป็น”คนรัก”
    ความรักที่มันเป็นไปไม่ได้ระหว่างผมกับเขา? ความผิดพลาดจากความไม่เข้าใจหัวใจของตัวเอง จนกระทั่งตอนนี้ก็ล่วงเลยมากว่า 5 เดือนแล้ว แต่ผมก็ยังคงไม่ลืมกับสิ่งที่ผมทำในวันนั้น ใช่? วันคริสมาสต์เมื่อปีที่แล้ว และก็ยังไม่เคยลืมความรู้สึกที่มีต่อเขาและเรื่องราวของ ”เรา”
    ครอบครัวของผมดีขึ้นมากจากการเข้ามาของ เขา และ พี่จูน รอยยิ้มเริ่มกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง พ่อเลิกเหล้าได้แล้ว มีงานทำพร้อมที่จะดูแลครอบครัวเหมือนเมื่อครั้งที่เราเคยมีกันอยู่ 4 คน แม่ก็ไม่ค่อยเครียดเหมือนเมื่อก่อนมีเวลาให้กลับ”เรา”มากขึ้น ส่วนผมน่ะเหรอ ผมก็ยังคงเป็นผมเหมือนแต่ก่อนเพียงแต่เข้าใจตัวเองมากขึ้นและก็รู้ว่าหัวใจตัวเองต้องการอะไร?
    เมื่อ 5 เดือนก่อนเพื่อที่จะลืมเขาและเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ครอบครัว ผมจึงแปรเปลี่ยนความรู้สึกทั้งหมดมาเป็นความมุ่งมั่นในการเตรียมตัวที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม้จะยากแต่ผมก็อดทนและยังคงมุ่งมั่นต่อไป จนมาวันนี้ผมสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งและก็กำลังเตรียมตัวให้พร้อมที่จะถูกเรียกว่าน้องใหม่ในอีกไม่นานนี้
    ผมประสบความสำเร็จในก้าวหนึ่งของชีวิตและก็สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ครอบครัวตามที่ผมต้องการ แต่... ผมก็ยังคงลืมไม่ได้ ลืมความรู้สึกที่มีต่อเขาไม่ได้สักที หากแต่สิ่งที่ผมลืมมาตลอดก็คือ ความเหงา เพียงแต่มันไม่ใช่ความเหงาของผม แต่เป็นความเหงาของเขา ผมมัวแต่คิดถึงตัวเองจนลืมและก็ทำร้ายเขา ถึงแม้วันนั้นใบหน้าสุดท้ายที่ผมเห็นจะเป็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มก็ตามทีแต่แววตาที่เขามีกลับตรงกันข้าม
    เราไม่เคยเจอกันเลยตั้งแต่นั้นมา ผมเองก็มัวแต่อ่านหนังสืออยู่แต่ในห้อง เขาจะเป็นไงบ้างนะตอนนี้ มีความสุขรึป่าว ยังคงเหงาอยู่บ้างมั้ย ช่วงเวลาที่ผ่านมามันจะสร้างความสุขหรือคอยทำร้ายเขานะ ผมไม่รู้เลย แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะเจอเขาอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ผมทำมันเห็นแก่ตัวเกินไป ผมไม่รู้จะทำตัวยังไงหากต้องพบกับเขาอีกครั้งในขณะที่ใจของผมยังคงโหยหาเขาอยู่ตลอดเวลา.. “มิว” เราคิดถึงมิวมากนะ......
    “โต้ง เสร็จแล้วรีบลงไปทานข้าวข้างล่างนะ เดี๋ยวจะสายเอา” สุนีย์บอกผ่านประตูหน้าห้อง
    “ครับแม่ อีกแปบเดียว”โต้งตอบขณะที่กำลังแต่งตัวในชุดนักศึกษา ซึ่งนี่จะเป็นครั้งแรกที่โต้งจะเปลี่ยนจากชุดนักเรียนมาเป็นชุดนักศึกษา มันทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ยังคงความสดใสของวัยรุ่นเหมือนเดิม
    ไม่นานโต้งก็ออกจากห้องและลงไปยังห้องกินข้าว
    “ไหน ยืนให้พ่อดูชัดๆหน่อยซิ พ่ออนาคตวิศวกร” กรณ์พูดด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งพิจารณาลูกชายของเขาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
    “โหพ่อ โต้งยังไม่ทันเข้าเรียนเลย ยังอีกนาน” โต้งตอบอย่างเขินๆพร้อมทั้งลงมานั่งทานข้าว
    “แล้วนี่เค้าปฐมนิเทศกันกี่โมงละโต้ง”สุนีย์หันมาถาม
    “ก็9โมงเช้าอ่ะแม่”
    “นั้นก็รีบๆทานเข้าล่ะ เดี๋ยวสายแล้วรถจะติด ไปไม่ทันเอา”
    “เอ้อแม่ เดี๋ยวเสร็จแล้วโต้ง กลับเองก็ละกันเพราะไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมง”
    “ก็ตามใจ แต่อย่ากลับมืดนักนะ”
    “ครับแม่” โต้งยิ้ม
    ......................................................
    ที่มหาลัย...
    “สายอีกแล้วนะมึง” เอ็กซ์ทักทันทีที่มิวเดินเข้ามา
    “อีกตั้งครึ่งชั่วโมง กว่าเค้าจะปฐมนิเทศมึงจะรีบไปไหน”
    “กูยังไม่ได้กินข้าวเลย แม่งนัดกูมา8โมง แล้วดู มึงมากี่โมง”
    “โทษทีว่ะ มะคืนกูนอนไม่ค่อยหลับอ่ะ” มิวบอกตามความจริง
    “ตื่นเต้นเหรอว่ะ” เอ็กซ์ทำหน้าทะเล้นๆ
    “ก็นิดหน่อยว่ะ เออนี่แล้วหอประชุมอยู่ไหนว่ะ”มิวถามขณะที่หันมองไปรอบๆ
    “ตามมานี่ สายแล้วยังเซ่ออีกนะมึง รู้เรื่องอะไรบ้างมั้ยเนี่ย”เอ็กซ์ตบหัวมิวเบาๆทีนึงก่อนที่จะเอามือนั้นกอดไหล่มิวพาเดินไปยังหอประชุม
    ระหว่างทางที่เดินไป สายตาหลายคู่จ้องมองมายังพวกเขาทั้งสอง แน่นอนอยู่แล้วก็ในเมื่อพวกเขาเริ่มจะมีชื่อเสียงบ้างแล้ว แม้จะยังไม่ดังมากแต่เพลงที่พวกเขาร้องก็เป็นที่รู้จักและติดหูผู้คนมากมาย
    .........
    “ถ้าจะให้แม่มารับก็โทรมาบอกละกันนะ” สุนีย์บอกโต้งขณะที่โต้งกำลังจะเปิดประตูรถออกไป
    “ครับแม่” โต้งหันมาตอบก่อนที่จะปิดประตูรถ พร้อมกับยิ้มให้คนที่อยู่ภายใน เช่นเดียวกับสุนีย์ที่ยิ้มตอบกับมา เธอเพ่งมองลูกชายคนเดียวของเธออย่างอดที่จะรู้สึกภูมิใจไม่ได้ก่อนที่จะออกรถจากไป
    โต้งยืนอยู่หน้าหอประชุมของคณะวิศวกรรมศาสตร์ท่ามกลางเหล่านักศึกษาใหม่มากมายพลางมองไปรอบๆบริเวณหากแต่ไม่พบใครเลยที่เขาพอจะรู้จัก ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะพบใครอยู่แล้ว เพราะในกลุ่มมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สอบติดมหาวิทยาลัยของรัฐได้ ส่วนพวกเพื่อนๆที่เหลือก็เข้าของเอกชนกัน
    กว่า 2 ชั่วโมงที่โต้งนั่งฟังอยู่ในหอประชุมความตื่นเต้นในครั้งแรกแปรเปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่าย กว่าจะได้ออกมาก็ใกล้เที่ยงแล้ว ในขณะที่โต้งเองก็เริ่มหิวเพราะตอนเช้าทานข้าวมานิดเดียว
    “พี่ครับ ขอโทษทีครับไม่ทราบว่าโรงอาหารไปทางไหนเหรอครับ” โต้งเดินเข้าไปถามกลุ่มพี่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่บริเวณนั้น
    “ก็ถ้าเป็นโรงอาหารกลางก็เดินตรงไปทางนั้นนะ แต่ถ้าโรงอาหารของคณะก็ทางนี้แล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปเรื่อยๆก็จะเจอเอง”พี่คนที่ถูกถามตอบพร้อมทั้งชี้ไปยังเส้นทางที่ตนบอก
    “ขอบคุณครับ” โต้งเอ่ยขอบคุณพร้อมทั้งยิ้มเล็กๆให้ จนทำให้เพื่อนของพี่ๆคนนั้นอดที่จะแซวไม่ได้
    “แหม ไม่เห็นยิ้มให้พวกพี่ๆเลย” พี่คนนึงแซวกลับมา
    “ให้พี่เดินไปส่งมั้ยจ้ะน้อง เดี๋ยวเอาเบอร์มาพี่เลี้ยงข้าวเอง” อีกคนหนึ่งเสริม ในขณะที่มีเสียงโห่กันเองในกลุ่ม โต้งเองก็ได้แต่ยิ้มเก้อๆแล้วผงกหัวขอบคุณเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป
    โต้งเลือกที่จะไปโรงอาหารกลางเพราะมันใกล้กับทางออกหน้ามหาลัยมากกว่า เพื่อที่กินเสร็จจะไม่ต้องเดินไกลเวลาจะกลับ
    ....................
    “แม่งน่าเบื่อว่ะ ฟังตั้งนาน หิวก็หิว” เอ็กซ์บ่นออกมาเมื่อเดินออกจากหอประชุมของคณะศิลปกรรมศาสตร์
    “อ่อเหรอ แต่กูเห็นมึงนั่งหลับตั้งแต่15นาทีแรกแล้วนะ”
    “นั่นกูกำลังทำสมาธิอยู่เว้ยมึงไม่รู้อะไร”
    มิวส่ายหัวกับคำแก้ตัวของเพื่อน
    “หิวว่ะมิวไปหาไรกินกันป่ะ”เอ็กซ์บอกมิว
    “ก็ดีว่ะกูก็หิวเหมือนกัน แล้วไปกินที่ไหนว่ะเอ็กซ์”
    “อืมมม กูว่ากินในมอแหละเดี๋ยวเดินไปกินที่โรงอาหารกลางดีกว่า เดี๋ยวกูพาไปเอง”
    “มึงนี่รู้เส้นทางดีจังเนอะ”
    “อ่ะ ของมันแน่อยู่แล้วเว้ย เค้าเรียกว่าทำการบ้านมาดี”เอ็กซ์บอกด้วยท่าทางภูมิใจ
    “เหรอ? ทำการบ้านมาดี แต่เมื่อก่อนกูเห็นมึงชอบมาลอกการบ้านแม่งทุกเช้าเลยนี่หว่า”
    พูดจบมิวก็เอี้ยวตัวหลบเท้าเอ็กซ์ที่กำลังลอยเข้ามาหาตัว
    “มาให้กูเตะซะดีๆไอ้มิว”
    “เชี่ยไรเนี่ย”
    “ไม่ต้องมาเชี่ยไรเลย มาซะดีๆอย่าหนีเว้ยไอ้มิว....”
    ..........................................
    โรงอาหารกลาง
    โต้งกำลังเดินเลือกดูอาหารที่จะทานตอนเที่ยงนี้ ท่ามกลางสายตาที่แอบมองเขามากมายในโรงอาหาร แต่มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกในเมื่อหน้าตาเขาค่อนข้างจะไปสะดุดตาคนหลายๆคน
    เมื่อได้อาหารเรียบร้อยแล้ว โต้งจึงเริ่มมองหาที่นั่ง ในที่สุดโต๊ะตรงมุมสุดของโรงอาหารก็เป็นที่ๆโต้งเลือก สำหรับโต้งแล้วมันดูเป็นส่วนตัวดี
    “คนเยอะดีว่ะมิว” เอ็กซ์บอกพลางมองไปรอบๆอย่างสนใจ
    “อืม แล้วจะมีที่นั่งมั้ยเนี่ย”
    เอ็กซ์มองไปรอบๆเพื่อหาที่นั่งที่ว่างพอที่จะนั่งกัน2คนได้
    “เฮ้ยมิว นั่งตรงนั้นมั้ยว่ะ ตรงมุมสุดนั่นน่ะ” เอ็กซ์บอกพลางชี้มือไป
    มิวมองตามมือที่เอ็กซ์ชี้ไป มันเป็นที่ว่างพอที่จะนั่งได้3-4คนเลยเพราะทั้งโต๊ะมีคนนั่งอยู่ไม่กี่คน แต่สายตามิวดันไปสะดุดกับแผ่นหลังของคนๆนึง ซึ่งมิวเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่มันให้ความรู้สึกๆแปลกๆที่เห็น ความรู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นมันมาก่อนแล้วก็รู้จักมาเป็นอย่างดี....
    มิวนิ่งไปแปบนึง เอ็กซ์ซึ่งเห็นมิวไม่พูดอะไรจึงสะกิดมิวให้รู้สึกตัว
    “เป็นไรว่ะมิว” เอ็กซ์ถามพลางทำหน้าเป็นห่วงเมื่อเห็นมิวมีอาการเปลี่ยนไป
    “อ่อ ป่าวไม่มีอะไร” มิวตอบพลางละสายตาจากด้านหลังของใครบางคน
    “นั้นนั่งนี่ละกัน” เอ็กซ์บอกเมื่อเห็นคนลุกออกไปจากโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้ๆพวกเขา จนพอมีที่เหลือให้เขากับมิวสามารถนั่งได้
    มิวและเอ็กซ์เดินไปเอากระเป๋าวางไว้ก่อนที่จะเดินไปสั่งอาหาร
    เมื่อได้อาหารมาแล้วมิวก็นั่งทานยังโต๊ะที่เขาเลือก โดยมิวเลือกที่จะนั่งด้านที่สามารถมองเห็นใครบางคนที่เขารู้สึกสะกิดใจเมื่อสักครู่
    ขณะที่กินข้าวอยู่ มิวเองก็มักจะเหลือบไปมองยังแผ่นหลังนั้นบ่อยๆ คล้ายกับว่าเขาต้องการจะหาคำตอบที่ยังคาใจอยู่ ใครกันนะ? จะเป็นคนที่เค้ารู้จักรึป่าว แต่ความรู้สึกมันบอกว่าใช่ น่าจะเป็นใครสักคนที่เขารู้จักแล้วก็เป็นคนที่เขารู้จักดีด้วย
    ‘ หรือว่าจะเป็น.... แต่คงไม่ใช่หรอก’ มิวแว่บคิดขึ้นมาในใจขณะเดียวกันก็รีบปฏิเสธความคิดนี้ทิ้งลงไปทันที
    “ ตื๊ดๆๆๆๆ” เสียงโทรศัพท์ของมิวดังขึ้น จึงเรียกสติมิวกลับมาพร้อมทั้งกดรับสายทันที
    “ว่าไงหญิง” มิวทักทันทีที่กดรับเมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์
    “เป็นไงบ้างมิว เนี่ยหญิงพึ่งกลับมาถึงที่บ้าน แต่เห็นมิวยังไม่มาหญิงเลยโทรมาหา”
    “ก็ดีอ่ะ ตอนนี้กำลังกินข้าวกับเพื่อนที่มออยู่อ่ะ”
    “ออ นั้นไว้กลับมาค่อยคุยกันละกัน” หญิงบอกผ่านสายมา
    “ได้ๆ ไว้เจอกัน” มิวกดวางสายไป ขณะที่สายตาก็กลับไปมองยังโต๊ะตัวเดิม เพียงแต่สิ่งที่เขาจับจ้องมองมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้หายไปเสียแล้ว...
    มิวรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ...ไม่รู้ว่าทำไม...



    ฟ้าเริ่มครึ้มแล้ว สายฝนของฤดูฝนกำลังจะร่วงหล่นลงมา โต้งซึ่งออกจากโรงอาหารแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อที่จะกลับบ้านก่อนที่ฝนจะตกลงมา
    แต่ทว่าฟ้ากลับไม่เป็นใจ...
    สายฝนเริ่มเทลงมาอย่างที่ไม่ทันจะตั้งตัวได้ โต้งจึงวิ่งหาที่ๆจะสามารถหลบฝนได้ แต่ตึกที่ใกล้ที่สุดนั้นกว่าที่เขาจะวิ่งไปถึงก็คงจะเปียกเอาทั้งตัวแล้ว โต้งจึงเข้าไปหลบฝนอยู่ในตู้โทรศัพท์ใกล้ๆนั้น เพื่อรอให้ฝนซาลงหน่อยพอที่เขาจะสามารถออกไปได้..
    ..................
    มิวยืนอยู่ที่โรงอาหารเพียงคนเดียวเพราะเอ็กซ์ต้องรีบกลับบ้านก่อนเนื่องจากต้องไปทำธุระต่อจึงขอกลับไปก่อน
    สายฝนยังคงเทลงมาอย่างหนักหน่วง มิวได้เพียงแต่ยืนมอง รอเวลาให้ฝนซาลงมากกว่านี้อีกสักหน่อย
    กว่า10นาทีที่มิวยืนรออยู่ ฝนก็เริ่มซาลงมาบ้าง แม้จะไม่มากแต่ก็พอที่จะวิ่งฝ่าออกไปได้
    มิวจึงตัดสินใจที่จะวิ่งฝ่าออกไป เพราะดูท่าแล้วคงจะอีกนานกว่าที่ฝนจะหยุดตก
    แต่แล้วขณะที่มิววิ่งออกมาได้สักระยะ ฝนกลับเทลงมาอย่างหนักเช่นเดิม
    มิวไม่สามารถที่จะวิ่งต่อไปได้จึงมองหาที่ๆพอจะสามารถหลบฝนได้
    แล้วสายตามิวก็ไปพบกับตู้โทรศัพท์ข้างทาง แต่ทว่าข้างในกลับมีคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกับเขาเหมือนกันอยู่ภายใน
    มิวตัดสินใจที่จะวิ่งไปที่นั่นเพื่อที่จะหลบฝน กับใครบางคน....
    “ขออาศัยหลบฝนด้วยคนนะครับ” มิวพูดพลางเช็ดหน้าที่เปียกปอนด้วยผ้าเช็ดหน้าโดยไม่ทันที่จะสังเกตผู้ที่อยู่ภายใน
    โต้งซึ่งยืนหันหลังอยู่ หันกลับมาเมื่อรู้ว่ามีคนเข้ามา เพียงแต่ว่า..เสียงที่ได้ยินนั้นมันกลับทำให้เขาเริ่มใจสั่นเมื่อได้ยิน
    เสียงคุ้นหูที่เคยได้ยิน.....





    “มิว” โต้งยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า สุดท้ายเขาก็แพ้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ความรู้สึกดีใจที่ได้เจอ การได้พบกับสิ่งที่เขาโหยหามาโดยตลอด มันมีมากกว่าความรู้สึกกลัว กลัวกับความผิดพลาดที่เขาได้ทำลงไปในวันนั้น
    มิวเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกที่ได้ยิน
    “โต้ง” มิวอึ้งไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะได้เจอโต้งอีกครั้ง ไม่คิดว่าจะได้เจอในที่แบบนี้และก็ไม่คิดว่าจะได้เจอแบบใกล้ชิดอย่างนี้
    เกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย ต่างคนต่างพูดอะไรไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะรู้สึกดีใจแต่ทั้งสองก็กลับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี...
    “เป็นไงบ้างมิว” ในที่สุดโต้งก็เอ่ยขึ้น
    “ก็ดี.... แล้วโต้งล่ะ เป็นไงบ้างช่วงที่ผ่านมา”
    “ก็ดีเหมือนกัน” โต้งยิ้ม
    “มิวเรียนที่นี่เหรอ”
    “อื้ม เรามาปฐมนิเทศอ่ะ”
    “เหรอ ดีใจด้วยนะแล้วมิวอยู่คณะอะไรอ่ะ”
    “ศิลปศาสตร์ แล้วโต้งล่ะ”
    “วิศวะ...”
    “โห อย่างนี้ที่บ้านโต้งก็ดีใจกันมากเลยดิ” มิวยิ้มให้โต้งอย่างอดที่จะดีใจด้วยไม่ได้
    โต้งไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มตอบกลับมา
    “ก็หนักเอาการเลยมิว เราแทบไม่ได้ออกไปไหนเลยช่วงที่อ่านหนังสืออ่ะ”
    “แต่มันก็คุ้มค่าไม่ใช่เหรอ ดีแล้วล่ะ...ที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้...”มิวทิ้งท้ายพร้อมกับรอยยิ้มที่จางหายไป ก่อนที่เขาจะยิ้มให้โต้งอีกครั้ง
    “มิว..”โต้งเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เขาพูดได้แค่นั้น พูดได้แค่นั้นจริงๆ แววตาของมิวเมื่อครู่มันบอกเขาว่ามิวยังคงเจ็บปวดเหมือนเมื่อครั้งนั้นในวันคริสมาสต์ที่ผ่านมาแต่มิวก็ยังคงฝืนยิ้มมาให้เขา....
    โต้งเอาแขนซ้ายโอบเอวมิวดันตัวมิวเข้ามาใกล้ตัวเขามากขึ้น
    “อะไรอ่ะโต้ง” มิวทำท่าทางตกใจ
    “เอ่อ ฝนมันสาดอ่ะ เดี๋ยวมิวจะเปียกเอา” โต้งตอบไปแบบเก้อๆ
    ถึงแม้มิวจะเข้ามาข้างในมากขึ้นแล้ว แต่แขนโต้งก็ยังคงโอบรอบเอวมิวอยู่เหมือนเดิม
    ความเงียบกลับเข้ามาอีกครั้ง โต้งพยายามมองหน้าคนที่อยู่ตรงหน้า หากแต่เขาคนนั้นได้แต่ก้มหน้าหลบ
    มันเป็นบ่ายวันหนึ่งที่แม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้มและเต็มไปด้วยสายฝน แต่ยังมีมุมเล็กๆมุมหนึ่งที่ระยะทางและสายฝนเหมือนจะเป็นใจคอยเป็นม่านบางๆจากสายตาของผู้คนในสังคมมากมาย แม้สายลมที่พัดผ่านเข้ามาจะเย็นเพียงใดแต่ความอบอุ่นจากใจของทั้งสองกลับเหนือกว่า
    โต้งเอามืออีกข้างที่เหลือโอบไหล่มิวเข้ามาจนแนบชิด
    ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย
    โต้งอยากทำแบบนี้มานานแล้ว แม้ช่วงที่ผ่านมาเขาจะพยายามทำตัวเองให้ไม่ว่างที่จะคิด พร้อมทั้งคอยสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อที่จะปิดบังความรู้สึก แต่ตอนนี้ ตรงหน้านี้และในอ้อมแขนของเขานี้ เพียงสิ่งนี้สิ่งเดียว กำแพงที่เขาเคยสร้างขึ้นก็พังทลายลง เขาจะไม่หลอกความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว...
    มิวก้มหน้านิ่งอยู่บนอกของโต้ง แต่ไม่นานก็เริ่มตัวสั่น เขาปล่อยสะอื้นเล็กน้อยออกมาทั้งๆที่ตัวเองพยายามอดกลั้นไว้แล้วแท้ๆ
    โต้งเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน พลางกอดมิวให้แน่นขึ้นอีก
    “มิว...เหงามากมั้ย?”น้ำตาที่เคยคลอกลับไหลผ่านแก้มใสๆของโต้งลงมา
    “เราขอโทษนะมิว...”
    เพียงแค่นี้มิวก็ไม่อาจจะอดกลั้นความรู้สึกตัวเองได้อีกต่อไป หน้าอกโต้งเริ่มเปียกแต่ไม่ใช่จากละอองฝน หากแต่เป็นน้ำตา..
    ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากทั้งสองคนอีก นาฬิกาเหมือนจะหยุดเดิน เกิดเป็นความเงียบ..
    ความเงียบที่อบอุ่น
    เคยมีคนว่าไว้ว่าเวลาที่เรามีความสุขมันมักจะสั้นกว่าความเจ็บปวดที่ยาวนานมากนัก
    สายฝนเริ่มซาลงมาบ้างแล้ว เฉียกเช่นม่านของโรงละครที่กำลังจะเปิดออก เพื่อให้นักแสดงหลังม่านต้องออกมาสู่สายตาของสาธารณะชนที่คาดหวังกับสิ่งที่ตนอยากเห็นในตัวนักแสดง แม้หลังฉากจะเต็มไปด้วยน้ำตาสักเพียงใดแต่หน้าเวทีกลับต้องมีรอยยิ้มที่สดใสให้กับผู้คน....
    เมื่อไหร่นะ...ที่ความรู้สึกกับความเป็นจริงจะอยู่คู่กันไปได้....

    มิวยันตัวเองออกจากอ้อมแขนของโต้ง พลางเช็ดน้ำตาพร้อมทั้งยิ้มเก้อๆ รู้สึกอายตัวเองเหมือนกันกับการแสดงความอ่อนแอให้โต้งเห็น
    แค่ที่โต้งทำอยู่นี้ เพียงเท่านี้ มันก็มากพอสำหรับเขาแล้ว เขาไม่หวังอะไรที่มากไปกว่านี้อีก ไม่อยากทำร้ายโต้ง ความสุขของโต้งก็คือความสุขของเขาแม้จะเหงาบ้างก็ตามทีแต่แค่ได้เห็นว่าโต้งมีมีความสุข เพียงแค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?
    “เราไปก่อนนะ” มิวยิ้มให้กับโต้งก่อนที่จะเดินออกจากตู้โทรศัพท์
    “เดี๋ยวมิว...” โต้งบอกเมื่อเห็นมิวเดินออกไปได้ไม่มาก
    มิวหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงของโต้ง
    “เราไม่ลืมหรอกนะ...ความรู้สึกน่ะ” โต้งบอกมิวด้วยสายตาที่โหยหา
    มิวค่อยๆหันมามองโต้ง พร้อมกับรอยยิ้ม
    ไม่รู้ว่าน้ำบนหน้ามิวมันคือน้ำฝนหรือน้ำตา แต่ยิ้มนี้ของมิว แววตากลับต่างไปจากเดิม ความเหงาหายไป หากแต่เป็นความสดใสเข้ามาแทนที่
    “ดีใจนะ.....ที่ได้เจอกันอีก” มิวพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ตัวเองจะวิ่งออกไปจากตรงนั้น
    โต้งได้แต่ยืนยิ้มอยู่ภายในตู้โทรศัพท์
    ต้นไม้ที่ได้รับน้ำฝนแม้จะชุ่มฉ่ำเพียงใดแต่ก็คงไม่เท่ากับใจของเขาในตอนนี้
    สายฝนผ่านไปแล้วหากแต่ความรู้สึกดีๆเหมือนเมื่อครั้งก่อนกลับเข้ามาแทนที่....
    แล้วเขากับมิวจะเป็นยังไงต่อไปนะ.....
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×