ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    It’s the End of the World as We Know It /The Boys x Fem! OC

    ลำดับตอนที่ #5 : Voodoo Woman

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 67


    เสียงฝีเท้าปริศนาใกล้เข้ามา ฮิวอี้ยืนนิ่ง ใจเต้นระส่ำจนแทบระเบิด เสียงผิวปากดังสะท้อนในโถงทางเดิน มันแหลมเยือกเย็นและเต็มไปด้วยจังหวะที่ผิดธรรมชาติ สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่ลูกบิดประตูซึ่งเริ่มขยับ เสี้ยววินาทีที่ลูกบิดหมุน ฮิวอี้รู้ตัวว่าเขากำลังกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว

    ประตูเปิดออกช้า ๆ และเจ้าหน้าที่สาวในเครื่องแบบก็ปรากฏตัวขึ้น เธอยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าฮิวอี้ คิ้วขมวดด้วยความงุนงง “คุณ?คุณมาทำอะไรที่นี่?”

    ก่อนที่ฮิวอี้จะตอบคำถามหรือแม้แต่ขยับตัว พลั่ก! ดังสนั่นร่างของหญิงสาวทรุดลงไปนอนกองหน้าประตูเหมือนหุ่นเชิดที่เชือกขาด

    ฮิวอี้อ้าปากค้าง เบื้องหลังร่างไร้สติของเจ้าหน้าที่สาวคือ บุตเชอร์ เขาจังก้ายืนถือท่อเหล็กในมือ สายตาเย็นชาเหมือนนายพรานป่า

    “บุตเชอร์?” ฮิวอี้กระซิบ พลางกวาดสายตามองเจ้าหน้าที่ที่นอนนิ่ง

    บุตเชอร์โยนท่อเหล็กไปทางมุมห้อง ก่อนเอื้อมมือไปพยูงแขนเจ้าหน้าที่ “เราต้องเอาหล่อนไป หล่อนเห็นหน้าแกแล้ว”

    ฮิวอี้ถอยหลังไปหนึ่งก้าว สายตาเต็มไปด้วยความตกใจ “ไหนบอกว่าเราจะไม่ทำร้ายใครไง!”

    บุตเชอร์แค่นเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น “ฉันบอกว่าฉันจะไม่ยิงต่างหาก”

    ฮิวอี้อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ขณะบุตเชอร์ลากร่างหญิงสาวออกจากประตูด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ เขาหันมาส่งสายตาให้ฮิวอี้ที่ยังยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น “ให้ตายสิวะ เลิกยืนบื้อ แล้วช่วยหน่อยเส้!”

     

    หญิงสาวกระดุกกระดิกตัวจนบุตเชอร์หรี่ตามองด้วยแววตาเยาะเย้ย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นปนประชด “ว่าไง คนสวย” พร้อมกับก้มมองเธอที่ถูกมัดแน่นกับเก้าอี้ ใบหน้าเธอโดนคลุมด้วยถุงดำที่ขาดเล็กน้อย เผยให้เห็นเพียงดวงตาอันเต็มไปด้วยความกลัว

    เอ็มเอ็มเดินเข้ามาโดยไม่เงยหน้าจากแท็บเล็ตที่กำลังค้นข้อมูล “เธอไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์ น่าจะลักลอบเข้าประเทศ” เขาพูดขึ้น น้ำเสียงเย็นชา

    “โอ้ น่าสนใจจัง” บุตเชอร์ยิ้มมุมปาก “ไหนล่ะที่รัก บอกมาสิ เธอคือใคร และรู้อะไรบ้าง” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้

    “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” เสียงของเธอสั่นพร่า

    เฟรนชี่ก้าวเข้ามาพร้อมกระบอกปืน แล้วยื่นให้บุตเชอร์

    “ไม่รู้? โอเค เธอจะรู้แน่ ในอีก 10 วินาทีข้างหน้า” บุตเชอร์ขยิบตาพูดขณะยกปืนขึ้นเล็ง

    “10...”

    ฮิวอี้ยืนอยู่ด้านนอก มองทุกอย่างผ่านช่องประตูเล็ก ๆ เขาขมวดคิ้วหน้าเครียด รู้สึกปั่นป่วนในท้องเมื่อได้ยินเสียงนับถอยหลัง

    “9... 8...” บุตเชอร์เริ่มนับช้า ๆ ขณะดันสปริงปืนขึ้นเพื่อเตรียมลั่นไก

    “7...”

    “เขาเป็นคนขาว!” หญิงสาวร้องออกมาจนทั้งห้องเงียบสนิท

    บุตเชอร์ชะงัก “ว่าไงนะ?”

    “เขาเป็นคนขาว... ชอบพกหนังสือ ใส่แว่น ดูเป็นผู้ดี” เธอพูดเร็ว ๆ ด้วยน้ำเสียงลนลาน “เขาจ้างฉัน เขาให้ฉันเข้ามารับตำแหน่งนี้ เขาบอกว่าจะให้เงิน...” 

    “มันเป็นใคร?”

    “ไม่มีใครรู้ชื่อเขา”

    “ใครรู้เรื่องมันบ้าง”

    “ทุกคน”

    บุตเชอร์ปรายตามองเอ็มเอ็มกับเฟรนชี่ คล้ายว่าตอนนี้พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก

    “แล้วเด็ก ๆ ล่ะ?”

    “ฉันมีหน้าที่แค่ส่งพวกเขาไปที่โรงพยาบาลในเพนซิลเวเนีย”

    “ทำไมต้องส่งและทำไมต้องเป็นที่นั่น?”

    “เด็ก... เด็กที่มีพลังไม่ตามต้องการของผู้ปกครอง เขาจะถูกส่งมาที่นี่ ในเมื่อมีใครรับเลี้ยงพวกเขา พวกเขาก็จะถูกส่งต่อไปที่โรงพบาลในแพนซิเวเนีย”

    บุตเชอร์ลดปืนลง ราวกับเชื่อคำพูดเธอ ทันใดนั้นเอง เชือกที่มัดหญิงสาวไว้ขาดสะบั้น กรงเล็บคมกริบยาวพุ่งออกมาจากมือของเธอ

     

    “โครตพ่อโคตรแม่มึงเอ้ย! พระจันทร์เต็มดวงแล้วหรือไง!” บุตเชอร์ตะโกนพลางถอยหลัง หญิงสาวกลายพันธ์ถีบเก้าอี้กระเด็นไปอีกทางแล้วพุ่งตัวด้วยความเร็ว เฟรนชี่พุ่งหลบในเสี้ยววินาที หญิงสาวคำรามอย่างเดือดดาล ก่อนปาดกรงเล็บใส่บุตเชอร์ที่เบี่ยงตัวหลบได้หวุดหวิด เธอกระโดดขึ้นผนังอย่างสัตว์ร้าย พุ่งเข้าหาเอ็มเอ็ม แต่เขาใช้เก้าอี้ป้องกันไว้ได้ทัน

    “ฮิวอี้! อย่าเปิดประตู กันไ--!” บุตเชอร์ตะโกน

    “อะไรนะ!?” ฮิวอี้ตะโกนกลับ แต่ด้วยความตกใจ เขาเปิดประตูเข้ามา และมันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอกระโจนออกไป โชคดี! ที่ฮิวอี้นั้นหลบได้ทัน

    “ไอ้เวรเอ้ย!” บุตเชอร์สบถ ไม่มีทางเลือกใดนอกจากหยุดเธอไม่ให้หนีไป เขายกปืนขึ้นยิงใส่หญิงสาว กระสุนนัดแรกกระแทกเธอจนเสียหลัก แต่ดูเหมือนไม่มีผลใด ๆ ที่คาดไว้

    “มันต้องได้ผลสิ!” เฟรนชี่ตะโกน

    ไม่กี่นาทีที่ร่างของเธอพ้นขอบประตูห้อง เธอเริ่มพองบวมอย่างรวดเร็ว “อะไรวะเนี๊ย!” ฮิวอี้ร้อง

    บุตเชอร์จ้องตาไม่กระพริบ ขณะที่ร่างของเธอปูดโปนเหมือนลูกโป่ง บู้ม! ร่างระเบิดแหลกเป็นจุณล์ เศษซากเลือดเนื้อปลิวกระจายไปทั่วห้อง ของเหลวและเนื้อเยื่อสีแดงฉานมันกระจายแหลกราวกะทิคั้นสด 

    ฮิวอี้มันตกอยู่ในภวังค์ เมื่อรสสัมผัสคาว ๆ มันถูกปลายลิ้น

    เฟรนชี่เช็ดหน้าด้วยผ้ากันเปื้อนประจำตัว ยิ้มแย้ม “บอกแล้วหัวหน้า ไอ้นี่มันใช้ได้ผล!”

    คิมิโกะ! มันได้ผล” เฟรชชี่โผล่เข้ากอดหญิงสาวเอเชียที่กำลังเดินเข้ามา เธอสะดุ้งเล็กน้อยที่เห็นภาพความวุ่นวายตรงหน้า แต่อ้อมกอดของเฟรนชี่นั้นบอกว่าทุกคนนั้นสบายดี

     

    ภายในร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยไม้สีเข้มและแสงไฟสลัว ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่มุมร้าน เขาแต่งกายสุภาพ ขณะที่มือหนึ่งถือถ้วยกาแฟร้อน อีกมือถือหนังสือปกแข็งที่ดูเก่าแต่สะอาดเรียบ เขาเลื่อนสายตาไปตามตัวหนังสือด้วยความตั้งใจ ดวงตาหลังกรอบแว่นหนา เสียงดนตรีแจ๊สเบา ๆ ในร้านทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย

    ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างกาแฟสั่นเบา ๆ ชายคนนั้นละสายตาจากหนังสือ วางมันลงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอมีเพียงประโยคสั้น ๆ

    “เธอตายแล้ว”

    เขานิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนดันแว่นบนดั้งจมูกเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เขาเม้มปากแน่น คล้ายกำลังสะกดอารมณ์บางอย่างไว้

    ชายปริศนาวางโทรศัพท์ลง ทิ้งสายตาไปที่หน้าต่าง กระจกใสเผยให้เห็นถนนที่ผู้คนกำลังเดินผ่านไปมา เขาลุกขึ้น ควักธนบัตรสองสามใบจากกระเป๋าสตางค์ วางไว้ใต้ถ้วยกาแฟร้อนซึ่งยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง ก่อนก้าวออกจากร้าน เขาหยุดยืนเพียงชั่วครู่ สูดลมหายใจลึก แล้วจึงเปิดประตูออกไป เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่ร่างของเขาละลายหายไปกับฝูงชนธรรมดาในนิวยอร์ก

     

    เวนส์ทราบถึงการย้ายออกของคริมสัน ข้าวของที่เคยมีอยู่หายไป ห้องเป็นเหมือนห้องโล่งว่าง เวนส์ต้องตื่นเช้าผิดปรกติเพราะไม่มีคริมสันช่วยดูแลจิมมี่ ขณะที่จูงมือของลูกชายซื้อของในร้านชำ ข้าวของเครื่องใช้มีเพียงใบหน้าของเหล่าฮีโร่เดอะเซเว่นประทับ การเลือกจึงมีเพียงของแพงคุณภาพถูกและของถูกคุณภาพห่วย หลังจากการยกฟรอสทิด เอ - เทรนส์ ซีเรียส [1]  ใส่ตระกร้า หางตาหล่อนเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดทำให้ฉงน นอกจากข่าวรัฐบาลการพาดหัวข่าวถึงการกลับมาของลูกสาวคนดังปรากฏตัวรับตำแหน่งเก้าอี้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของวอทอินเตอร์เนชั่นแนล ใบหน้าเค้าโครงที่คุ้นเคย เธอคือแอมเบอร์ คริมสัน

    “แม่?” จิมมี่ถามมารดาตนด้วยสีหน้าสงสัย “ทำไมแม่ทำหน้าแปลก ๆ ล่ะ”

    “ไม่มีอะไรหรอกลูก” หล่อนละสายตาจากหนังสือพิมพ์ ก่อนจะจูงมือเขาไปโรงเรียน

     

    “ที่ผมเรียกทุกท่านในวันนี้ก็เพื่อต้อนรับคุณแอมเบอร์ คริมสัน ลูกสาวของคุณวิคเตอร์ คริมสัน คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่จากลาไปเมื่อเดือนที่แล้วครับ” เอ็ดการ์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาใต้แว่นนั้นจับจ้องไปยังกลุ่มผู้บริหารอย่างระมัดระวัง

    เสียงกระแอมดังจากมุมห้อง หนึ่งในคณะกรรมการบริหาร ซึ่งดูเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาตึงเครียด คล้ายแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่าเอ่ยขึ้น “เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า...นักเขียนต่ำต้อยแบบเธอจะสามารถเข้ามาเป็นผู้ถืออนาคตของบริษัทได้น่ะคุณเอ็ดการ์? ฉันลงทุนเพื่อเอากำไร ไม่ใช่ลงทุนเพื่อเป็นคาสิโนให้เด็ก ๆ มาวางเงินเล่นนะ”

    คริมสันที่นั่งนิ่งอยู่ตลอดเพียงยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย มองชายคนนั้นด้วยรอยยิ้มบาง  “ฉันคิดว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามกฎหมายและข้อพิพาทของศาล หากคุณไม่พอใจ สามารถดูวินิฉัยได้ค่ะ หรือไม่ก็เรียกหมอผีเพื่อคุยกับพ่อฉัน”

    บรรยากาศในห้องอึดอัดขึ้นเล็กน้อย เสียงกระดาษขยับของใครบางคนคล้ายเป็นการระบายความเครียด ชายผู้คัดค้านพ่นลมหายใจเสียงดัง “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน...” เขากระซิบขมิบ ก่อนเดินออกไปจากที่ประชุม ทิ้งเสียงฝีเท้าที่ดังสะท้อนในความเงียบ

    เอ็ดการ์ยกมือขึ้นนวดขมับเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ “ได้โปรดอยู่ในความสงบด้วยครับ” เขาหันไปกล่าวกับที่ประชุมโดยรวม แล้วส่งสายตาให้เลขาสาว แอชลีย์ บาร์เร็ตต์ ตามชายคนนั้นไป

    “โอ้ ใช่ คุณคริมสัน ผมได้อ่านร่างแผนดำเนินการของคุณแล้ว มันบ่งบอกได้ว่าเราได้คุณพ่อคุณกลับมา”

    คริมสันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ท่าทางขึงขังและหันมองเอ็ดการ์ “ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชม อย่างไรก็เถอะ ฉันแน่ใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสร้างผลตอบแทนที่คุณต้องการ” น้ำเสียงของเธอนิ่งเฉียบ “ยินดีที่จะได้ร่วมงานกับทุกคนนะคะ”

     

    เมื่อจบการประชุมคนอื่นทยอยออกจากห้อง เอ็ดการ์เป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องเขาโค้งตัวเล็กน้อยและเปิดประตูออกไป ชั่วขณะหนึ่งผ่านไป เสียงฝีเท้ากลืนหายในระยะไกล คริมสันยังคงนั่งอยู่ ดวงตาของเธอมองออกไปยังวิวเมืองแมนฮัตตันที่ล้อมรอบไปด้วยแสงไฟยามค่ำคืน ภายในห้องที่เหลือเพียงแสงสลัว เสียงเปิดประตูเบา ๆ ดังขึ้น

    เธอไม่ต้องหันมองเพื่อรู้ว่าเป็นใคร กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวและออร่าเย่อหยิ่งนั้นบ่งบอกชัดเจน

    “แอมเบอร์...แอมเบอร์ คริมสัน” เสียงทุ้มของโฮมแลนด์เดอร์ดังขึ้น พร้อมฝีเท้าที่ดังเป็นจังหวะหนัก ๆ “เขียนด่าฉันไปถึงไหนแล้ว เอาเข้ารูปเล่มตีพิมพ์แข่งกับหนังสือ ชีวประวัติ อดัม สมิธ [2] ของคุณพ่อเธอได้หรือยัง?”

    คริมสันเหลือบมองเขาเพียงนิด ก่อนจะก้มลงกลับไปมองเอกสารในมือ ราวกับเขาเป็นเพียงเงาที่ผ่านเข้ามา

    โฮมแลนด์เดอร์เดินมาหยุดข้างโต๊ะประชุม เขาโน้มตัวลงใกล้พอที่ลมหายใจของเขาสัมผัสท้ายทอยเธอ “ฉันรู้ว่าเธอกำลังทำอะไร... ฉันรู้ว่าเธอมีบางอย่างให้กลับมาที่นี่ และทุกคนที่นี่ก็ต่างรู้ พวกเขาล้วน...จ้อง...มอง...เธออยู่”

    คริมสันหัวเราะเบาในลำคอ ดวงตาของเธอยังจ้องเอกสารตรงหน้า แต่รอยยิ้มที่มุมปากกลับทำให้โฮมแลนด์เดอร์หยุดนิ่ง “งั้นเหรอ? ฉันว่าการถูกจับจ้องก็ยังดีกว่าการเริ่มเป็นหมาหัวเน่านะ” เธอวางเอกสารลงและเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ช่วงนี้ไม่ค่อนมีคนสนใจนี่ ยอดอินเกตก็ลดพรวด ๆ ลงทุกปี เอาไงต่อล่ะ พ่อซูเปอร์แมน? แกล้งป่วยด้วยคริปโตไนท์ [3] หรือหลอกประชาชนว่ามีดาวเทียมสงครามหลบซ่อนภายใต้แสงอาทิตย์อีกล่ะ? [4]

    รอยยิ้มของโฮมแลนด์เดอร์กระตุกเล็กน้อย แต่เขายังคงพยายามรักษาท่าทีเหนือกว่า “อย่าลืมซี...ฉันไม่เหมือนเธอ ฉันได้ยินความหวาดกลัวในหัวใจของเธอที่สั่นระริก เสียงเม็ดเหงื่อที่ซึมออกตามซอกเล็บและไหลซึมไปทั่วร่าง... แต่ แต่ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอกลัวฉันขนาดนี้ แต่ทำไมถึงเลือกที่จะพูดแบบนี้ล่ะ?”

    คริมสันค่อย ๆ ลุกขึ้น ดวงตาของเธอเย็นชาเหมือนเหล็กกล้าที่สะท้อนแสงไฟ เธอก้าวเข้าไปใกล้เขาอย่างไม่รีบร้อน

    “กลัว?” เธอเอียงศีรษะเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่แต้มมุมปาก ดวงตาจ้องเขาไม่กะพริบ “นายหรือเปล่าที่กำลังกลัว... กลัวว่าวันหนึ่งแสงไฟของตัวเองจะค่อย ๆ มอดดับ กลายเป็นแค่หุ่นเชิดราคาถูกของวอท เอาภาพลักษณ์รักชาติในชุดธงอเมริกามาทำเป็นของเล่นให้คนเอาไว้โยนให้สุนัขมันขย้ำเล่น?”

    ความเงียบแผ่ซ่านในอากาศก่อนที่โฮมแลนด์เดอร์จะหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มฝืน ๆ บ่งบอกว่าเขากำลังพยายามกลบความรู้สึกบางอย่างในใจ “ฉันชอบนะ เวลาที่เธอเป็นแบบนี้น่ะ ร้าวใจกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย”

    คริมสันไม่ตอบ เธอหันหลังให้เขา เดินไปทางประตูด้วยจังหวะที่มั่นคง เสียงส้นรองเท้าของเธอดังก้องในห้องประชุม ก่อนเสียงประตูจะปิดลง ทิ้งเขาไว้กับเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก

     


    Koko Taylor - Voodoo Woman


    ภาพที่เกี่ยวข้อง

    sds

    sds

    ฟรอสทิด เอ - เทรนส์ ซีเรียส 

     

    sds

    อดัม สมิธ บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่

     

    sds

    คริปโตไนท์

     

    sds

    sds

    The Boys Presents: Diabolical ตอนที่ 3 "I'm Your Pusher" 


    เชิงอรรถ

    1. ^ ฟรอสทิด เอ - เทรนส์ ซีเรียส คือ แบรนด์ซีเรียลเครือวอทที่ใช้รูปของ เอ - เทรนส์ บนกล่องเพื่อการโฆษณา
    2. ^ อดัม สมิธ คือ นักเศรษฐศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
    3. ^ คริปโตไนท์ คือ แร่สมมติจากจักรวาลซูเปอร์แมน เป็นจุดอ่อนที่ทำให้ซูเปอร์แมนอ่อนแอ
    4. ^ ใน The Boys Presents: Diabolical  ตอนที่ 3 "I'm Your Pusher" มีฉากหนึ่งของเรื่องที่มีการกล่าวถึงดาวเทียมเอเลี่ยนที่มักใช้เป็นอุบายปกปิดความผิดของเดอะเซเว่น

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×