ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    It’s the End of the World as We Know It /The Boys x Fem! OC

    ลำดับตอนที่ #3 : The Midnight Special

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 67


    ตึกวอทอินเตอร์เนชันแนลตระหงาดสูงเสียดฟ้า มันเป็นศูนย์รวมของเจ็ดผู้พิทักษ์ ห้องประชุมฮีโร่ใหญ่โอ่งอ่าประดับด้วยรูปปั้นเหมือนพร้อมจิตกรรมจากช่างศิลป์ฝีมือดี หัวมุมโต๊ะพบ โฮมแลนด์เดอร์ ชายผู้แข็งแกร่งนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาเป็นฮีโร่เบอร์หนึ่งของอเมริกา ไม่มีใครไม่รู้จักเขา ทั้งแม็กกาซีน สื่อข่าว สำนักพิมพ์ต้องตีพิมพ์เรื่องของเขาในทุก ๆ วัน อย่างไรก็ดี ส่วนมากแล้วมันแค่เป็นเรื่องแต่งจากฝ่ายผลิตสื่อของบริษัทวอทนั่นเอง

    เขาในเวลาที่สมาชิกอื่น ๆ ลงไปภารกิจหมดแล้ว มองจอวีดิทัศน์รุ่นล่าสุดแสดงวิดีโอล้อเลียนตนเองช้ำแล้วช้ำเล่า

    เอไอดีพเฟสทำให้โฮมแลนด์เดอร์อยู่ในหน้าตลก ๆ อยู่บนโซเซียล บอกเป็นนัยถึงความเย้ยหยั่นจากพวกต่อต้าน

    กรามเขาขบแน่น กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก สายตาเขม็งเรืองรังสีแดงฉาน

    “โฮมแลนด์เดอร์ เขาไม่ใช่ฮีโร่ แต่เป็นพวกจิตไม่ปรกติ”

    “ไปตายซ่ะ ไอ้พวกผิดมนุษย์”

    “เราไม่ต้องการปีศาจอย่างแก”

    ข้อความเชิงลบโผล่ขึ้นทำจิตมั่นคงแตกสาแหรกขาด สำหรับเขาแล้ว หากคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมรับในตัวเขา ก็ไม่มีจำเป็นที่จะต้องปกป้อง ความโกรธพุ่งพรวยเส้นรังสีตรงยาวทะลุตาผ่านจอแสดงผลจนไม่เหลือชิ้นดี เสียงแจ้งเตือนภัยเรียกเลขาเข้ามาในห้องทันที

    แอชลีย์ ฝากเปลี่ยนด้วย” โฮมแลนด์เดอร์กดเสียงต่ำเรี่ยดิน น้ำเสียงทำเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น

    เลขาแอชลีย์สั่นเทาพยักหน้าหงึก ๆ เธอหวาดต่อคนตรงหน้าอย่างสุดขีด “ค- ค่ะ ได้เลยค่ะ”

     

    “สำหรับดิฉันคิดแล้ว ยังไม่มีสถานการณ์ใดที่ทำให้แน่ใจว่าการนำโฮมแลนด์เดอร์สู่ที่นั่งกลาโหม จะสามารถทำให้อเมริกาดีขึ้น สิ่งที่ฉันคิดมุ่งแน่นคือคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนธรรมดา หรือคนมีพลัง” นิวแมน สมาชิกวุฒิสภาหญิงกล่าวเปิดประเด็นดีเบตกับคู่แข่งอย่าง ซิงเกอร์ ผ่านรายการทีวี

    ซิงเกอร์กระแอมขำ “แค่ความคิดนี้ คุณก็พยายามแยกประชากรออกกันอย่างเห็นได้ชัด หากคุณบอกว่าพวกเขาคือคนในประเทศเหมือนกัน ทำไมพวกเขาไม่สามารถมีตำแหน่งหน้าที่ในการเมืองได้?”

    เสียงปิดทีวีดังขึ้นหลังฮิวอี้กดรีโมท เขารีรนกับอาการของคริมสันอจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ เธอยังไม่ฟื้นตัวตั้งแต่ลูกกระสุนฝังเข้าไปในท้อง บุตเชอร์มีความคิดเห็นไม่ตรงกันว่าควรนำเธอไปโรงพยาบาลหรือทำการเย็บแผลที่ตึกแฟลตไอเอิร์น สุดท้ายแล้วสิ่งที่พวกเขาหาได้คือแม็กหนีบกระดาษและแอลกอฮอล์ล้างแผลจากร้านขายยาข้างทาง

    “หล่อนไม่เป็นอะไรหรอก” เฟรนชี่ปลอบประโลมฮิวอี้

    “บุตเชอร์ยิงคนบริสุทธิ์นะ!”

    “แต่เธอจะจากไปในฐานะผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ซุป”

    “โถ่ นั่นมันไม่ช่วยอะไรเลย” ฮิวอี้ถอนหายใจใส่เฟรนชี่

    บุตเชอร์เปิดประตูเข้ามาเงียบ ๆ ในมือของเขาถือช่อดอกไม้สีขาวที่เพิ่งซื้อมา เขาวางมันลงบนโต๊ะ ฮิวอี้รีบเดินดิ่งไปหาเขา

    "ทำไมคุณถึงดูไม่รู้สึกอะไรเลย บุตเชอร์? " ฮิวอี้เอ่ยเสียงสั่น

    บุตเชอร์เหลือบมองฮิวอี้ก่อนตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “ฉันอธิบายแผนแล้วนี่ ฮิวอี้ เราจะใช้หล่อนในการข่มขู่ แต่เธอหนีไปก่อน แบบนั้นมันมีเหตุผลอะไรล่ะ?แหงล่ะ สิ่งที่ฉันคิดคือหล่อนต้องเป็นซุป”

    “สิ่งที่ผมคิดคือหล่อนกลัว” ฮิวอี้กัดริมฝีปากของเขา “มันไม่ถูกต้อง คุณฆ่าเธอเพียงเพราะสงสัย?”

    เฟรนชี่แย้ง “มันไม่ถึงตายนะ เพราะนั่นเป็นวัสดุพิเศษทางเคมีที่มีผลต่อซุปโดยตรง”

    “เห็นไหม หล่อนไม่ตายง่าย ๆ หรอก”

    “คุณมัน… เฮ้อ”

    “ยังไม่ชินอีกเร๊อะ ถ้ายังไม่ชินก็ออกไปซ่ะ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ฝึกงาน” บุตเชอร์เดินไปข้างเตียง มองดูคริมสันที่นอนหายใจรวยริน ใบหน้าของเธอซีดเซียว ร่างกายสั่นสะท้านเพราะความเจ็บปวด เอ็มเอ็มกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ใช้เครื่องวัดความดันมือหมุนเพื่อตรวจชีพจรของเธออย่างเงียบ ๆ

    “เอาไงต่อ?” เอ็มเอ็มเอ่ยพร้อมเหลือบมองบุตเชอร์ที่ยืนจ้องคริมสันราวกับกำลังพิจารณาอะไรอยู่

     

    เสียงลมหายใจของบราว์นที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอกลายเป็นเสียงเพลงที่กรอกหูในยามที่เธอซบหน้าอยู่บนอก ร่างกายแน่นของเขาโอบกอดเธอไว้ใต้ผ้าห่มอันหนาอุ่น นิ้วมือของเธอเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ลูบไล้ไปบนแผ่นหน้าท้องขึ้นไปยังหนวดเคลาของเขา แหวนแต่งงานที่เพิ่งได้สวมใส่ยังใหม่เอี่ยม เปล่งแสงประกายอ่อน ๆ ในห้องมืด เมื่อแสงรำไร ๆ ของจันทร์ทอส่อง

    ดวงตาแสนหนักอึ้งค่อยปิดลง เธอหลับไปในอ้อมกอด ทว่าฝันหวานของเธอกลับถูกขัดจังหวะ เสียงแผ่ว ๆ ของการเคลื่อนไหวข้างกายทำให้เธอต้องปรือตาตื่น เห็นเงาร่างของสามีของเธอกำลังลุกขึ้น สวมชุดตำรวจอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางความมืดที่เริ่มถูกแสงสว่างของยามเช้าคืบคลานเข้ามา

    “เช้าแล้วเหรอ?”

    บราว์นเหลือบมองเธอชั่วครู่ ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดและร้อนรน “พวกเขาต้องการผม ผมต้องไปแล้ว” เขาพูดเร็ว ๆ ขณะที่ดึงเข็มขัดประจำตัวตำรวจขึ้นรัดแน่น “แล้วผมจะกลับมา ผมสัญญา”

    คริมสันมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง เธอรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่คำพูดของเขารวดเร็วเกินไป ไม่มีโอกาสให้เธอได้ถามหรือกล่าวลาใด ๆ ก่อนที่เขาจะรุดออกจากห้องไป

    ไม่มีการกลับมา มีเพียงสายจากเจ้าหน้าที่ชันสูตรระบุว่าพบร่าง เจ้าหน้าที่ สตีเฟน บราว์น

    เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตแล้วประมาณตีสามสิบห้า โดยเหตุเสียชีวิตเพราะหลอดเลือกแดงบริเวณลำคอถูกตัดขาด ข่าวลือ ณ จุดเกิดเหตุเสริมความปากเล่าต่อปากว่า ร่างกายเขาถูกสับด้วยของทื่อ ๆ เนื้อแต่ละท่อนร่อแร่ มีเพียงเนื้อเยื่อเล็กน้อยที่ประสานกันไว้ไม่ให้หลุดออกจากกัน

     

    สติสัมปชัญญะของคริมสันถูกฉุดกลับมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งสองเบิกโพลง หายใจหอบถี่ เหงื่อไหลท่วมตัว เธอเห็นชายที่บุตเชอร์อยู่ปลายเตียงกับบาดแผลตรงท้อง ตัวของเธอก็ทำตามดิ้นรนตามสัญชาตญาณ

     

    “เฮ้! อย่าขยับคิดขยับเชียว เพราะมันจะไม่ใช่ลูกกระสุนฉัน แต่เป็นบาดทะยักที่มาจากแม็กเย็บกระดาษเข้าไปในแผลเธอ” บุตเชอร์เพียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วหมุนตัวเดินออกไป โดยไม่แม้แต่จะสนใจคริมสัน เขาออกไปที่ประตูอย่างไม่สนใจท่าทีสับสนและหวาดกลัวของเธอ

    “พระเจ้า!คุณฟื้นแล้ว” ฮิวอี้รีบวิ่งเข้ามาหาเธอพร้อมกับหญิงสาวเอเชีย เธอนำขนมปัง น้ำ และยาแอสไพรินมาวางไว้ข้างเตียงของคริมสัน รอยยิ้มอ่อนโยนของเธอเหมือนเป็นสัญญาณแห่งความสงบในห้องที่เต็มไปด้วยความกดดัน เธอไม่พูดอะไร แต่การกระทำของเธอบอกได้ถึงความห่วงใยอย่างแท้จริง รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า ท่ามกลางความหนาวเย็นที่คืบคลานเข้ามาจากทุกมุมของห้อง

    คริมสันเธอมองยาที่วางอยู่ข้างเตียงและปฏิเสธอย่างเด็ดขาด สองมือพยุงร่างตัวเอง ลุกขึ้นและเดินโซเซไปที่ประตู มือข้างหนึ่งกุมแผลที่ท้อง ขณะที่อีกข้างหนึ่งไล้ไปตามผนังเพื่อประคองตัว เธอสังเกตเห็นบอร์ดที่เต็มไปด้วยด้ายเส้นสีแดงโยงใยเข้าหากัน มีคำต่าง ๆ เขียนเอาไว้เป็นร่องรอยของแผนการที่ซับซ้อน คำว่า “โฮมแลนด์เดอร์” “สารเคมีวี” และ “กลายพันธุ์” ปรากฏชัดเจน แต่เธอกลับไม่สนใจสักนิด ดวงตาของเธอมีเพียงเป้าหมายเดียวคือการออกจากที่นี่

    “คุณต้องนอนต่ออีกสักนิด พรุ่งนี้หมอจะมาดูอาการให้คุณนะครับ” ฮิวอี้พยายามเข้ามาพูดคุย หญิงสาวเอเชียพยักหน้าหงึก ๆ แสดงความคิดเห็นต่อฮิวอี้

    “ฉันไม่สนเกมสืบสวน ไม่สนว่าเรื่องบ้านี่คืออะไร ไม่สนว่าพวกคุณต้องการอะไร บอกเลยว่าฉันไม่มีอะไรจะให้ทั้งนั้น ฉันจะกลับบ้าน” คริมสันพยายามดันตัวชายหนุ่มออก

    ฮิวอี้มองคริมสันที่ยังมีสีหน้าซีด ทว่าแววตาเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

    “ผมจะพาคุณไปส่งที่บ้าน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความรู้สึกผิด

    เมื่อมาถึง คริมสันหันมามองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ขณะที่ฮิวอี้รวบรวมความกล้าพูดออกมา

    “ผม...ผมขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น” เขากลืนน้ำลายอย่างลำบาก “ผมรู้ว่ามันไม่ยุติธรรม แต่... ผมอยากขอร้องคุณว่า อย่าบอกเรื่องนี้กับใครเลยนะ”

    คริมสันมองเขาอย่างไร้ความรู้สึก เธอไม่ได้พยักหน้าหรือให้คำตอบใด ๆ เธอเพียงแค่หันหลังเดินเข้าที่พักไป โดยทิ้งให้ฮิวอี้อยู่ที่นั่น

     

    คริมสันเปิดประตูเข้าห้องเบา ๆ อย่างระมัดระวัง ทุกเสียงขยับตัวทำให้อะดรีนาลีนของเธอพลุ่งพล่าน เธอไม่อยากให้ข้างห้อง เจสและจิมมี่ ที่มักจะนอนหลับยาก ตื่นยามดึก เท้าสองเข้ามาห้องแล้ว คริมสันเดินไปที่โต๊ะทำงาน เธอ เปิดหน้าจอขึ้นซึ่งแสงสว่างจากจอนั้นส่องให้เห็นเพียงใบหน้าเธอในห้องที่มืด หลังจากเธอหนีออกมาจากสังคมของเธอ รายได้หลักของคริมสันมาจากการเขียนหนังสือ ซึ่งเป็นทั้งงานที่เธอรักและแบกรับอย่างเงียบ ๆ แต่แรงกดดันจากสิ่งรอบข้างมากมายทำให้เธอต้องหาคนมาช่วยแบ่งเบา เธอจึงจ้างนักเขียนเงาที่รับหน้าที่ช่วยพิมพ์ ช่วยคิด และจัดการส่งงานไปยังสำนักพิมพ์

    นักเขียนเงาของเธอออนไลน์อยู่พอดี

    “ฉันคงต้องหยุดเขียนไปสักพักนะ” เธอพิมพ์ลงไปอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วของเธอสั่นเล็กน้อย

    ข้อความตอบกลับเธอทันที “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”

    “ไม่หรอก ฉันไม่เป็นอะไร แค่มีเรื่องนิดหน่อย”

    “ฉันอยู่ข้างคุณนะ จะรอจนกว่าเราจะได้ทำงานด้วยกัน”

    คริมสันนั่งอยู่ในความมืด แสงจอคอมพิวเตอร์ดับลงแต่ความรู้สึกที่ถาโถมในใจยังคงคุกรุ่น เธอพยายามหายใจลึกเพื่อกลั้นน้ำตา แต่มันไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป หยดน้ำตาไหลลงบนโต๊ะอย่างช้า ๆ ราวกับบอกถึงความหนักแน่นของความเจ็บปวดที่เธอเก็บไว้มานาน เสียงสะอื้นเบา ๆ ในความเงียบ สะกดเสียงร้องไห้ไว้ในลำคอ ไม่อยากให้ใครได้ยิน

    ความอ้างว้าง ความเหนื่อยล้า และความกดดันถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำ เธอคิดถึงสิ่งที่เสียไป ทั้งเวลา ความฝัน และตัวตนที่เคยหลงเหลือ น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

     

    เสียงนาฬิกาบนผนังดังก้องกังวานในความเงียบ ความปวดแพร่ซ่านจนทำให้เธอหลับไม่ได้ เธอลุกขึ้นหยิบเสื้อโค้ตหนามาสวมใส่ เปิดประตูออกจากห้องอย่างระมัดระวัง หมู่ม่านหมอกเมฆบดบังแสงจันทร์ มีเพียแสงทองอ่อน ๆ ที่สาดลงมา เธอเดินออกไปยังสุสานใกล้ ๆ ยามค่ำคืนเงียบสงบ ลมหอบใบไม้ที่แห้งกรอบพัดไปตามพื้นดิน คริมสันหลบสายตาของคนดูแลสุสาน เดินเลี่ยงเงาของเขาอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งไปถึงหลุมศพที่เธอต้องการ

    เธอยืนนิ่งอยู่หน้าป้ายหินเย็นเยียบที่สลักชื่อของสามีที่จากไป แสงจันทร์ทาบทาให้เห็นตัวอักษรชื่อ สตีเฟน บราวน์ อย่างชัดเจน ความหนาวเย็นไหลเข้าสู่ปลายนิ้วของเธอ น้ำตาค่อย ๆ ไหลซึมออกมา รินรดบนใบหน้าที่เรียบเฉย

    “ฉันควรทำยังไงดี” เธอกระซิบเบา ๆ คำถามที่ไม่มีใครตอบ

    “ยอมแพ้?” เสียงปริศนาเอ่ยขึ้นในความมืด เมฆทยอยหายไป สาดความสว่างไปทั่วอาณาบริเวณ

    “คุณสะกดรอยตามฉัน?”

    บุตเชอร์ระเบิดเสียงขำ “สุสานนี่เขาไม่ได้เปิดให้เธอเข้าคนเดียวซะหน่อย”

    คริมสันเลือกให้ความเงียบโอบล้อมเธอแทนตอบโต้ความกวนประสาทของเขา

    “รัฐบาลมีการผูกมัด 1 รัฐ 1 ฮีโร่”

    คำพูดเริ่มประโยค ชักชวนเธอฟังเขา

    “แพซิเวเนียก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เริ่มโครงการตั้งแต่แรก ๆ ฮีโร่ที่มันได้จากวอทก็เป็นหัวขี้เลื่อย โง่เขลาเบาปัญญา ตอนที่ฉันทำงานอยู่สำนักงานใหญ่ ข่าวฆาตกรรมแพนซิเวเนียดังไปทั่วเลยล่ะ และเดาสิว่าทำไมมันยังจับฆาตกรไม่ได้ เพราะพวกแม่งเตะฉันออกจากกองสืบสวนให้ไปทำงานกิ๊กก๊อก ปล่อยให้ไอ้หน้าหมีฆาตกรในคราบฮีโร่นั่นลอยตัวไป”

    “หมายความว่าอะไร?”

    “ที่ฉันจะสื่อคือ รัฐบาลพยายามมีส่วนร่วมกับนายทุน เข้ามาผูกขาดนู้นนี่ ปกปิดเช็ดขี้ที่ออกจากรูตูดพวกมัน และ ฉันต้องการเธอเป็นแนวร่วมในการโค่นพวกสาระยำนายทุนนั่น ทำให้มันเน่าใน จนจำใจต้องคายออกมา”

    “คุณพยายามจะแบล็กเมล์ฉัน แล้วยังยิงฉัน”

    “ขอไม่เถียงเรื่องแรก แต่เรื่องสองช่วยไม่ได้ เธอวิ่งหนีฉันเอง แต่ก็เอาเถอะ ตามใจแล้วกัน”

    บุตเชอร์ค่อย ๆ วางดอกไม้สีขาวลงบนหลุมศพที่ปกคลุมด้วยเศษใบไม้แห้งและเงาของค่ำคืน ป้ายหินสลักชื่อ เบคก้า บุตเชอร์ สะท้อนแสงจันทร์อ่อน เขายืนนิ่งเงียบอยู่ข้างคริมสัน ลมกลางคืนแผ่วเบา โอบกอดทั้งคู่ด้วยสัมผัสเย็นยะเยือก เงียบงัน แต่หน่วงหนัก สายตาของคริมสันทอดมองไปยังป้ายหินนั้น ก่อนจะเบือนหน้ามาพบกับดวงตาคมดุที่มองกลับมา นัยน์ตาของบุตเชอร์แฝงคำเชิญอันแน่วแน่ ทว่าเงียบงัน ปล่อยให้ความคิดของเธอไหลวนอยู่ในอ้อมลมนั้น ราวกับทั้งคืนและความเงียบได้ยืนเคียงข้าง บอกเล่าแทนคำพูดที่เขาไม่เอื้อนเอ่ย

     


    Creedence Clearwater Revival - The Midnight Special

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×