ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    It’s the End of the World as We Know It /The Boys x Fem! OC

    ลำดับตอนที่ #2 : Spirit In The Sky

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 67


    ชายคนนั้นเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบเสียงเรียบสำเนียงอังกฤษคุ้นหู “ใจเย็นก่อนคุณผู้หญิง ฉันแค่อยากเลี้ยงไอติมเขาเท่านั้น เจ้าหนูคนนี้เขาเป็นเด็กน่ารักนะ”

    “จิมมี่ มานี่”

    เสียงของชายปริศนากลับดึงความสนใจของเธออีกครั้ง

    “คิดว่าเด็กนี่จะรับได้ไหมที่มีป้าเป็นฆาตกร?”

    หูของเธอพึ่ง ร่างทั้งร่างเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ตรงนั้น เธอเดินไปเผชิญหน้ากับชายคนนั้น “ว่าไงนะ?”

    ชายปริศนากระซิบ “เด็กนั่นมันทนถูกกระแทกอย่างจัง ซี่โครงทะลุปอด และเสียใจจริง ๆ ที่ไอ้เจ้าหนูนั่นมันตายเมื่อเช้านี้”

    “แกเป็นใคร?”

    “ฉัน บิลลี่ บุตเชอร์” ชายหนวดเฟิ้มนั้นพูดพลางถอดแว่นออก “เอาล่ะ พอจะมีเวลาคุยกันสักหน่อยไหม?” บุตเชอร์ยกยิ้ม

    เขาทิ้งก้นลงข้างคริมสันพร้อมกับเสียงควรญในลำคอ ทั้งสองนั่งบนม้านั่งชื้นรอยตะไคร่ฝังในเนื้อไม้หนา เขาล้วงมือลงในกระเป๋าด้านในเสื้อโค้ต คว้าเฟลกวิสกี้ขนาดเล็กออกมาโดยไม่ลังเล ฝาบิดออกเทของเหลวสีน้ำตาลเข้มลงในปาก คริมสันเหลือบมองเขาเล็กน้อย การกระทำของเขาไม่เข้าเค้ากับภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเลยสักนิด เธอไม่ได้เอ่ยอะไร บุตเชอร์กลืนวิสกี้ผ่านลูกกระเดือกดังอึกใหญ่ เขาปิดขวดแล้วเก็บมันกลับไปในกระเป๋าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    จู่ ๆ เสียงกัมปนาทสะท้อนกกหูในช่วงนาโนวินาที ซูเปอร์ฮีโร่ผู้มีพลังเหลือล้นเขาบินอยู่บนท้องนภา

    “ฉันละเกลียดจริง ๆ พวกขยะไร้สมองมีแต่กางเกงในรัดไข่ บินไปบินมา… เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ฉันต้องการให้คุณมาช่วย อย่างที่ทราบกันดี คุณทำใจยังไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตที่เน่าเฟะของคุณ” เขาเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คริมสันรู้สึกเหมือนถูกกรีดลงไปที่ใจ

    “ฉันทำใจได้แล้ว ไม่ต้องยุ่ง” คริมสันตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะหนักแน่น

    “งั้นเหรอ แล้วทำไมต้องเอาลูกคนอื่นมาทำเหมือนเป็นลูกตัวเองด้วย”

    เธอเงียบ

    “ถ้าไม่เถียงอะไรฉันขออนุญาตพูดต่อนะคุณผู้หญิง” บุตเชอร์ยิ้ม “ฉันรู้ทุกอย่างกับตัวคุณดี” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ส่งเสียงกระซิบ “คุณควรรับข้อเสนอฉันนะ ก่อนที่ข้อมูลนี้จะหลุดไปทำให้เธอต้องไปนอนเน่าตายพร้อมความทรงจำปวดร้าวในคุกเหม็น ๆ”

    รอยยิ้มของบุตเชอร์เหมือนเข็มที่ทิ่มลงในบาดแผลสด ดึงความตระหนกอยู่บนใบหน้า

    “ฉันอยากให้คุณออกจากเด็กนั่นไปสักระยะ ทำงานด้วยกันสักพัก เมื่อเสร็จแล้ว วิดีโอนี้ก็จะหายไปตลอดกาลป้าหลานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” เขาเงียบก่อนจะต่อ “และถ้าคุณไม่ร่วมกับฉัน วิดีโอนั่นก็จะว่อนไปทั่ว แล้วคุณว่าไอ้เด็กนั่นจะรับได้ไหมกับป้าฆาตกร? ขอเดาว่า สุดท้ายมันก็จะไปจากคุณอยู่ดี”

    คริมสันจ้องเขม็ง

    “อย่ามองแบบนั้นซี ฉันเปล่ามัดมือชกนะ แค่ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมในกรอบที่เรียกว่าขีดจำกัดน่ะ เอาล่ะ ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกยาเม็ดสีอะไร ” เขายักไหล่ด้วยความเย็นชา

     

     

    “สตีฟ คุณกลัวที่จะเสียอะไรไปบ้างไหม?”

     

     

    “กลัวสิ แต่ผมน่ะ ชอบอะไรที่มันง่าย ๆ ไม่อยากจะคิดเรื่องยาก ๆ ให้ปวดสมอง อีกอย่างเพราะผมยังมีคุณตรงนี้ และ”

    “มันบดหอม ๆ ใช่แล้ว มันบดนี่แหละดีที่สุดในสามโลก” แสดงยิ้มสุภาพพร้อมตักมันบดเข้าปาก คริมสันยิ้มกวาดสายตาไปโดยรอบ ผู้คนฉอเลอะพูดคุยกันสนุกสนาน เสียงแก้วกระทบกันเคล้าคลอด้วยดนตรีโฟลค์พื้นบ้าน

    “นี่วันนี้ผมมีข่าวดีด้วยนะ วันนี้ ผมเลื่อขั้นวิทฐานะตำรวจ”

    “จริงเหรอ?นั่นเป็นเรื่องที่ดีมากเลย ฉันภูมิใจกับคุณนะ ทำงานเกือบห้าปีเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นตำรวจลาดตระเวนนี่น่าภูมิใจสุด ๆ” คริมสันโน้มตัวแสดงท่าทางล้อคำพูดของแฟนหนุ่มด้วยเสียงโทนต่ำ

    ทำเขายกยิ้มหัวร่อไม่โกรธเคืองอะไร “ไม่เอาน่า ยินดีหน่อยสิ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้น่ะ”

    คริมสันเบ้ปาก “ทำไมคุณไม่ลาออกแล้วไปอยู่กับฉัน”

    “ครอบครัวคุณน่ะมีแต่คนรวย ๆ กระดากปากเวลาจะพูดอะไรแต่ละที อีกอย่างจะมีเหรอที่พวกเขาจะไม่หาว่าผมเป็นแมงดา”

    “สตีฟ คุณน่ะ เวอร์แล้ว”

    เขาขำแล้วพลันเงียบไปครู่หนึ่ง “ที่รัก ผมมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูด”

    “ว่าไง?”

    “เรามาแต่งงานกันไหม?” น้ำเสียงของเขาชัดเจน ดวงตาที่มุ่งมั่นจ้องมองไม่ว่อกแว่ก บราวน์รวบรวมความกล้าได้เพื่อช่วงเวลานี้ “ผมขอมอบชีวิตตำรวจลาดตระเวนให้คุณทั้งชีวิต”

    ทันใดคริมสันนิ่งเงียบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอกวาดไปทั่วร้านอาหาร แต่สำหรับเธอแล้ว ทุกเสียงกลับห่างไกลราวกับอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ใจเธอกำลังสั่นไหว บราว์นลุกขึ้นแล้วคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเธอ ใบหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาขยับตัวและพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงนั้นผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงมีความตั้งใจชัดเจน

    “คราวนี้ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ” รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า “คุณจะรับชีวิตแสนน่าเบื่อของผมไหม?”

    คริมสันก้มมองแหวนในกล่องเล็ก ดวงตาเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วน ราวกับคลื่นทะเลที่ซัดกระทบหินริมฝั่งทะเล มันเริ่มเต้นแรงขึ้นทุกวินาที บราว์นไม่วิงวอนเร่งรีบ เขาทราบถึงความประหม่าของอีกฝ่าย เพื่อบรรเทาอาการตระหนกเขาจึงพูดขึ้นเบา ๆ แต่ยังคงทิ้งรอยยิ้มไว้บนใบหน้า

    “เร็ว ๆ ซี ผมแล้วปวดเข่าแล้วที่รัก” บราว์นกระซิบ

    คริมสันหัวเราะอย่างสุดกลั้น คราวนี้หัวใจเธอเย็นลง พร้อมพยักใบหน้า

    เขาลุกขึ้นยืนรวดเร็วเหมือนกับลืมอาการปวดเข่าไปหมดสิ้น มือหนาประขึ้นประคองใบหน้านุ่ม โน้มลงจูบคริมสันช้า ๆ

     

    คริมสันดีดตัวออกจากฝัน เหงื่อเปียกโชกชุ่มเตียง แสงจากพระอาทิตย์กระทบกับคนเบื้องหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน บุตเชอร์ยืนพิงกำแพงห้อง ค่อยหยิบหนังสือวิชาการที่กองเรี่ยราดมาเล่มหนึ่งแล้วอ่าน อีกมือเขาถือแก้วกาแฟ ส่วนปากซดดื่มด่ำกับกาแฟระอุไอความร้อน “อรุณสวัสดิ์” ในเวลาบุตเชอร์ทักทาย เขาสาดสายตาไล่ตัวอักษรในหนังสือที่เธอเขียนไปด้วย คริมสันลุกขึ้นจากที่นอน รุดหน้าฉุดหนังสือในมือของเขากลับมาก่อนวางไว้ที่เดิม เธอเห็นประตูห้องที่ล็อคอย่างดี ได้เปิดอ่าซ่าออก

    “นี่มันบุกรุก”

    “ใครบอกว่าฉันบุกรุกเล่าแม่คุณ?ผู้หญิงคนที่ชื่อเจสเป็นคนนั้นเปิดให้ฉันเข้ามาต่างหาก เอาเถอะ รีบทานอาหารและแต่งตัวซะ วันนี้เราต้องไปกันหลายที่” บุตเชอร์เอ่ยแล้วเดินนำหน้าออกไปจากห้อง

     

    ‘สวัสดีอเมริกา พวกเราคือ เดอะ เซเว่น แสงสว่างของอนาคต’ ป้ายไวนิลซูเปอร์ฮีโร่ถูกนำเป็นที่อยู่ของคนไร้บ้าน คล้ายบอกว่าอนาคตของพวกเขาเป็นเพียงเกราะกำบังฝนฟ้าให้เพียงคนไม่มีที่พึ่งทางจิตใจเพียงเท่านั้น บุตเชอร์ยกยิ้มดูถูกผ่านบานกระจกในรถกับโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณระหว่างขับรถบนถนนแมนฮัตตัน ในมือจับพวงมาลัยเขาเหลือบมองเธอด้วยหางตา ก่อนเริ่มส่งเสียงครึมทุ้มต่ำเข้าประเด็นสนทนา

    “ไม่รู้เพราะความพิศวาสหรือสงสารในชีวิตเวทนาของเธอ พ่อของเธอถึงยกหุ้นทั้งหมดที่ลงกับวอทให้”

    คริมสันหันหน้ามอง เธอข้องกับคำพูดของบุตเชอร์จนแสดงสีหน้า

    บุตเชอร์ต่อ “ตอนนี้ชื่อเธออยู่ในหนึ่งของเก้าอี้วอท พวกญาติ ๆ ของเธอกำลังสวมบทบาททำหน้าที่แทนเธอจนหัวหมุน รู้อยู่ว่าเธอตัดขาดจากพวกเขา แต่ฉันอยากให้เธอไปใช้สิทธิ์ตัวเอง แค่ใช้สิทธิ์ตัวเองนั่งเก้าอี้เฉย ๆ สบาย ๆ ส่วนที่เหลือฉันจัดการเอง”

    “หุ่นเชิดชัด ๆ” คริมสันแย้งด้วยใบหน้าแข็งกระด้าง

    บุตเชอร์กรุ้มกริ่มไม่พูดจา เขาเอื้อมมือเปิดเพลงบนรถ ดนตรีจากยุคเก่า มือเขาเคาะตามทำนองเพลงพังค์จากวงเซ็กซ์พิสทอลส์ ส่วนเธอมองตึกรามบ้านช่องและผู้คนที่กำลังไปทำงาน ผ่านกระจกรถที่แตกร้าว ราวผ่านสมรภูมิรบ

    บุตเชอร์ลงจากรถพร้อมกับคริมสัน เขานำทางเข้าสู่โกดังร้างแห่งหนึ่งที่ไกลออกมาจากตัวเมือง หญ้าแพรี่แห้งตายยังคงไหวไปกับลม เสียงฝูงนกพิราบบินออกเมื่อฝีเท้าของบุตเชอร์เหยียบเข้าไป สายตาคริมสันพบกับชายคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อฮูดเหมือนเด็กเนิร์ด โดยการที่เขายืนทำท่าดูเก้ ๆ กัง ๆ ลูบผมตัวเองเสมือนมีเรื่องในใจตลอดเวลารอพวกเขาอยู่ก่อนหน้า

    “นี่คือ ฮิวอี้ เขาจะดูแลคุณเรื่องแผนการ เดี๋ยวฉันขอไปเข้าห้องน้ำแป็บหนึ่ง เดี๋ยวมา” พูดจบบุตเชอร์จึงเดินเข้าไปในโกดัง

    “อ่อ… สวัสดีครับ คุณคงเป็นคุณแอมเบอร์ คริมสัน” ฮิวอี้ในเสื้อฮูตยิ้มเจื่อนยื่นมือเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อออกมาทักทาย

     

     

    ในห้องลับของโกดังมีชายฉกกรรจ์อยู่อีกสองคน อีกคนกำลังงุ่นอยู่กับกองเอกสาร อีกคนกำลังหลอมกระสุนด้วยวัสดุพิเศษ ทันทีที่ลูกกระสุนร้อนฉ่าถูกคีบออกมาพักเย็นแล้ว บุตเชอร์จึงหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ก่อนบรรจงใส่ในปืนไรเฟิลซุ่มยิงขนาดเกือบหกสิบนิ้ว น้ำหนักราวเกือบสามสิบปอนด์ ด้วยความชำนาญ การขึ้นลำปืนเป็นเรื่องกล้วย ๆ

    “แน่ใจนะว่าไอ้นี่จะใช้ได้ผลน่ะ เฟรนชี่” บุตเชอร์ถามพลางเหลือบมองชายหัวสกินเฮดที่ยิ้มอย่างมั่นใจ

    “แน่นอนสิหัวหน้า! ถ้าเธอเป็นซุปล่ะก็ บู้ม!” เฟรนชี่ตอบด้วยสำเนียงฝรั่งเศส

    “ให้ตายเถอะ เราไม่มีทางอื่นจริง ๆ เหรอวะ บุตเชอร์” ชายร่างยักษ์ผิวดำบ่นอย่างไม่สบอารมณ์

    “เอาเถอะ เอ็มเอ็ม เลิกเครียดแล้วไปเซอร์ไพร์ซหล่อนกันดีกว่า” บุตเชอร์แสดงความสามานย์ตรงใบหน้าอีกครั้ง

     

     

    “ผมชอบหนังสือคุณนะครับ” ฮิวอี้ยิ้มเจื่อน

    “อ่านด้วยเหรอคะ?”

    ฮิวอี้เหงื่อแตกพลั่ก ๆ เขาอึกอักเวลาพูด “โห้ คุณดังขนาดนั้น ไม่มีใครรู้จักคุณก็แปลกแล้วครับ”

    “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

    “ครับ”

    “คุณมีอะไรจะพูดหรือเปล่าคะ?”

    “ใช่ โอเค ฟังผมนะมันดูบ้ามาก แต่ที่นี่ไม่ปลอดภัย เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณกลับ”

    “ว่าไงนะคะ?”

    “บุตเชอร์พยายามจะใช้คุณ ให้ตายเถอะผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย”

    “โอ่ย ฮิวอี้แกหมายถึง เรา พยายามจะใช้ตัวเธอหรือเปล่า”

    บุตเชอร์ปรากฏตัวพร้อมกับปืนไรเฟิลขนาดยักษ์จ่อไปที่คริมสัน แรงกดดันในอากาศทำให้ทุกอย่างนิ่งงัน

    “ไม่!” ฮิวอี้ออกมาบังร่างของเธอไว้ “ผมไม่เอาด้วยแล้วบุตเชอร์ เธอบริสุทธิ์นะ”

    “ฮิวอี้หยุดทำตัวปอดแหกได้แล้ว ถ้าไม่พร้อมจะตามมาทำไมเล่า เอาล่ะ ถอยไป”

    “นี่มันบ้าอะไร?” คริมสันแย้ง

    ฮิวอี้หันกลับไปหาคริมสันและกระซิบเบา ๆ “ไม่ต้องกลัว เขาไม่ทำอะไรคุณหรอก”

    บุตเชอร์คำรามเสียงต่ำ หงุดหงิดที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน “ให้ตายเถอะไอ้หนู แกทำให้กำลังเสียเรื่อง”

    “พอเถอะ ผมขอนะ ปล่อยเธอไปเถอะ มันน่าจะมีวิธีอื่นสิ”

    บุตเชอร์ขมวดคิ้วเป็นปม “ทำแบบนี้ไม่ใช่แกเลยฮิวอี้ แกไม่เหมือนคนที่ระเบิดดากไอ้ล่องหนด้วยซีโฟว์แล้วชื่นชมชอบกับเลือดที่เปรอะมือแกเลยว่ะ” บุตเชอร์ส่ายหัวช้า ๆ

    คริมสันมองหาทิศทางอื่น ๆ ก่อนเธอตัดสินใจวิ่งขณะบทสนทนายังดำเนิน แต่ทุกอย่างพลันมืดดับลงทันทีที่ขาข้างหนึ่งวางบนพื้น กระสุนพุ่งออกจากลำกล้องด้วยความเร็วปานสายฟ้า เสียงกัมปนาทแผดดังก้องขณะที่ร่างเธอล้มลงกับพื้น บุตเชอร์ลดปืนลง สายตาเย็นชา ก่อนจะเดินเข้าไปดูสภาพของคริมสันอย่างใจเย็น เธอไม่สามารถเขยื้อนหรือจับความเจ็บปวดได้ มันมีแต่ความปวดตึง ๆ บริเวณท้องน้อยเพียงเท่านั้น

     

    แสงสว่างปลายอุโมงค์อยู่เบื้องหน้า คริมสันไม่ผวาเลือกก้าวเข้าไปหามัน

     


     Norman Greenbaum - Spirit In The Sky

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×