ตอนที่ 6 : บทที่ 4
บทที่ 4
เมื่อปัญหาทางการเงินของจวนถูกตรวจสอบยกใหญ่ ทำให้งานต่างๆของจวนถูกตรวจสอบตามไปด้วย ปัญหาที่ถูกมองข้ามในตอนนี้ถูกแก้ไขโดยสองคุณชายของตระกูลทันที
แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็ทำให้ทุกคนในจวนต่างมอบความดีความชอบให้น้องสาวคนสุดท้องทั้งหมด
จนคนในบ้านเรียกคุณหนูซูหมี่ว่าเป็นอัจฉริยะสี่ขวบตระกูลซูเสียแล้ว
เรื่องความฉลาดของคุณหนูนั้นคงหนีไม่พ้นพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้เป็นแน่ จึงมีราชโอการเรียกตัวคุณหนูวันสี่ขวบเข้าเฝ้า พร้อมเสนาบดีซู
เช้าตรู่จึงเป็นทำให้คุณหนูตัวน้อยต้องตื่นมาแต่งกายเพื่อเตรียมเข้าเฝ้า ใบหน้าเล็กนั้นงอจนหาความสดใสไม่ได้ เหล่าบ่าวไพร่ต่างเงียบงันเพื่อไม่ขัดหูขัดตาคุณหนูเป็นการดีที่สุด
ซูจางเหว่ยนั้นได้แต่สาปแช่งเจ้าฮ่องเต้อัปลักษณ์เหมือนหนีกินผึ้ง งึมงำๆตลอดทางที่จับจูงมือลูกสาว
"ท่านพ่อ" มือเล็กนั้นเรียกบิดาเข้ามาใกล้ แขนเล็กๆป้อมๆนั้นกอดคอบิดาก่อนฝังใบหน้าเล็กนั้นซุกไหล่กว้าง และบิดตาลง
คำบ่นสาปแช่งนั้นเงียบ ลูกสาวตัวเล็กของเขานั้นหลับลงเสียแล้ว ทำให้ทุกอย่างเงียบเสียงลง ทั้งรถม้าของจวนที่เดินช้าเหลือเกิน แม้จะมีราชโอการเรียกตัวให้เข้าเฝ้าก็ตาม
ร่างเล็กนั้นอยู่ในอ้อมกอดของบิดาตลอดทาง จนถึงห้องทรงพระอักษร
กงกงกำลังจะขานชื่อของเสนาบดี แต่เท้าของบิดาที่ห่วงลูกนั้นเหยียบลงบนเท้าของกงกงอาวุโสเสียก่อน
มือหนานั้นใช้มือจุ๊ปากเพื่อบอกให้อีกฝ่ายเงียบเสียงลง แม้กงกงจะเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่วัยเยาว์ใช่ว่าเสนาบดีซู่ผู้นี้จะเหยียบเท้าของเขาแบบนี้ได้อย่างไรกัน
ร่างอ่อนแอ่นของชายวัยกลางคนนั้นเดินสะบัดเข้าไปด้านในห้องทรงพระอักษรทันที
ซูจางเหว่ยทำได้แต่เพียงยิ้มแห้งๆส่งให้เป็นการขอโทษเพื่อนไป
"เสนาบดีซูและคุณหนูมาถึงแล้วพะยะค่ะ" ฮ่องเต้นั่งบนเก้าอีกสลักมังกรนั้นขยับมือเบาๆเป็นการอนุญาตให้ทั้งสองเข้ามา
"หม่อมฉันถวายบังคมพะยะค่ะ ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี" มือข้างหนึ่งอุ้มบุตรสาวที่กำลังหลับสนิทอยู่ด้วยทำการคารวะนั้นดูแปลกพิกล เรียกความฉงนของผู้เป็นใหญ่ให้เงยหน้าขึ้นมา
"ลุกขึ้น" องค์ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาท่านเสนาบดีซู่
หลายคนอาจมองว่าเป็นการไม่บังควร แต่ฮ่องเต้นั้นหาได้สนใจไม่ เพื่อนเล่นกันมาแต่วัยเยาว์นั้น เขาพอจะรู้แจ้งเห็นชาติของเพื่อนคนนี้ที่เห่อลูกสาวตั้งแต่ยังไม่คลอดมาแต่ไหนแต่ไร จึงทำได้เพียงเดินเข้ามาใกล้เพื่อพินิจใบหน้าเด็กน้อย
"ไหนดูสิ เจ้าหมูน้อยโตขึ้นมากเสียจริง"
สุรเสียงติดล้อเลียนนั้นทำให้คิ้วกระบี่ของใต้เท้าซู่นั้นขมวดเข้าหากัน เรียกความสนุกสนานของผู้เป็นใหญ่ สิ่งที่แกล้งคนตรงหน้าได้คงเป็นเรื่องลูกสาวคนนี้เสียมากกว่า
เขานั้นเหนื่อยใจกับเข้าเพื่อคนนี้เสียจริง ตอนแรกยกตำแหน่งยศใหญ่ให้ลูกชายคนโต แต่ดันเกิดเหตุที่ต้องปฎิเสธทั้งยังไม่อาจนำคนตระกูลซู่เข้ามาเชื่อมสัมพันธ์กับราชสำนักได้อีก ส่วนเจ้าลูกชายคนกลางนั้นก็ดูจะเสเพไปเสียหน่อยในสายตายของตน ส่วน หนิงเฉียง บุตรสาวคนโตของเสนาบดีซูนั้น ก็เข้ามาได้ตำแหน่งเพียง พระสนมเอก เจาหรง เท่านั้น
คงต้องหวังพึ่งบุตรสาวคนเล็กของคนตรงหน้าเสียแล้ว ยิ่งได้ข่าวความฉลาดเฉลียวของเด็กวัยสี่ขวบปีนั้น แม้ข่าวที่ได้มาอาจจะดูเกินจริงไปเสียบ้าง แต่หน้าตาพริ้มเพรา น่ารักน่าชังแบบนี้ ก็ถือว่ามีคุณสมบัติดีงามเหลือเกิน
การจับจ้องใบหน้าบุตรสาวของตนนั้น ทำให้พ่อจงอางขยับกายเบียงออกเล็กน้อยเพื่อหลบเลี่ยงสายตา
"นั่งก่อนจางเหว่ย" ปฎิกิริยาหวงของอีกฝ่ายเรียกร้อยยิ้มละไม เชื้อเชิญให้สหายของตนนั่งลงเสียก่อน
"ข้าได้ข่าวมาว่าลูกสาวคนเล็กของเข้านั้นฉลาดหลักแหลม ข้ามีบางเรื่องที่ต้องให้นางช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนบุตรสาวของเจ้ามากไปหรือไม่" คำถามที่เรียกความฉงนนั้นมีมากขึ้นไปอีก
จางเหว่ยจ้องมองใบหน้าของฮ่องเต้ มีบางอย่างบอกกับตัวเองว่าต้องรีบออกไปจากที่นี้ ต้องรีบ
"มิกล้า มิกล้า ซูหมี่นั้นเพียงสี่หนาวเท่านั้น ยังคงต้องเรียนรู้หลายสิ่งอีกมาก"
"อย่างงั้นรึ แต่ชาวบ้านต่างสรรเสริญว่า ซูหมี่ของเจ้านั้น เป็นอัจฉริยะ" รอยยิ้มสดใสของฮ่องเต้นั้นยิ้มส่งให้อย่างเป็นมิตร
"เป็นเพียงลมปากที่กล่าวกันเลื่อนลอยกระหม่อม"
"นั้นสินะ เลื่อนลอย เลื่อนลอย แต่หากต้องมีมูลเป็นแน่" บทสนทนาที่พยายามปิดจบกลับถูกต่อประโยค
"หม่อมฉันเกรงว่าจะใกล้เวลาเสวยแล้ว ขอทูลลา" ร่างของเสนาบดีซูนั้นหยัดกายลุกขึ้นทันที เพียงรู้ว่าบทสนทนานั้นเหมือนกำลังยื้อเวลาอะไรบางอย่างให้เขานั้นนั่งรอบางสิ่งที่น่ากลัว
"องค์ชายเก้าขอเข้าเฝ้า" เสียงกงกงขานนามผู้มาใหม่ขึ้นทันที
"เข้ามาๆ เจ้าเก้า" ฮ่องเต้รีบลากจูงบุตรชายของตนมายื่นตรงหน้าของเสนาบดีซู
"คารวะองค์ชายเก้า" ใบหน้าบึ้งตึงนั้นจับจ้องเด็กฉลาดตรงหน้าวัยสิบสี่ สิบห้านั้นทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อมต่ออาจารย์
"คารวะท่านอาจารย์"
"เจ้าเก้า มานี้มานี้เร็ว เจ้าว่าน้องหน้ารักหรือไม่" ฮ่องเต้ที่ตอนนี้เปลี่ยนหน้าที่จากคนบริหารราชการแผ่นดินมาเป็นพ่อสื่ออย่างออกหน้าออกตา
"ท่าน!!!!" เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เรียกร้อยยิ้มสดใสอย่างปิดไม่มิด
"อื๊ม" เสียงขยับตัวของเด็กน้อยที่ถูกกวน ค่อยลืมตาขึ้นอย่างเหมอๆงงๆ
"ขอรับท่านพ่อ" องค์ชายเก้าขานรับคำถามของบิดาโดยสายตาวางสบดวงตากลมของเด็กหญิงตรงหน้า ไม่กระพริบตา
เหมือนมีศรนับร้อยนั้นพุ่งตรงเข้าดวงใจของเขา ดวงตาสี่น้ำตาลสดใสนั้นตราตรึงความคิดของเขาเสียแล้ว
"ดีๆ" พ่อสื่อสูงศักดิ์นั้นเดินตรงกลับไปกลับโต๊ะไม้เนื้อดี หยิบจับพู่กันขึ้นจรดกระดาษอย่างรวดเร็ว และยื่นให้กงกงที่ยืนเคียงข้าง
"คุณหนูซูหมี่ บุตรีของทางเสนาบดีซูจางเหว่ย มีกริยามารยาทอ่อนหวานงดงาม ทั้งยังมีสติปัญญาสูงส่ง ให้ดำรงตำแหน่งท่านหญิงยอดคุณธรรม สามารถเข้านอกออกในวังหลวง พร้อมรถม้าและทองสิบหีบเป็นกำนัล และให้มีการหมั้นหมายกับองค์ชายเก้าเมื่อเข้าวัยปักปิ่นต่อไป"
ราชโองการนั้นเรียกเลือดขึ้นหน้าของบิดาทันที และความตระหนกของคนที่พึ่งตื่นในอ้อมแขน
เสนาบดีซู่เดินออกจากห้องทรงพระอักษรไปทันทีโดยไม่คิดจะรับราชโอการหรือหันมากล่าวลาผู้เป็นใหญ่
"เสด็จพ่อทำเช่นนี้จะดีหรอพะยะค่ะ"
"ฮ่าๆๆ ดี ดี ดี" ฮ่องเต้วัยกลางคนกลับไปนั่งทำงานอย่างสบายอารมณ์
ทิ้งให้เพียงองค์ชายเก้านั้นยืมมองท่าทางสนุกสนานของบิดา
มุมริมฝีปากนั้นกระตุกขึ้นยิ้มนิดๆ
---------
เอาแบบนี้เลยหรอ ฮ่องเต้!!!! ถามเด็กๆก่อนมั้ย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

8 ความคิดเห็น
-
#5 มาร์คึ@น้องแบม (จากตอนที่ 6)วันที่ 17 ตุลาคม 2563 / 14:31........#50