คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่5 ภาค3 เทวราชเหยียบโลกา
หลังจากที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายทางฝั่งถ้ำสวรรค์แดนมงคลสร้างเสร็จ ก็เชื่อมต่อกับทางฝั่งของป่ามรณะสมบูรณ์
…
ในขณะนั้น ทางฝั่งด้านในป่ามรณะค่ายกลเคลื่อนย้ายก็เปล่งแสงประกายสว่างจ้าอันเป็นสัญญาณว่าค่ายกลสามารถใช้งานได้แล้ว
ต้วนเทียนฮ่าวที่เห็นค่ายกลทำงานก็รีบเข้ามารายงานจางเต๋า
“พี่ใหญ่ค่ายกลเคลื่อนย้ายทำงานแล้วขอรับ”
“อืม นี่คงเป็นสัญญาณที่ฉินหนานบอกเอาไว้ ไปรวมตัวศิษย์ทุกคนเราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้..!!”
ใช้เวลาไม่นานศิษย์ทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ใจกลางป่ามรณะเบื้องหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ ก่อนจะทยอยเดินเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายหันไป
เพียงอึดใจเหล่าศิษย์สาวกทั้งหมดของสำนักเจ็ดนิรันดร์ก็เดินออกมาจากอีกฟากของค่ายกลโดยมีฉินหนานยืนและสหายทั้งสามรอรับอยู่อีกฝั่ง
ฉินหนานกล่าวกับศิษย์ทุกคน
“ต่อไปนี้ที่แห่งนี้ที่ข้าตั้งชื่อว่าถ้ำสวรรค์แดนมงคลจะเป็นที่มั่นของพวกเรา ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตตามปกติขยันบ่มเพาะพลังให้แข็งแกร่งขึ้น หากอยากออกไปชมดูโลกภายนอกให้ขออนุญาตกับผู้อาวุโสได้เลย..!!”
หลังจากนั้นฉินหนานก็ขอให้อิเตาแนะนำสถานที่และเมืองต่างๆในทวีปจิงโจวคร่าวๆ พร้อมทั้งให้ต้วนอี้และต้วนเทาแนะนำถึงเรื่องพื้นฐานค่านิยมของคนที่ทวีปจิงโจว
ทางด้านฉินหนานได้ชักชวนเหล่าพี่น้องให้เดินทางไปสำนักอักษรเทียนจงกับพวกตนด้วย ทั้งยังมอบหมายให้เหล่าผู้อาวุโสที่เป็นอดีตหน่วยเงาสังหารรับผิดชอบดูแลสำนักแทนโดยมีเฟิงเย่เป็นผู้นำ
เมื่อจัดการธุระภายในเสร็จสรรพ ทั้งสิบเอ็ดคนได้แก่ จางเต๋า ต้วนเทียนฮ่าว จงหลิงเอ๋อ เมิ่งชวน เมิ่งตี้ ฉินหนาน หมิงอี้ อิเตา ต้วนอี้ ต้วนเทาและคังซือหลิง พากันเหาะเหินไปทางทิศตะวันออกมุ่งหน้าไปสำนักอักษรเทียนจง
นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าพี่น้องทั้งหกของฉินหนานได้เหาะเหินด้วยระดับเขตแดนใหม่อย่างระดับเต๋าแท้จริง ทำให้ความเร็วในอดีตนั้นไม่อาจเปรียบ ฉินหนานตั้งใจพาทุกคนเดินทางด้วยการเหาะเหินโดยให้เหตุผลเดียวกันกับตอบที่พาสหายทั้งสามเดินทางมายังถ้ำสวรรค์แดนมงคล
ทว่าคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดเวลานี้น่าจะเป็นคังซือหลิงอาจารย์ของอิเตาที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับราชันจักรพรรดิขั้นปลายเท่านั้นทำให้ไม่สามารถเหาะตามได้ทัน ฉินหนานที่สังเกตเห็นก็ชะลอความเร็วลงหันไปกล่าว
“ผู้อาวุโส ให้ข้าช่วยท่านดีกว่า”
พรึบ..!!
ฉินหนานโบกสะบัดหลังมือเพียงหนึ่งครา บังเกิดคลื่นกระแสพลังเต๋าที่อบอวลไปด้วยพลังมรรคห่อหุ่มร่างของคังซือหลิงมองไปคล้ายถูกฟองสบู่หุ้มเอาไว้
ไม่รอช้าฉินหนานพลันสาวเท้าก้าวทะยานเหาะด้วยความเร็วที่ไม่อาจคาดเดา โดยมีคังซือหลิงตามไปติดๆเพื่อไล่ตามเหล่าพี่น้องและสหายของตนที่เหาะนำไปไกลมากแล้ว
“นะ นะ นี่… นี่คือความเร็วของระดับจักรพรรดิเซียนอย่างนั้นหรือ.? ราวกับว่าแค่คิดก็ไปถึงอย่างนั้นแหละ” คังซือหลิงคิดในใจ
เพียงอึดใจเดียวฉินหนานและคังซือหลิงก็ติดตามพรรคพวกของตนได้ทัน
“ฮ่า ฮ่า น้องหกข้าก็นึกว่าเจ้าจะตามพวกข้าไม่ทันเสียแล้ว”จงหลิงเอ๋อกล่าวหยอกล้อน้องชายของตน
“พี่สามก็กล่าวเกินไป หากข้าเหาะตามพวกท่านไม่ทันข้าก็แค่ใช้พลังกฎเกณฑ์แห่งห้วงมิติส่งตัวข้านำหน้าพี่หลิงเอ๋อได้ง่ายจะตายไป”
“นี่เจ้า เจ้าจะขี้โกงเกินไปแล้ว”จงหลิงเอ๋อแสร้งทำท่าไม่พอใจเชิดปากน้อยๆใส่ฉินหนาน
เหล่าพี่น้องคนอื่นๆเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะไม่หัวเราะ ฮ่าฮ่าออกมาไม่ได้
ด้วยความเร็วที่เต็มกำลังของทั้งหมดใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็มาหยุดอยู่เหนือเทือกเขาแห่งหนึ่งที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา มีสำนักโบราณแห่งหนึ่งปลูกสร้างเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ
“ศิษย์พี่ทุกท่านด้านล่างนี้คือสำนักอักษรเทียนจงของข้า”อิเตาอธิบาย
“เช่นนั้นพวกเราลงไปกันเถอะ..!!”เมิ่งชวนกล่าว
ฟึบ..!!
“เดี๋ยว..!!”ฉินหนานยกมือขึ้นมาขวาง
“พวกเรารอสักครู่ข้าขอติดต่อคนผู้หนึ่งก่อน”ฉินหนานยกมือห้ามในขณะที่ทั้งหมดเตรียมตัวจะทะยานร่อนลงสู่พื้น
ทุกคนหยุดชะงักหันมามองทางฉินหนานที่ในเวลานี้ปลดปล่อยปราณจิตสัมผัสลงไปเบื้องล่างเพื่อสื่อสารกับคนผู้หนึ่งอยู่
“ผู้อาวุโส ข้ามาตามนัดหมายแล้วขอรับ”
“อืม ข้ารู้แล้วเดี๋ยวข้าขึ้นไป”
เพียงชั่วครู่ปรากฎเงาร่างหนึ่งลักลอบออกจากสำนักทะยานเหาะขึ้นมาหาพวกฉินหนาน ทันทีที่คังซือหลิงและอิเตาเห็นผู้ที่มาถึง ทั้งสองรีบประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
“คารวะท่านเจ้าสำนัก…!!”
“อืม..!! พวกเจ้าปลอดภัยกลับมาแล้ว ดีๆๆ”
“ตอนนี้อาการบาดเจ็บของท่าน…?”
“ได้สหายน้อยผู้นี้ช่วยเหลือไว้นับว่าข้าโชคยังเข้าข้างรอดจากปากเหวความตายมาได้”
อิเตาที่รู้มารยาทจึงรีบทำการแนะนำท่านเจ้าสำนักให้กับเหล่าพี่น้องของฉินหนานได้รู้จัก
“ศิษย์พี่ทุกท่าน ท่านผู้นี้คือเจ้าสำนักอักษรเทียนจงของข้า มีนามว่าเหลียนเซิง”
“คารวะผู้อาวุโส..!!”เหล่าพี่น้องของฉินหนานประสานมือคารวะเหลียนเซิงอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่ต้องมากมารยาทตามสบายเถิด สงสัยข้าจะแก่แล้วจริงๆ เด็กรุ่นใหม่เบื้องหน้าข้าถึงกับมีการบ่มเพาะไม่ด้อยกว่าข้าเลยแม้แต่น้อย”เหลียนเซิงกล่าวชมทั้งหมด
เมื่อทุกคนทักทายปราศรัยกันพอสมควรฉินหนานจึงเปิดการสนทนาโดยไม่รีรอ
“ผู้อาวุโสข้าเข้าเรื่องเลยแล้วกันขอรับ แผนการของพวกเราดำเนินการสำเร็จหรือไม่ขอรับ.?”
“อืม พวกเจ้าเปิดตัวได้เต็มที่ ศิษย์ของสำนักอักษรเทียนจงแท้จริงจะไม่ขัดขวางเจ้า หากผู้ใดที่ขวางเจ้าทั้งสองคนจากการเข้าไปในสำนักนั่นถือว่าได้เข้าร่วมกับเจียงซือและเข้าร่วมกับสำนักมารโลหิตยึดอำนาจของข้าเพื่อขยายอำนาจของไอ้พวกมารโลหิต”เหลียนเซิงกล่าวพลางหันไปสบตาคังซือหลิงและอิเตา
“เช่นนั้นก็ดีขอรับ เช่นนั้นเราลงมือกันเถอะ”ฉินหนานพยักหน้าให้สัญญาณ
“สหายน้อยเนื่องจากข้าเป็นเจ้าสำนัก ไม่สะดวกกับการลงมือรบกวนสหายน้อยเป็นธุระแทนข้าด้วย” เหลียนเซิงกล่าวพร้อมกับลอบเร้นทะยานเหาะกลับที่เก็บตัวโดยมิให้ใครสังเกตเห็น
ทั้งหมดเตรียมจะร่อนลงสู่พื้นบนลานด้านในสำนัก จู่ๆค่ายกลป้องกันการบุกรุกของสำนักก็เปล่งแสงสว่างจ้าเปิดการทำงานขึ้นอย่างฉับพลัน วงแหวนค่ายกลวิญญาณหลายพันวงทำงานประสานซึ่งกันและกันหนุนส่งกันต่อเนื่องไม่ขาดสายจนเกิดเป็นม่านพลังโปร่งใสครอบคลุมทั่วทั้งสำนักเอาไว้อย่างมิดชิดแน่นหนาและแข็งแกร่ง
พวกฉินหนานถึงกลับชะงักถอยกลับออกมาเล็กน้อย
“ใครจะเป็นคนลงมือ?” เมิ่งตี้กล่าวออกมาเป็นคนแรก
“ข้าเอง ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลโบราณสร้างโดยฝีมือของจอมจักรพรรดิในอดีต แม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีความทรงพลังนั้นลดลงไม่น้อยแต่ทว่าระดับเต๋าแท้จริงยังทำลายลงไม่ได้หรอก”
ฉินหนานกล่าวพลางถกแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างอย่างลวกๆพร้อมกับเอาสองมือเท้าเอวยกขาขวาขึ้นมาก่อนจะเหยียบลงไปกลางอากาศ ใช้เคล็ดวิชาเทวราชเหยียบโลกาที่ดัดแปลงจากเคล็ดวิชาหมัดเทวราชเขย่าโลกา
ตึง..!!!
ครืน..!!!
ตูม..!!
บาทาของฉินหนานที่เหยียบลงไปนั้นตรงไปตรงมายิ่งกว่า ห้วงอากาศพังทลายถูกหนึ่งเท้าที่อัดแน่นไปด้วยเต๋าและมรรคที่ทรงพลังนี้เหยียบจนเกิดรอยแยก ยินเสียงหวีดร้องของอากาศ แค่คิดก็รู้ว่าการโจมตีนี้ดุดันเพียงใด
จากจุดนี้ก็มองออกว่าทรงพลังแค่ไหน
ตูม!
ประกายแสงแพรวพราวราวกับรุ้งศักดิ์สิทธิ์สีทองของค่ายกลป้องกันพยายามต่อต้านการโจมตี
ทว่าไม่นานเสียงราวร้าวค่ายกลดังแกร๊กๆ เจียงซือและเหล่าคนที่ผู้แปรพักตร์ต่างกรูกันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แกร๊กๆๆๆ..!!
เพล้ง..!!
เสียงแตกของค่ายกลป้องกันดังกังวาลไปทั่วบริเวณหุบเขาเทียนจง
สภาวะการโจมตีของฉินหนานยังไม่จบเพียงแค่นั้น แม้แต่หน้าผายังถูกเหยียบถล่ม โขดหินแตกกระจาย ภูเขาทรุดตัว เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ฝุ่นควันทะลวงขึ้นฟ้า
“อื้อหือ ข้าล่ะไม่แยากจะคิดหากว่าข้าโดนบาทาเมื่อครู่เข้าไปข้าคงแบนเป็นคางคกโดนล้อรถม้าเหยียบ” หมิงอี้น้องเจ็ดแห่งสำนักเจ็ดนิรันดร์อุทานออกมา ทำเอาเหล่าพี่น้องหัวเราะคิกคักกันทั่ว
ฉินหนานพยักหน้า “พวกเราลงไปกันเถอะ..!!”
ทั้งหมดพลันทยอยร่อนลงสู่พื้น ทันทีที่เจียงซือเห็นผู้ที่ลงมาเป็นคังซือหลิงและอิเตาก็รีบก้าวออกมาชี้หน้าตวาดว่า
“ที่แท้เป็นไอ้คนทรยศทั้งสอง พวกเจ้าขวัญกล้าบังอาจนักที่มาทำลายค่ายกลป้องกันสำนัก..!!”
ไม่รอให้อาจารย์ของตนกล่าวตอบอิเตาชิงตัดหน้า กล่าวสวนกลับ
“ทรยศบิดาเจ้าน่ะซิไอ้ระยำหมา ใครกันแน่ที่ทรยศ..!!”
หลางเทียนศิษย์คนโตของเจียงซือเห็นอิเตาขวัญกล้าบังอาจทำตัวไม่มีสัมมาคารวะใส่อาจารย์ของตนก็ทนไม่ได้ ชี้หน้าตะโกนใส่อิเตา
“ไอ้ขยะแกกล้าดียังไง ไม่เคารพผู้อาวุโสมาคุกเข่าขอโทษและรับโทษที่ทรยศสำนักซะ..!!”
“เยี่ยม.!! ศิษย์พี่หลางเทียนจัดการมันเลย”
“คนทรยศต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“เราต้องฆ่ามันและอาจารย์ของมันเพื่อแก้แค้นให้ท่านประมุข..!!”
เหล่าศิษย์ที่แปรพักตร์ต่างตะโกนโห่ร้องให้กำลังใจหลางเทียน มีเพียงศิษย์ที่ยังภักดีที่สงบว่าไม่กล่าวอะไรออกไป
อิเตาค่อยๆเหลือบตาไปมองหลางเทียนด้วยสายราวราวกับมองสุนัข
“ข้าก็นึกว่าสุนัขที่ไหนเห่า ที่แท้ก็สุนัขขี้เรื้อนเฝ้าสำนักนี่เอง ชีวิตสุนัขบัดซบเช่นเจ้าเนี่ยนะจะให้ข้าคุกเข่า เกรงว่าเจ้าจะไม่มีความสามารถพอ”
หลางเทียนที่ได้ยินอิเตากล่าวแดกดันเอาตนไปเปรียบกับสุนัขก็เกิดโทสะลุกโหมในใจ
“หึ..!! อย่างข้าเนี่ยนะไม่มีความสามารถ ปีนี้ข้าอายุยี่สิบห้าปีมีการบ่มเพาะอยู่ในระดับจักรพรรดิแล้ว ส่วนเจ้าเมื่อสามปีก่อนเพิ่งจะมีการบ่มเพาะระดับปราณฟ้า ไม่มีวันที่หน้าอย่างเจ้าจะตามข้าทัน”
ความคิดเห็น