ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปรมาจารย์จิตวิญญาณสะท้านภพ3

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2 ภาค3 แปดเต๋าแท้จริง

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 65


    เมฆาเคราะห์อัสนีทัณฑ์สวรรค์ดำเนินไปกว่าสามชั่วยาม จำนวนสายฟ้าที่ผ่าลงมาไม่สามารถจินตนาการได้

    ถึงแม้ว่าจำนวนของสายฟ้าจะมากมายเพียงใดบรรดาศิษย์ของสำนักเจ็ดนิรันดร์ล้วนปลอดภัยมิได้รับอันตรายแม้แต่น้อย พลังฟ้าดินที่หนาแน่นเข้มข้นขนาดนี้หลายต่อหลายคนต่างทะลวงขั้นไปสามถึงสี่ขั้น บางคนโชคดีทะลวงไปถึงห้าขั้น

    ไม่ต้องพูดถึงพวกจางเต๋าและเหล่าพี่น้องคนอื่นๆของฉินหนานที่ติดอยู่คอขวดขั้นสุดท้ายของระดับราชันจักรพรรดิ ต่างก็สะสมพลังปราณดูดซับพลังฟ้าสวรรค์ไว้ในตันเถียนมากมาย แต่ติดตรงที่ถูกกฎเกณฑ์ฟ้าดินแห่งทวีปหลงซานกดทับระดับการบ่มเพาะเอาไว้ทำให้ไม่อาจทะลวงระดับต่อไปได้

    ในเวลานี้ทั้งหกคนได้แก่ จางเต๋า ต้วนเทียนฮ่าว จงหลิงเอ๋อ เมิ่งชวน เมิ่งตี้และหมิงอี้ ต่างก็ทะลวงขึ้นสู่ระดับเต๋าแท้จริงขั้นกลางเป็นที่เรียบร้อย

    แม้ว่าคนจากสำนักเจ็ดนิรันด์หลายพันคนจะทะลวงด่านเรียบร้อยแล้วแต่ทว่าเหล่าเมฆมหาคณาเคราะห์บนเวิ้งฟ้ายังไม่จางหายไปไหน

    ด้วยพลังฟ้าดินที่เข้มข้นหนาแน่จากการที่คนนับพันทะลวงด่านพร้อมกัน ทำให้แม้กระทั่งสหายทั้งสามของฉินหนานอย่างอิเตา ต้วนอี้และต้วนเทาที่มีเคล็ดวิชาดูดซับพลังฟ้าดินอย่างรวดเร็วเป็นทุนเดิม ต่างก็รู้สึกตัวว่ากำลังจะฝ่าด่านทะลวงพลัง ทั้งสามพลันทรุดตัวนั่งขัดสมาธิบนพื้น

    ครืน…!!

    เปรี้ยง..!!

    สายฟ้าสีเงินยวงกระจ่างตาผ่าลงมา พลังทำลายล้างและแรงกดดันที่ทำเอาหายใจไม่ออก ทำเอาเหล่าศิษย์สาวกของสำนักเจ็ดนิรันดร์รู้สึกว่าอันตรายถึงชีวิตพากันหาที่หลบกันให้จ้าละหวั่น

    แต่ผ่าลงมาไม่ทันลงมาถึงตัวของสหายฉินหนานทั้งสาม กลับกลายเป็นว่าสายฟ้านั้นพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

    “หืม เกิดอะไรขึ้นกัน?”

    “สายฟ้าที่รุนแรงขนาดนั้นอยู่ดีๆเหตุใดถึงหายไปเฉยๆ?”

    สายตาหลายสิบคู่พากันแหงนมองบนฟ้า

    “นั่นดูบนฟ้านั่น..!!”

    เสียงตะโกนของไม่กี่คนทำให้ผู้ที่อยู่ในป่ามรณะต่างพากันมองตามเสียงเหล่านั้น

    เมื่อทุกคนเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าใครต่างก็อุทานออกมาอย่างลืมตัว

    นั่นคือเห็นฉินหนานที่ไม่รู้ว่าไปอยู่บนนั้นตั้งแต่เมื่อใด กำลังล่องลอยอยู่ใจกลางดวงตาเมฆามหาคณาเคราะห์ที่กำลังหมุนวนเป็นรูปกงจักร สองมือกำลังบีบอัดสายฟ้าสีเงินยวงนั้นอย่างสุดกำลังแต่สายฟ้านั้นก็ยังพยศมิได้ยอมสยบแต่อย่างใด กำลังดิ้นรนหลบหนีออกจากการควบคุมของฉินหนานให้ได้

    “ข้าต้องสร้างมันขึ้นมาให้สำเร็จให้ได้ หากว่าทฤษฎีที่ข้าคำนวนไว้ถูกต้องละก็ สิ่งที่ข้าจะสร้างขึ้นมานี้จะสามารถสังหารผู้ที่อยู่ในระดับจักรพรรดิจอมฟ้าได้อย่างไม่ยากเย็นนักและยังมีอานุภาพในการติดตามสังหารอีกด้วย”

    ในขณะที่ฉินหนานกำลังใช้ความพยายามอยู่นั้น ก็ได้เหลือบตาไปมองผู้คนที่อยู่ด้านล่างพร้อมโคจรเคล็ดวิชามังกรคำรามตะโกนให้สติออกไป

    “เอาอีกแล้วเหม่ออีกแล้ว นี่เป็นโอกาสสำคัญในการดูดซับพลังฟ้าดินที่เข้มข้นและบริสุทธิ์กว่าใช้ค่ายกลวิญญาณรวบรวมหลายเท่ายังไม่รีบกอบโกยอีก..?”

    “เฮือก..!”

    คนทั้งหมดพากันสะดุ้งได้สติ รีบทรุดตัวนั่งลงเริ่มบ่มเพาะกันต่อในทันที จะมีก็แต่พวกอิเตาที่ในเวลานี้ไม่เพียงทะลวงด่านมาถึงขั้นเต๋าแท้จริงขั้นปลายสำเร็จมิหนำซ้ำยังสะสมกำลังเพื่อใช้ในอนาคตหากมีโอกาสที่เหมาะสมก็จะใช้ในการทะลวงขั้นถัดไปได้โดยง่าย

    ฟืม..!!

    ผ่านไปว่าสี่ชั่วยามในที่สุดฉินหนานก็กำราบสายฟ้านั้นสำเร็จ จึงอดมิได้ที่จะพึมพำออกมา

    “นึกไว้แล้วเชียวว่าการที่ผู้บ่มเพาะมากมายต้องมาเจอกับทัณฑ์สวรรค์ทุกครั้งที่จะทะลวงด่าน ข้าก็สงสัยอยู่นานแล้วว่าทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้จะต้องมีจิตวิญญาณ”

    พูดจบฉินหนานพลันชูมือขวาขึ้นพร้อมทั้งตั้งท่าเอี้ยวตัวไปด้านหลัง

    พริบตานั้นความว่างเปล่าในมือของฉินหนานนั้นปรากฏทวนยาวเล่มหนึ่งที่ทั่วทั้งเล่มทวนนั้นเป็นสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์สีเงินยวงที่ฉินหนานกำราบเมื่อครู่

    ทันทีที่ทวนนั้นปรากฏก็แผ่พุ่งพลังน่าสะท้านขวัญ กลิ่นอายสังหารยากบรรยายกระจาย ออกมาจากคมทวน

    ซิ้ง!

    ชั่วพริบตานั้นราวกับมีเทพเทวาองค์หนึ่งฟื้นคืนจากคมทวน พลังสูงส่งที่ถักทอระหว่างมรรคและวิชาทิ่มแทงลงมาอย่างครึกโครม ปลายทวนชี้ไปยังห้วงอากาศที่ว่างเปล่า

    เหล่าพี่น้อง สหายและสาวกสำนักเจ็ดนิรันดร์ต่างก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกจากแรงกดดันของทวนเล่มนั้น

    ฟุบ!

    ฉินหนานขว้างทวนนั้นออกไปยังเวิ้งฟ้าที่ว่างเปล่า

    ฟูม.!!

    ฟูม.!!

    ฟูม.!!

    ทวนเล่มนั้นพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนสายตาไม่อาจมองเห็นแม้กระทั่งปราณจิตสัมผัสไม่อาจติดตามได้ทัน ทิ้งเพียงร่องรอยภาพติดตาเป็นลำแสงสีเงินยวงงามสง่ากระจ่างตาแต่กลับให้ความรู้สึกกดดันแทบจะถึงชีวิตออกมาด้วย

    เส้นทางลำแสงสี้งินยวงนี้เหล่าผู้คนธรรมดาและผู้บ่มเพาะในทวีปจิงโจวต่างก็เห็นกันทั้งหมดพากันเล่าลือคาดการณ์กันไปต่างๆนานา

    ตูม..!!!

    ครืน..!!!

    บึ้ม..!!

    ตูม..!!ตูม..!!ตูม..!!

    ทันใดนั้นเกิดเสียงของดวงดาวที่อยู่นอกทวีปจิงโจวเกิดระเบิดขึ้นอย่างกระทัน ทุกสายตาต่างเห็นได้ชัดถนัดตาว่าที่ดวงดาวระเบิดนั้นเป็นเพราะลำแสงสีเงินยวงพุ่งชน

    “อึก..!”

    “เอื๊อก.!!”

    เหล่าผู้คนที่อยู่นอกป่ามรณะที่ได้เห็นทวนสีเงินเล่มนั้นต่างพากันลอบกลืนน้ำลาย

    “ข้าล่ะไม่อยากจะคิดเลยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของลำแสงสีเงินยวงนั่นจะแข็งแกร่งขนาดไหน”

    “แล้วเจ้าว่าจะเป็นระดับเต๋าแท้จริงคนไหนที่ปลดปล่อยออกมา สำนักอีกาทอง สำนักสุริยันจันทรา หรือสำนักเบญจมาศสวรรค์?”

    “เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลยหรือไง สำนักอีกาทอง สำนักสุริยันจันทราและสำนักเบญจมาศสวรรค์ เมื่อตอนที่ป่ามรณะเปิดต่างก็สูญเสียครั้งใหญ่เหล่าผู้อาวุโสในสำนักไปล่วงเกินชายหนุ่มนิรนามผู้หนึ่งเข้าจึงถูกสังหารเกือบหมด”

    “ใช่ๆ ข้าก็ยินมาเช่นนั้นเหมือนกัน”

    “ถ้าหากไม่ใช่สามสำนักนั้นหรือจะเป็นสำนักอักษรโม่เซินไม่ก็สำนักอักษรเทียนจง?”

    “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะว่า ผู้อาวุโสม่อเทียนและม่อชิงต่างก็เก็บตัวมาหลายเดือนแล้ว ส่วนเจ้าสำนักอักษรเทียนจงบาดเจ็บรักษาตัวอยู่หลายปีแล้วส่วนเหล่าผู้อาวุโสได้ยินมาว่าคืนหนึ่งมีชายหนุ่มนิรนามผู้หนึ่งบุกเดี่ยวเข้าไปถล่มสำนักจนราบคาบบาดเจ็บนับไม่ถ้วนป่านนี้ก็ยังคงรักษาตัวกันอยู่เช่นกัน”

    ในขณะที่เหล่าผู้บ่มเพาะพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ทางด้านในป่ามรณะฉินหนานที่กลับลงมาจากบนอากาศกล่าวกับเหล่าสาวก

    “เอาหล่ะพวกเราจะปักหลักบ่มเพาะอยู่ในป่าแห่งนี้สักพักก่อนจะเดินทางไปยังฐานที่มั่นที่ข้าได้สร้างเอาไว้ ระหว่างนี้ทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะสามารถมาขอรับได้ที่ผู้อาวุโสในสำนักได้เต็มที่ขอเพียงพวกเจ้ามีความก้าวหน้าในการบ่มเพาะ”พูดจบฉินหนานพลางยื่นแหวนมิติให้กับเฟิงเย่ให้เป็นตัวแทนในการจัดการก่อนจะหันมาพูดกับเหล่าพี่น้องของตน

    “พี่ใหญ่พวกท่านเพิ่งทะลวงระดับใหญ่หลายขั้นช่วงนี้เราบ่มเพาะให้รากฐานมั่นคงกันเสียก่อนค่อยออกเดินทางต่อจะดีกว่าขอรับ”

    จางเต๋าพยักหน้าเห็นด้วย “อืมก็ดีเหมือนกัน ข้าไม่นึกเลยว่าจะสามารถทะลวงมาสู่ระดับเต๋าแท้จริงได้เพียงแค่ก้าวข้ามออกมาจากทวีปหลงซาน”

    “นั่นสิพวกเราต่างก็ติดอยู่ในขั้นราชาจักรพรรดิมาถึงห้าปีเต็ม เมื่อมายังสถานที่ใหม่ควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ฟ้าดินของที่นี่ให้ดีก่อนออกเดินทางไปยังที่อื่น”ต้วนเทียนฮ่าวกล่าวเสริม

    ฉินหนานนิ่งเงียบอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยปาก

    “เมื่อพวกท่านบ่มเพาะถึงขั้นเต๋าแท้จริงแล้วข้าจะชี้แนะว่า นอกจากจะแปลงพลังเป็นปราณต้นกำเนิดแล้ว ส่วนสำคัญที่สุดสำหรับระดับการบ่มเพาะคือมรรคา มรรคาคือเส้นทางที่จะพาให้การบ่มเพาะเดินหน้าต่อไป การที่ข้าใช้พลังกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินได้ก็เป็นมรรคอย่างหนึ่ง การที่ข้ากลืนกินสายฟ้าได้ก็มรรคอย่างหนึ่ง ขอเพียงค้นหามรรคที่เหมาะกับตนการบ่มเพาะก็จะก้าวหน้าต่อไป”

    การชี้แนะของฉินหนานแม้จะฟังดูสั้นๆแต่กลับลึกซึ้ง ไม่เพียงเหล่าพี่น้องของตนจะได้ยินแม้แต่เหล่าสหายและสาวกทั้งสองพันก็ได้ยินกันทั้งหมดต่างได้รับประโยชน์กันไปไม่น้อย

    วันเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ด้วยโอสถวิเศษมากมายที่มีให้ใช้อย่างไม่จำกัดก็ทำให้ทุกคนที่เพิ่งทะลวงระดับมาสามารถทำระดับพลังให้เสถียรได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการรักษาระดับพลังที่รวดเร็วกว่าผู้บ่มเพาะภายนอกที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนซึ่งใกล้เวลาที่จะต้องออกเดินทางต่อแล้ว

    “พี่ใหญ่พวกท่านรออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้าจะพาเหล่าสหายไปจัดการธุระสักหน่อยก่อนออกเดินทาง หากได้สัญญาณจากข้าให้ทำตามแผนได้เลยนะขอรับ” ฉินหนานกล่าวกับจางเต๋า

    “อืม รักษาตัวอย่าไปให้ใครทุบตีมาล่ะ”

    “โถ่พี่ใหญ่ ท่านหน่ะควรจะห่วงฉินหนานจะไปทุบตีคนอื่นต่างหาก” จงหลิงเอ๋อกล่าวแทรกการสนทนาของทั้งสองคน

    เหล่าพี่น้องทุกคนที่ได้ยินคำพูดของจงหลิงเอ๋อ ต่างก็หัวเราะ ฮ่า ฮ่า ออกมาอย่างสนุกสนาน

    แปะ

    ต้วนเทียนฮ่าวบางมือบนบ่าฉินหนานพร้อมกับกล่าว

    “ไปเถอะน้องพี่รีบไปรีบกลับ ข้าอยากจะชมทวีปจิงโจวเต็มแก่แล้ว”

    “ขอรับ”

    “พวกเราไปกันเถอะ”

    พูดจบฉินหนานพยักหน้าเรียกสหายทั้งสามคนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง ทั้งสี่ไม่รอช้าพลันสาวเท้าก้าวทะยานเหาะขึ้นฟ้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกราวกับดาวตก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×