ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปรมาจารย์จิตวิญญาณสะท้านภพ3

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่6 ภาค3 สงัดนิรันดร์ดับวิชา

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 65


    อิเตาที่เริ่มรู้สึกรำคาญที่จะโต้เถียงต่อจึงกล่าวตัดบท

    “เจ้าจะทำอะไรก็ทำข้าขี้เกียจฟังเจ้าเห่าแล้ว น่ารำคาญตายชัก”

    หลางเทียนเขาไม่พูดสักคำ พุ่งออกไปอย่างเหี้ยมหาญ ชักดาบศึกทองอร่ามเล่มหนึ่งออกมาและฟาดฟันออกไป

    ตูม..!!

    ห้วงอากาศพังทลายลง ถูกหนึ่งดาบนี้ฟันจนเกิดรอยแยก ทุกคนได้ยินเสียงหวีดร้องของอากาศ แค่คิดก็รู้ว่าการโจมตีนี้ดุดันเพียงใด

    จากจุดนี้ก็มองออกว่าในใจหลางเทียนเดือดดาลแค่ไหน

    ตูม!

    ประกายดาบราวกับรุ้งศักดิ์สิทธิ์สีทองฟันใส่อิเตา ที่ห่างออกไปตั้งใจหั่นให้เป็นสองซีกโดยพลัน

    ทันทีที่หลางเทียนลงมือ ใช้วิธีที่น่ากลัว ดุกร้าว และ เฉียบขาดดุจฟ้าคำรามนั้น ก็สะเทือนเลื่อนลั่นทั่วลาน ทำให้ผู้ฝึกปราณของของสำนักอักษรเทียนจงมากมายต่างรู้สึกตกใจ

    เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะกำราบอิเตาอย่างแข็งกร้าว ตั้งใจจะเหยียบอิเตาไว้แทบเท้าด้วยท่าทีที่ดูหมิ่นทรงพลัง!

    ทว่าอิเตาไม่ได้หลบเลี่ยง โบกฝ่ามือขวาออกมา สำแดงพลังกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินเป็นตราประทับหนึ่งซัดโจมตีไปเบื้องหน้า ดุจดังสัตว์เทพมังกรโบราณตัวหนึ่งผงาดขึ้นสู่ฟากฟ้า ท่วงท่าบารมีก็น่าทึ่งเช่นเดียวกัน ทำให้ห้วงอากาศระเบิดคำราม

    ตูม!

    พื้นที่ลานประลองแห่งนี้เหมือนภูเขาถล่มผืนดินทลาย เสียงปะทะกันราวกับเก้าชั้นฟ้าคำราม ดังกึกก้องสะเทือนจนบาดแก้วหู เลือดลมพลิกตลบ

    บรรดาศิษย์ของสำนักอักษรเทียนจงฝ่ายที่ยังภักดีทั้งหมด ต่างตกประหม่าหาใดเปรียบ รู้สึกกังวลแทนอิเตา กลัวว่าเขาจะรับการโจมตีรุนแรงของหลางเทียนไม่ไหว อย่างไรเสียการโจมตีของเจ้าหมอนี่ก็น่ากลัวเกินไปจริงๆ

    มีเพียงฉินหนานและพวกที่นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ในใจของพวกเขารู้ดีว่า อิเตานั้นเหยียบย่างบนเขตแดนเต๋าแท้แล้ว ไม่มีทางถูกกำราบเป็นแน่เหตุผลที่จะสู้ยืดเยื้อก็คงเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของอิเตาที่ชอบปั่นประสาทคนอื่น

    ในลานการต่อสู้ แสงเรืองรองพังทลายสั่นสะเทือนรุนแรง เสมือนภูเขาไฟสองลูกปะทะกัน ต่างปลดปล่อยความแสงผันผวนน่าหวาดกลัวออกมา แผ่กระจายไพศาล กวาดม้วนทั่วสารทิศราวกับคลื่นมหึมา

    แนวหินภูเขา ถนนหนทาง ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ละแวกใกล้เคียงต่างถูกทำลายในบัดดล ฝุ่นควันคละคลุ้ง

    ทั้งสองดวลกันด้วยหนึ่งหมัดเปล่าหนึ่งดาบ คนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งแกร่งกร้าวผ่าเผย ดุจดังกระบี่สมบัติไร้เทียมทานออกจากฝัก อีกคนเงาร่างโดดเด่นเหนือโลกีย์ รอบกายรายล้อมด้วยแสงพิสุทธิ์เรืองรองแห่งเต๋าและมรรค ต่างฝ่ายต่างฟาดฟัน คลื่นปั่นป่วนอันน่าหวาดกลัวนั้นลุกโชน บาดตาจนผู้คนไม่อาจลืมตาขึ้นได้

    เพียงชั่วขณะเท่านั้นก็ประมือกันกว่าสิบครั้ง ว่องไวอย่างยิ่ง ความน่าหวาดกลัวแห่งพลังทำให้พื้นที่ ตรงนั้นตกสู่ความโกลาหลใหญ่ เมฆลมเปลี่ยนสี สรรพสิ่งแตกทลาย

    นี่…

    เหล่าผู้อาวุโส บรรดาเหล่าศิษย์ที่แปรพักตร์และภักดีต่างอึ้งค้าง หลางเทียนซึ่งครองพลังแกร่งกล้าไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาศิษย์ชั้นใน มีพลังโจมตีดุดันน่ากลัวเพียงใด แต่ถึงกับถูกอิเตาสกัดไว้ได้ทั้งหมด!

    ทั้งยังกำลังปะทะกันซึ่งๆ หน้า

    พวกเขาหัวใจสะท้าน เบิกตากว้างด้วยรู้สึกยากจะเชื่อ

    “หลางเทียนกดพลังของตัวเองเอาไว้ ถึงได้ปล่อยให้เจ้าคนทรยศนี่มีโอกาสโจมตีโต้กลับ วางใจเถิดความพ่ายแพ้ของมันถูกกำหนดไว้แล้ว อยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น”

    อาวุโสในสำนักคนหนึ่งปลอบใจบรรดาเหล่าศิษย์เช่นนี้

    โครมๆ!

    พื้นดินแตกระแหงทั่วบริเวณ เศษหินดินโคลน กวาดม้วนลอยล่องราวกับคลื่นสมุทร ห้วงอากาศส่งเสียงหวีดคำรามบาดแก้วหู แสงเรืองรองแหลกลาญในความว่างเปล่า

    นี่คือภาพน่ากลัวที่เกิดจากการปะทะดุเดือดระหว่างทั้งสองคนรุนแรงไปแล้วจริงๆ

    ฉึบ!

    ไม่นานนัก สองคนที่กำลังสู้กันดุเดือดล้วนล่าถอย ต่างฝ่ายต่างแยกจากกัน

    เพียงแต่ไม่นานทั้งสองก็เริ่มการโจมตีอันน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิมขึ้นอีกครั้ง

    ฝนแสงเรืองรองเจิดจรัสราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ปกคลุมเงาร่างของทั้งสอง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เงาร่างไหววูบทำเอาผู้คนมองจนละลานตา เกือบลืมหายใจไปสิ้น

    แม้จะเป็นคนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสล้วนอดไหวหวั่นไม่ได้ ไม่อาจจิตนาการได้ว่าคนรุ่นหลังสองคนที่ อายุน้อยเช่นนี้ ไฉนถึงครอบครองพลังน่าสะพึงเช่นนี้ได้ นี่มันวิปริตชัดๆ หลางเทียนยังพอว่าแต่อิเตากลับไม่น่าเป็นไปได้

    ส่วนบางคนกลับตกตะลึงโดยสิ้นเชิง ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น สำหรับพวกเขาแล้วพลังเช่นนี้เหนือจินตนาการเกินไป ทุกครั้งที่ปะทะกันก็เพียงพอจะทำลายภูผามหาสมุทร ปั่นป่วนจักรวาลได้แล้ว ดูเหมือนกับสุริยันจันทรากำลังประชันแสงกันไม่มีผิด

    “เฮอะ!”

    ในลานต่อสู้ หลางเทียนแค่นเสียงเย็นชา การโจมตี แข็งกร้าวของเขาถึงขั้นถูกหยุดยั้งอย่างง่ายดาย ไม่สามารถพิชิตชัยคู่ต่อสู้คนนี้ได้ในทันที สิ่งนี้ทำให้เขาค่อนข้างไม่สบอารมณ์

    ตูม!

    อานุภาพของหลางเทียนยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ รอบกายมีแสงเรืองลุกโชน พวยพุ่งสู่ท้องฟ้าราวกับ เตาไฟขนาดใหญ่ ผมยาวสีเงินปลิวสยาย องอาจดั่งเทพ ไท้ สุกสกาวชัชวาล

    “แข็งแกร่งยิ่ง!”

    ผู้บ่มเพาะบางคนต่างหน้าเปลี่ยนสี รับรู้ถึงความน่ากลัวในพลังของหลางเทียน แต่ทว่าพลังนี้มิได้อยู่ในสายตาของอิเตาและพวกแม้แต่น้อย

    “ข้าขี้เกียจจะเล่นกับเจ้าแล้ว เจ้ามันก็แค่ลูกหมา..!!”อิเตาตวาด

    “สงัดนิรันดร์ดับวิชา!” เงาร่างของอิเตาพลันสำแดง แผ่นหลังแผ่แสงเรืองออกมาดุจประหนึ่งเทพอสูรร่างใหญ่มหึมา ปรากฏภาพมายาแห่งเทพอสูรอาชูร่าตนหนึ่ง

    นี่คือมรดกวิชาลับหนึ่งในเคล็ดวิชามรรคสงัดนิรันดร์ ที่ฉินหนานถ่ายทอดให้ ในยามนี้ถูกอิเตาสำแดงออกมา พลังอำนาจนั้นแตกต่างจากที่ผ่านมา

    พลันเห็นเงามายาสีดำทมึนโฉบขึ้นกลางอากาศ ปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างอันน่าหวาดกลัวออกมา ดูราวกับจะจมฟ้าดินผืนนี้ไปสิ้น

    ปัง..!!

    ตูม..!!

    พริบตานั้นทุกคนต่างมองเห็นเต็มตา เงาร่างของหลางถึงกับถูกชนจนเซกระเด็นลอยออกไป

    ทั่วลานต่างฮือฮา!

    แม้แต่เจียงซือที่ทำทีท่าสุขุมเยือกเย็น เวลานี้ยังอดหรี่ตา ลงน้อยๆ ไม่ได้

    และเมื่อผ่านการโจมตี นัยน์ตาของหลางเทียนเปลี่ยน เป็นเย็นชา ผมดำขลับสยายเต้นพล่าน รอบกายโอบล้อมด้วยแสงเรืองสีเขียวดุจเปลวไฟเผาผลาญ

    ครืน ครืน..!!

    พลานุภาพของเขากำลังปะทุสูงขึ้น ห้วงอากาศรอบกายล้วนพังครืนอลหม่าน ลมเมฆละแวกใกล้เคียง ต่างผันแปร ถูกแสงเรืองที่แน่นขนัดนั้นย้อมให้กลายเป็นสีเขียว

    ในตอนท้ายฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือนตามการหายใจเข้าออกของเขา ดูน่าตระหนกยิ่งนัก

    “สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสเจียงซือแห่งสำนักอักษรเทียนจงที่มีความเป็นมานับหมื่นปี”

    ไม่ว่าจะเป็นคนที่แปรพักตร์และที่ยังภักดีเหล่านั้น หรือผู้ ฝึกอาวุโสคคนอื่นๆ เวลานี้หัวใจต่างเต้นระรัว รับรู้ถึงความน่ากลัวของหลางเทียน นี่คือคนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นน่ากลัวยิ่งยวดคนหนึ่งอย่างแน่นอน

    ต่อสู้จนถึงตอนนี้ทุกคนยกเว้นพวกของฉินหนานล้วนมองออก ภายใต้สถานการณ์ที่เห็นนี้หลางเทียนยาก จะเอาชนะอิเตาได้ในเวลาอันสั้น

    และฝีมืออันโดดเด่นของอิเตา ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณของสำนักอักษรเทียนจงจำนวนมากมองเขาใหม่ ทั้งรู้สึกผิด คาดและประหลาดใจกับสิ่งนี้

    แน่นอนศิษย์และผู้อาวุโสส่วนใหญ่ล้วนคิดไม่ถึงว่าหลังจากหลบหนีออกจากสำนักไปสามปี ความสามารถที่แท้จริงของอิเตา ถึงกับเปลี่ยนไปเป็นสุดหยั่งมากขึ้นเรื่อยๆ

    ทางฝั่งของฉินหนานและพวกพ้องที่ชมการต่อสู้อยู่

    “เหตุใดระดับจักรพรรดิถึงสามารถมีอานุภาพถึงเพียงนี้กัน ในตอนที่ข้าเหยียบย่างเข้าสู่เขตแดนจักรพรรดิยังไม่มีพลังเช่นนี้เลย.?”ต้วนอี้กล่าวออกมาลอยๆด้วยความสงสัย

    “นี่ก็คือพลังของพวกสำนักมารโลหิตที่ได้รับมาสินะ...”

    ฉินหนานพึมพำกับตัวเองเมื่อได้เห็นฝีมือของหลางเทียนที่มีการบ่มเพาะเพียงระดับจักรพรรดิกลับสามารถสำแดงพลังออกมาได้ขั้นนี้

    แต่ทว่าตนก็มิได้ใส่ใจเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไรตนก็ดูออกว่าอิเตาตั้งใจตีสุขัขเพื่อล่อลวงเจ้าของจึงไม่ยอมลงมือหนักเกินไป

    เมื่อมองไปยังบุคคลสําคัญของเรื่องนี้อย่างเจียงซือและผู้อาวุโสคนอื่นๆแต่ละคน ล้วนตะลึงระคนสงสัย ไร้ซึ่งความผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้

    พรวด!!!

    หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ ในลานพลันมีเลือดสดสายหนึ่งพุ่งออกมา สะดุดตายิ่งนักและในเวลาเดียวกันนั้น เงาร่างสายหนึ่งที่อยู่กลางอากาศก็ซวนเซถอยออกมาสิบกว่าจั้ง มุมปากหลั่งเลือด

    “นี่...”

    ทุกคนตะลึงพรึงเพริด เนื่องจากผู้ที่ถูกโจมตีคนนั้นไม่ใช่อิเตา แต่เป็นหลางเทียน!

    ผลลัพธ์นี้ทำเอาคนมากมายปากอ้าตาค้าง ล้วนแทบไม่อยากเชื่อ นี่ผิดคาดเกินไปกลายเป็นพลังโจมตี อันยิ่งใหญ่เหลือล้น

    ส่วนเจียงซือและพวก ตาแทบถลนออกมา “นี่เป็นไปได้อย่างไร.?”

    พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ ทว่ากลับไม่มีใครในที่นั้นนอกจากพวกของอิเตาตรวจสอบการบ่มเพาะของอิเตาได้

    นั่นก็เป็นเพราะฉินหนานได้ชี้แนะวิธีการซ่อนระดับการบ่มเพาะเอาไว้โดนการนำพลังกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินที่หยั่งรู้ได้มาใช้ประโยชน์

    “ข้าเกรงว่าจะปล่อยให้มันมีชีวิตรอดต่อไปไม่ได้แล้ว..!!” เจียงซือมุ่นคิ้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×