ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปรมาจารย์จิตวิญญาณสะท้านภพ3

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่4 ภาค3 แพ้พนัน

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 65


    หลังจากนั้นทั้งหาคนก็หาที่นั่งลงพูดคุยกัน

    “ท่านอาจารย์ มาอยู่นี่ได้อย่างไรกันขอรับ.?”อิเตาเลิกคิ้วถามด้วยความข้องใจ

    “ฮ่า ฮ่า ต้องของคุณสหายยุทธ์ฉินหนาน ที่บุกเข้าไปช่วยข้าไว้เมื่อเกือบสามปีก่อน”

    “อะไรนะ ท่านจะบอกว่าฉินหนานเนี่ยนะบุกไปช่วยท่านจากหุบเหวกระดูกขาว จะเอาเวลาไหนไปหล่ะเนี่ยทั้งที่ข้าไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด” อิเตาเกาหัวสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยสับสนมากมายก่อนจะเหลือบไปมองฉินหนานเป็นเชิงถามไถ่

    ฉินหนานสูดหายใจเต็มปอดเข้าเสียจนหน้าอกยืด ยิ้มพร้อมส่ายหัว

    “มาๆ ข้าจะเล่าให้ฟังในตอนที่ข้าพบเจ้าคราแรกนั้น ที่ข้าช่วยเจ้าและชาวบ้านจากพวกสำนักมารโลหิต เป็นเพราะข้ากำลังตามล่าพวกมันอยู่ หลังจากข้าได้พูดคุยจนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้า ข้าเองก็ไม่ใช่คนดีที่จะไว้ใจใครง่ายๆจะคบหาใครข้าก็เลือก ระหว่างที่ข้าชี้แนะการบ่มเพาะและปล่อยให้เจ้าฝึกฝน ในคืนนั้นข้าก็แอบไปบุกสำนักเทียนจงของเจ้าประการแรกเพื่อที่จะไปดูว่าสิ่งที่เจ้าบอกข้าเป็นความจริงหรือไม่ก่อนที่ข้าจะคบหาเจ้าเป็นสหาย ประการสองหากว่าที่เจ้าว่ามาเป็นความจริงข้าก็จะลงมือช่วยเหลืออาจารย์ของเจ้าออกมาเพราะหากว่ารอต่อไปข้าว่าอาจารย์ของเจ้าไม่รอดพ้นจากความตายแน่ๆ”

    “แล้วเจ้าทำไมไม่บอกข้า ว่าเจ้าช่วยอาจารย์ข้าออกมาแล้ว ปล่อยให้ข้าหลงมีปมในใจตั้งนาน”

    “หากว่าข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรก เจ้าจะมุ่งมั่นฝึกฝนจนมาถึงเขตแดนปัจจุบันไหมล่ะ..?? แล้วอีกอย่างหากข้าไม่ไปที่นั่นจะได้รู้ไหมว่าในสำนักของเจ้ามีคนของสำนักมารโลหิตซ่อนอยู่”

    “เอ่อนั่นก็….”อิเตาถึงกับอึกอักพูดไม่ออก

    คังซือหลิงที่ได้ยินถึงระดับการบ่มเพาะก็เอะใจ หันไปถามอิเตา

    “เตาเตาน้อย ปัจจุบันการบ่มเพาะของเจ้าอยู่ในระดับใดกัน.? เหตุใดอาจารย์ถึงไม่อาจตรวจสอบได้ ไม่สิต้องใช้คำว่าไม่อาจหยั่งถึงจะดีกว่า”

    ทั้งสี่หันหน้ามามองกันเลิ่กลั่กก่อนที่ฉินหนานจะพยักหน้าให้อิเตาตอบ

    “อาจารย์ข้านั้นไร้ความสามารถเพิ่งทะลวงเข้าสู่เขตแดนเต๋าแท้จริงขั้นปลายเมื่อไม่กี่วันมานี้เองขอรับ”

    “ห๊ะ..!! เต๋าแท้จริงขั้นปลาย.? เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ามาโป้ปดกับข้าเชียว”

    “ท่านจะตกใจทำไมขอรับท่านอาจารย์ สหายทั้งสองของข้าและเหล่าพี่น้องของฉินหนานก็อยู่ระดับเต๋าแท้เช่นเดียวกับข้า”อิเตาย้ำอีกครั้ง

    “นะ นี่ นี่มันเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? ระดับเต๋าแท้จริงนี้สูงส่งเทียบเท่าเทพเซียนแล้ว หากไปยังสำนักที่โด่งดังก็สามารถดำรงตำแหน่งในฐานะผู้อาวุโสบรรพบุรุษของสำนักได้อย่างไม่มีปัญหา ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อ..!!”

    สาเหตุที่คังซือหลิงตื่นตกใจไม่อยากเชื่อหูตัวเองนั่นก็เป็นเพราะตนนั้นมีอายุกว่าสองร้อยปี ยังเพิ่งจะมีการบ่มเพาะอยู่ในระดับราชันจักรพรรดิขั้นปลายเท่านั้น และยังเข้าใจว่าระดับเต๋าแท้จริงเรียกได้ว่าสูงที่สุดแล้ว

    เพราะหลายหมื่นปีมาแล้วไม่เคยทีข่าวคราวใดเลยว่ามีผู้ที่ทะลวงไปสู่เขตแดนจักรพรรดิเซียนได้ ทำให้ระดับจักรพรรดิเซียนถือเป็นระดับในตำนานไปเสียแล้ว

    “ตำแหน่งผู้อาวุโสบรรพบุรุษไก่กาอะไรนั่น ข้าไม่สนใจหรอกขอรับ หากท่านรู้ถึงระดับการบ่มเพาะของฉินหนานท่านจะไม่แปลกใจเลยที่ข้าไม่สนใจมัน” อิเตากล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่เกรงกลัวว่าอาจารย์จะมะเหงกตนอีก

    คังซือหลิงที่เคยเห็นฝีมือของฉินหนานมาบ้างแล้ว แม้จะสงสัยแต่กลับไม่มีโอกาสได้ถาม ในตอนนี้เมื่อสบโอกาสตนจึงไม่ปล่อยไป

    “เอ่อ…ถ้าเช่นสหายยุทธ์น้อยเจ้ามีการบ่มเพาะอยู่ในระดับใดงั้นหรือ.?”

    “หากข้าบอกไปเกรงว่าผู้อาวุโสจะไม่เชื่อข้าให้ท่านลองทดสอบดูดีว่า” ฉินหนานแสยะยิ้มมุมปากปลดปล่อยแรงกดดันออกมาเพียงเศษเสี้ยว

    ฟูม..!!

    แรงกดดันที่ฉินหนานปล่อยออกมานั้นหนาแน่น รอบกายพลันเปล่งประกายแสงสีทองอ่อนๆราวกับดวงตะวัน มิหนำซ้ำรอบกายยังมีกระแสเต๋าไหลวน ลวดลายคลื่นมรรคล่องลอยไปทั่วทั้งโถงถ้ำอย่างแน่นขนัด

    อึก..!!

    ทันทีที่ฉินหนานสำแดงพลังเพียงน้อยนิดก็ถึงกับทำให้ เหล่าสหายทั้งสามพากันหายใจอย่างยากลำบาก ต้องโคจรพลังออกมาต้านทานเอาไว้อย่างสุดแรง ขนาดทั้งสามยังลำบากขนาดนี้ ทางด้านคังซือหลิงไม่ต้องกล่าวถึง ที่ในขณะนี้มีใบหน้าซีดเซียวแทบจะเป็นลมหมดสติไป

    ฟุบ..!!

    ฉินหนานรีบเก็บแรงกดดันของตนกลับทันทีก่อนที่ทั้งหมดจะทนไม่ไหว

    “หากไม่ใช่แรงกดดันของสหายยุทธ์น้อย ข้านึกว่าข้ากำลังจะตายซะแล้ว” คังซือหลิงหายใจเหนื่อยหอบกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก

    “เป็นอย่างไรบ้างขอรับผู้อาวุโสพอจะคาดเดาเขตแดนการบ่มเพาะของข้าได้หรือไม่.?”ฉินหนานกล่าวพลางสะบัดมือพลันปรากฎอักขระสีทองมากมายหลายร้อย

    พรึบ..!!

    วิ้ง..!!

    อักขระสีทองอร่างเปล่งประกายแสงราวหิ่งห้อยล่องลอยปลิวว่อนไปทั่วบริเวณอย่างไม่เป็นระเบียบ ในพริบตาเดียวก็ค่อยๆร้อยเรียงกันกลายเป็นวงแหวนอักขระค่ายกลฟื้นฟูหลังหนึ่งครอบคลุมทั่วทั้งศาลาเพื่อรักษาอาการเหนื่อยหอบจากการโดนกดดันทางจิตวิญญาณ

    ละอองแสงสีทองปลิวตกกระทบกับร่างของทั้งสี่ พริบตาเดียวอาการผิดปกติทั้งหมดดีขึ้นอย่างทันตา

    “เอ่อ แรงกดดันเช่นนี้รุนแรงกว่าเจ้าสำนักของข้าเสียอีก อย่าบอกนะว่าเจ้ามีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าเต๋าแท้จริง..?”คังซือหลิงกล่าวพร้อมกับใบหน้าตื่นตกใจ

    “ขอรับเป็นเช่นนั้น”

    “เห้อ คลื่นลูกใหม่ซัดคลื่นลูกเก่าแล้วจริงๆ ในที่สุดชีวิตนี้ข้าก็เห็นผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะระดับจักรพรรดิเซียนในตำนาน” คังซือหลิงพึมพำพลางหันไปมองเด็กรุ่นเยาว์ทั้งสี่อย่างชื่นชมยินดี

    “เอ๊ะแต่เดี๋ยวนะฉินหนาน เจ้าบอกว่ามีคนของสำนักมารโลหิตซ่อนอยู่ในสำนักอักษรเทียนจงมันเป็นผู้ใดกัน..?” อิเตากล่าวถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    ฉินหนานอมยิ้มพลางคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ

    “เจ้าลองทายดูสิ ว่าผู้ใดที่บ่มเพาะวิชาพลังธาตุเพลิงเหมือนกันอาจารย์ของเจ้าและมีอำนาจสั่งการในสำนัก.?”

    เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้นจากฉินหนานทำให้ทั้งคังซือหลิงและอิเตาถึงกับผุดลุกขึ้นยืนด้วยความเร็ว

    “ทุกอย่างนี้เป็นฝีมือของไอ้ระยำหมาเจียงซือ..!!” อิเตาสบถออกมาด้วยความเคียดแค้น

    “เจ้าอยากจะแก้แค้นให้อาจารย์และยึดสำนักคืนกลับมาไหมเล่า..? ด้วยการบ่มเพาะของเจ้าตอนนี้แม้แต่จะประมือกับเจ้าสำนักข้ามั่นใจว่าเจ้าจะเอาชนะได้” ฉินหนานแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์โดยไม่มีใครสังเกตเห็น

    “จะว่าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักเป็นอย่างไรบ้าง”คังซือหลิงกล่าวอย่างเลื่อนลอย

    “ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวลขอรับ ข้าได้ทำการช่วยเหลือและรักษาผู้อาวุโสเหลียนเฉินจากเพลิงพิษของไอ้เจียงซือเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ข้าไม่ยอมเปิดโปงเจียงซือก็เป็นเพราะรออิเตาไปแก้แค้นและจะสืบว่าพวกมันติดต่อกันด้วยวิธีการใดเพื่อจะได้เอาไปใช้ในการแทรกซึม”ฉินหนานอธิบาย

    “แล้วเราจะเดินทางไปยังสำนักอักษรเทียนจงเมื่อใดดีข้าอยากยืดเส้นยืดสายบ้าง.?” ต้วนเทาถามพลางหักนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ

    “เดี๋ยวให้ข้าย้ายเหล่าศิษย์ของสำนักเจ็ดนิรันดร์มาที่นี่เรียบร้อยเสียก่อนเราค่อยนัดแนะวันเวลาอีกครั้ง”

    ใจขณะที่ฉินหนานตอบจู่ๆก็นึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวเสียงจริงจัง

    “ก่อนอื่นข้ามีเรื่องสำคัญจะกล่าวกับพวกเจ้าสามคน”

    ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังของฉินหนานทำเอาบรรยากาศโดยรอบถึงกับตึงเครียดขึ้นมาในทันที

    “ฉินหนานมีอะไรรีบพูดมาเลยพวกข้าพร้อมฟัง.!!”ต้วนอี้กล่าวด้วยความกังวล

    “ต้วนอี้ ต้วนเทาเจ้าจำได้หรือไม่.? ว่ามีคนบอกว่าคนอย่างเขาจะไม่ร้องไห้หน่ะ”ฉินหนานยิ้มฟันขาวเจ้าเล่ห์พลางเหลือบตามองไปยังอิเตา

    เมื่อได้ยินฉินหนานพูดเช่นนั้น อิเตาก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อเงยหน้ามองก็พบกับสายตาสามคู่กำลังจ้องมองตนอยู่ราวกับพยัคฆ์ที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ

    “จริงสิเขายังพูดออกมาอย่างมั่นใจเสียด้วยว่าให้คอยดูได้เลยหน่ะ..!” ต้วนอี้ที่รู้ทันแผนการยิ่งพูดแกล้งอิเตาเพิ่มขึ้นไปอีก

    “ก็ได้ๆ ข้ายอมพวกเจ้าก็ได้พวกเจ้านี่ขี้งกกันจริงๆเลยทีเดียวเชียว..!!”

    อิเตาบ่นอุบอิบพลางสะบัดข้อมือส่งหินปราณเทวะออกมาจากแหวนมิติสามแสนก้อนอย่างว่าง่าย จำนวนหินปราณเท่านี้แทบจะเป็นเศษเสี้ยวของจำนวนหินปราณเทวะทั้งหมดที่อิเตามี

    เมื่อทั้งหมดเห็นอาการของอิเตาเป็นเช่นนั้นก็ถึงกับพากันหัวเราะครืนออกมา

    หลังจากนั้นฉินหนาน เดินไปยังลานฝึกยุทธ์ พลันประกบสองมือเข้าหากันเพียงชั่วครู่ก่อนจะผลักฝ่ามือออกจากตัวก็ปรากฏอักขระสีทองมายมายนับหมื่นตัวปลิวว่อนร้อยเรียงประสานกันเป็นค่ายกลหลังหนึ่ง ไม่เพียงแค่นั้นฉินหนานยังชักนำพลังกฎเกณฑ์แห่งห้วงมิติเข้ามาประสาน

    ในขณะที่พลังกฎเกณฑ์แห่งห้วงมิติและอักขระวิญญาณกำลังประสานกัน ห้วงอากาศรอบๆเกิดการบิดเบี้ยวจนเห็นได้ชัด เมื่อมองไปยังดวงตาใจกลางค่ายกลก็ให้ความรู้สึกว่าจิตวิญญาณถูกฉีกทึ้งเป็นแสนๆชิ้น

    ฟูม..!!!

    วืด..!!

    ไม่ถึงครึ่งชั่วยามค่ายกลเคลื่อนย้ายก็สร้างเสร็จสิ้น

    คังซือหลิงที่เห็นว่าสิ่งที่ฉินหนานสร้างคือค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สาบสูญไปจากทวีปจิงโจวเกือบแสนปีก็ถึงกับมีสีหน้าโง่งมหันไปมองทางศิษย์ของตน

    ทางด้านอิเตาที่เห็นท่าทางอาจารย์ของตนเหมือนจะถามอะไรซึ่งตนก็พอคาดเดาได้ว่าจะถามอะไร

    “นี่เป็นเพียงความสามารถส่วนน้อยของสหายข้าขอรับท่านอาจารย์”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×