คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่10 ภาค3 แม่จะตบให้ร้อง
อิเตาขณะพูดเท้าข้างหนึ่งของเขาก็ยกขึ้น
“เจ้ากล้า...!”
เจียงซือหวาดผวาและคับแค้นพังทลายโดยสิ้นเชิง ไหนเลยจะคาดคิดว่าอิเตาถึงกับเหี้ยมโหดเพียงนี้ ถึงกับจะทำให้เขาพิการ
“หยุด!”
ยามนี้เหล่าอาวุโสทั้งหลาย ท้ายที่สุดไม่อาจนั่งนิ่งดูดาย เปล่งเสียงยับยั้ง
กร๊อบ!
กลับเห็นอิเตาไม่ใส่ใจสักนิด เท้าหนึ่งกดลงพลังหนักแน่นแผ่กระจายผ่านปลายเท้า ทำลายพลังปราณการบ่มเพาะภายในร่างเจียงซือในคราเดียว!
“เจ้า เจ้า...”
เจียงซือเบิกตากว้างคล้ายยังคงไม่กล้าเชื่อ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเจือความสั่นสะท้าน หวาดกลัว คับแค้น สิ้นหวัง
พลังปราณถูกกำจัด เช่นนั้นฆ่าเขาให้ตายยังดีซะกว่า.!
ถึงแม้มีชีวิตรอด แต่จากนี้ต้องเป็นคนไร้ค่าไร้ประโยชน์ จะต้องไม่มีคุณค่าอะไรอีก!
เฮือก!
เหล่าศิษย์อาจารย์ ณ ที่นั้นสูดหายใจเย็นเยียบ ถูก กลวิธีของอิเตาทำเอาหวั่นตระหนก
เจียงซือนั้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักอักษรเทียนจง มีการบ่มเพาะที่แทบจะไร้เทียมทานในทวีปจิงโจวแห่งนี้ เหล่าศิษย์ในสำนักนับหมื่นต้องเคารพ ผู้คนภายนอกต่างต้องครั่นคร้ามเมื่อได้ยินเชื่อเสียง
ถูกอิเตากำจัดปราณอย่างแคล่วคล่องมั่นคง เช่นนี้ ความขัดแย้งนี้ออกจะมากไปหน่อยแล้ว!
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหลียนเซิงไม่รีรอกล่าวสืบต่อ
“ตอนนี้ปัญหาภายในได้รับการแก้ไขไปหนึ่งอย่างแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาชำระความสิ่งที่เหลือแล้ว..!!”
เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอดโคจรเคล็ดวิชาเปล่งเสียงก้องกังวาล
“ใครที่รู้เห็นการกระทำผิดของเจียงซือ แต่กลับมิได้ละอายใจเห็นผิดแล้วตีตัวออกมาหรือต่อต้าน ทว่ากลับเห็นดีเห็นงามร่วมมือด้วย ให้ก้าวออกมาหากยอมสารภาพผิดย่อมไม่มีโทษถึงชีวิต ส่วนใครที่ไม่ยอมรับหากสืบสาวรู้เรื่องราวทีหลังรับโทษตายสถานเดียว..!!!”
เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์กว่าครึ่งหมื่นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่นานก็มีบางส่วนก้าวออกมาคุกเข่ายอมรับผิด
เหลียนเซิงพยักหน้าด้วยความพอใจที่อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ยังพอที่จะสำนึกผิดได้กล่าวออกไป
“พวกเจ้าทำผิดยังรู้จักสำนึก แต่นี้ไปสิบปีพวกเจ้าจะต้องไปกักตนสำนึกผิดในหุบเขากระดูกขาวไม่มีคำสั่งห้ามพวกเจ้าก้าวออกมาโดยเด็ดขาด..!!”
ผู้เพาะที่คุกเข่าสำนึกผิดเมื่อได้ยินคำว่าคุกหุบเขากระดูกขาวก็ถึงกลับกลืนน้ำลาย สีหน้าตกตำลึงพึงเพริดคิดถึงความน่ากลัว วังเวง โดดเดี่ยวจนทำให้คนเสียสติได้ แม้ว่าจะเกรงกลัวแต่กลับไม่กล้าที่จะคัดค้านคำตัดสินของเหลียนเซิงสักคนเดียวทำให้ต้องก้มหน้ายอมรับ
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่เมตตา..!!”
เสียงขอบคุณก้องกังวาลดังไปทั่วลาน เหลียนเซิงโบกมือให้คนเหล่านั้นล่าถอยไปพร้อมกับเหลือบมองไปทางฉินหนานส่งคลื่นเสียงผ่านปราณจิตสัมผัส
“สหายยุทธ์น้อย ข้าต้องรบกวนเจ้าเสียแล้วยังมีเศษเดนของพวกสำนักมารโลหิตแฝงตัวไม่ยอมออกมา คนเหล่านี้เป็นเนื้อร้ายไม่เพียงไม่ละอายใจ แม้กระทั่งความรู้สึกสำนึกผิดยังไม่มี เนื้อร้ายจำเป็นต้องกำจัดทิ้ง ”
ที่เหลียนเซิงกล่าวเช่นนั้นไม่ใช่ว่าตนสามารถหยั่งรู้ได้ว่าใครที่หลบเลี่ยงไม่แสดงตน แต่รู้ได้จากสายสืบที่หมั่นมารายงานการเคลื่อนไหวภายในสำนักให้ตนได้ทราบอยู่เสมอ และตนก็เห็นว่ายังมีเหล่าผู้อาวุโสบางคนที่สมรู้ร่วมคิดกับคนนอกและยังไม่ยอมแสดงตนออกมา
“เจียงเฉิง เออปา หลิงซู พวกเจ้าทั้งสามคน เป็นถึงผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักไม่มีความกล้าพอที่จะยอมรับผิดต่ำช้านัก..!!” เหลียนเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยเจือความผิดหวัง
ทั้งสามเมื่อได้ยินเช่นนั่นถึงกับเหงื่อออกโซมเต็มแผ่นหลัง เจียงเฉิงคิดในใจ
“นึกไม่ถึงว่าไอ้จิ้งจอกเฒ่านี่มันจะรู้ว่าพวกข้าร่วมมือกับศิษย์พี่เจียงซือ ต่อให้ข้าทั้งสามร่วมมือกัน ก็ไม่มั่นใจว่าจะมีชัยได้โดยที่ไม่สูญเสีย”
ทว่าเออปากลับคิดสู้สุดกำลังไม่ยอมตายง่ายๆไม่ต่างกัน “มันเพลิงพิษของศิษย์พี่เจียงซือเข้าไปแม้จะรักษาหายดี แต่ข้ามั่นใจว่าการบ่มเพาะของมันจะต้องเสียหายอย่างแน่นอน”
“เหอะ..!! ต่อให้ข้าร่วมมือกับศิษย์พี่เจียงซือแล้วอย่างไร.? อย่าลืมว่าเจ้ามีแค่คนเดียวส่วนข้ามีกันสามคน ข้ามั่นถึงข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้แต่ข้าพาเจ้าตายไปกับพวกข้าได้..!!” หลิงซูกล่าวอย่างเคียดแค้นถือดี เขาโกรธที่เหลียนเซิงเปิดโปงสิ่งที่พวกเขาทำ
ฉินหนานที่นิ่งเงียบดูเหตุการณ์อยู่นานพลันสาวเท้าก้าวเข้ามากลางลานกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเยือกเย็นปานน้ำในทะเลสาบที่ไร้คลื่นลม
“ไม่ต้องถึงมือผู้อาวุโสเหลียนเซิงหรอกนะ อย่างสุนัขชั่วที่หันไปพึ่งพาวิธีการบ่มเพาะของสำนักมารโลหิตจนทำให้ตัวเองมีการบ่มเพาะสูงส่งเช่นนี้ไม่ควรค่าให้ผู้อาวุโสลงมือให้แปดเปื้อนเสียด้วยซ้ำ”
“เหอะเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมีการบ่มเพาะเพียงระดับปราณฟ้าคิดจะลงมือกับระดับเต๋าแท้จริงอย่างพวกข้างั้นหรือ.?” เจียงเฉิงชี้หน้าตวาดใส่ฉินหนานด้วยน้ำเสียงดูแคลนโดยไม่รู้เลยว่าฉินหนานได้ปิดบังระดับการบ่มเพาะเอาไว้
สิ่งที่ได้ยินนั่น ทำให้อิเตาที่เดินกลับเข้าไปในกลุ่มเหล่วพี่น้องและสหายของตนมองหน้ากันอย่างนิ่งเงียบก่อนจะส่งเสียงหัวเราะดังๆออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า….!!”
“ฮ่าๆ ไอ้พวกโง่นี่ มันคงจะหลงอำนาจจนบ้าไปแล้วกระมัง ใครมันจะโง่หาเรื่องไปตายโดยที่ไม่มั่นใจกัน”จงหลิงเอ๋อสตรีเพียงคนเดียวในกลุ่มพี่น้องเอ่ยขึ้นในขณะที่ตนกำลังพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ
“บังอาจ..!!”
เจียงเฉิงตวาดใส่เหล่าพี่น้องและสหายของฉินหนานก่อนหยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ
“นังแพศยา เจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้าหาเรื่อง” ขณะกล่าวเขาพลันปลดปล่อยแรงกดดันออกมาโดยตั้งใจจะกำราบจงหลิงเอ๋อให้ยอมสยบ
“น้องหกปล่อยให้ข้าเอง” จงหลิงเอ๋อสูดหายใจเยือกเย็นดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด กล่าวโดยไม่หันไปมองเพราะตนสัมผัสได้ว่าฉินหนานกำลังจะลงมือ
“นังจิ้งจอกมอบชีวิตมาให้ข้าหรือจะมาเล่นสนุกกับพวกข้าสักหน่อยข้าอาจไว้ชีวิต” เจียงเฉิงตวาดชี้หน้านางอีกครั้ง
“อย่างพวกเจ้าน่ะหรือ ลองเข้ามาสิแม่จะตบให้ร้อง..!!”
กลับเห็นว่าจงหลิงเอ๋อกวาดสายตามองคนทั้งสาม วาจาคล้ายไม่ใส่ใจเผยให้เห็นแต่ความดูถูกดูแคลน
ช่วงที่ฝึกตนจำศีลบ่มเพาะหลายปีมานี้ ทำให้มรรคาวิถียุทธ์ของนางได้รับการตกตะกอนและยกระดับขึ้นถึงที่สุด ศักยภาพไม่อาจเทียบได้กับแต่ก่อนนานแล้ว เพียงแต่ถูกกดทับด้วยกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินของทวีปหลงซานทำให้ไม่อาจทะลวงขั้นขึ้นมาได้ แต่เมื่อนางข้ามมายังทวีปจิงโจว ได้ก้าวข้ามเขตแดนใหญ่จนเหยียบย่างอยู่บนดินแดนแห่งเต๋าแท้จริงอย่างสมบูรณ์ ด้วยการส่งเสริมทุกๆด้านของฉินหนาน ต่อให้คู่ต่อสู้มากกว่านี้ก็ไม่มีทางทำให้จงหลิงเอ๋อหวาดกลัวได้
“จองหอง!”
เจียงเฉิงไอสังหารพลุ่งพล่าน
โครม!
เขาลงมือแล้ว หวังอย่างแรงกล้าว่าจะล้างความอัปยศที่ถูกจงหลิงเอ๋อหัวเราะเยาะเย้ย สองมือทำมุทราใช้เคล็ดวิชาเต๋าแท้จริงแขนงหนึ่งที่ตนได้ตกผนึกมาหลายปี
สายฟ้าเจิดจ้าแสบตาสายหนึ่งเคลื่อนออกมา เจือไปด้วยไอสังหารคับฟ้าประหนึ่งทวนมรณะในมือยมบาล พุ่งไปสังหารจงหลิงเอ๋อ
ห้วงอากาศตรงนั้นต่างถูกฉีกขาด เกิดเสียงระเบิดแสบแก้วหู
ไกลออกไปเหล่าศิษย์ตื่นตะลึง ต่อให้ห่างกันไกลลิบก็ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของการโจมตีนี้ ล้วนขนพองสยองเกล้า
ทันทีที่เจียงเฉิงลงมือก็สำแดงพลังสังหารยิ่งใหญ่คับฟ้าของผู้อาวุโสลำดับสองหนึ่งสำนักอักษรเทียนจง ออกมา แข็งแกร่งเกินจินตนาการไปไกล
“ผู้อาวุโสใหญ่ของเจ้าถูกสหายของน้องชายข้าเอาชนะ ได้ เจ้ายังกล้าโอ้อวดพลานุภาพไก่กาเช่นนี้อีกหรือ?”
ในดวงตาจงหลิงเอ๋อเต็มไปด้วยความเย็นชา ยืนมือไพล่หลังเช่นนั้นไม่เคลื่อนไหว แต่ทั้งร่างกลับมีพลังเต๋าก่อตัวเป็นมหามรรคไร้รูปร่างสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้น แล้วแปรสภาพเป็นปรากฏการณ์ประหลาดราวหุบเหวลึก
โครม!
สายฟ้าเจิดจรัสใหญ่หนาเท่าลำต้นต้นไม้ ยามผ่าลงมาเบื้องหน้าจงหลิงเอ๋อกลับเหมือนตุ๊กตาวัวดินโยนลงน้ำทะเล ถูกสลายไปอย่างไร้ร่องรอย
จงหลองเอ๋อไม่ไหวติงแม้สักนิด มีเพียงผมดำที่ปลิวไปตามลม
เมื่อเห็นภาพพิสดารชวนสั่นสะท้านนี้เข้า พวกเจียงเฉิง เออปาและหลิงซูต่างแววตาแข็งทื่อ ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดเล็กน้อย
ไม่แปลกที่นางจะกล้าท้าทาย สตรีผู้เยาว์นี้นี้แข็งแกร่งจนน่าตระหนกจริงๆ
เหล่าพี่น้องของจงหลิงเอ๋อที่อยู่ไกลออกไปล้วน งงงันปากอ้าตาค้าง
ในช่วงหลายวันมานี้พวกตนสามารถทะลวงเข้าสู่เขตแดนเต๋าแท้จริงขั้นกลางได้ แม้ว่าจะรู้ว่าแข็งแกร่งทรงพลังขึ้นมาก แต่ต่างไม่เคยมีใครได้ลงมือต่อสู้จริงจังสักครั้ง เมื่อได้เห็นฝีมือที่ทรงพลังเช่นนี้ก็ลอบตื่นเต้นอยากลงมือด้วยเช่นกัน
และที่สำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่ก่อตั้งสำนักเจ็ดนิรันดร์พวกเขาถึงได้รู้ว่าจงหลิงเอ๋อแทบเรียกได้ว่าผู้จำศีล ไม่ค่อยจะลงมือกับใครง่ายๆนางมักทำตัวอ่อนหวานกับเหล่าศิษย์แต่กับเหล่าพี่น้องราวกับแม่เสือร้าย ยามนี้เทียบกับแต่ก่อนนางแปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว!
นางดูเหมือนเรียบง่าย ราบเรียบและธรรมดา แต่ความจริงแล้วพลังต่อสู้ได้ทะลวงถึงขั้นลึกสุดหยั่งไปนานแล้ว!
“สุดท้ายจะให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้ง ถอยเท่านี้เสีย หาไม่แล้วต่อให้พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกัน ข้าก็จะสังหารพวกเจ้าให้เหี้ยน!”
จงหลิงเอ๋อไพล่มือเอ่ยอย่างเย็นชา
แต่คำเตือนเช่นนี้ของนางกลับถูกมองว่าเป็นการ ท้าทายครั้งใหญ่อย่างหนึ่ง ทำให้สีหน้าของพวกเจียงเฉิงต่างปรากฏแววเย็นเยียบ
“ฆ่า..!!”
ความคิดเห็น