ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มีความรักทำยังไงดี..●•۰ ❤彡

    ลำดับตอนที่ #3 : อยากรักให้ยืดต้องทำอย่างไร

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ย. 49


                            คุณเคยนึกสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมคนบางคน รักกันแทบตายตอนเป็นแฟน แต่พอแต่งงานไม่ทันไร เราก็ได้ยินข่าวหย่าร้างเขาเสียแล้ว บางคนดูไม่น่าไปกันได้ กลับกลายเป็นคู่รักที่ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรก็มี อะไรเป็นตัวการที่ทำให้การแต่งงานประสบผลสำเร็จ ? ถ้าไปถาม คุณกาญจนา มาลินี ศรีสอางค์ ก็คงจะได้รับคำตอบที่ต่างออกไปแน่ แต่ถ้าคุณมาถามนักจิตวิทยา คุณจะได้คำตอบประมาณ 10 ข้อดังต่อไปนี้

    1. ความคล้ายคลึงกัน คนที่รักกันยืด จะต้องมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องต่างๆ ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคานิยม ทัศนคติ การศึกษา ภูมิหลัง ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ กล่าวง่ายๆ ก็คือ ถ้าเราอยู่กับคนที่เหมือนๆ กับเราในหลายๆ ด้าน เราก็คงไม่ยากลำบากนักในการปรับตัวเอง เมื่อเราไปแต่งงานกับเขา คุณอย่าไปเชื่อลมๆ แล้งๆ ว่า คนเราจะเหมือนแม่เหล็ก ที่จะดึงดูดเข้าหากันก็ต่อเมื่อ มีความแตกต่างกันของขั้ว เช่น ถ้าเขามีในสิ่งที่เราขาดฝรั่งเรียกลักษณะนี้ว่า OPPOSITES ATTRACT คือเราจะรักคนที่เขามีลักษณะที่เราไม่มี เช่น ถ้าเขารวยเราจน เขาแข็งเราอ่อน เป็นต้น ตามความเป็นจริงที่เขาค้นพบก็คือ ลักษณะ OPPOSITES ATTRACT อาจทำให้ดูน่าสนใจ แต่ไม่ได้ช่วยทำให้การแต่งงานยืดยาวได้ แล้วคุณก็อย่าไปเชื่อนวนิยายน้ำเน่าทั้งหลายของไทยและของฝรั่ง ประเภทพระเอกจบดอกเตอร์ และนางเอกอยู่ในสลัม ถูกแม่เลี้ยงใจร้ายกลั่นแกล้ง และพระเอกก็ขี่ม้าขาวไปช่วยเอาไว้ได้ในที่สุด นั่นมันเป็นเรื่องนวนิยาย ถ้าเป็นเรื่องจริงละก็ คนคู่นี้ต้องเลิกกันตั้งแต่ยังไม่ได้แต่ง เพราะไม่ว่าจะพูดคุยเรื่องอะไร ก็จะคิดไปคนละอย่าง เพราะทุกอย่างของคนทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรที่เหมือนกันเลย ดังนั้น กฎข้อแรกก็คือ พยายามรักชอบกับคนที่มีพื้นเพที่ใกล้เคียงกับเราไว้ดีกว่า เพื่อกันความผิดหวัง


     2. ชื่นชมในความแตกต่างของเราและของเขา ถ้าคน 2 คนที่มาจากคนละครอบครัวมาอยู่ด้วยกัน ย่อมเป็นของแน่นอนว่า เขาและเธอย่อมมีความแตกต่างกัน หากคนทั้งสองมีความแตกต่างกันคนละด้าน และเผอิญมาถูกใจกัน ก็จงพยายามทำใจให้ชื่นชมกับความสำเร็จของอีกฝ่าย เช่นถ้าเขาเป็นนักธุรกิจ ส่วนเธอรับราชการ และเผอิญเธอได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ แทนการไปหงุดหงิดว่า เธอจะเกินหน้าเขาไปหน่อยแล้ว ก็ให้ฝ่ายชายคิดว่า มันเป็นสิ่งที่น่ายินดี ที่เธอมีความสุขและประสบความสำเร็จ และพยายามสนับสนุนในความสำเร็จของเธอมากกว่าการพยายามทำตัวเป็นคู่ต่อสูหรือหงุดหงิดที่มีภรรยาเก่ง ภรรยาบางคนไม่พยายามเข้าใจโลกของสามีเหมือนวาสนากับกำจร วาสนาเป็นนักธุรกิจส่วนสามีเป็นข้าราชการ กำจรเคยพาเพื่อนฝูงมาสังสรรค์เฮฮาที่บ้านในช่วงต้นๆ ที่เขาแต่งงานกับวาสนา แต่วาสนารำคาญเพื่อนของสามี เพราะมาทีไร บ้านช่องก็จะ "ดูไม่ได้" และวาสนาก็เหนื่อยที่จะเก็บกวาด เมื่อเธอแสดงสีหน้ารำคาญหนักๆ เข้า กำจรก็เลยไม่พาเพื่อนมาบ้านอีก แต่ตัวเขาเองกลับไปขลุกอยู่ที่บ้านคนอื่นหรือตามสถานที่ที่แล้วแต่กลุ่มเพื่อนจะนัดกัน เขาเริ่มกลับบ้านดึกเข้าทุกทีและบางทีก็จะไม่กลับมาทั้งคืนก็มี วาสนารู้สึกว่า รู้งี้ให้เขามาเมากันที่บ้านเธอ ยังจะดีกว่าที่เธอไม่เห็นเขาเลยเช่นนี้ แต่กว่าเธอจะได้คิด ชีวิตแต่งงานของเธอก็แทบจะไปไม่รอด
     

    3. คุณจะต้องชอบคนที่คุณเลือกเขามาเป็นคู่ครอง คำว่า "ชอบ" ต่างจากคำว่า "รัก" อยู่บ้าง คนบางคนมีความเชื่อว่า ถ้าเราชอบใครสักคนมากๆ ความชอบที่มีปริมาณมากๆ จะสามารถเปลี่ยนเป็นความรักได้ในที่สุด แต่สำหรับนักจิตวิทยาแล้ว สิ่งนี้ไม่จริงเสมอไป คนเราบางทีก็ไปเลือกคู่ครองที่เราไม่ได้รักไม่ได้ชอบ แต่ก็ไปแต่งกับเขาเพราะเหตุผลอย่างอื่น เช่น ความร่ำรวย ความเก่ง ความสวย หล่อ และความเหมาะสม มากกว่าความชอบหรือความรัก การชอบคนที่เราแต่งงานด้วยหมายความว่า คุณควรจะชอบในอุปนิสัยใจคอ หลายๆ อย่างของเขา คุณถูกชะตาเขา คล้ายกับเขาเป็นเพื่อนสนิทของคุณงั้นแหละ คู่สมรสใดที่สามารถมีความรู้สึกต่อกันคล้ายเพื่อนสนิทได้ ก็จะมีพื้นฐานที่ดีของการแต่งงานในอนาคต เพราะการชอบเขาจะช่วยทำให้คุณมองเขาด้วยสายตาแห่งการให้อภัยมากกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่ชีวิตคู่มีปัญหา ลองถามตัวเองก็ได้ว่า คุณเป็นเพื่อนกับคู่สมรสของคุณได้หรือไม่ ถ้าคำตอบก็คือได้ ก็หมายความว่า เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว ความสามารถในการมีความสัมพันธ์แบบเพื่อนนี้ อาจดูได้จากการที่เขาหรือเธอ สามารถมีเพื่อนเพศตรงข้ามได้บ้างไหม และเขาหรือเธอ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อหรือแม่ ในครอบครัวเดิมได้อย่างไร ถ้าเขาหรือเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ของตัวเองได้ ก็แสดงว่า เขาพร้อมที่จะมีความสัมพันธ์ในรูปเพื่อนกับคู่ของเขาได้เช่นกัน


    4. กล้ำกลืนความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ชีวิตคู่ที่ดีต้องหมายถึงการที่ทั้งคู่ฟันฝ่าวิกฤติหนักๆ ของชีวิตมาด้วยกัน แต่ความจริงก็คือ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ประจำวันนี้ต่างหากที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะคุณจะต้องเจอกับ ความหงุดหงิดใจเหล่านี้ วันแล้ววันเล่า เหมือนเรื่องของน้อยกับเอก น้อยมาจากครอบครัวที่บ้านคอนข้างเป็นระเบียบ ข้าวของต้องวางไว้ตามที่ทางที่ควรจะเป็น ส่วนเอกมาจากบ้านที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของความเป็นระเบียบเหล่านี้นัก น้อยเล่าว่า ช่วงแรกๆ ที่แต่งงานกัน เธอจะทนไม่ได้เลย ที่เห็นเขาทิ้งข้าวของเสื้อผ้าเกลื่อนห้องไปหมด รวมทั้งมารยาทในการกินอยู่เหมือนกัน เธอรำคาญที่เวลาเขากินอะไรแล้วจานชามทิ้งเขลอะ เลอะเป็นเทือกเหมือนไม่ได้รับการอบรมมาเลย ยิ่งกว่านั้นเขาไม่เคยกลับบ้านตรงเวลาที่บอกกับเธอ ครั้งแรกๆ เธอก็คอยเขากลับมากินข้าวด้วยกัน แต่หนักๆ เข้า เขาก็จะกลับไม่เป็นเวล่ำเวลา และก็ไม่เคยโทรมาบอกเธอทั้งๆ ที่เคยตกลงกันแล้วว่า ถ้าไม่มาวันไหนจะโทรฯมาบอก เขาก็จะไม่ทำ ในที่สุดน้อยแก้ปัญหาโดยการไม่คอยเขาอีกต่อไป เมื่อเธอหิว เธอก็จะกินของเธอ เมื่อเขาไม่มากิน เธอก็ให้คนใช้เก็บ และต่อไปวันไหนที่เขาไม่ได้บอกอะไร เธอก็ไม่ทำกับข้าวเผื่อ มีอยู่หลายครั้งที่เขาเคยโทรฯ มาถามกะทันหันว่า มีอะไรกินไหม? เธอก็บอกกับเขาว่า ไม่ได้ทำเผื่อถ้าหินก็กินมาให้เสร็จ เพราะเธอไม่ได้เตรียมเอาไว้ เธอบอกว่า วิธีนี้ดูจะได้ผล เธอเองก็ไม่ต้องหงุดหงิดคอยว่าพ่อเจ้าประคุณจะกลับหรือไม่ เมื่อเพื่อนๆ ถามเธอว่า เธอไม่โกรธหรือที่เขาทำกับเธอเช่นนี้ เธอบอกว่า โกรธไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปต่อว่าต่อขานดีไม่ดี เขาก็จะได้ถือเป็นข้ออ้างที่จะไม่กลับบ้านเสียเลย เธอบอกว่าเธอมีอะไรเธอก็ทำไป ไม่มานั่งกังวลให้หงุดหงิดใจ เดี๋ยวนี้เขากลับบ้านตรงเวลามากขึ้น และเกรงใจเธอมากขึ้นด้วย


     5. ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมที่ลึกซึ้ง คนเราทุกคน มีความต้องการอย่างหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ อยากให้มีคนรักคนเข้าใจ หรือสนิทสนมไว้วางใจสักคนก็ยังดีในชีวิต ความใกล้ชิดนี้ มิได้หมายความถึงความใกล้ชิดทางกาย คนบาคนอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ยังไม่ยอมพูดกันเลย ความใกล้ชิดสนิทสนมในที่นี้ หมายถึงทางใจและอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตคู่ คนเราแต่งงานกับใคร เราก็อยากให้เขามาเข้าใจเรา สามารถพูดคุยปรึกษาหารือกันได้ทุกเรื่อง คู่สมรสใดที่มีความใกล้ชิดสัมพันธ์เช่นนี้ถือว่า มีพื้นฐานที่ดีในการแต่งงาน วิธีการที่จะช่วยทำให้คุณสร้างความใกล้ชิดในชีวิตคู่ก็คือ ก. กล้าที่จะพูดเปิดใจกับคู่สมรสในทุกเรื่อง ถ้าคุณมีสิ่งใดอัดอั้นตัดใจ และสามารถระบายเรื่องกลุ้มกับเขาได้ นับว่าเป็นสิ่งที่วิเศษอย่างยิ่ง คู่รักหลายคู่ไม่กล้าพูดความในใจต่อกัน เก็บสะสมความไม่พอใจไว้วันละเล็กละน้อย และเมื่อมันเพิ่มปริมาณจนควบคุมไม่ได้ ก็จะระเบิดออกมาอย่างก้าวร้าว หรือแตกหักกันไปเลยก็มี ดังนั้น ถ้าคุณสามารถเปิดใจคุยกับเขาได้ ก็นับว่าเป็นลางที่ดีของความสัมพันธ์ ข. รับฟังให้เป็น การฟังเป็นสิ่งที่ยากกว่าการพูด การฟังที่ดี ต้องมีการใส่ใจ ทำให้คู่สนทนารู้สึกว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และทำให้เขาอยากพูดต่อ ค. ชื่นชมในตัวคู่สมรสให้เป็น การได้รับคำชมเป็นสิ่งที่วิเศษมาก โดยเฉพาะถ้าคำชมนั้น มาจากคู่สมรสหรือคนรักของเรา นอกจากนี้การชื่นชมเมื่อคู่สมรสทำสิ่งที่ดีงาม จะช่วยทำให้เขา แสดงพฤติกรรมนั้นบ่อยครั้งขึ้น และยังเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีในความสัมพันธ์อีกด้วย ง. หาทางออกที่ดีเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น
    คนเราอยู่ด้วยกัน ก็เปรียบเสมือน ลิ้นกับฟัน ต้องกระทบกันเป็นธรรมดา คู่สมรสที่อยู่กันยืด จะมีวิธีการจัดการกับความขัดแย้งต่างกับคู่สมรสที่อยู่ไม่ยืด คู่ที่อยู่ไม่ยืด เมื่อมีเรื่องขัดใจก็มักจะ


    1) ไม่มีใครยอมฟังใคร ต่างฝ่ายต่างก็จะเถียงเอาแพ้เอาชนะ คล้ายๆ จะทำตามความ "มัน" เป็นใหญ่ เพื่อที่ตนจะได้เป็นผู้ชนะ โดยไม่คำนึงว่า อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร คล้ายจะเป็นคู่กันมากกว่าคู่ชีวิต


    2) ใช้วิธีการ หลบ หรือหนี จากความขัดแย้ง เช่น เมื่อคู่สมรสจะพูดจาบอกความในใจ ก็จะทำไม่สนใจ หันไปอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง เปิดวิทยุ ดูโทรทัศน์บ้าง หรือไม่ก็จะเดินหนีไป บางรายก็ถือโอกาส ออกจากบ้านไปเสียเลยก็มี ทำให้ความหมองใจไม่ได้มีโอกาสแก้ไข


    3) ใช้วิธีให้อ่านใจเอาเอง คาดเดาว่าอีกฝ่ายจะต้องรู้ว่าตนคิดอย่างไร เพราะเราก็อยู่กันมาตั้งนานแล้ว การคาดเดาเอาเองทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รัก คู่สมรสพังมานับไม่ถ้วนแล้ว


    4) ใช้คำพูดทิ่มแทงด่าทอ เรียกชื่อให้เจ็บแสบ พูดง่ายๆ ก็คือ ให้อีกฝ่ายต้องเจ็บใจเพราะคำพูดของเรา การพูดทิ่มแทงผู้อื่น อาจจะทำให้คุณมันก็จริง แต่มันเป็นการบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของคุณด้วยในเวลาเดียวกัน ในข้อนี้คุณอาจจะเถียงว่า "ก็เขาทำในสิ่งที่มันน่าโกรธจริงๆ" มันอาจจะน่าโกรธ แต่ถ้าคุณใช้สติไตร่ตรองดู คุณจะรู้ว่า มันไม่คุ้มกับสิ่งที่คุณจะเสียไป จะยกตัวอย่างเรื่องของผู้หญิงที่มีสติให้คุณฟังสักเรื่องหนึ่ง เจนไปแต่งงานกับรงค์ เจนเป็นแม่บ้าน ในขณะที่รงค์เป็นนักธุรกิจ รงค์ค่อนข้างจะมีเพื่อนฝูงมาก มีหลายครั้งที่เขากลับบ้านมาในสภาพที่ "ดูไม่ได้" คือมึนเมามาพอสมควร และบ่อยครั้งก็ค่อนข้างดึกดื่น เจนเองตอนแรกๆ ก็คอยเขา แต่ต่อมาเธอก็เลิกคอย และเข้านอนก่อน เธอบอกว่า มันก็โชคดีที่เธอ เป็นคนนอนหลับง่าย เธอเลือกที่จะนอนมากกว่าการมานั่งเป็นโรคประสาท คิดน้อยเนื้อต่ำใจ กังวลว่าเขาจะไปอยู่กับใครที่ไหน เธอบอกว่า เธอจะไม่ยอมฟุ้งซ่านเป็นอันขาด และมีครั้งหนึ่งหรือ 2 ครั้ง ที่รงค์กลับบ้านมาพร้อมกับคราบลิปสติกที่ปกเอ เจนเห็นเมื่อเธอต้องนำผ้าไปซักในตอนเช้า เธอเล่าว่า เธอรู้สึกโกรธเมื่อเห็น แต่เธอก็เลือกที่จะมีสติและไม่ไปโวยวายกับเขา เมื่อเจอกับเขาตอนเช้า เธอก็พูดขึ้นอย่างธรรมดาว่า เสื้อของเขาไปเปื้อนลิปสติกมา เขาดูมีทีท่าผิดพร้อมกับพูดว่า "อ๋อ เมื่อคืนไปกับพวกทหารกลุ่มหนึ่ง แล้วเขาก็ให้พวกขาประจำของเขามานั่งคุยด้วยที่โต๊ะ พอผู้หญิงคนหนึ่งรู้ว่าผมมีภรรยาแล้ว เขาก็แกล้งเอาปกเสื้อไปถูกลิปสติกของเขา ผมเห็นก็โกรธจะตาย" เจนบอกว่าเธอพูดต่อกับเขาว่า "คราวหน้าคราวหลังก็ให้ระวังแล้วกัน เพราะมันซักออกยาก" เธอเล่าว่า แค่นี้ก็จบเรื่อง และเขาก็ไม่เคยให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก "ลองคิดดู ถ้าเราไปโวยวายทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา มันก็คงไม่จบและจะมีภาค 2 ภาค 3 ต่อไปเป็นนวนิยายที่ไม่รู้จบ" ใครๆ ที่ฟังเรื่องของเจนแล้วคงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอเป็นผู้หญิงที่มีสติ และรู้จักว่า สิ่งใดควรจะพูดและพูดในระดับใด


    5. ต้องใช้ความอดทนสูง เสมอใจเป็นตัวอย่างในข้อนี้ เธอเล่าว่า เธอไปแต่งงานกับสามีเจ้าชู้ ที่ชอบไปยุ่งกับผู้หญิงหลายคน แต่เขาก็มักจะบอกว่าเขาไม่จริงจังกับใคร แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขา "ไปติด" ผู้หญิงอยู่คนหนึ่งที่ค่อนข้างจะกล้าได้กล้าเสีย แต่ด้วยความใจเย็น และไม่โวยวาย เธอกลับได้เขาคืนมาในเวลาไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นเสียอีก เป็นฝ่ายโทรฯ มาขอให้เธอ "ปล่อย" สามีของเธอให้กับหล่อน เสมอใจก็ไม่โกรธกลับบอกหล่อนว่า "คงไม่ได้หรอก เพราะฉันเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ต่างคนต่างอยู่ อยากลักกินขโมยกินก็ทำไปก็แล้วกัน" ปัจจุบัน สามีเธอก็เปลี่ยนพฤติกรรมเจ้าชู้ และครอบครัวก็ไม่มีปัญหากันในเรื่องทำนองนี้อีก


    6. ต้องยอมรับความไม่สมบูรณ์ของอีกฝ่าย ก่อนแต่งงานกับเขา อะไรที่เขาทำก็ดูจะน่ารักน่าเอ็นดูไปเสียหมด แต่พออยู่กันไปนานๆ เข้า ความอดทนเริ่มมีน้อยลง ไอ้เสียงกรนที่เราเคยฟังว่าเพราะดี มันกลายเป็นเสียงที่เราแทบอยากจะร้องกรี๊ด แยกห้องนอนไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป คู่สมรสที่ประสบความสำเร็จ คือคู่สมรสที่มีความยอมรับในความบกพร่องของคู่ของตน และทำใจยอมรับได้ว่า "ก็เราเลือกของเรามาเองเช่นนี้จะไปโทษใครได้" ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่เริ่มจะทนไม่ได้กับความบกพร่องของคู่สมรส ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ให้คุณคิดเสียใหม่ว่า คุณรักเขาด้วยเหตุผลใด เอาเหตุผลนั้นมาถ่วงกับความบกพร่องของเขาหรือเธอให้ได้ แล้วคุณจะมองเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนลงไปเอง


    7. การไว้วางใจ จากการศึกษาพบว่า การไว้วางใจในคู่สมรส เป็นหัวใจที่สำคัญของความสำเร็จในชีวิตคู่ ถ้าคุณเกิดระแวงในคู่ของคุณแม้เพียงเล็กน้อย ความสัมพันธ์ก็จะมีปัญหาทันที โดยทั่วๆ ไปการไว้วางใจมักจะหมดไปเมื่อมีเรื่องของบุคคลที่ 3 เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง การมี "นังนั่น" นังนี่ หรือเจ้านั่น เจ้านี่ ทำให้สามีภรรยาแตกแยกกันมานับคู่ไม่ถ้วนแล้ว โดยเฉพาะผู้หญิง มักถือว่า เรื่องนี้สำคัญ และมักจะทนกับเรื่องอื่นๆ ของผู้ชายได้ยกเว้นเรื่องนอกใจ


    8. อย่าลืมเรื่องเพศสัมพันธ์ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในบทเพศสัมพันธ์กับชีวิตคู่ เพศสัมพันธ์เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากของการมีชีวิตคู่ที่ดี ภรรยา "ดีๆ" หลายคน สูญเสียสามีไปเพราะไม่เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ทำให้สามีถือเป็นข้ออ้าง ที่จะไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่น


    9. การให้อภัย สามีภรรยาต้องรู้จักหูหนวกตาบอดบ้างในบางโอกาส ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอดของชีวิตคู่ บางสิ่งบางอย่างไม่จำเป็นต้องรู้ ก็อย่าพยายามไปรู้ไปเห็น หรือไปได้ยิน คุณต้องมีศิลปะในการเลือกที่จะรับรู้ ไม่ใช่ใครพูดกรอกหูอะไรไปคุณก็จะ "กรี๊ด" ไปหมด การมีชีวิตคู่ที่ดี ต้องมีความหนักแน่น ไม่หวั่นไหวง่าย แล้วคุณจะมีความสุข นอกจากนี้ คุณต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัย ไม่ติดใจจดจำ ของบางอย่างจำไปก็เท่านั้น เจ็บปวดเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์กับชีวิต เหตุการณ์ไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด เมื่อเกิดขึ้นได้ ก็ย่อมดับได้ มันจะผ่านพ้นไปเองไม่ช้าก็เร็ว อย่าหมกมุ่นอยู่กับอดีตที่ชอกช้ำ เรียนรู้ที่จะให้อภัยในความเป็นมนุษย์ของเขาและของคุณ ความทุกข์ของแต่ละวัน ควรเพียงพอแล้วสำหรับวันนั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×