ตอนที่ 10 : 9
ก่อนที่แอนจะเอานำ้ชามาเสริพพวกเราชั้นก็พูดขึ้น
“พี่ว่าตอนที่อยู่ในห้องบังคับรถ ทิวทัศน์แถวนี้ก็ไม่เลวนะ พวกเราหยุดรถแล้วไปนั่งดื่มชากันแถวราวป่ากันมั้ย”
“แต่มันอาจมีอันตรายนะคะคุณหนู”แอนแย้งขึ้น
“จริงๆถ้าท่านพี่อยากดื่มชาแถวนี้น้องสามารถตรวจสอบได้นะคะว่ามีอันตรายหรือเปล่า”
“เอ๊ะทำยังไงเหรอ”
“ รถคันนี้มีเครื่องมือตรวจสอบอยู่ค่ะ พี่เบลล่ารอน้องเดี๋ยวนะคะ”พูดจบแอนริต้าก็เดินเข้าไปที่ห้องบังคับรถ สักพักเธอก็เดินออกมา
“ในรัศมีสองกิโลรอบรถเราไม่มีอันตรายค่ะ”แอนริต้าเดินยิ้มเข้ามาหาชั้น
“งั้นพวกเราหยุดรถแล้วออกไปดื่มชายามบ่ายกันข้างนอกเถอะ”จากนั้นพวกเราสามคนก็จอดรถหลบไว้ข้างทาง แล้วพวกเราก็เดินไปหาที่บรรยากาศดีๆเพื่อตั้งโต๊ะชา
“เอาตรงนี้แหละ แดดไม่ส่อง ดอกไม้ก็กำลังบาน แถมบรรยากาศดีอีก”ชั้นบอกกับทั้งสองคน จากนั้นแอนก็ยกกระเป๋าที่ถือมาขึ้น แล้วหยิบโต๊ะพร้อมเก้าอี้สำหรับดื่มชาออกมาจากกระเป๋าชั้นยิ่งเข้าใจความสุขของคนรวยมากขึ้นก็ตอนนี้ แม้แต่อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับดื่มชายังเอาเก็บไว้ในกระเป๋ามิติ จากนั้นชั้นสองคนก็นั่งลงและดื่มด่ำบรรยากาศอยู่ใต้ต้นไม้
“ถึงสวนที่บ้านจะสวย แต่การได้นั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างนี้ก็สวยไปอีกแบบนะ”ชั้นหันไปคุยกับแอนริต้า
“ใช่ค่ะ พี่เบลล่า จริงๆถ้าไม่ใช่ท่านพ่อกับท่านพี่ติดงานและท่านแม่ต้องคอยดูแลท่านพ่อ พวกเราคงได้ออกมาเที่ยวพร้อมกันทั้งครอบครัวแล้ว”
หลังจากที่พวกเรานั่งคุยกันสักพัก แอนก็นำน้ำชา กับของว่างมาเสริฟ
“วันนี้ของว่างเป็นสโคน ครีมกับแยมสตอเบอรี่ค่ะ”
“ว้าว น่าทานจังเลยแอน”
“แอนก็นั่งลงดื่มชาด้วยกันสิจ๊ะ”ชั้นหันไปมองแอน
“ดิฉันว่าไม่เหมาะกระมังคะคุณหนู”
“ไม่เป็นไรหรอก เราออกมาเที่ยวนะควรจะทำตัวตามสบายดีกว่า”
“นั่นสิแอนนั่งลงคุยกับพวกเราเถอะ”แอนริต้าเอ่ยสนับสนุนขึ้นอีกคน
พวกเรานั่งดื่มชายามบ่ายกันใต้ต้นไม้ที่มีดอกไม้ขึ้นเต็มต้น ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ คู่กับสโคนกรอบๆนุ่มทานคู่กับครีมและแยมสตอเบอรี่ อา กลิ่นของชาหอมๆที่ผสมกับนมและน้ำตาลทำให้รู้สึกสดชื่น แถมตอนนี้ภาระหน้าที่ต่างๆของชั้นก็หายไปเรียบร้อย ชั้นรู้สึกว่าชีวิตชาตินี้ช่างโชคดีจริงๆ ถึงจะเสียดายนิดหน่อยที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ แต่ก็ชดเชยด้วยการที่ชาตินี้มีครอบครัวที่รักชั้น แถมยังมีท่านพ่อสายเปย์อีกต่างหาก อา หนทางข้างหน้าช่างสดใสจริงๆ อ๊ะ ทำไมอยู่ๆรอบๆตัวชั้นก็มืดลง
“คุณหนูระวัง”เสียงแอนดังขึ้นพร้อมกับที่เธอกระโดดขึ้นไปข้างบน
“เปรี้ยง”แอนริต้ารีบเข้ามาดึงชั้นยืนขึ้นแล้วเข้ามายืนข้างหน้าชั้น พวกเราหันไปมอง จึงเห็นแอนกำลังสู้อยู่กับนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง
“นั่นตัวอะไรน่ะริต้า”
“นั่นสัตว์อสูรบินได้ระดับซีค่ะ”
“อ๊ะ แอนจัดการมันได้แล้ว”พวกเรามองเห็นแอนตัดปีกมันออกข้างหนึ่งเมื่อมันบินไม่ได้ แอนก็เข้าไปตัดหัวมันออกมา แล้วเธอก็ผ่าไปที่อกของมันนำหินเวทย์ออกมา
“เจ้าตัวนี้กินได้มั้ยเนี่ย”ชั้นหันไปถามแอนเนื่องจากเห็นมันมีรูปร่างเหมือนนก
“อืม เนื้อเจ้านี่น่ะเหม็นมากค่ะ แถมยังเหนียวไม่มีใครเอามันมากินกันหรอกค่ะแถม ซากมันก็แทบจะไร้ประโยชน์ นอกจากหินเวทย์แล้วเจ้านี่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
“แล้วจะทำยังไงกับซากมันล่ะ”
“ก็เผามันทิ้งค่ะ” พูดจบแอนก็ลากมันไปตรงที่ว่างแล้วใช้เวทย์ไฟเผามันจนเหลือแต่ขี้เถ้า
“พี่ว่าเราคงดื่มชากันต่อไม่ได้แล้วล่ะ พวกเราเดินทางไปเมืองต่อไปกันดีกว่า”ชั้นหันไปบอกกับแอนริต้า
“งั้นพวกเราก็ขึ้นรถกันเถอะค่ะ”
จากนั้นพวกเราก็ไปขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางไปที่เมืองต่อไป ด้วยการเร่งความเร็วของรถม้าหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงพวกเราจึงมาถึงเมืองถัดไป เมื่อรถม้ามาถึงประตูเมือง ชั้นที่อยู่ที่ห้องบังคับรถก็เห็นหุ่นคนขับรถม้ายื่นของบางอย่างให้ทหารที่เฝ้าหน้าประตู พอทหารเห็นของที่ยื่นมาให้ก็รีบเปิดทางให้รถม้าของพวกเราเข้าเมืองไป
“หุ่นตัวนี้เคลื่อนไหวได้ด้วยเหรอริต้า”ชั้นหันไปถามน้องสาว
“ไม่ใช่แค่เลื่อนไหวได้นะคะ มันยังพูดจาโต้ตอบได้ แถมยังต่อสู้ได้ด้วยนะคะ”
“โอ้โห งั้นหุ่นตัวนี้คงแพงมากสินะ”แอนริต้าหันมายิ้มให้ชั้น
“ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ น้องบอกแล้วไงว่าแค่นี้ขนหน้าแข้งท่านพ่อไม่ร่วงหรอก”
“แล้วม้าสองตัวนั่นล่ะทำอะไรได้มั่ง”
“นอกจากวิ่งแล้วก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ แต่ท่านพี่ไม่ต้องห่วงนะคะม้านั่นน่ะใช้วัสดุชนิดเดียวกับที่ทำรถม้ารับรองความทนทาน”
จากนั้นพวกเราก็เดินทางเข้ามาในเมือง เมืองนี้แม้จะไม่ใหญ่เท่าเมืองหลวง แต่สภาพบ้านเรือนและ ผู้คนก็แทบไม่ต่างจากเมืองหลวงมากนัก ขณะที่พวกเรากำลังนั่งรถม้าชมเมืองอยู่นั้นแอนริต้าก็หันมาถามชั้น
“พี่เบลล่าจะพักค้างคืนที่เมืองนี้มั้ยคะ”
“พี่ว่าเราเดินทางไปเมืองต่อไปเลยดีกว่าเมืองนี้ไม่ต่างจากเมืองหลวงเท่าไหร่อีกอย่างพี่อยากดูบรรยากาศยามค่ำคืนระหว่างทางน่ะ”
“งั้นเราจะออกจากเมืองเลยหรือคะ”
ไม่หรอก พี่ว่าจะแวะดูของใช้ เสื้อผ้า อาหารของเมืองนี้ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง แล้วเราก็แวะทานข้าวเย็นที่เมืองนี้เลยน้องว่าดีมั้ยจ๊ะ”
“เอ๊ะ ก็ดีเหมือนกันนะคะ งั้นเราหาสถานที่รับฝากรถกันก่อนนะคะ”จากนั้นเมื่อพวกเรานำรถม้าไปฝากเรียบร้อยแล้ว พวกเราสามคนก็พากันออกมาเดินเล่นในเมือง
“เฮ้ดูสาวๆสามคนนั่นสิ แต่ละคนนี่โคตระสวยเลย”
“ใช่ๆ สาวผมดำนั่นก็ดูสูงสง่าอย่างกับเจ้าหญิง สาวผมเงินถึงจะดูเย็นชาแต่ก็สวย สาวผมแดงนั่นถึงหน้าตาจะดูดุไปบ้างแต่ก็สวยจริงๆ”
“อา ถ้าข้าได้แต่งงานกับหญิงงามอย่างนี้ ต่อให้อายุสั้นลงข้าก็ยอม”
“สารรูปอย่างเจ้าคงได้แต่ฝันนั่นแหละ”
มีเสียงเหล่าชายหญิงที่พูดถึงหญิงสาวทั้งสามขณะเดินผ่านมีทั้งพูดด้วยความชื่นชม และพูดด้วความอิจฉา แล้วยังมีผู้ชายใจกล้าบางคนที่พยายามเดินเข้าใกล้พวกเธอ
“ห้ามเข้าใกล้คุณหนูของข้าในระยะหนึ่งเมตร”แอนได้เดินเข้าไปขวางพวกผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พวกเรา
“เฮ้น้องสาว นี่เป็นถนนสาธารณะนะ เจ้าจะห้ามคนอื่นเดินได้ยังไงแล้วพวกนั้นล่ะเข้าไปใกล้ยังไม่เห็นเป็นอะไร”ผู้ชานคนนึงชี้ไปที่หญิงสาวคนอื่นที่เดินอยู่ข้างพวกชั้น
“ข้าห้ามเฉพาะผู้ชายเท่านั้น”ชั้นเดินเข้าไปหาแอน
“แอนไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่ได้ค่ะคุณหนู นายท่านสั่งไว้ว่าห้ามผู้ชายคนไหนเข้าใกล้พวกคุณหนูในระยะหนึ่งเมตร ถ้าใครกล้าให้เชือดทิ้งได้เลย”
“น่าสนใจดีนี่ ข้าก็อยากโดนเชือดทิ้งเหมือนกัน”หนึ่งในกลุ่มผู้ชายกล่าวขึ้น
“ดี”เมื่อพูดจบแอนก็ชักดาบออกมาพร้อมทั้งร่ายเวทย์จนมีเปลวเพลิงลุกขึ้นบนดาบ
“นักดาบเวทย์ ซวยแล้ว”ชายคนเดิมพูดขึ้น ชายที่ท่าทางจะเป็นหัวหน้ารีบออกมาทันที
“ฮ่าๆๆ พี่สาว เรื่องนี้เป็นแค่การเข้าใจผิด พวกข้าแค่ล้อเล่น ข้าจะพาเจ้าพวกนี้ไปโดยเร็ว”จากนั้นคนพวกนั้นรีบเดินหนีไปโดยเร็ว
เมื่อแอนเก็บดาบไปสายตาชาวบ้านก็ต่างมองแอนด้วยความเคารพ นักดาบเวทย์นับเป็นอาชีพที่เป็นได้ยากมากนอกจากจะต้องเชี่ยวชาญดาบแล้วต้องเชี่ยวชาญเวทมนตร์ด้วย และในการต่อสู้ต้องสามารถผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันเพื่อใช้ในการต่อสู้จึงจัดเป็นอาชีพชั้นสูงที่หาได้ยาก หลังจากนั้นพวกเราก็ตระเวนหาซื้อเครื่องปรุง เนื้อ ผัก ผลไม้ ของหวาน ที่พวกเรายังไม่มี โดยแอนจะเก็บไว้ในกระเป๋าเวทมนตร์ พอได้ของทุกอย่างตามต้องการพวกเราก็กลับไปที่รถแล้วเดินทางออกจากเมือง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอาแกนเวทให้แฝดพี่ดูดเพิ่มแรงค์ได้ไหมนะ