ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Raid of Drachen

    ลำดับตอนที่ #9 : Ep.1 Chapter 8 - การบินครั้งแรก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.13K
      111
      24 ก.ค. 63

    Chapter 8

    First Flight

    การบินครั้งแรก

     

     

     

    เลสเตอร์กำลังเมื่อยจากการใช้มือถือเกล็ดมังกรมาร่วมชั่วโมงถึงแม้เขาจะผลัดกันใช้แขนซ้ายแขนขวาก็เถอะ

    “รู้สึกว่ามันเริ่มเบาลงยังไงก็ไม่รู้” เลสเตอร์หันไปถามความเห็นฮะการ์หลังจากความรู้สึกเหมือนพายุหมุนวนรอบๆมือเขากำลังเบาลง

    “นั่นเป็นสัญญาณว่าการส่งถ่ายพลาน่ากำลังใกล้เสร็จแล้ว พลังของเบลสตีนจะกลายเป็นของเจ้าในอีกไม่ช้า”

    “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าหัวใจดวงนี้ล่ะ ถ้าผมดึงพลังของมันมาแล้ว” เลสเตอร์ถามข้อสงสัยไปในใจเขาหวังว่ามันคงจะไม่ได้เหี่ยวแฟบแล้วเน่าสลายไปเมื่อไร้พลัง

    “ไม่ต้องห่วง ร่างกายของมังกรน่ะเป็นสิ่งมหัศจรรย์มันสามารถฟื้นฟูพลาน่าของมันได้เอง หากไม่ได้รับความเสียหายมากเกินไปก็สามารถใช้เป็นแหล่งพลังต่อไปได้ก็แค่ให้เวลามันฟื้นฟูซักหน่อยก็เท่านั้นเอง”

    “ฟื้นฟูเหรอ นานแค่ไหนล่ะ”

    “เวลาไม่ค่อยแน่นอนหรอกแต่อย่างต่ำก็ราวๆสี่ปี” ฮะการ์ยกนิ้วสี่นิ้วเป็นคำตอบ

    “หมายความว่าสี่ปีนี้จะไม่มีใครใช้เจ้านี่ได้เลยเหรอ นานขนาดนั้นเชียว”

    “เจ้าลองมองกลับกันสิว่ามันตั้งอยู่ตรงนี้มาตลอดสามร้อยปีก่อนแล้วเจ้าเป็นคนแรกที่พึ่งได้ใช้มัน” ฮะการ์พูดให้เลสเตอร์คิดตามซึ่งเมื่อเด็กหนุ่มลองคิดๆดูแล้วมันก็ดูสมเหตุสมผลดี

    เป็นครั้งแรกที่เลสเตอร์ได้ตระหนักว่าช่วงเวลาของเวลาของเหล่ามังกรนั้นยาวนานเหลือเกิน

    “อ๊ะ” เลสเตอร์รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกบางอย่างที่พุ่งจากฝ่ามือแล้วกระชากจนไปถึงด้านในของเขา

    “ดูเหมือนจะเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ” คอครัสที่นอนเท้าคางมองอยู่พูดออกมา “น่าสนใจจริงๆข้าก็พึ่งเคยเห็นคนใช้พลาน่าของเบลสตีนเป็นครั้งแรก ยังไงเรื่องเล่านั้นมันก็ราวสามร้อยกว่าปีมาแล้วถึงจะรู้ว่าเป็นพลาน่าเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายแต่ก็ไม่ได้รู้รายละเอียดลึกๆซักหน่อย”

    “คงยังไม่ได้เห็นเร็วๆนี้หรอก เจ้านี่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยคงต้องฝึกอีกซักพักถึงจะแสดงมันออกมาได้ ไม่กี่วันก่อนมานี้เจ้าเด็กนี่ยังเป็นแค่เด็กเวย์แลนด์ธรรมดาๆอยู่เลยนี่นะ”

    “ข้าถึงบอกไงล่ะว่าเจ้าคิดยังไงถึงให้กินดวงตามังกรไป” คอครัสถอนหายใจ เลสเตอร์ตีหน้าเบื่อเล็กน้อยที่เขากำลังโดนดูถูกแต่ก็เถียงไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องจริง

    “แปลว่าผมยังใช้พลังไม่ได้เหรอ”

    “เจ้าต้องฝึกก่อนสิถึงจะใช้ได้ พลาน่าไม่ใช่พลังสำเร็จรูปแบบได้รับเสร็จก็ใช้ได้เลยหรอกนะ” ฮะการ์บอกและเลสเตอร์เองก็ยอมรับมันเพราะมันก็ดูสมเหตุสมผลดี

    “นี่ปู่”

    “ว่ายังไงล่ะ มีคำถามอีกล่ะสิ” ฮะการ์รู้ดีว่าเจ้าเด็กมากคำถามคนนี้จะต้องถามอะไรอีกแน่ซึ่งก็ถูกต้องเพราะเลสเตอร์พึ่งคิดเรื่องนี้ออกตอนที่เขาได้ยินคอครัสพูดถึงดวงตามังกร

    “ตอนที่ชายหาดนั่นผมเห็นมังกรได้ทั้งๆที่ไม่ได้กินดวงตามังกร ปู่ยังไม่อธิบายเรื่องนี้กับผมเลยนะ” เลสเตอร์ถามคำถามที่กวนใจในหัวเขามาตลอดออกไป

    “สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็คือร่างกายของเจ้านั้นมีคุณสมบัติในการเห็นมังกรอยู่แล้วแม้จะน้อยนิดก็ตาม”

    “ผมเนี่ยนะ จะบอกว่าผมสามารถเห็นมังกรได้โดยไม่ต้องกินดวงตามังกรเหรอ งั้นก็สุดยอดไปเลยสิ”

    “เปล่า เพราะหนังสือเล่มนั้นต่างหากล่ะ” ฮะการ์พูดถึงหนังสือเจ้าปัญหาสีแดงซึ่งฮะการ์ริบเอาไปจากเด็กหนุ่มตั้งแต่เมื่อวานโดยบอกไว้ว่าจะดูและให้ “ที่หนังสือเล่มนั้นน่ะมีเขี้ยวของมารามอสอยู่ การที่เจ้าอยู่กับหนังสือเล่มนั้นมานานครึ่งปีทำให้พลาน่าของเขี้ยวนั่นส่งถ่ายมาที่เจ้าอ่อนๆด้วย ทำให้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะสามารถเห็นมังกรได้บ้าง”

    “แต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้กินดวงตามังกรเลยนะแล้วผมจะมีคุณสมบัติรับพลาน่าได้ยังไงล่ะ”

    “ดวงตาของมังกรแค่สร้างคุณสมบัติที่เหมาะสมต่างหาก ไม่ใช่ว่าร่างกายของมนุษย์ธรรมดาจะไม่สามารถเปิดรับพลาน่าได้เพียงแต่มันช้าและมีขีดจำกัดก็เท่านั้น เคยมีเหตุการณ์ที่ชิ้นส่วนของมังกรหลุดไปอยู่ในมือของมนุษย์ธรรมดาๆอยู่บ้างเหมือนกันและแน่นอนว่ามนุษย์เหล่านั้นมักจะมีความสามารถในการเห็นมังกรที่ดีกว่ามนุษย์ทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นเป็นเงาลางๆขาดๆหายๆล่ะนะ”

    “แต่ตอนที่ผมเห็นที่หาดน่ะมันเห็นชัดเจนเลยนะ ถึงจะใช้เวลาหน่อยก็เถอะ”

    “เพราะตอนนั้นเจ้าอยู่ใกล้หนังสือเล่มนั้นยังไงล่ะ พลาน่าที่รุนแรงจากชิ้นส่วนร่างกายของมารามอสน่ะต่างจากชิ้นส่วนของมังกรอื่นๆเพราะงั้นมันจึงมีพลาน่าที่รุนแรงมหาศาลบวกกับเจ้ามีพลาน่าอ่อนๆอยู่ในร่างกายแล้วทำให้เจ้าสามารถเห็นมังกรได้อย่างชัดเจนผิดปกติ ยังไงก็เถอะนี่ก็เป็นแค่การคาดเดาของข้าเพราะเหตุการณ์ที่มีชิ้นส่วนของดราเชนหลุดไปจนถึงเวย์แลนด์แบบนี้ก็พึ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก” ฮะการ์กล่าวขึ้นจนเลสเตอร์นึกย้อนไปถึงตอนที่ฮะการ์โยนหนังสือมาให้เขารับแล้วชี้ให้ดูมังกรบนฟ้าอีกรอบซึ่งตอนนั้นเขาก็เห็นมันได้ชัดจริงๆ  “ส่วนเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการปรับภาพน่ะ การเห็นมังกรครั้งแรกน่ะต้องใช้เวลาในการปรับตัว นักรบมังกรทุกคนก็เป็นกันทั้งนั้น ไม่ต้องกังวลหรอกนะ”

    “นี่ปู่กำลังจะบอกว่าผมมีพลาน่าของมารามอสอยู่ในตัวงั้นเหรอ”

    “ใช่ แต่ก็แค่อ่อนๆเท่านั้น อ่อนในระดับที่แทบจะเรียกว่าไร้ประโยชน์เลยล่ะ พลาน่าของมังกรน่ะถ้าไม่เข้มข้นมากพอล่ะก็มันก็ไม่สามาถนำมาใช้งานได้หรอกนะ ถ้าพลังของมังกรมันส่งถ่ายง่ายๆกะอีแค่ถือชิ้นส่วนอยู่ใกล้ๆตัวซักครึ่งปีแล้วล่ะก็เราคงไม่ต้องหาดวงตามังกรมาสร้างนักรบให้เหนื่อยเปล่าหรอก” ฮะการ์บอกดับฝันของเด็กหนุ่มที่กำลังคิดว่าตัวเองจะได้สืบทอดพลังของมังกรในตำนานตนหนึ่ง

    “ก็แน่สิ ผมไม่ได้เหมือนหลานชายปู่ซักหน่อย” เลสเตอร์ทำหน้าเบื่อ ดวงตาของเขามองดูหัวใจขนาดยักษ์ของเฮเบรัสที่อยู่มุมห้อง

    ว่ากันว่าคนที่สามารถสืบทอดพลังของดราเชนได้จะมีเพียงหนึ่งคนในหนึ่งทษวรรษเท่านั้นและดูเหมือนเอลเลียตจะเป็นหนึ่งคนนั้นที่ว่า

    “ถึงสืบทอดพลังของดราเชนได้ก็ใช่ว่าคนอื่นจะเก่งกว่าไม่ได้ ข้าเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วคนธรรมดาๆที่ชนะพรสวรรค์น่ะ” ฮะการ์อธิบายไปแต่เมื่อมองหน้าเด็กหนุ่มแล้วเขาก็ต้องถอนหายใจ “ข้าขอย้ำนะ พวกเจ้าสองคนควรจะหาเวลาคุยปรับความเข้าใจกันได้แล้ว”

    “ก็ผมไม่รู้ว่าจะคุยยังไงดีนี่”

    “เจ้าหนูเอลเลียตน่ะนะ ไม่ยากหรอก เจ้าแค่ลองเปิดใจแล้วคุยกับเค้าอย่างจริงใจก็พอแล้ว” คอครัสบอกขึ้นแต่เลสเตอร์ก็ยังส่งสายไม่มั่นใจออกมา

    “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” เขาถามออกไปด้วยความสงสัย

    “เพราะเจ้าหนูนั่นเป็นคนดียังไงล่ะ ข้าน่ะอยู่มานานแล้ว เชื่อข้าเถอะ” คอครัสบอกแบบนั้น ความจริงลึกๆแล้วเลสเตอร์เองก็เห็นไม่ต่างกัน

    “จริงสิ ข้าพาพวกเจ้าทั้งสองคนไปเที่ยวที่ๆหนึ่งดีมั้ย เผื่อพวกเจ้าจะได้ไปคุยกันที่นั่น” ฮะการ์พูดขึ้นมาจนเลสเตอร์หันควับมาให้ความสนใจกับคำว่าเที่ยว

    “ที่ไหนเหรอ!

    “อีกไม่กี่วันก็เป็นวันเปิดของมันพอดีซะด้วยสิ”

    คำพูดนั้นของฮะการ์ทำเอาเจ้ามังกรตัวโตถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะบางทีมันอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าสถานที่นั้นคืออะไร

    “เจ้าคงไม่ได้จะพาพวกนี้ไปที่นั่นหรอกใช่มั้ย?” คอครัสถาม

    ฮะการ์ไม่ตอบ เขาเพียงยิ้มบางออกมาและมันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เลสเตอร์ถึงกับขนลุกเพราะรอยยิ้มแบบนี้มักจะไม่ค่อยก่อเกิดเรื่องดีๆซักเท่าไหร่ เลสเตอร์รู้ดีว่าเขาคงจะไม่ได้ไปเที่ยวสบายๆอย่างที่หวังแล้ว

    “ถ้าจะได้เจอเรื่องวุ่นๆอีกแล้วมั้ยล่ะ”

     

     

     

    สองวันหลังจากที่เขารับพลังของเบลสตีนมาแล้ว ฮะการ์ก็ไม่ได้สอนอะไรเขาอีกเลยและปล่อยให้เขาใช้ชีวิตกินๆนอนๆอยู่ปราสาทลอยฟ้าแห่งนี้ จะมีสาระหน่อยก็แค่ตอนที่เขาเดินไปให้ดีเลียสอนเรื่องการดูแลลูกมังกรกับศึกษาสถานที่ต่างๆในแอนทีคอีกนิดหน่อยก็เท่านั้น เวลาส่วนใหญ่ส่วนเขามักจะใช้นั่งเล่นเกมกระดานของเนลลี่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปเอามาจากไหนกับเป๊ปเปอร์

    โดยรวมๆเขาเริ่มชินกับการใช้ชีวิตประวันต่างๆของที่นี่บ้างแล้ว เขาเริ่มทักทายกับคนงานคนอื่นๆได้บ้างแม้จะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว

    “ไม่ต้องร้อนใจไป”  ฮะการ์ตอบสั้นๆแบบนี้ตอนที่เขาขอให้สอนการควบคุมพลังให้ สุดท้ายเขาก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพลังที่ได้มาเลย ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองในตอนนี้มีอะไรแปลกประหลาดจากคนทั่วไป

    สรุปโดยรวมๆสองวันนี้นั้นเป็นวันที่เขาแทบจะไม่ได้อะไรเลย

    แต่วันนี้นั้นต่างออกไปเพราะฮะการ์เรียกเขาไปพบแต่เช้าโดยให้เนลลี่พาไปยังสถานที่บางอย่างที่เรียกว่า สถานี

    ทั้งสองมาถึงสถานีที่ว่า มันคือพื้นที่ราบโล่งที่อยู่ตรงขอบของพื้นที่ทรงกลมรอบปราสาทและดูเหมือนขอบของพื้นที่บริเวณนี้จะไม่มีรั้วล้อมรอบ

    “สรุปสถานีนี่คืออะไรเหรอ พี่เนลลี่” เลสเตอร์ถาม

    “ท่านฮะการ์ไม่ได้บอกเหรอ?” เนลลี่ถามเพราะนึกว่าเด็กตรงหน้าคนนี้น่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว “ที่นี่เป็นที่ๆเราจะเรียกมังกรมาไว้ใช้ไปไหนมาไหนน่ะ”

    “สรุปคือสถานีที่ว่าคือสถานีมังกรสินะ” เลสเตอร์ลองคิดภาพสถานีรถไฟขึ้นมาแล้วเปลี่ยนรถไฟเป็นมังกรตัวใหญ่

    “อื้ม ว่าแต่จะไปที่ไหนกันเหรอ” เนลลี่ถามเด็กหนุ่มแต่เลสเตอร์ส่ายหน้าช้าๆเป็นคำตอบ

    “ปู่ไม่ได้บอกอะไรผมเลย”

    “ฮะๆ ท่านฮะการ์ก็เป็นคนแบบนั้นล่ะนะ” เนลลี่หัวเราะแห้งๆ เธอนั้นเข้าใจความรู้สึกของเลสเตอร์อย่างดีเยี่ยมว่าชายชรานามฮะการ์นั้นเป็นคนชอบกักคำตอบขนาดไหน

    “มากันแล้วเหรอ” เสียงของฮะการ์ดังขึ้นมา ชายชราเดินมาทางพวกเขาพร้อมกับเอลเลียตที่ตีสีหน้าเรียบเฉยเดินตามมา

    “สรุปว่าเราจะไปไหนกันเหรอ” เลสเตอร์ถาม

    “เวสปาร์ทาวเวอร์” ฮะการ์ตอบสั้นๆแต่ทั้งเนลลี่และเอลเลียตกลับทำหน้าตกใจขึ้นมาเล็กๆแต่ก็ไม่ได้มากจนเกินไป เลสเตอร์ขมวดคิ้วเพราะเหมือนเขาจะคุ้นกับชื่อนี้อยู่แต่นึกไม่ออก

    “จริงสิ วันนี้วันเปิดของที่นั่นนี่นะ แต่ว่าท่านฮะการไม่เคยคิดจะส่งใครไปที่นั่นในตอนแรกนี่คะแล้วทำไมจู่ๆถึงได้

    “ท่านปู่อยากให้ผมไปที่นั่นเหรอครับ” เอลเลียตถาม

    “ไปศึกษาจากคนอื่นบ้างก็ดีเอลเลียต ที่สำคัญพลาน่าใหม่ที่เจ้านี่ได้มาน่ะไม่ใช่ขอบเขตที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดซะด้วย” ฮะการ์เหล่สายตาไปทางเลสเตอร์ที่กำลังงงเรื่องที่คนอื่นๆคุยกัน

    “คุยกันให้ผมรู้เรื่องด้วยสิ” เลสเตอร์ร้องท้วงแต่ฮะการ์เพียงยักไหล่ตอบและกำลังจะอ้าปากพูดคำที่เลสเตอร์หวังว่าจะไม่ได้ยินที่สุด

    “ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”

    “นั่นไง” เลสเตอร์ยกมือสองข้างขึ้นก่ายหน้าผาก

    ฮะการ์ไม่สนใจเจ้าเด็กแสบที่กำลังหงุดหงิดที่ไม่ได้รับคำตอบ ชายชราสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วผิวปากออกมาหนึ่งครั้งซึ่งน่าประหลาดที่เสียงนั้นดังก้องอย่างประหลาดทั้งๆที่ผิวปากในที่แจ้งจนเลสเตอร์แอบสงสัยว่าฮะการ์ทำได้แต่ก่อนที่คิดเรื่องนั้นทุกคนในที่นี้ก็ได้ยินเสียงของบางสิ่งคำรามออกมาเสียงดัง

    มังกรสีแดงสดขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากผืนฟ้าด้านหลัง สายลมแรงจากความเร็วนั้นฉีกกระชากอากาศจนส่งเสียงดัง มันบินหมุนวนอยู่เหนือปราสาทซักพักราวกับกำลังเล่นสายลมหลังจากนั้นมันก็ลงจอดลงบนพื้นที่ว่างอย่างนิ่มนวล

    โคตรเท่ เลสเตอร์คิดในใจแต่ตอนนั้นมีบางอย่างที่ทำให้เขาฉุกใจขึ้นมา

    “เจ้านี่ เจ้าตัวเมื่อวันนั้นนี่” เลสเตอร์นึกถึงมังกรขนาดใหญ่ที่บินวนอยู่เหนือปราสาทในวันแรกที่เขามาที่นี่

    “ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ ข้าจะให้เจ้าจะได้นั่งสบายๆบนหลังของสเปียร์”

    “สเปียร์? เลสเตอร์ยังคงมองมังกรตรงหน้าอย่างประทับใจ แม้ตอนนั้นจะเห็นบนฟ้าแต่พอมาอยู่ใกล้ๆแล้วความรู้สึกมันต่างกันคนละเรื่องถึงแม้จะไม่เท่าตอนที่เขาเห็นคอครัสก็เถอะ

     ฮะการ์เดินไปลูบลำคอยาวของมันเบาๆ เจ้ามังกรตัวใหญ่ก็ย่อตัวลงกับพื้นในระดับที่คนสามารถปีนขึ้นไปบนหลังมันได้ ฮะการ์ปีนขึ้นไปบนหลังเจ้าสเปียร์อย่างกระฉับกระเฉงในระดับที่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่านี่คือชายชราอายุเจ็ดสิบปี เอลเลียตปีนขึ้นไปตามหลังราวกับเคยทำมาหลายครั้งแล้ว

    “ขึ้นมาสิ” ฮะการ์กล่าวกับเลสเตอร์ซึ่งดูเหมือนจะยังประหม่าอยู่ สเปียร์เองก็เอนคอยาวของมันมามองทางเขาพร้อมกับส่งเสียงในลำคอเล็กๆเหมือนกับกำลังถามว่ารออะไรอยู่

    ฉันประหม่าเพราะแกนั่นแหละ เลสเตอร์จิกสายตากลับใส่สเปียร์แล้วค่อยๆใช้มือทั้งสองข้างดันตัวเองขึ้นมาบนหลังของสัตว์ประหลาดยักษ์ขนาดสิบกว่าเมตร

    “เจ้านี่ตัวใหญ่แค่ไหนเนี่ย”

    “ราวสิบสามเมตรได้” ชายชราตอบคำถาม

    “ใหญ่อีกนิดก็จะเท่าคอครัสแล้วมั้ยล่ะ” เลสเตอร์พูดยิ้มๆแม้จะประหม่าแต่เขาเองก็ให้ความสนอกสนใจมันไม่แพ้กัน

    “จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เจ้าได้ขี่มังกรนี่นะ คงประหม่าไม่เบาล่ะสิ” ฮะการ์หันไปบอกเลสเตอร์มือของชายชราจับแผงคอหนาที่คอของเจ้าสเปียร์ไว้แน่น

    “ก็พอสมควร” เลสเตอร์ตอบไปตามตรง “ว่าแต่ตอนที่ผมมาที่นี่ปู่ก็ขี่มังกรพามาไม่ใช่เหรอ”

    “ตอนนั้นเจ้าสลบ ข้าเลยไม่นับ”

    “อาหะ” เลสเตอร์พ่นลมออกจากคอ เขาเองก็พอๆจะเดาได้ว่าฮะการ์ต้องตอบแบบนี้

    “คล้องนี่ไว้กับหนามแล้วจับหนามไว้แน่นๆด้วย ไม่งั้นนายได้ตกลงไปแน่” เอลเลียตพูดเตือนเขาพร้อมกับชี้ไปที่หนามหนาๆที่ผุดขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลังของเจ้ามังกรแล้วโยนเชือกเส้นใหญ่มาให้เขา เลสเตอร์นำเชือกนั่นไปคล้องไวที่หนามหนาใหญ่ของเจ้าสเปียร์แล้วใช้อีกด้านนั้นคล้องเข้ากับเอวของตัวเอง

    อย่างน้อยเชือกเส้นนี้ก็ช่วยปัดความกังวลใจว่าเมื่อเขาร่วงหล่นจากหลังมังกรแล้วต้องก็ยังมีบางอย่างฉุดเขาจากการดิ่งพสุธา

    “อา...อืม ชอบใจนะ” เลสเตอร์รู้สึกดีที่อย่างน้อยเอลเลียตก็ยังพูดกับคำด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ปกติถึงแม้ความรู้สึกเป็นมิตรจะหดหายจากครั้งแรกที่เจอกันก็เถอะ

    “เนลลี่ ข้าขอฝากเจ้ากับดีเลียดูแลปราสาทระหว่างข้าไม่อยู่ด้วยล่ะ”

    “รับทราบค่ะ ท่านฮะการ์” เนลลี่โค้งตัวรับคำสั่งอย่างนอบน้อม

    “โชคดีที่เวสปาร์ทาวเวอร์อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงสี่ร้อยเอสทัน ข้าคงกลับมาถึงที่นี่ราวหัวค่ำล่ะนะ”

    เลสเตอร์ลองคาดการณ์ระยะทางที่ฮะการ์บอกด้วยหน่วยเอสทันดู จากที่จำความได้หนึ่งในสี่เอสทันมีความยามราวหกร้อยเมตรดังนั้นหนึ่งเอสทันก็น่าจะมีความยาวราวๆสองพันสี่ร้อยเมตรหรือสองจุดสี่กิโล เพราะงั้นระยะทางสี่ร้อยเอสทันก็แทบจะเกือบหนึ่งพันกิโลเมตรเลย

    นั่นเป็นระยะทางที่เหลือเชื่อมากสำหรับเลสเตอร์ที่เติบโตในเวย์แลนด์

    “งั้นเราจะไปกันล่ะนะ” ฮะการ์พูดจบก็ออกแรงกดเบาๆที่แผงคอของเจ้าสเปียร์ เจ้ามังกรตัวใหญ่ส่งเสียงคำรามหนึ่งครั้งแล้วกางปีกบินไปสู่ฟากฟ้า

    “เหวอ! นี่มันบ้าอะไรเนี่ย” เลสเตอร์อุทานออกมาเพราะความเร็วลมจากการบินด้วยความเร็วสูงนั้นกำลังกระแทกหน้าเขาอย่างจัง เขาต้องจับมือหนามให้แน่นเพื่อให้ตัวเองถูกลมพัดไป พวกเขากำลังอยู่บนหลังมังกรด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าเหลือเชื่อ

    “อย่าเกร็ง ผ่อนตัวไปตามสายลมบ้าง” ฮะการ์พูดไล่หลังขณะที่กำลังควบคุมมังกรขนาดใหญ่ที่พวกเขากำลังขี่อยู่

    เลสเตอร์ลองทำตามคำแนะนำโดยแอบกลัวๆซึ่งมันก็ได้ผลจริง หลังจากลดแรงเกร็งแล้วเขาก็สามารถนั่งได้สบายขึ้นแม้แรงลมที่กระแทกหน้ามาจะยังแรงเหมือนเดิมแต่เขากลับไม่รู้สึกกว่าตัวเองจะถูกพัดลงไป

    “สุดยอดเลย...” เลสเตอร์ไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ได้ มันเป็นความรู้ที่ปนกันระหว่างความตื่นเต้น ความสุขและความกลัว

    เขากำลังขี่มังกรบินอยู่บนฟากฟ้า

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×