คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : Ep.2 Chapter 4 - วันก่อนออกศึก
Chapter 4
The Day Before the Battle
วันก่อนออกศึก
หอประชุมส่วนนอกของอารันคาทรัชในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยเหล่านักรบมากมาย
เลสเตอร์มองไปรอบๆก็พบว่ามีคนอยู่ที่นี่รวมตัวเขาแล้วราวๆเกือบสิบคนโดยนอกจากดอรันและทั้งสองคนที่เขาพบในร้านกาแฟตอนนั้นแล้ว
เขาไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว
“อึดอัดจริงวุ้ย”
เลสเตอร์บ่นเบาๆให้ตัวเองได้ยินคนเดียวเนื่องจากเท่าที่เห็นดูเหมือนเขาจะเป็นนักรบที่อายุน้อยที่สุดในห้องแห่งนี้
“ทั้งสองทีมมากันครบแล้วสินะ”
ดอรันที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะกล่าวขึ้น
ดูเหมือนนอกจากเขาจะเป็นหัวหน้าทีมที่ดูแลทางทิศใต้แล้ว
เขาจะยังเป็นหัวหน้าใหญ่ในทีมคุ้มกันทั้งหมดนี้ด้วย “ถ้าพร้อมแล้ว
เรามาจะเริ่มการประชุมของทีมคุ้มกันแอนทีคเฉพาะกิจนี่กันเลย”
“ก่อนอื่นฉันขอถามอะไรซักหน่อย”
ชายคนหนึ่งยกมือขึ้น
เลสเตอร์ไม่รู้จักเขาดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าทีมอีกทีมที่ดูแลส่วนเหนือของแอนทีค
“เชิญครับ คุณเมส” ดอรันผายมือไปยังชายที่ชื่อเมสซึ่งดูจากการเรียกแล้วเขาน่าจะอายุพอๆกับฮาร์ท
“มีความจำเป็นอะไรที่เราต้องมาประชุมใหญ่นี่ด้วยงั้นเหรอ”
เมสถามสั้นๆซึ่งคนอื่นๆที่อยู่ในทีมเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ยังไงพวกเราก็แบ่งหน้าที่กันไปแล้วก่อนหน้านี้ บริเวณการคุ้มกันต่างๆก็ด้วย ฉันว่าเรื่องพวกนี้เรารับรู้กันดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาทบทวนหรอก
จะดีกว่ามั้ยถ้าเราใช้เวลาพวกนี้ไปจัดเตรียมเรื่องอื่นน่ะ”
ดอรันที่ได้ยินอย่างงั้นก็พยักหน้าสั้นๆ
เขาเข้าใจดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามคำถามนี้เพราะอย่างที่ได้ยิน ก่อนที่ฮะการ์จะมอบหมายเลสเตอร์ให้มาร่วมทีมของเขานั้น
พวกเขาได้ทำการประชุมแบบนี้ไปครั้งหนึ่งแล้วซึ่งการประชุมในครั้งนั้นก็จบลงอย่างเรียบร้อยดีจนไม่น่ามีอะไรอื่นให้พูดกันแล้ว
“ผมขอโทษที่รบกวนเวลาพวกคุณละกันครับ”
ดอรันยิ้มจางๆ “แต่ผมไม่ได้เรียกพวกคุณมาเพียงเพราะจะมาทบทวนหน้าที่อะไรพวกนั้นหรอก...แต่ผมมีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องแจ้งก่อนที่พวกเราจะเริ่มงานกัน”
“เรื่องสำคัญ?”
ทุกคนทวนคำแม้แต่คนในทีมเดียวกันเพราะพวกเขาไม่รู้มาก่อนเพราะตอนแรกพวกเขาก็คิดว่าที่ดอรันเรียกประชุมมาก็เพื่อทบทวนหน้าที่เหมือนกัน
“ใช่ครับ
เรื่องสำคัญ” ดอรันพยักหน้า
“ความจริงแล้วทางผมเองก็พึ่งได้ทราบเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนเหมือนกันไม่อย่างงั้นคงบอกทุกคนไปตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว”
พูดจบดอรันก็ถอนหายใจก่อนจะหยิบปึกกระดาษบางอย่างขึ้นมาแล้วแจกมันไปให้ทุกคน
“นี่มัน...” เลสเตอร์พึมพำออกมา กระดาษที่อยู่ตรงหน้าเขาถูกเขียนด้วยน้ำหมึกอย่างดีก่อนจะทำการคัดลอกด้วยวิธีการเฉพาะของแอนทีคแต่ที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่เรื่องนั้นแต่เป็นเนื้อหาที่อยู่ด้านในต่างหาก
“ข้อมูลจากสายสืบงั้นสินะ”
ฮาร์ทพูดเบาๆขณะอ่านไปได้เล็กน้อย
“สมแล้วที่เป็นนักรบมากประสบการณ์อย่างคุณฮาร์ท”
ดอรันกล่าวชม
“อย่างที่ทุกคนเห็นกันนี่คือข้อมูลรายละเอียดการสืบสวนของสายสืบของเซ็นทรัลที่ทำการสืบสวนองค์กรแห่งหนึ่ง”
เลสเตอร์มองหน้ากระดาษนั้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น
ชื่อขององค์กรแห่งนั้นมันทำให้เขารู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ชื่อขององค์กรอันตรายที่พึ่งจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งหลังจากผ่านไปสิบกว่าปี
“ภาคีเพลิงแดง...”
เลสเตอร์พูดชื่อนั้นออกมาอย่างแผ่วเบา
“ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้จักชื่อขององค์กรนี้ดีอยู่แล้วเพราะงั้นผมจะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดขององค์กรนี้ให้เสียเวลา
จะขอพูดถึงประเด็นสำคัญเลยก็แล้วกัน” ดอรันกล่าว “จากข้อมูลที่สายสืบของเราได้มาพบว่ากำลังพลของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆดูเหมือนว่าเพราะข่าวลือการกลับมาของพวกเขาเมื่อสามปีก่อนทำให้มังกรต่างๆที่เคยสนับสนุนรอธฟัลหันมาเข้าร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง”
เลสเตอร์หรี่ตาลงในตอนที่ได้ยินเรื่องนี้
เขาเป็นหนึ่งในน้อยคนที่รู้เรื่องของภาคีดี
สาเหตุก็เพราะผู้ทำการสืบสวนเรื่องนี้ในช่วงแรกๆก็คือฮะการ์นั่นเอง
เหล่าภาคีไม่เคยปิดบังเรื่องการกลับมาของตัวเอง
ในทางกลับกันพวกเขากลับทิ้งสัญลักษณ์ของกลุ่มไว้ในจุดต่างๆทั่วแอนทีคเพื่อเป็นการกระจายข่าวลือเรื่องการกลับมาของพวกเขา
สัญลักษณ์ที่เลสเตอร์ได้เจอในป่าสนสีชาดเมื่อสามปีก่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น
ปัญหาสำคัญในตอนนี้ก็คือ...
“ทำไมถึงมาพูดเรื่องของพวกภาคีตอนนี้ล่ะครับ”
เลสเตอร์เอ่ยขึ้นเบาๆเหมือนพูดกับตัวเองแต่เสียงนั้นก็ดังพอที่จะให้คนอื่นได้ยิน
“เรื่องนั้นก็ถูกเขียนอยู่ในรายงานการสืบสวนนี่แหละ
จะอ่านเองก็ได้หรือจะฟังฉันพูดสรุปก็ได้”
ดอรันกล่าวก่อนจะเว้นวรรคชั่วครู่แล้วพูดต่อ
“เมื่อราวๆปีก่อนทางเซ็นทรัลได้เคยส่งมังกรฝีมือดีตัวหนึ่งเขาไปแอบแฝงอยู่ในกลุ่มภาคีซึ่งในตลอดช่วงหนึ่งปีนั้นก็แทบจะไม่มีข่าวคราวอะไรที่สำคัญเท่าไหร่นักจนกระทั่งเมื่อราวสามวันก่อนนี้พวกภาคีกลับมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ขึ้น”
แน่นอนว่าสายลับที่จะเข้าไปสืบสวนนั้นต้องเป็นมังกร
แม้จะไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจนและตายตัวแต่เป็นที่รู้กันดีว่าเหล่ามังกรผู้เคยอยู่ใต้สัญลักษณ์ของรอธฟัลนั้นมีความเกลียดชังอย่างแรงกล้าต่อมนุษย์
ว่าแล้วเลสเตอร์ก็นึกถึงเจ้ามังกรสีน้ำตาลแดงที่เขาพึ่งจัดการมาเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา
ถึงแม้จะไม่มั่นใจนักแต่จากความชิงชังที่เจ้ามังกรนั่นส่งมาที่ตัวเขาแล้วเขาเองก็แอบคิดไม่ได้ว่าบางทีมังกรตัวนั้นก็อาจจะเป็นสมาชิกของภาคีเพลิงแดง
“การเคลื่อนไหวแปลกๆ...เรียกรวมสมาชิกจำนวนหนึ่งงั้นเหรอ”
เมสที่อ่านรายงานอยู่พูดขึ้นมาจนดอรันต้องพยักหน้ารับ
“ใช่ครับ โดยปกตินั้นภาคีเป็นองค์กรที่เรียกได้ว่าค่อนข้างกระจัดกระจาย
พวกเขาไม่ค่อยมีเคลื่อนไหวระดับองค์กรนักแต่เมื่อไม่นานมานี้พวกภาคีกลับมีการเรียกสมาชิกครั้งใหญ่ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากจนน่าสนใจเลยล่ะ”
“อย่างงี้นี่เอง พวกมันคิดจะเคลื่อนไหวในช่วงเทศกาลงั้นสินะ”
เมสกล่าวขึ้นมาซึ่งดอรันก็พยักหน้ารับ
“นักรบส่วนมากของเราเข้าร่วมในแพนเดโมเนียม
หากพวกเขาคิดจะเคลื่อนไหวจริงๆล่ะก็คงไม่มีเวลาไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว”
“เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมนายถึงต้องเรียกประชุมด่วนนี้...นี่อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ของเราได้เลย”
เมสพูดซึ่งดอรันก็ยิ้มรับอย่างสุภาพ
“ปัญหาสำคัญก็คือเป้าหมายในการรวมตัวของพวกนั้นสินะ ถึงขนาดเรียกรวมสมาชิกมาด้วยจำนวนขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่”
“อย่างที่คุณเมสพูดนั่นแหละ
การรวมตัวกันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่นอน
สายสืบของเราเองก็อยู่ในการรวมตัวครั้งนั้นด้วยและเขาก็ได้รายงานข้อมูลที่น่าสนใจมาให้เรามากมาย”
ดอรันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่รู้กันดีว่าถึงแม้ชายคนนี้จะเป็นติดนิสัยขี้เล่นแต่พอถึงเวลาจริงจังเขาก็มักจะจริงจังจนน่ากลัว
“อย่างแรกเลยคือตัวของผู้นำกลุ่ม...นี่เป็นครั้งแรกที่ทางเราได้เห็นผู้นำกลุ่มภาคีด้วยตาตัวเอง
ไม่ใช่ จากการบอกเล่าโดยชื่อของเขานั้นคือ...”
“รูเวน...” เลสเตอร์อ่านชื่อที่อยู่ในรายงานเบาๆแต่สิ่งที่สะกิดใจเขากลับไม่ใช่ชื่อแต่เป็นรายละเอียดลักษณะของมังกรตัวนั้นที่เขียนอยู่ในกระดาษต่างหาก
“เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมังกรที่ชื่อรูเวนมากนัก
ประวัติของเขาเป็นปริศนา สิ่งที่เรารู้คือเขาเป็นมังกรเพลิง ขนาดราวยี่สิบเมตร
เพศผู้ เกล็ดสีแดงสด นี่คือทั้งหมดที่สายสืบของเรารายงานมา”
ดอรันกล่าวซึ่งมันทำให้เลสเตอร์ขมวดคิ้วแน่นขึ้น
‘มังกรเพลิง ขนาดราวยี่สิบเมตร เพศผู้
เกล็ดสีแดงสด...เหมือนกับมังกรในตอนนั้นเลย...ไม่สิ คงบังเอิญมากกว่า’
เลสเตอร์หวนนึกถึงมังกรสีแดงซึ่งบินโฉบขึ้นมาจากความมืดยามกลางคืนที่เวสปาร์ทาวเวอร์ในตอนนั้นก่อนจะสะบัดหน้ารัวๆเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป
“ที่แย่ที่สุดคือนอกจากเรื่องที่รูเวนเรียกสมาชิกมารวมตัวกันแล้ว
รูเวนก็ยังไม่ได้ออกคำสั่งใดๆกับสมาชิกที่มารวมตัวเลยเพราะแบบนั้นสายสืบของเราเลยไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรตรงนี้ได้
จริงอยู่ที่เราพอจะคาดเดาได้ว่าพวกเขากะจะใช้ข่วงงานเทศกาลนี้ในการเคลื่อนไหวแต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังไม่รู้ถึงเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่ดี”
“แต่ก็ยังไงเราก็ต้องเตรียมการรับมือ
จะว่าอย่างงั้นสินะ” ฮาร์ทกล่าวๆขึ้นซึ่งดอรันก็พยักหน้ารับ
“แต่ถึงอย่างงั้นก็ใช่ว่าเราจะไม่รู้อะไรเลย
ยังมีข้อมูลสำคัญอีกอย่างที่สายสืบให้แก่เรามา”
ดอรันกล่าวขึ้นจนทุกคนหันขึ้นมาฟังอย่างสนใจ “พวกเขาได้ส่งมังกรจำนวนหนึ่งไปประจำการใกล้ๆทะเลสาบเรจิสภายในวันนี้”
“ทะเลสาวเรจิส? ทะเลสาบประหลาดทางตอนใต้นั่นน่ะเหรอ”
เมสถามออกไปในขณะที่เลสเตอร์งุนงงเพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อของทะเลสาบที่ว่านี่มาก่อนซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่งุนงงแต่คนหลายๆคนในที่นี้ก็ไม่ต่างกัน
“ทะเลสาบเรจิส...บ้านเกิดของคาห์งั้นเหรอ”
ซีกฟรีดที่อยู่ข้างๆพูดบางอย่างที่เลสเตอร์เองก็ไม่เข้าใจขึ้นมาเบาๆ
“แน่นอนว่าเรายังไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะไปทำอะไรที่นั่นแต่จำนวนมังกรที่ไปอยู่ที่นั่นมีอยู่ราวสิบกว่าตัวซึ่งคงไม่ใช่เรื่องดีซักเท่าไหร่ถ้าพวกเราจะอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้พวกนั้นทำตามใจชอบ”
“งั้นนายจะเสนอให้ทำยังไงล่ะ” เมสถาม
“มังกรสิบกว่าตัว...พวกเราเองก็มีสิบกว่าคน
เรื่องมันก็ง่ายๆ” ดอรันพูดก่อนจะฉีกยิ้ม “เราจะบุกโจมตีพวกนั้นพรุ่งนี้เลย”
คำพูดนั้นทำเอาทุกคนถึงกับนิ่งอึ้งไปเพราะพวกเขาไม่คิดว่าชายผู้เป็นหัวหน้าจะเสนออะไรแบบนี้ออกมา
“แต่งานเทศกาลจะเริ่มอยู่แล้วนะครับ อีกแค่สองวันเอง”
สมาชิกคนหนึ่งของทีมคุ้มกันทิศเหนือกล่าว
“ก็เพราะแบบนั้นเราถึงต้องลงมือเลยไงล่ะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ คุณดอรัน” ซีกฟรีดยกมือขึ้นห้าม
“ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าอาจเป็นกับดัก”
“กับดัก?” หลายๆคนในห้องทวนคำ
“หากพวกเราบุกโจมตีในวันนี้ก็แปลว่าในขณะนี้แอนทีคก็จะไร้การป้องกันนะครับ
ถ้าฝ่ายนั้นรู้เรื่องนี้แล้วจงใจปล่อยข่าวนี้ขึ้นมาแล้วใช้ช่วงนระหว่างนั้นพวกนั้นใช้สมาชิกที่เหลือก่อความวุ่นวายขึ้นมาล่ะ
ถ้าเป็นอย่างงั้นเราจะเกิดปัญหานะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนที่พวกนักรบจะเข้าร่วมแพนเดโมเนียมกันเพราะงั้นฉันเลยประสานงานกับตระกูลบางตระกูลไว้แล้วว่าให้นักรบของพวกเขาคุ้มครองแอนทีคในช่วงพรุ่งนี้”
“เรื่องนั้นก็เข้าใจอยู่แต่ก็อย่างที่เจ้าหนูนี่ว่านั่นแหละ”
เมสบอก “ถ้าฝ่ายนั้นรู้ว่ามีสายลับอยู่ในกลุ่มแล้วจงใจปล่อยข่าวนี้ให้เราล่ะ”
“เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่แต่ว่านะ...”
ดอรันพูดเสร็จก็ฉีกยิ้มกว้าง “ผมไม่ใช่คนเจ้าแผนการขณะไปแคร์อะไรแบบนั้นซะด้วยสิ
ที่สำคัญหากเราคิดว่านี้เป็นกับดักจนไม่ไปโจมตีในครั้งนี้แล้วจะเป็นยังไง? สุดท้ายพวกนั้นก็ใช้จังหวะที่พวกเรามัวแต่กังวลทำตามใจชอบอยู่ดีนั่นแหละ”
ทุกคนนิ่งเงียบไป
เช่นเดียวกับเลสเตอร์ที่ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเพราะถึงแม้ความคิดของดอรันมันจะดูห่ามๆไปซักหน่อยแต่ว่ามันก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน
“สรุปแล้วจะเอายังไงดีล่ะ” ดอรันพูดถามสั้นๆ
คำถามนั้นเหมือนกระตุ้นทุกคนในห้องให้ตอบคำถามซึ่งไม่นานนักคำถามก็ถูกตอบออกมาด้วยมือหนึ่งข้างที่ถูกยกขึ้นมา
“ฉันเห็นด้วยกับแผนนี้”
ฮาร์ทยกมือขึ้นมาเป็นคนแรก
“ฉันเองก็ด้วย” เมสยกมือตาม
หลังจากที่หัวหน้าทีมคุ้มกันทิศเหนืออย่างเมสยกมือขึ้น
หลายๆคนในห้องในตอนแรกที่กล้าๆกลัวๆก็เริ่มยกมือตามกันมากขึ้นๆจนสุดท้ายก็ทุกคนในห้องก็ยกมือเห็นด้วย
เลสเตอร์เองก็ไม่ต่างกันถึงแม้เรื่องคราวนี้จะฉุกละหุกจนไม่มีเวลาให้คิดอย่างถี่ถ้วนไปบ้างแต่เหตุผลของดอรันก็ฟังดูโอเคในความคิดเขาเหมือนกันเพราะงั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยกมือขึ้น
“งั้นก็ถือว่ามติเป็นเอกฉันท์สินะ”
ดอรันพูดอย่างพอใจ ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย
“เตรียมตัวพร้อมภายในสองชั่วโมงนี้ซะล่ะ เราจะออกเดินทางกันตอนนี้เลย
กำหนดจู่โจมคือพรุ่งนี้เช้า”
ณ ถ้ำแห่งหนึ่งในดินแดนอันกว้างใหญ่ที่มีนามว่าแอนทีค
มีเด็กสาวคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มพร้อมกับกองไฟเล็กๆที่ถูกจุดขึ้นข้างๆ แม้ภายในถ้ำแห่งนี้จะอบอุ่นแต่ด้านนอกนั้นถ้ำนั้นมีหิมะตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างไม่หยุดหย่อน
“อาร์ยา...”
เสียงหนึ่งๆดังขึ้นที่ข้างๆหูของเด็กสาว “ตื่นได้แล้ว...อาร์ยา”
เด็กสาวค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียตามเสียงเรียก
เธอสางผมสีดำนุ่มลื่นที่ไม่เป็นทรงเพราะการนอนหลับให้กลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิมก่อนจะหันสายตามายังเสียงเรียก
สิ่งที่ดวงตาคู่นั้นของเด็กสาวคือเงาสีดำประหลาดที่ดูเหมือนหมอกควันวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ
“อรุณสวัสดิ์ นาร์ช”
อาร์ยาพูดกับเงาสีดำนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนเคยชินเสียงนี้เสียแล้ว
“นี่ยังค่ำอยู่” เงาสีดำนั้นตอบสั้นๆ
อาร์ยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ค่อยๆหันไปมองนอกปากถ้ำก็พบว่าเป็นดังที่เงาดำประหลาดนี่ว่าไว้
“งั้นเหรอ...”
เด็กสาวที่ดูเหมือนจะสลัดอาการงัวเงียของตัวเองออกไปได้แล้วพูดขึ้น
“งั้นคุณปลุกฉันขึ้นมาทำไมเวลานี้ล่ะ”
“เราจะออกเดินทางกัน” เงาสีดำนามนาร์ชตอบสั้นๆ
“ออกเดินทาง? ตอนนี้เลยเหรอ?”
เด็กสาวถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ใช่”
“งั้นเหรอ ไปที่ไหนกันล่ะ”
อาร์ยาหุบสีหน้าประหลาดใจลงไปภายในเสี้ยววินาทีก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม
ยังไงซะ เธอก็ปฏิเสธอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว
“ดราโกเนีย เราจะไปดราโกเนียกัน” นาร์ชตอบแบบนั้น
“ดราโกเนียเหรอ ทำไมต้องเป็นตอนนี้ล่ะ”
แม้เจ้าตัวไม่คิดจะขัดอะไรแต่เด็กสาวก็ยังอยากรู้เหตุผลอยู่ดี
อาร์ยาจ้องมองเงาสีดำอันไร้รูปร่างนั่นพร้อมกับรอคำตอบ
อาจจะฟังดูเหมือนคนบ้าแต่เจ้าเงาสีดำที่มีชื่อว่านาร์ชนี่เป็นสิ่งที่มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นมันได้
เงาสีดำที่วนเวียนอยู่ข้างกายเธอมานานแสนนาน
“เทศกาลเออร์มิเนียกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าจะเดินทางไปให้ทันก็มีแต่ต้องเดินทางซะตั้งแต่ตอนนี้เท่านั้น”
นาร์ชบอกเหตุผลออกมาจนอาร์ยาต้องพยักหน้ารับ
“เทศกาลเออร์มิเนียเหรอ? ไม่ยักรู้ว่าคุณสนใจอะไรแบบนี้ด้วย”
“งานเทศกาลครั้งนี้มันต่างออกไป
มีบางอย่างที่ข้าอยากจะเห็นอยู่”
“อยากจะเห็นงั้นเหรอ?” เด็กสาวยอมรับว่าสนใจกับเรื่องที่นาร์ชเมื่อครู่
“ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากคุณเลยนะ มันอะไรกันล่ะนั่นไอ้สิ่งที่คุณสนใจน่ะ”
“จะไปรึไม่ไป”
นาร์ชตัดบทด้วยคำถามสั้นๆจนอาร์ยาต้องถอนหายใจ
“อย่างกับว่าฉันจะขัดคำสั่งคุณได้”
อาร์ยาพูดจบก็เดินไปหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาสวม
ดวงตาของเด็กสาวหันไปที่ภายนอกถ้ำซึ่งไม่มีอะไรนอกจากหิมะที่โถมกระหน่ำลงมา ด้านนอกแห่งนั้นไม่มีอะไรนอกจาก...
สีขาวโพลนอันอ้างว้าง
นี่เป็นทิวทัศน์ที่คุ้นชินในสายตาของเธอไปเสียแล้ว
“ดราโกเนียงั้นเหรอ นานแค่ไหนแล้วนะ”
อาร์ยาพูดกับตัวเองครั้งนึงก่อนจะก้าวเท้าออกไปสู่พายุหิมะโดยสิ่งที่อยู่ข้างๆกายเธอมีเพียงเสื้อคลุมขนสัตว์และเงาสีดำที่ไม่มีใครเห็นนอกจากตัวเธอเอง
ความคิดเห็น