ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Raid of Drachen

    ลำดับตอนที่ #40 : Ep.2 Chapter 4 - วันก่อนออกศึก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 364
      28
      28 ก.ย. 62

    Chapter 4

    The Day Before the Battle

    วันก่อนออกศึก

     

     

     

    หอประชุมส่วนนอกของอารันคาทรัชในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยเหล่านักรบมากมาย

    เลสเตอร์มองไปรอบๆก็พบว่ามีคนอยู่ที่นี่รวมตัวเขาแล้วราวๆเกือบสิบคนโดยนอกจากดอรันและทั้งสองคนที่เขาพบในร้านกาแฟตอนนั้นแล้ว เขาไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว

    “อึดอัดจริงวุ้ย” เลสเตอร์บ่นเบาๆให้ตัวเองได้ยินคนเดียวเนื่องจากเท่าที่เห็นดูเหมือนเขาจะเป็นนักรบที่อายุน้อยที่สุดในห้องแห่งนี้

    “ทั้งสองทีมมากันครบแล้วสินะ” ดอรันที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะกล่าวขึ้น ดูเหมือนนอกจากเขาจะเป็นหัวหน้าทีมที่ดูแลทางทิศใต้แล้ว เขาจะยังเป็นหัวหน้าใหญ่ในทีมคุ้มกันทั้งหมดนี้ด้วย “ถ้าพร้อมแล้ว เรามาจะเริ่มการประชุมของทีมคุ้มกันแอนทีคเฉพาะกิจนี่กันเลย”

    “ก่อนอื่นฉันขอถามอะไรซักหน่อย” ชายคนหนึ่งยกมือขึ้น เลสเตอร์ไม่รู้จักเขาดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าทีมอีกทีมที่ดูแลส่วนเหนือของแอนทีค

    “เชิญครับ คุณเมส” ดอรันผายมือไปยังชายที่ชื่อเมสซึ่งดูจากการเรียกแล้วเขาน่าจะอายุพอๆกับฮาร์ท

    “มีความจำเป็นอะไรที่เราต้องมาประชุมใหญ่นี่ด้วยงั้นเหรอ” เมสถามสั้นๆซึ่งคนอื่นๆที่อยู่ในทีมเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย “ยังไงพวกเราก็แบ่งหน้าที่กันไปแล้วก่อนหน้านี้ บริเวณการคุ้มกันต่างๆก็ด้วย ฉันว่าเรื่องพวกนี้เรารับรู้กันดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาทบทวนหรอก จะดีกว่ามั้ยถ้าเราใช้เวลาพวกนี้ไปจัดเตรียมเรื่องอื่นน่ะ”

    ดอรันที่ได้ยินอย่างงั้นก็พยักหน้าสั้นๆ เขาเข้าใจดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามคำถามนี้เพราะอย่างที่ได้ยิน ก่อนที่ฮะการ์จะมอบหมายเลสเตอร์ให้มาร่วมทีมของเขานั้น พวกเขาได้ทำการประชุมแบบนี้ไปครั้งหนึ่งแล้วซึ่งการประชุมในครั้งนั้นก็จบลงอย่างเรียบร้อยดีจนไม่น่ามีอะไรอื่นให้พูดกันแล้ว

    “ผมขอโทษที่รบกวนเวลาพวกคุณละกันครับ” ดอรันยิ้มจางๆ “แต่ผมไม่ได้เรียกพวกคุณมาเพียงเพราะจะมาทบทวนหน้าที่อะไรพวกนั้นหรอก...แต่ผมมีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องแจ้งก่อนที่พวกเราจะเริ่มงานกัน”

    “เรื่องสำคัญ?” ทุกคนทวนคำแม้แต่คนในทีมเดียวกันเพราะพวกเขาไม่รู้มาก่อนเพราะตอนแรกพวกเขาก็คิดว่าที่ดอรันเรียกประชุมมาก็เพื่อทบทวนหน้าที่เหมือนกัน

     “ใช่ครับ เรื่องสำคัญ” ดอรันพยักหน้า “ความจริงแล้วทางผมเองก็พึ่งได้ทราบเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนเหมือนกันไม่อย่างงั้นคงบอกทุกคนไปตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว”

    พูดจบดอรันก็ถอนหายใจก่อนจะหยิบปึกกระดาษบางอย่างขึ้นมาแล้วแจกมันไปให้ทุกคน

    “นี่มัน...” เลสเตอร์พึมพำออกมา กระดาษที่อยู่ตรงหน้าเขาถูกเขียนด้วยน้ำหมึกอย่างดีก่อนจะทำการคัดลอกด้วยวิธีการเฉพาะของแอนทีคแต่ที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่เรื่องนั้นแต่เป็นเนื้อหาที่อยู่ด้านในต่างหาก

    “ข้อมูลจากสายสืบงั้นสินะ” ฮาร์ทพูดเบาๆขณะอ่านไปได้เล็กน้อย

    “สมแล้วที่เป็นนักรบมากประสบการณ์อย่างคุณฮาร์ท” ดอรันกล่าวชม “อย่างที่ทุกคนเห็นกันนี่คือข้อมูลรายละเอียดการสืบสวนของสายสืบของเซ็นทรัลที่ทำการสืบสวนองค์กรแห่งหนึ่ง”

    เลสเตอร์มองหน้ากระดาษนั้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น ชื่อขององค์กรแห่งนั้นมันทำให้เขารู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    ชื่อขององค์กรอันตรายที่พึ่งจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งหลังจากผ่านไปสิบกว่าปี

     “ภาคีเพลิงแดง...” เลสเตอร์พูดชื่อนั้นออกมาอย่างแผ่วเบา

    “ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้จักชื่อขององค์กรนี้ดีอยู่แล้วเพราะงั้นผมจะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดขององค์กรนี้ให้เสียเวลา จะขอพูดถึงประเด็นสำคัญเลยก็แล้วกัน” ดอรันกล่าว “จากข้อมูลที่สายสืบของเราได้มาพบว่ากำลังพลของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆดูเหมือนว่าเพราะข่าวลือการกลับมาของพวกเขาเมื่อสามปีก่อนทำให้มังกรต่างๆที่เคยสนับสนุนรอธฟัลหันมาเข้าร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง”

    เลสเตอร์หรี่ตาลงในตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ เขาเป็นหนึ่งในน้อยคนที่รู้เรื่องของภาคีดี สาเหตุก็เพราะผู้ทำการสืบสวนเรื่องนี้ในช่วงแรกๆก็คือฮะการ์นั่นเอง

    เหล่าภาคีไม่เคยปิดบังเรื่องการกลับมาของตัวเอง ในทางกลับกันพวกเขากลับทิ้งสัญลักษณ์ของกลุ่มไว้ในจุดต่างๆทั่วแอนทีคเพื่อเป็นการกระจายข่าวลือเรื่องการกลับมาของพวกเขา สัญลักษณ์ที่เลสเตอร์ได้เจอในป่าสนสีชาดเมื่อสามปีก่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น

    ปัญหาสำคัญในตอนนี้ก็คือ...

    “ทำไมถึงมาพูดเรื่องของพวกภาคีตอนนี้ล่ะครับ” เลสเตอร์เอ่ยขึ้นเบาๆเหมือนพูดกับตัวเองแต่เสียงนั้นก็ดังพอที่จะให้คนอื่นได้ยิน

    “เรื่องนั้นก็ถูกเขียนอยู่ในรายงานการสืบสวนนี่แหละ จะอ่านเองก็ได้หรือจะฟังฉันพูดสรุปก็ได้” ดอรันกล่าวก่อนจะเว้นวรรคชั่วครู่แล้วพูดต่อ “เมื่อราวๆปีก่อนทางเซ็นทรัลได้เคยส่งมังกรฝีมือดีตัวหนึ่งเขาไปแอบแฝงอยู่ในกลุ่มภาคีซึ่งในตลอดช่วงหนึ่งปีนั้นก็แทบจะไม่มีข่าวคราวอะไรที่สำคัญเท่าไหร่นักจนกระทั่งเมื่อราวสามวันก่อนนี้พวกภาคีกลับมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ขึ้น”

    แน่นอนว่าสายลับที่จะเข้าไปสืบสวนนั้นต้องเป็นมังกร แม้จะไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจนและตายตัวแต่เป็นที่รู้กันดีว่าเหล่ามังกรผู้เคยอยู่ใต้สัญลักษณ์ของรอธฟัลนั้นมีความเกลียดชังอย่างแรงกล้าต่อมนุษย์

    ว่าแล้วเลสเตอร์ก็นึกถึงเจ้ามังกรสีน้ำตาลแดงที่เขาพึ่งจัดการมาเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา ถึงแม้จะไม่มั่นใจนักแต่จากความชิงชังที่เจ้ามังกรนั่นส่งมาที่ตัวเขาแล้วเขาเองก็แอบคิดไม่ได้ว่าบางทีมังกรตัวนั้นก็อาจจะเป็นสมาชิกของภาคีเพลิงแดง

    “การเคลื่อนไหวแปลกๆ...เรียกรวมสมาชิกจำนวนหนึ่งงั้นเหรอ” เมสที่อ่านรายงานอยู่พูดขึ้นมาจนดอรันต้องพยักหน้ารับ

    “ใช่ครับ โดยปกตินั้นภาคีเป็นองค์กรที่เรียกได้ว่าค่อนข้างกระจัดกระจาย พวกเขาไม่ค่อยมีเคลื่อนไหวระดับองค์กรนักแต่เมื่อไม่นานมานี้พวกภาคีกลับมีการเรียกสมาชิกครั้งใหญ่ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากจนน่าสนใจเลยล่ะ”

    “อย่างงี้นี่เอง พวกมันคิดจะเคลื่อนไหวในช่วงเทศกาลงั้นสินะ” เมสกล่าวขึ้นมาซึ่งดอรันก็พยักหน้ารับ

    “นักรบส่วนมากของเราเข้าร่วมในแพนเดโมเนียม หากพวกเขาคิดจะเคลื่อนไหวจริงๆล่ะก็คงไม่มีเวลาไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว”

    “เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมนายถึงต้องเรียกประชุมด่วนนี้...นี่อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ของเราได้เลย” เมสพูดซึ่งดอรันก็ยิ้มรับอย่างสุภาพ “ปัญหาสำคัญก็คือเป้าหมายในการรวมตัวของพวกนั้นสินะ ถึงขนาดเรียกรวมสมาชิกมาด้วยจำนวนขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่”

    “อย่างที่คุณเมสพูดนั่นแหละ การรวมตัวกันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่นอน สายสืบของเราเองก็อยู่ในการรวมตัวครั้งนั้นด้วยและเขาก็ได้รายงานข้อมูลที่น่าสนใจมาให้เรามากมาย” ดอรันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่รู้กันดีว่าถึงแม้ชายคนนี้จะเป็นติดนิสัยขี้เล่นแต่พอถึงเวลาจริงจังเขาก็มักจะจริงจังจนน่ากลัว “อย่างแรกเลยคือตัวของผู้นำกลุ่ม...นี่เป็นครั้งแรกที่ทางเราได้เห็นผู้นำกลุ่มภาคีด้วยตาตัวเอง ไม่ใช่ จากการบอกเล่าโดยชื่อของเขานั้นคือ...”

    “รูเวน...” เลสเตอร์อ่านชื่อที่อยู่ในรายงานเบาๆแต่สิ่งที่สะกิดใจเขากลับไม่ใช่ชื่อแต่เป็นรายละเอียดลักษณะของมังกรตัวนั้นที่เขียนอยู่ในกระดาษต่างหาก

    “เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมังกรที่ชื่อรูเวนมากนัก ประวัติของเขาเป็นปริศนา สิ่งที่เรารู้คือเขาเป็นมังกรเพลิง ขนาดราวยี่สิบเมตร เพศผู้ เกล็ดสีแดงสด นี่คือทั้งหมดที่สายสืบของเรารายงานมา” ดอรันกล่าวซึ่งมันทำให้เลสเตอร์ขมวดคิ้วแน่นขึ้น

     มังกรเพลิง ขนาดราวยี่สิบเมตร เพศผู้ เกล็ดสีแดงสด...เหมือนกับมังกรในตอนนั้นเลย...ไม่สิ คงบังเอิญมากกว่า  เลสเตอร์หวนนึกถึงมังกรสีแดงซึ่งบินโฉบขึ้นมาจากความมืดยามกลางคืนที่เวสปาร์ทาวเวอร์ในตอนนั้นก่อนจะสะบัดหน้ารัวๆเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป

    “ที่แย่ที่สุดคือนอกจากเรื่องที่รูเวนเรียกสมาชิกมารวมตัวกันแล้ว รูเวนก็ยังไม่ได้ออกคำสั่งใดๆกับสมาชิกที่มารวมตัวเลยเพราะแบบนั้นสายสืบของเราเลยไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรตรงนี้ได้ จริงอยู่ที่เราพอจะคาดเดาได้ว่าพวกเขากะจะใช้ข่วงงานเทศกาลนี้ในการเคลื่อนไหวแต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังไม่รู้ถึงเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่ดี”

    “แต่ก็ยังไงเราก็ต้องเตรียมการรับมือ จะว่าอย่างงั้นสินะ” ฮาร์ทกล่าวๆขึ้นซึ่งดอรันก็พยักหน้ารับ

    “แต่ถึงอย่างงั้นก็ใช่ว่าเราจะไม่รู้อะไรเลย ยังมีข้อมูลสำคัญอีกอย่างที่สายสืบให้แก่เรามา” ดอรันกล่าวขึ้นจนทุกคนหันขึ้นมาฟังอย่างสนใจ “พวกเขาได้ส่งมังกรจำนวนหนึ่งไปประจำการใกล้ๆทะเลสาบเรจิสภายในวันนี้”

    “ทะเลสาวเรจิส? ทะเลสาบประหลาดทางตอนใต้นั่นน่ะเหรอ” เมสถามออกไปในขณะที่เลสเตอร์งุนงงเพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อของทะเลสาบที่ว่านี่มาก่อนซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่งุนงงแต่คนหลายๆคนในที่นี้ก็ไม่ต่างกัน

    “ทะเลสาบเรจิส...บ้านเกิดของคาห์งั้นเหรอ” ซีกฟรีดที่อยู่ข้างๆพูดบางอย่างที่เลสเตอร์เองก็ไม่เข้าใจขึ้นมาเบาๆ

    “แน่นอนว่าเรายังไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะไปทำอะไรที่นั่นแต่จำนวนมังกรที่ไปอยู่ที่นั่นมีอยู่ราวสิบกว่าตัวซึ่งคงไม่ใช่เรื่องดีซักเท่าไหร่ถ้าพวกเราจะอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้พวกนั้นทำตามใจชอบ”

    “งั้นนายจะเสนอให้ทำยังไงล่ะ” เมสถาม

    “มังกรสิบกว่าตัว...พวกเราเองก็มีสิบกว่าคน เรื่องมันก็ง่ายๆ” ดอรันพูดก่อนจะฉีกยิ้ม “เราจะบุกโจมตีพวกนั้นพรุ่งนี้เลย”

    คำพูดนั้นทำเอาทุกคนถึงกับนิ่งอึ้งไปเพราะพวกเขาไม่คิดว่าชายผู้เป็นหัวหน้าจะเสนออะไรแบบนี้ออกมา

    “แต่งานเทศกาลจะเริ่มอยู่แล้วนะครับ อีกแค่สองวันเอง” สมาชิกคนหนึ่งของทีมคุ้มกันทิศเหนือกล่าว

    “ก็เพราะแบบนั้นเราถึงต้องลงมือเลยไงล่ะ”

    “เดี๋ยวก่อนครับ คุณดอรัน” ซีกฟรีดยกมือขึ้นห้าม “ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าอาจเป็นกับดัก”

    “กับดัก?” หลายๆคนในห้องทวนคำ

    “หากพวกเราบุกโจมตีในวันนี้ก็แปลว่าในขณะนี้แอนทีคก็จะไร้การป้องกันนะครับ ถ้าฝ่ายนั้นรู้เรื่องนี้แล้วจงใจปล่อยข่าวนี้ขึ้นมาแล้วใช้ช่วงนระหว่างนั้นพวกนั้นใช้สมาชิกที่เหลือก่อความวุ่นวายขึ้นมาล่ะ ถ้าเป็นอย่างงั้นเราจะเกิดปัญหานะครับ”

    “ไม่ต้องห่วงหรอก พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนที่พวกนักรบจะเข้าร่วมแพนเดโมเนียมกันเพราะงั้นฉันเลยประสานงานกับตระกูลบางตระกูลไว้แล้วว่าให้นักรบของพวกเขาคุ้มครองแอนทีคในช่วงพรุ่งนี้”

    “เรื่องนั้นก็เข้าใจอยู่แต่ก็อย่างที่เจ้าหนูนี่ว่านั่นแหละ” เมสบอก “ถ้าฝ่ายนั้นรู้ว่ามีสายลับอยู่ในกลุ่มแล้วจงใจปล่อยข่าวนี้ให้เราล่ะ”

    “เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่แต่ว่านะ...” ดอรันพูดเสร็จก็ฉีกยิ้มกว้าง “ผมไม่ใช่คนเจ้าแผนการขณะไปแคร์อะไรแบบนั้นซะด้วยสิ ที่สำคัญหากเราคิดว่านี้เป็นกับดักจนไม่ไปโจมตีในครั้งนี้แล้วจะเป็นยังไง? สุดท้ายพวกนั้นก็ใช้จังหวะที่พวกเรามัวแต่กังวลทำตามใจชอบอยู่ดีนั่นแหละ”

    ทุกคนนิ่งเงียบไป เช่นเดียวกับเลสเตอร์ที่ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเพราะถึงแม้ความคิดของดอรันมันจะดูห่ามๆไปซักหน่อยแต่ว่ามันก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน

    “สรุปแล้วจะเอายังไงดีล่ะ” ดอรันพูดถามสั้นๆ

    คำถามนั้นเหมือนกระตุ้นทุกคนในห้องให้ตอบคำถามซึ่งไม่นานนักคำถามก็ถูกตอบออกมาด้วยมือหนึ่งข้างที่ถูกยกขึ้นมา

    “ฉันเห็นด้วยกับแผนนี้” ฮาร์ทยกมือขึ้นมาเป็นคนแรก

    “ฉันเองก็ด้วย” เมสยกมือตาม

    หลังจากที่หัวหน้าทีมคุ้มกันทิศเหนืออย่างเมสยกมือขึ้น หลายๆคนในห้องในตอนแรกที่กล้าๆกลัวๆก็เริ่มยกมือตามกันมากขึ้นๆจนสุดท้ายก็ทุกคนในห้องก็ยกมือเห็นด้วย

    เลสเตอร์เองก็ไม่ต่างกันถึงแม้เรื่องคราวนี้จะฉุกละหุกจนไม่มีเวลาให้คิดอย่างถี่ถ้วนไปบ้างแต่เหตุผลของดอรันก็ฟังดูโอเคในความคิดเขาเหมือนกันเพราะงั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยกมือขึ้น

    “งั้นก็ถือว่ามติเป็นเอกฉันท์สินะ” ดอรันพูดอย่างพอใจ ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย “เตรียมตัวพร้อมภายในสองชั่วโมงนี้ซะล่ะ เราจะออกเดินทางกันตอนนี้เลย กำหนดจู่โจมคือพรุ่งนี้เช้า”

     

     

     

    ณ ถ้ำแห่งหนึ่งในดินแดนอันกว้างใหญ่ที่มีนามว่าแอนทีค มีเด็กสาวคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มพร้อมกับกองไฟเล็กๆที่ถูกจุดขึ้นข้างๆ แม้ภายในถ้ำแห่งนี้จะอบอุ่นแต่ด้านนอกนั้นถ้ำนั้นมีหิมะตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างไม่หยุดหย่อน

    “อาร์ยา...” เสียงหนึ่งๆดังขึ้นที่ข้างๆหูของเด็กสาว “ตื่นได้แล้ว...อาร์ยา”

    เด็กสาวค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียตามเสียงเรียก เธอสางผมสีดำนุ่มลื่นที่ไม่เป็นทรงเพราะการนอนหลับให้กลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิมก่อนจะหันสายตามายังเสียงเรียก

    สิ่งที่ดวงตาคู่นั้นของเด็กสาวคือเงาสีดำประหลาดที่ดูเหมือนหมอกควันวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ

    “อรุณสวัสดิ์ นาร์ช” อาร์ยาพูดกับเงาสีดำนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนเคยชินเสียงนี้เสียแล้ว

    “นี่ยังค่ำอยู่” เงาสีดำนั้นตอบสั้นๆ

    อาร์ยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ค่อยๆหันไปมองนอกปากถ้ำก็พบว่าเป็นดังที่เงาดำประหลาดนี่ว่าไว้

    “งั้นเหรอ...” เด็กสาวที่ดูเหมือนจะสลัดอาการงัวเงียของตัวเองออกไปได้แล้วพูดขึ้น “งั้นคุณปลุกฉันขึ้นมาทำไมเวลานี้ล่ะ”

    “เราจะออกเดินทางกัน” เงาสีดำนามนาร์ชตอบสั้นๆ

    “ออกเดินทาง? ตอนนี้เลยเหรอ?” เด็กสาวถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

    “ใช่”

    “งั้นเหรอ ไปที่ไหนกันล่ะ” อาร์ยาหุบสีหน้าประหลาดใจลงไปภายในเสี้ยววินาทีก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม

    ยังไงซะ เธอก็ปฏิเสธอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว

    “ดราโกเนีย เราจะไปดราโกเนียกัน” นาร์ชตอบแบบนั้น

    “ดราโกเนียเหรอ ทำไมต้องเป็นตอนนี้ล่ะ” แม้เจ้าตัวไม่คิดจะขัดอะไรแต่เด็กสาวก็ยังอยากรู้เหตุผลอยู่ดี

    อาร์ยาจ้องมองเงาสีดำอันไร้รูปร่างนั่นพร้อมกับรอคำตอบ อาจจะฟังดูเหมือนคนบ้าแต่เจ้าเงาสีดำที่มีชื่อว่านาร์ชนี่เป็นสิ่งที่มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นมันได้

    เงาสีดำที่วนเวียนอยู่ข้างกายเธอมานานแสนนาน

    “เทศกาลเออร์มิเนียกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าจะเดินทางไปให้ทันก็มีแต่ต้องเดินทางซะตั้งแต่ตอนนี้เท่านั้น” นาร์ชบอกเหตุผลออกมาจนอาร์ยาต้องพยักหน้ารับ

    “เทศกาลเออร์มิเนียเหรอ? ไม่ยักรู้ว่าคุณสนใจอะไรแบบนี้ด้วย”

    “งานเทศกาลครั้งนี้มันต่างออกไป มีบางอย่างที่ข้าอยากจะเห็นอยู่”

    “อยากจะเห็นงั้นเหรอ?” เด็กสาวยอมรับว่าสนใจกับเรื่องที่นาร์ชเมื่อครู่ “ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากคุณเลยนะ มันอะไรกันล่ะนั่นไอ้สิ่งที่คุณสนใจน่ะ”

    “จะไปรึไม่ไป” นาร์ชตัดบทด้วยคำถามสั้นๆจนอาร์ยาต้องถอนหายใจ

    “อย่างกับว่าฉันจะขัดคำสั่งคุณได้” อาร์ยาพูดจบก็เดินไปหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาสวม ดวงตาของเด็กสาวหันไปที่ภายนอกถ้ำซึ่งไม่มีอะไรนอกจากหิมะที่โถมกระหน่ำลงมา ด้านนอกแห่งนั้นไม่มีอะไรนอกจาก...

    สีขาวโพลนอันอ้างว้าง

    นี่เป็นทิวทัศน์ที่คุ้นชินในสายตาของเธอไปเสียแล้ว

    “ดราโกเนียงั้นเหรอ นานแค่ไหนแล้วนะ” อาร์ยาพูดกับตัวเองครั้งนึงก่อนจะก้าวเท้าออกไปสู่พายุหิมะโดยสิ่งที่อยู่ข้างๆกายเธอมีเพียงเสื้อคลุมขนสัตว์และเงาสีดำที่ไม่มีใครเห็นนอกจากตัวเธอเอง






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×