คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : Ep.1 Chapter 24 - ความจริงอันน่าตกใจ
Chapter 24
The Shocking Truth
ความจริงอันน่าตกใจ
ผ่านไปอีกสองเดือนหรือก็คือสี่เดือนที่เลสเตอร์ได้มาอยู่ที่เวสปาร์ทาวเวอร์มีความจริงอย่างหนึ่งที่เขาพึ่งตระหนักได้หลังจากมานั่งวิเคราะห์ดีๆ
อาจารย์เอลวินเคยบอกไว้ว่าเขาจะให้โอกาสนักเรียนสามสิบคนเท่านั้นในการเรียนขี่มังกรโดยจะคัดเลือกก่อนเริ่มราวเดอร์ได้ไม่นานและนั่นหมายความว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่การเรียนขี่มังกรจะเริ่มหลังราวเดอร์ซึ่งเกิดหลังจากช่วงเวลาที่ฮะการ์ตกลงกับโจเซฟให้พวกเขาสองคนอยู่ที่เวสปาร์ทาวเวอร์
ในตอนแรกๆเขาก็แทบเซ็งจนไม่เป็นอันเรียนแต่ดูเหมือนว่าการเอาชนะมาเอลในราวเดอร์ที่จะถึงนี่จะเป็นแรงกระตุ้นที่ฉุดเขากลับมาตั้งใจเรียนวิชานี้ได้อยู่
ถ้าให้มองโลกในแง่ดีแล้วล่ะก็ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเรียนขี่มังกรที่นี่ได้แต่บางทีเขาอาจจะขอให้ฮะการ์หรือดีเลียสอนให้เขาก็ได้
"ภาพนี้น่าจะเป็น...มังกรไฟ
ถิ่นที่อยู่ก็น่าจะเป็นทุ่งหญ้าไรมอลล่ะมั้ง”
เลสเตอร์มองภาพของมังกรตัวหนึ่งแล้วพูดขึ้นมา
“มังกรไฟน่ะถูกแต่ถิ่นที่อยู่น่ะภูเขาหินวอลลี่ต่างหาก
ดูที่เกล็ดสิมันไม่ได้หยาบขนาดนั้นซักหน่อย” ร็อกแซนด์ถอนหายใจแล้วดึงภาพในมือของเลสเตอร์ออกมา
“เธอเติบโตมาอีท่าไหนถึงได้รู้ไปหมดแบบนี้เนี่ย”
เลสเตอร์เบ้ปากเพราะเด็กผู้หญิงคนข้างๆนี้เพียงแค่มองภาพเธอก็ตอบได้หมดไม่ว่าจะเป็นชนิดของมังกรหรือว่ามันมีถิ่นที่อยู่อยู่ที่ใดบนโลก
“ก็แค่เก่ง” เด็กสาวตอบสั้นๆ
“ฮะๆๆ ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยนะ”
เลสเตอร์หัวเราะแห้งๆ “ว่าแต่เอาภาพของมังกรมาแล้วก็ให้บอกประเภทของมังกรเนี่ยยังพอว่า...แต่ไอ้ถึงขั้นบอกถิ่นที่อยู่นี่มันไม่เวอร์เกินไปหน่อยเหรอไง
ฉันคิดว่าการทดสอบไม่น่าจะโหดขนาดนั้นนะ”
“เป็นถึงลูกศิษย์ฉันการทำให้ได้ถึงขนาดนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา
ที่สำคัญลองไว้ก่อนก็ไม่เสียหายใช่มั้ยล่ะ”
ร็อกแซนด์ เป็นลูกสาวของผู้ดูแลมังกรธรรมดาๆคนหนึ่งในฟาร์มมังกรที่ขึ้นตรงกับเซ็นทรัล
ด้วยการที่พ่อของเธอทำอาชีพนี้ทำให้เด็กสาวในวัยเด็กได้มีโอกาสสัมผัสกับมังกรแทบจะทุกวันและนั่นทำให้แมวมองของเซ็นทรัลเล็งเห็นว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่จะกินดวงตามังกรดั้งเดิมได้และพาเธอมาเป็นนักรบมังกรในที่สุด
ถึงพ่อของร็อกแซนด์จะเป็นผู้ดูแลมังกรของฟาร์มแต่นั่นก็ไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่โตอะไรใดๆเหมือนที่เลสเตอร์คิดในตอนแรก
ความจริงแล้วครอบครัวของเธอค่อนข้างจะยากจนด้วยซ้ำเพราะงั้นจึงไม่แปลกถ้าครอบครัวของเธอจะเห็นดีเห็นงามกับการที่ลูกสาวจะได้เป็นนักรบมังกร...ถึงแม้เจ้าตัวเองจะไม่ค่อยอยากเป็นซักเท่าไหร่ก็เถอะ
ที่น่าตกใจคือเธอกลับมีความรู้ในด้านมังกรในระดับที่คนอื่นๆในเวสปาร์ทาวเวอร์เทียบไม่ติดจนเลสเตอร์แอบคิดว่าพ่อของเธอสอนเธอแบบไหนกันถึงได้เก่งขนาดนี้
และนับเป็นโชคดีของเลสเตอร์ด้วยซ้ำที่เขามีคนสอนเรื่องมังกรที่เก่งถึงขนาดนี้...ถ้าไม่นับเรื่องค่าขนมที่เขาต้องจ่ายให้เธอเป็นการแลกเปลี่ยนอะนะ
“กระตือรือร้นจังเลยนะ”
นีลพูดยิ้มในขณะที่เห็นเพื่อนทั้งสองคนนั่งติวหนังสือกันอยู่
พวกเขาสี่คนกำลังนั่งอยู่ที่พื้นที่ว่างที่ชั้นสิบสี่ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจของนักเรียน
“บ่ายนี้อาจารย์เอลวินจะทำการทดสอบแล้วน่ะสิ
ฉันก็เลยต้องมานั่งช่วยหมอนี่แบบนี้ น่าเบื่อจริง”
ร็อกแซนด์พูดจบอ้าปากกว้างงับขนมสายไหมในมือ
“พูดแบบนั้นในขณะที่ขนมเต็มปากเนี่ยนะ”
เลสเตอร์ชัดจะหนักใจกับเงินในกระเป๋าที่ร่อยหรอลง
“ว่าแต่นายสองคนเถอะ
ไม่คิดจะเตรียมตัวมั่งเลยเหรอ” ร็อกแซนด์หันไปถามนีลกับเอลเลียตซึ่งกำลังนั่งตากลมอย่างสบายใจอยู่
“ผมอ่านเตรียมตัวมาบ้างแล้ว
คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะ” นีลตอบยิ้มๆ
“ฉันไม่ได้ใส่ใจนักหรอก
กะอีแค่เป็นหนึ่งในสามสิบคนไม่ต้องอ่านก็ทำได้”
เอลเลียตตอบปัดๆจนทั้งร็อกแซนด์กับเลสเตอร์ถึงกับย่นหน้าด้วยความหมันใส้
“ตะกี้นายบอกว่าฉันหลงตัวเองใช่มั้ย”
เด็กสาวแค่นหัวเราะให้เลสเตอร์ “ดูเหมือนเจ้าผู้สืบทอดคนนี้จะหนักกว่ากันเยอะเลย”
“ฉันไม่ขอปฏิเสธเลย”
เด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ยังไงก็เถอะ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีนะเลสเตอร์”
เอลเลียตพูดขึ้นมา
“หือ?”
“การทดสอบของอาจารย์เอลวินในครั้งนี้น่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เห็นว่านายพร้อมแค่ไหนกับราวเดอร์ที่กำลังจะมาถึงเพราะถ้าแค่เป็นหนึ่งในสามสิบคนไม่ได้
นายก็อย่าหวังจะชนะมาเอลในวิชานี้เลย”
“รู้อยู่แล้วล่ะน่า” เลสเตอร์ถอนหายใจ
คำพูดนั้นของเอลเลียตแม้จะฟังดูเสียดสีเหมือนเช่นเคยแต่ก็เป็นความจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้
“หัวเด็ดตีนขาดฉันก็จะไม่มีวันแพ้ให้ไอ้บัดซบนั่นเด็ดขาดเพราะงั้นฉันถึงได้เต็มที่กับทุกอย่างถึงขนาดนี้ไงล่ะ”
ใช่แล้ว
ช่วงเวลาตัดสินของเขาหรือราวเดอร์นั้นกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์
“ผมเชื่อนะว่าความพยายามของนายต้องส่งผลลัพธ์แน่”
“ขอบใจ นีล”
เลสเตอร์ยิ้มบางให้กับการให้กำลังใจนั้นเพราะเขาเองก็ได้แต่หวังให้เป็นอย่างนั้น
หลังจากนั้นไปราวสามชั่วโมงเสียงกริ่งก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเรียกเข้าชั้นของเอลวิน
เด็กๆทั้งสี่คนโดยเฉพาะเลสเตอร์รู้ดีว่าเวลาทดสอบได้มาถึงแล้ว พวกเขารีบเดินไปตามที่ๆนัดหมายไว้ทันที
สถานที่ที่เอลวินนัดไว้คือห้องเรียนขนาดใหญ่ที่อยู่ที่ชั้นสาม
ในห้องนั้นมีโต๊ะเรียนวางเรียงรายไว้มากมายแต่ก่อนที่ทุกคนจะได้ไปนั่งประจำที่เอลวินก็เรียกเด็กทุกคนมารายงานตัวก่อน
“สวัสดี นักเรียนทุกคน” เอลวินยิ้มเล็กๆต้อนรับ
“อย่างที่เคยบอกไว้เมื่อคาบที่แล้ว รู้ใช่มั้ยว่าคาบนี้เป็นเราจะทำอะไรกัน”
“ทดสอบเพื่อคัดเลือกนักเรียนที่จะได้เรียนการขี่มังกรครับ”
เด็กชายคนหนึ่งตอบเสียงอ่อยๆ
“ใช่แล้ว แต่ก่อนที่เราจะเริ่มทดสอบกัน
ฉันอยากจะอธิบายเรื่องเกณฑ์ที่ฉันใช้คัดเลือกเสียก่อน” เอลวินพูดจบเขาก็ผายมือไปทางคุณนายเพนเทลที่ยืนอยู่ข้างๆ
หญิงชราชูสมุดโน้ตเล่มหนึ่งขึ้นมาให้เด็กทุกคนเห็น
“ผู้ที่จะได้รับเลือกสามสิบคนนั้นจะถูกคัดเลือกจากการประเมินสองทางใหญ่ๆ
อย่างแรกคือคะแนนประเมินที่เธอจะได้จากการทดสอบในครั้งนี้”
คุณนายเพนเทลพูดอธิบายก่อนจะสะบัดสมุดโน้ตเล่มนั้นไปมา
“และอย่างที่สองคือคะแนนคุณสมบัติที่ฉันและอาจารย์เอลวินได้จับตาดูพวกเธอมาโดยตลอดจะทั้งเทอมและคะแนนคุณสมบัติที่ว่านั้นก็อยู่ในสมุดโน้ตเล่มนี้”
คำพูดของเพนเทลแทบจะทำให้เด็กหลายคนอ้าปากค้างด้วยความตกใจเพราะการที่พูดแบบนี้หมายถึงว่าหากพวกเขาทำตัวแหลกเหลวมาตลอดทั้งเทอมต่อให้ได้คะแนนดีในการทดสอบครั้งนี้ก็มีสิทธิที่จะไม่ได้รับเลือกอยู่ดี
“โชคดีที่ฉันไม่เคยโดดคาบนี้”
ร็อกแซนด์เป่าปากโล่งอกออกมา
“มันควรจะภูมิใจมั้ยล่ะนั่น”
เลสเตอร์ถอนหายใจอย่างอ่อนใจกับเพื่อนผู้หญิงคนนี้
“การทดสอบในครั้งนี้จะเป็นข้อสอบเขียนล้วนๆ
ส่วนคะแนนการทดสอบปฏิบัติฉันถือว่าเป็นคะแนนเดียวกับคะแนนคุณสมบัติที่พวกฉันประเมินมาตลอดทั้งเทอมแล้ว
ถ้าเข้าใจแล้วก็ขอให้ทุกคนไปนั่งประจำที่กันเดี๋ยวนี้เลย
เราจะเริ่มแจกข้อสอบกันแล้ว”
เอลวินพูดจบเด็กทุกคนก็เดินไปจับจองที่นั่งที่เตรียมไว้พร้อมกับทำใจให้สงบเพื่อเตรียมตัวรับการทดสอบที่กำลังจะมาถึง
“นายทำได้สิ เลสเตอร์ เอลมอล”
เลสเตอร์หายใจเข้าออกเพื่อให้ตัวเองไม่ตื่นตระหนกเกินไป
นี่มันช่างดูเหมือนการสอบปลายเทอมที่โรงเรียนที่เวย์แลนด์เหลือเกิน
ที่ไม่อยากจะคิด เขาดันสอบตกประจำเสียด้วยนี่สิ
แต่ที่เวย์แลนด์ก็เป็นส่วนของที่เวย์แลนด์
สำหรับโรงเรียนของแอนทีคอย่างเวสปาร์ทาวเวอร์แล้ว
นี่เป็นที่ๆแรกที่เขาตั้งใจเรียนมาตลอดทั้งเทอม
กระดาษข้อสอบถูกแจกมา
ความรู้สึกเหมือนตอนที่อยู่ที่โรงเรียนหวนย้อนกลับมาหาเขา
ต่างกันตรงที่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจกับพวกคะแนนอะไรมากนักซึ่งตรงกันข้ามกับที่นี่
‘ชิ้นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของมังกร...กระดูก
มังกรที่นิสัยดุร้ายที่สุด...มังกรไฟ...
สถานที่ที่พบมังกรดินได้มากที่สุด...ที่ราบสูงนาร์ช่าของมาราม’ เลสเตอร์ค่อยๆไล่กาคำตอบในกระดาษอย่างไม่เร่งรีบ
แม้จะมีข้อที่ติดขัดบ้างแต่โดยรวมก็ไม่ได้ออกเกินไปจากที่เขาติวกันมากับร็อกแซนด์
ที่เหลือก็แค่ภาวนาให้ความตั้งใจที่ทำมาตลอดนั้นไม่ทรยศเขาก็พอ
เลสเตอร์ออกจากห้องสอบมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาไม่ได้มีความรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้หรืออะไรแต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีเยี่ยมเช่นกัน
โดยรวม
เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะติดหรือไม่ติดหนึ่งในสามสิบคนที่ว่ารึเปล่า
“เป็นยังไงบ้าง”
นีลถามเขาเป็นคนแรกหลังจากออกมาจากห้องสอบ
“นิ่งเชียว คงไม่ใช่ทำไม่ได้หรอกนะ”
ร็อกแซนด์ถามอย่างเป็นห่วงซึ่งปกติแล้วเธอไม่ค่อยแสดงนิสัยใจดีออกมานักแต่การทดสอบของเลสเตอร์ในครั้งนี้เธอเองก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกันเพราะงั้นเธอถึงรู้ดีว่าเลสเตอร์พยายามมากแค่ไหน
“อ๋อ
เปล่าหรอก ก็พอทำได้อยู่หรอก”
เลสเตอร์รีบตอบเพื่อคลายความกังวลของทุกคนก่อนจะยักไหล่เบาๆ
“แต่ไม่รู้ว่าทำได้ดีแค่ไหนนี่สิ”
“ฟังดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจเลยนะ” เอลเลียตพูดเรียบๆอย่างไม่ค่อยเกรงใจเหมือนเดิม
“อย่ากังวลไปเลยน่า” นีลเดินมาตบหลังเขาเบาๆ
“อย่างที่ผมบอกก่อนหน้านี้นั่นแหละ นายพยายามอย่างเต็มที่แล้วเพราะงั้นความพยายามของนายต้องส่งผลลัพธ์แน่
“ไม่ต้องห่วงหรอกนีล
ฉันไม่ได้กังวลอะไรมากขนาดนั้นหรอก” เลสเตอร์พูดจากใจจริง
“ก็แค่คิดว่าจบแล้วเหรอไรงี้มากกว่า”
“ยังไม่จบง่ายๆหรอก
นายยังเหลือราวเดอร์กับมาเอลอยู่ไม่ใช่เหรอไง”
เอลเลียตพูดเตือนจนเลสเตอร์หัวเราะออกมา
“นั่นสินะ...เหลือแค่ราวเดอร์แล้วสิเนี่ย”
เลสเตอร์พูดเสียงอ่อยๆจนทุกคนถึงกับมองหน้ากันอย่างสงสัย
“นาย...เป็นอะไรของนายน่ะ” เอลเลียตขมวดคิ้วแน่น
“ไม่สบายรึเปล่า”
ร็อกแซนด์เองก็ไม่ต่างกันเพราะนี่มันไม่ใช่ตัวของเลสเตอร์เลย
ปกติเจ้าตัวแสบนี่ต้องพูดมากแล้วโวยวายกว่านี้สิ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ…แค่อยากจะอยู่เงียบๆซักพักก็เท่านั้น”
เลสเตอร์พูดเบาๆก่อนจะเดินแยกจากกลุ่มเพื่อนๆไป
เลสเตอร์เดินไปเรื่อยเปื่อยตามทางเดิน
เขาเดินเข้าห้องสมุดซึ่งเป็นสถานที่ที่นั่งสบายและสงบที่สุดของหอคอยแห่งนี้เพื่อนั่งเงียบๆอยู่คนเดียว
“เหลือแค่ราวเดอร์แล้วสินะ”
เลสเตอร์ฟุบลงบนแขนของตัวเองแล้วพึมพำออกมาเบาๆ ในตอนนี้เขารู้สึกว่างเปล่าซะเหลือเกิน
ราวเดอร์กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
แน่นอนว่านั่นคือเวลาตัดสินระหว่างเขากับมาเอลแต่ในตอนนี้เขากลับแทบไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเลยด้วยซ้ำ
ในตอนนี้เขามีความสุข
น่าประหลาดที่แม้ช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มันเป็นช่วงเวลาที่เขาเหนื่อยยากที่สุดในช่วงชีวิตแต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกว่ามันมีค่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ช่วงเวลาที่ไม่น่าเบื่อ
ช่วงเวลาที่ให้ความรู้สึกน่าจดจำ ช่วงเวลาที่เขาจะไม่มีวันให้มันหายไปจากความทรงจำ
นั่นคือสิ่งที่หอคอยแห่งนี้ให้กับเขา
แต่อีกไม่นานมันจะจบลงแล้ว
แต่อย่างน้อยก็ยังมีเวลาอีกครึ่งปีให้เขาตื่นตาตื่นใจกับดินแดนแห่งนี้
หลังจากนั้นเขาก็จำเป็นต้องกลับไป...
กลับไปสู่เมืองเล็กๆอันแสนน่าเบื่อ
กลับไปสู่หนังสือเรียนที่เขาไม่สนใจมันและได้แต่วาดรูปเล่นลงไปบนกระดาษ กลับสู่ชีวิตอันจำเจที่ดินแดนของเขา...กลับสู่เวย์แลนด์
“ทำไมเราถึงได้มีความคิดแบบนี้กันนะ”
เลสเตอร์หลับตาลงอย่างไม่เข้าใจในตัวเอง
ที่เขาต้องมานั่งเบื่อๆอยู่คนเดียวแทนที่จะอยู่กับเพื่อนๆนั้นก็เพื่อให้ตัวเองไม่คิดถึงเรื่องนี้แท้ๆ
“เบื่ออยู่งั้นเหรอ”
“เอ๊ะ?” เลสเตอร์สะดุ้งเบาๆเมื่อเสียงๆหนึ่งที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นมา
เขาเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามีผู้มาใหม่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา
ชายหนุ่มที่มีดวงตาสีเขียวสดใส
“โทษทีๆ ไม่ได้คิดจะทำให้ตกใจหรอกนะ”
ชายหนุ่มคนนั้นยกมือขอโทษ “แค่เห็นเธอนั่งเบื่อๆอยู่แล้วคิดถึงตัวเองเมื่อก่อนน่ะ”
“ตัวเองเมื่อก่อน? คุณเคยเป็นนักเรียนที่นี่เหรอครับ”
“อืม ปีนี้ฉันอายุสิบแปด...ถ้านับดูก็จบไปได้สี่ปีได้แล้วมั้ง”
ชายหนุ่มคนนั้นตอบกลับมาพร้อมกับสีหน้าหวนคิดถึงความหลัง “น่าคิดถึงจังเลยนะ
เวลาผ่านไปเวสปาร์ทาวเวอร์ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ห้องสมุดนี่ก็ด้วย”
“แล้วกลับมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอครับ”
เมื่อเห็นอีกฝั่งพยายามชวนคุย เลสเตอร์เองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
บางทีมันอาจจะเป็นการดีกว่ามานั่งเซ็งๆอยู่คนเดียวก็ได้
“หาหนังสืออ่านน่ะสิ พึ่งอ่านจบตะกี้นี้เอง”
ชายคนนั้นยกหนังสือเล่มหนึ่งที่ถือไว้ข้างตัวขึ้นมาก่อนจะทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
“อ้อ จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ฉันชื่อ ไนลิก ยินดีที่รู้จัก”
“ผม เลสเตอร์ ครับ” เลสเตอร์แนะนำตัวเองกลับไปแต่ในตอนนั้นเขาเองก็กลับไปสนใจกับหนังสือที่อยู่ในมือของไนลิกเข้า
“อ้อ นี่เหรอ” ไนลิกที่เห็นเลสเตอร์สนใจหนังสือในมือเขาพูดขึ้นมา
“เป็นหนังสือเกี่ยวกับการจู่โจมของรอธฟัลเมื่อสิบปีก่อนน่ะ”
“รอธฟัล ดราเชนตัวร้ายนั่นน่ะเหรอครับ”
เลสเตอร์ถามด้วยความสนใจเพราะเขาได้ยินชื่อของมังกรตัวนี้มาบ่อยแล้วเหมือนกัน
“อืม ใช่สิ” ไนลิกยิ้มบางเมื่อเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างของเด็กหนุ่ม
“เธอชอบดราเชนรึเปล่าล่ะ”
“เอ๋?” เลสเตอร์กะพริบตาปริบๆเหมือนกับกำลังงงคำถามไปชั่วครู่
“ชอบ...ชอบสิครับ
แค่มังกรปกติก็ชอบอยู่แล้วยิ่งเป็นมังกรระดับตำนานก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่
มันเท่จะตายไป”
“งั้นเหรอ ฉันก็เหมือนกัน” ไนลิกหรี่ตาลงมองเด็กหนุ่มตรงหน้าเรียบๆ
“สิ่งมีชีวิตในตำนานที่ถูกหลงลืมไปนานแสนนานจนปัจจุบันแทบไม่เหลือตัวตนให้เห็นอยู่แล้ว
ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคนถึงไม่สนใจเรื่องพวกนี้กัน”
“ใช่เลยครับ อาจารย์ของผมก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน”
เลสเตอร์พยักหน้าเห็นด้วย
“อาจารย์ที่ว่านี่ใช่ศาสตราจารย์เจอรัลรึเปล่า”
“อ๊ะ ใช่ครับ รู้ได้ยังไง”
“ตอนฉันเรียนอยู่เขาก็เป็นอาจารย์เหมือนกัน
ว่าแต่ว่านะตอนนี้ศาสตราจารย์ยังทำตัวเหมือนคนเบื่อโลกอยู่รึเปล่าล่ะ”
ไนด์ลิตพูดแม่นเหมือนตาเห็น เลสเตอร์หัวเราะแห้งๆก่อนจะพยักหน้ารับ
“เบื่อโลกตลอดเวลาเลยครับ”
“ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ” ชายหนุ่มยิ้มเพราะสิ่งที่เขาคิดไว้ดันถูกต้องเสียด้วยสิ
“แล้วถ้าเดาไม่ผิดเธอคงต้องทำรายงานเรื่องดราเชนปึกหนาส่งด้วยล่ะสิ”
“ใช่เลยครับ” เลสเตอร์หัวเราะแห้งๆออกมาอีกรอบ
“แล้วสรุปทำรายงานของมังกรตัวไหนกันล่ะ
“มารามอส น่ะครับ” เลสเตอร์ตอบสั้นๆแต่มันทำให้อีกฝั่งถึงกับเบิกตากว้างเบาๆด้วยความแปลกใจ
“มารามอสเหรอ...ช่างบังเอิญจังเลยนะ” ไนลิกหัวเราะเบาๆให้กับความบังเอิญอันน่าเหลือเชื่อนี่ก่อนจะพูดพึมพำเบาๆกับตัวเอง
“เอ๋?” เลสเตอร์ดูงุนงงดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินคำพูดตะกี้ของอีกฝ่าย
“เปล่าหรอก ก็แค่ประหลาดใจกับชื่อนิดหน่อยน่ะ”
“นั่นสินะครับ จะไม่รู้จักก็ไม่แปลก”
เลสเตอร์คาดเดาอีกฝั่งคงไม่รู้จักชื่อนี้เป็นแน่ ไนลิกยิ้มบางราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคิดอะไรอยู่
“มารามอส มังกรแห่งความฝัน...อเมทิสต์แห่งรุ่งตะวัน...ราชินีผู้ชักใยมนุษย์...บุตรีผู้นอกคอกแห่งอิกนิส...ช่างเป็นชื่อที่ไม่ได้ยินจากปากคนอื่นมาเสียนาน”
“รู้จักด้วยเหรอครับ”
เลสเตอร์ถึงกับตกตะลึงเพราะอีกฝ่ายไม่เพียงแต่รู้จักชื่อแต่ถึงขั้นร่ายฉายาออกมาได้หลายฉายา
“อืม รู้จักดีเลยล่ะ
ฉันเองก็เคยศึกษาข้อมูลของมังกรตัวนี้มานิดหน่อย” ไนลิกพูดด้วยรอยยิ้มจางๆอันดูมีลับลมคมใน
“ทำรายงานเหรอครับ?”
“เปล่าหรอก ก็แค่ศึกษามานิดหน่อยน่ะ”
“แต่เท่าที่ฟังดูเมื่อตะกี้ดูไม่เหมือนศึกษามานิดหน่อยเลยนะครับ”
“ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ฉันก็แค่สนใจเท่านั้น”
ชายหนุ่มพูดจบก็หันไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดอยู่ตรงผนังของห้องสมุด “ดูเหมือนฉันจะต้องไปแล้วล่ะนะ น่าเสียดายจริง
ฉันเองก็อยากจะคุยกับเธอต่อให้มากกว่านี้แท้ๆ”
“ผมเองก็อยากคุยเหมือนกันครับ” เลสเตอร์ยิ้มรับ
เขาเองก็มีความสุขกับการพูดคุยในครั้งนี้เหมือนกัน
“ไม่ต้องห่วง เลสเตอร์” ไนลิกหันดวงตาสีเขียวนั้นมามองเด็กหนุ่มตรงหน้า
“เราจะได้เจอกันอีกแน่ๆ ในไม่ช้านี้แหละ”
“ครับ?”
“งั้นหนังสือเล่มนี้...ฉันอ่านจบแล้ว
เธอสนใจจะอ่านต่อมั้ย” ไนลิกพูดขึ้นโดยไม่สนท่าทีงุนงงของอีกฝั่ง
“ก็ดีเหมือนกันครับ”
เลสเตอร์รับหนังสือเรื่องของรอธฟัลมาจากอีกฝ่ายมา
ไหนๆก็ว่างแล้วหาอะไรอ่านฆ่าเวลาหน่อยก็ดี
“งั้นไว้เจอกันใหม่นะ เลสเตอร์ เอลมอล” ไนลิกพูดจบก็โบกมือลาแล้วเดินหายไปจนเลสเตอร์ถึงกับครุ่นคิดไปชั่วขณะว่าเขาไปบอกนามสกุลของตัวเองตอนไหนแต่สุดท้ายเขาก็เลิกใส่ใจเพราะคิดว่าตัวเองอาจจะเผลอพูดไปตอนแนะนำตัวในตอนนั้น
“หนังสือเกี่ยวกับรอธฟัลเหรอ”
เลสเตอร์มองอย่างสนใจต้องยอมรับว่าการพูดคุยกับไนด์ลิตเมื่อครู่ทำให้เขาอารมณ์ดีมากขึ้นทีเดียว
“จริงสิ อาจารย์ลินเดลเองก็เป็นหนึ่งในผู้ปราบรอธฟัลนี่นา
น่าจะมีประวัติในตอนนั้นอยู่ลองเปิดดูดีกว่า”
เลสเตอร์คิดจบก็มองหาหัวข้อตัวอย่างในสารบัญ
เมื่อเจอแล้วเขาก็รีบพลิกกระดาษไปยังหน้าที่ว่าทันที ในหน้านั้นมีเหล่านักรบสิบสามคนยืนเรียงราย
ทั้งหมดคือเหล่านักรบที่ร่วมมือกันปราบรอธฟัลครั้งนั้น
“นี่ไง เจออาจารย์แล้ว หน้าตาเด็กเชียว”
เลสเตอร์แอบหัวเราะเบาๆเพราะใบหน้าของชายในรูปนั้นไม่เหมือนกับตอนนี้เลยซักนิด
ใช่แล้ว ทุกอย่างคงจะเต็มไปด้วยอารมณ์ขันหากเขาไม่บังเอิญไปเห็นชื่อๆหนึ่งเข้าซักก่อน
“ชื่อนี่มัน...”
ลูเธอร์ สแตนฟอร์ท...เสียชีวิต
เลสเตอร์เบิกตาค้างนี่คือชื่อที่เขาเคยเห็นครั้งหนึ่งที่ปราสาทแสตนฟอร์ทในกรอบรูปครอบครัวของตระกูลสแตนฟอร์ด
“ไม่จริงน่ะ” เลสเตอร์ไม่เคยคาดฝันเลยด้วยซ้ำว่าวันนี้เขาจะได้พบกับความเป็นจริงอันน่าตกใจอันนี้
ชื่อของชายผู้เสียชีวิตกับการต่อสู้กับรอธฟัลคนนั้นคือพ่อของเอลเลียต
ความคิดเห็น