คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Ep.1 Chapter 19 - การฝึกฝน
Chapter 19
Training
ฝึกฝน
“ออกมาแล้ว!” เลสเตอร์ตะโกนร้องอย่างดีใจ
“เยี่ยมเลย”
เอลเลียตพยักหน้าพอใจกับผลลัพธ์ตรงหน้า
เขามองมือขวาของเลสเตอร์ที่กำเกล็ดมังกรไว้แน่นอย่างไม่วางตา
ในตอนนี้ผิวหนังมือของเด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์ได้เปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่างที่คล้ายกับเกล็ดหินแข็งๆแหลมๆยาวจนไปถึงข้อมือ
“นี่คือ...พลาน่าของเบลสตีน”
เลสเตอร์มองมือที่ผิดธรรมชาติของตัวเองอย่างตื่นตะลึงและตื่นเต้น
“เปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นหินแหลมคมเหรอ
แปลกดีนี่” นีลพูดอย่างประทับใจเช่นกัน
หลังจากคุยกับฮะการ์เสร็จเลสเตอร์ได้ขอร้องฮะการ์หนึ่งอย่างนั่นคือขอให้เขาอยู่ที่นี่ต่อในช่วงเสาร์อาทิตย์นี้ด้วยเพื่อจะได้ใช้เวลาฝึกฝนอะไรต่างๆได้ง่ายขึ้นซึ่งฮะการ์เองก็ไม่ขัดศรัทธาเพราะยังไงเป้าหมายหลักที่ชายชรามาที่นี่ก็เพื่อให้เลสเตอร์ได้พูดคุยกับพ่อของเขา
เขากลับมาห้องพร้อมขอยืมเกล็ดมังกรจากเอลวินหนึ่งชิ้นเพื่อใช้ในการฝึกซึ่งผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงในที่สุดพลังของเขาก็แสดงผลลัพธ์ออกมาได้เหมือนชาวบ้านเขาซักที
“ถึงจะใช้เวลามากกว่าชาวบ้านเขามากโขแต่อย่างน้อยก็ทำได้แล้วสินะ”
เอลเลียตยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“เวลาชมไม่ต้องแซะจะได้มั้ย”
เลสเตอร์บ่นอย่างไม่พอใจ
“ยังไงก็เถอะ
นายจำสิ่งที่อาจารย์เอลวินสอนในคาบได้ใช่มั้ย”
เอลเลียตพูดทวนความจำของเด็กหนุ่มซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับ
นั่นเป็นเรื่องที่เอลวินสอนในคาบที่ผ่านมาขณะที่เขากำลังยุ่งวุ่นวายกับการทำให้พลาน่าของตัวเองแสดงออกมา
“ฝึกบ่อย
จนกว่าจะควบคุมออกมาได้โดยไม่ใช่เกล็ดมังกร” เลสเตอร์ทวนคำ
เขาใช้มืออีกข้างดึงเกล็ดมังกรออกไปวางห่างๆ
ไม่นานเกล็ดหินที่มือของเขาก็ค่อยๆคืนสภาพกลับมาเป็นมืออันอ่อนนุ่มของมนุษย์ดังเดิม
“ใช่ ฝึกให้ชิน” เอลเลียตชูนิ้วชี้ขึ้นมาก่อนจะทำเหมือนที่เขาเคยทำมาก่อน
นิ้วของเด็กหนุ่มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง “สังเกตที่มือของนายมั้ย
พลังของนายขึ้นมาอย่างไม่สม่ำเสมอและควบคุมไม่ได้เพราะงั้นสิ่งสำคัญต่อไปก็คือการฝึกควบคุมการแสดงพลังให้ได้มากขึ้นและควบคุมให้มันออกมาตรงไหนก็ได้ของร่างกายซึ่งส่วนนี้ฉันก็กำลังฝึกอยู่เหมือนกัน”
“ควบคุมมันให้แสดงบนนิ้วชี้อย่างที่พวกนายทำกันสินะ”
เลสเตรอ์มองนิ้วสีแดงตรงหน้าพลางนึกถึงตอนที่นีลยิงคลื่นเสียงออกจากนิ้วกระแทกหูเขา
“อันนี้แหละที่ลำบาก ไอ้การแสดงพลังให้ออกมาน่ะมันไม่ยากหรอกแต่การควบคุมมันให้ออกมาเฉพาะส่วนนี่แหละที่ใช้เวลาของจริง
คนส่วนใหญ่ก็ฝึกกันหลายเดือนเลยล่ะ” นีลพูดขึ้น
“การควบคุมพลาน่าพิเศษเป็นพื้นฐานของนักรบมังกร
หากนายอยากชนะมาเอลก็ต้องทำมันให้ดีให้ได้ล่ะนะ” เอลเลียตกล่าว “โชคดีอย่างนึงที่อาจารย์ที่สอนวิชาการควบคุมพลาน่าคืออาจารย์เอลวิน
ท่านปู่บอกว่าตอนเป็นนักรบมังกรเขาก็ใช้พลาน่าเสริมพลังกายภาพคล้ายๆกับนาย
เขาคงแนะนำอะไรดีๆให้นายได้แหละ”
เลสเตอร์พึ่งรู้เรื่องนี้
เขานึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ฮะการ์บอกว่าตัวเองไม่ได้เชี่ยวชาญพลาน่าที่เขาครอบครองอยู่ขึ้นมาเพราะอย่างนี้เองฮะการ์ถึงได้ส่งเขามาเวสปาร์ทาวเวอร์แห่งนี้
“สี่โมงเย็นแล้วเหรอเนี่ย”
เลสเตอร์หันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงหัวมุมห้อง
“วันนี้ก็ไม่มีเรียนแล้วด้วยสิ” นีลยักไหล่
“เอาไง ช่วงนี้ก็ว่างด้วยสิจะฝึกอยู่ที่นี่ต่อหรือจะไปนั่งเล่นแถวห้องสมุดดี”
ภายในสามวันที่พวกเขาสามคนใช้มา
หากมีเวลาว่างพวกเขามักจะไปที่ห้องสมุดเสมอ
ที่นั่นพวกเขาสามารถทำอะไรได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นหาอะไรอ่านเล่น
ทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์มังกร
หรือแม้กระทั่งอ่านหนังสือการ์ตูนที่นีลแนะนำมาให้ซี่งเลสเตอร์ตื่นตาตื่นใจมากเพราะปกติเขาก็เป็นคนสะสมหนังสือการ์ตูนอยู่แล้วและนี่เป็นการ์ตูนแบบที่เด็กที่เวย์แลนด์คนอื่นๆไม่มีทางได้อ่านและมันก็ดันสนุกใช้ได้ซะด้วย
เรื่องน่าตลกอีกอย่างคือดูเหมือนแม้แต่เอลเลียตเองก็ดูจะชื่นชอบมันเหมือนกันซึ่งดูท่าทางนี่จะเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มผู้สืบทอดคนนี้ได้อ่านการ์ตูน
“ก็ดีนะ วันนี้ฉันกะจะไปทำรายงานต่อ”
เอลเลียตพูดขึ้นแต่เลสเตอร์กลับแสยะยิ้มขึ้นมา
“จะไปอ่านการ์ตูนล่ะสิ”
เลสเตอร์พูดเบาๆจี้ใจจนเอลเลียตสะดุ้งโหยง
“ฮะๆๆ นายนี่ชอบทำอะไรอ้อมค้อมตลอดเลยนะ”
นีลตบไหล่เอลเลียตเบาๆ “แต่ผมกะว่าจะไปหาข้อมูลต่อล่ะนะ
ข้อมูลของดราเชนที่ผมหาเลือกก็ไม่ได้มีเยอะซะด้วยสิ”
“จริงสิ ว่าแต่ว่านีลไม่กลับบ้านเหรอ”
เลสเตอร์ถามขึ้นมา
“ไม่หรอก
มารามไม่ได้อยู่ไกล้ๆขนาดไปกลับสะดวกหรอกนะ
ทางตระกูลผมก็บอกก่อนมาแล้วว่าให้กลับไปเยี่ยมแค่เดือนละครั้งก็พอ”
“งั้นเหรอ ลำบากแย่เลยนะ”
“ไม่ลำบากเท่าคนที่บ้านอยู่อีกทวีปนึงหรอกนะ”
นีลไหวไหล่หนึ่งที “แล้วสรุปนายจะไปห้องสมุดด้วยมั้ย”
เลสเตอร์ครุ่นคิดไปราวสิบวินาทีก่อนจะส่ายหน้าออกมาช้าๆ
“ไม่ล่ะ”
เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปที่เกล็ดมังกรที่อยู่ในมืออีกข้าง
“วันนี้ฉันขอฝึกพลาน่าก่อนแล้วกัน อย่างว่าฉันเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นก็ต้องฝึกหนักหน่อยล่ะ”
“งั้นพวกฉันไปก่อนล่ะ”
เอลเลียตโบกมือลาพร้อมๆกับนีล
เลสเตอร์พบความจริงอย่างนึงว่าการระหว่างการฝึกควบคุมพลังนั้นไม่ได้จำเป็นต้องใช้สมาธิเยอะขนาดนั้น
แค่อาศัยการจับความรู้สึกแล้วเปลี่ยนมันให้เป็นความเคยชินก็พอ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเดินไปหยิบหนังสือเล่มนึงที่เขายืมมาจากห้องสมุดได้ซักพักแล้ว
หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า...
บุตรแห่งอิกนิส
เลสเตอร์เลือกหนังสือเล่มนี้มาเพื่อทำรายงานเกี่ยวกับมารามอสจนตอนแรกเพื่อนทั้งสองคนของเขาถามว่าทำไมถึงไม่เลือกเล่มที่ดูดีกว่านี้ซึ่งเขาก็ได้แต่ตอบว่า...
“ไม่มีเล่มที่ดีกว่านี้แล้วล่ะ”
คำพูดนั่นไม่ได้มาจากความมั่นใจหรืออะไรใดๆทั้งสิ้น
โดยปกติดราเชนที่มีชื่อเสียงมักจะมีประวัติยาวจนอยู่ในระดับที่เขียนอยู่ในหนังสือแยกได้แต่สำหรับมารามอสแล้วอย่าว่าแต่เธอจะมีหนังสือของตัวเองเลย
ข้อมูลส่วนมากที่เขียนไว้ก็แทบไม่มีอะไรใหม่จากที่เขาเคยอ่านครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เลสเตอร์ถึงกับลังเลสุดๆว่าเขาควรจะเปลี่ยนมังกรที่เป็นหัวข้อรึเปล่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เขาต้องพึ่งคะแนนประเมินมากขนาดนี้แต่ถึงท้ายที่สุดเขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนมัน
เลสเตอร์เปิดหนังสือตั้งแต่ต้นแล้วเริ่มอ่านทวนมัน
โดยในตอนแรกนั้นตัวหนังสือจะกล่าวถึงอิกนิสผู้ซึ่งเป็นบิดาของมังกรเหล่านี้ก่อนและหลังจากนั้นหนังสือก็จะเริ่มพูดถึงบุตรแห่งอิกนิสทีละตัวๆ
อิกนิสมีบุตรและบุตรีอยู่ทั้งหมดยี่สิบตนแต่มีเพียงหกตนเท่านั้นที่ได้เป็นดราเชน
ในตอนแรกที่เลสเตอร์อ่านถึงย่อหน้านี้เขาก็ขมวดคิ้วสงสัยกับคำว่า “กลายเป็นดราเชน”
รีบหันไปถามคำถามเอลเลียตทันทีซึ่งเขาก็ได้ค้นพบกับความจริงอันน่าสนใจ
ดราเชนนั้นไม่ได้เป็นเพียงชื่อที่บ่งบอกลักษณะของมังกรที่ทรงอำนาจเท่านั้น
ความจริงแล้วมันเป็นเหมือนกับนามที่บ่งบอกถึงวิวัฒนาการขั้นสูงของมังกรเสียมากกว่า
เหล่าดราเชนนั้นก็ไม่ได้เกิดมาก็กลายเป็นดราเชนเลยทันที
ในตอนแรกพวกเขาก็ไม่ได้ต่างกับมังกรดั้งเดิมอะไรทั่วไปซึ่งมังกรเหล่านี้มีขนาดอย่างมากที่สุดก็ราวสามสิบเมตรจนกระทั่งเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่ร่างกายของมังกรเหล่านี้เก้าข้ามกำแพงบางอย่างพวกเขาเหล่านั้นก็จะวิวัฒนาการไปเป็นบางสิ่งที่เหนือกว่ามังกรทั่วไป
มนุษย์เรียกกระบวนการนั้นว่า “กำเนิดใหม่”
มังกรที่ผ่านการกำเนิดใหม่แล้วจะมีขนาดที่ใหญ่โต
พลังที่ทรงอำนาจ อย่างเทียบไม่ได้กับแต่ก่อนและนั่นแหละคือตัวตนของสิ่งที่เรียกว่า
ดราเชน
แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ
ตั้งแต่ช่วงยุคที่สามเป็นต้นมาการกำเนิดใหม่ของมังกรก็น้อยลงเรื่อยๆ หลังจากมังกรที่กำเนิดใหม่เป็นดราเชนตนล่าสุดนั้นก็ผ่านมาราวห้าร้อยปีได้แล้วที่ไม่ได้มีดราเชนตัวไหนถูกกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้อีกเลย
และเพราะการที่ตัวตนของดราเชนค่อยๆไปจากโลกแห่งความเป็นจริงนั้นทำให้มนุษย์ทั้งหลายเริ่มหลงลืมตัวตนของพวกเขา
มารามอส นั้นเป็นมังกรที่เกิดในยุคที่สอง
กำเนิดใหม่ในยุคที่สองและสิ้นชีพในยุคที่สอง
ซึ่งทำให้เธอนั้นสิ้นชีวิตก่อนบิดาของเธอเสียอีก
ข้อมูลของมารามอสที่เลสเตอร์ได้เพิ่มเติมมาก็ไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าเดิม
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของรูปร่างลักษณะที่ในหนังสือแต่ละเล่มก็อธิบายไว้แตกต่างกัน
มังกรไม่กี่ตัวที่เธอพบปะด้วย วีรกรรมการควบคุมมนุษย์
และความสัมพันธ์อันเบาบางระหว่างเธอกับบิดาของเธอ
ซึ่งโชคยังดีที่แม้ข้อมูลเรื่องพวกนี้จะน้อยแต่มันก็ยังมีรายละเอียดพอที่จะทำรายงานออกมาได้แต่คุณภาพน่าจะออกมาไม่ดีซักเท่าไหร่
“ดูท่าวิชานี้จะเก็บคะแนนไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วแฮะ”
เลสเตอร์ถอนหายใจอย่างผิดหวังเพราะสำหรับเขาวิชาประวัติศาสตร์มังกรดูจะเป็นอะไรที่เข้ากับเขาได้มากที่สุดแล้วในบรรดาทุกวิชาแล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาเก่งหรืออะไรหรอกแต่ถ้าให้พูดถึงความเร็วในการเรียนรู้แล้วเขาคิดว่าเขาเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์พวกนี้ได้ไวพอสมควรถ้าเทียบกับวิชาอื่นๆ
“ยังไงมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
เลสเตอร์ยักไหล่มือของเขาข้างนึงพลิกหน้าหนังสือที่วางไว้บนโต๊ะในขณะที่อีกข้างกุมเกล็ดมังกรไว้แน่น
สุดท้ายเรื่องจะเป็นยังไงก็ช่าง เพราะหากที่จะชนะมาเอลแล้ว
ตัวเขาในตอนนี้ก็มีเพียงแต่ต้องเก่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ร็อกแซนด์
เป็นหนึ่งในคนที่เลือกจะไม่กลับบ้านในช่วงวันหยุดนี้เนื่องด้วยสาเหตุที่คล้ายๆกับคนอื่นๆนั่นก็คือความยากลำบากในการเดินทางเพราะงั้นเธอจึงตัดสินใจจะใช้วันหยุดที่เหลืออยู่นี่ผ่อนคลายอย่างสบายๆโดยเริ่มจากการใช้เงินเก็บของเธอเพลิดเพลินกับอาหารและของหวานทั้งหลายต่างๆนาๆในตอนเช้า
ใช่...มันควรจะเป็นการผ่อนคลายหากไม่ได้มีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ
“หา? นายพูดบ้าอะไรของนาย” ร็อกแซนด์ขมวดคิ้วแน่นหลังจากเช้าวันถัดมาก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหาเธอที่กำลังนั่งกินข้าวอาหารอยู่ในโรงอาหารแล้วพูดเรื่องประหลาดๆใส่
“ช่วยสอนเรื่องการฝึกมังกรให้ฉันที”
เลสเตอร์พูดเรียบๆ
“หะ? เพื่อ?
นายต้องการอะไรเนี่ย”
ร็อกแซนด์ตีสีหน้างุนงงกับคำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ฟังนะ
ในหอคอยแห่งนี้ฉันน่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับสังคมมังกรของพวกเธอน้อยที่สุดแล้ว
ถ้าฉันอยากจะเก่งขึ้นจริงๆก็มีแต่ต้องรีบพัฒนาตอนนี้เท่านั้น...ซึ่งการขอให้คนอื่นสอนให้ก็น่าจะเป็นวิธีการที่ดีใช่รึเปล่า”
“มิน่าล่ะ
คงเป็นเรื่องที่นายไปทะเลาะกับเจ้าลูกเศรษฐีคนนั้นล่ะสิ”
“เธอรู้เรื่องด้วยเหรอ? ไม่ใช่ว่าตอนนั้นเธอโดดคาบรึไง”
“คนเขารู้เรื่องกันทั้งหอคอยนั่นแหละ”
ร็อกแซนด์ถอนหายใจ “ว่าแต่นี่เป็นการท้าดวลของนายกับหมอนั่นมาขอให้คนอื่นสอนแบบนี้ไม่คิดว่าขี้โกงมั่งรึไง”
“ก็ไม่ได้มีใครห้ามไวนี่นา
ที่สำคัญทางบ้านหมอนั่นก็ช่วยฝึกหมอนั่นมาตั้งแต่เด็กๆแล้วไม่ใช่เหรอ
แบบนั้นก็ไม่ถือว่าขี้โกงรึไง”
“มันก็ใช่ ว่าแต่ทำไมนายไม่ให้เพื่อนคนเก่งของนายสอนล่ะ”
ร็อกแซนด์ถามด้วยน้ำเสียงยานๆเหมือนง่วงนอนตลอดเวลาของเธอซึ่งเลสเตอร์รู้ดีว่าเธอหมายถึงเอลเลียต
“หมอนั่นเป็นคนบอกฉันเองว่าถ้าเฉพาะเรื่องการฝึกมังกร
เธอน่าจะเก่งกว่าหมอนั่น ก็เลยแนะนำว่าให้มาลองขอร้องเธอดู” เลสเตอร์ตอบคำถาม
“เฉพาะเรื่องฝึกมังกรงั้นเหรอ...”
ร็อกแซนด์แค่นเสียงของเธอออกมาด้วยความไม่พอใจเล็กๆเพราะการพูดแบบนั้นมันเหมือนกับกำลังจะบอกว่านอกจากเรื่องนี้เธอไม่มีอะไรที่เก่งกว่าเขา
“ตามนั้นแหละ ช่วยฉันหน่อยได้รึเปล่า”
เลสเตอร์ยิ้มแฉ่งพร้อมกับคาดหวังคำตอบรับอันยอดเยี่ยม
“ไม่อะ” ร็อกแซนด์ตอบด้วยความรวดเร็วจนเลสเตอร์สะดุ้งโหยง
“ทำแบบนั้นไปแล้วฉันจะได้อะไรล่ะ มีแต่จะน่ารำคาญเปล่าๆ”
“เธอก็ตื่นเช้าไปเช็คชื่อกับคุณนายเพนเทลแทบทุกเช้าเลยไม่ใช่เหรอ
ยังไงเธอก็ไปเล่นกับมังกรพวกนั้นแทบทุกวันอยู่แล้วนี่แค่สอนฉันนิดๆหน่อยๆไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
เลสเตอร์พยายามสุดความสามารถเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ
“ฉันตื่นเช้าเพราะอยากไปเล่นกับมังกร
ไม่ได้อยากไปสอนอะไรนายซักหน่อย”
ร็อกแซนด์ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะหยิบเค้กอยู่บนโต๊ะขึ้นมาตักเข้าปาก
“อ๊ะ เค้กนี่ เค้กพรีเมี่ยมจากร้านแบล็คโรสนี่นา
ไม่ใช่ว่ามันแพงมากหรอกเหรอ” เลสเตอร์จำได้อย่างดีเพราะตอนแรกที่เขาเห็นมันในร้านค้าที่โรงอาหาร
เขาก็อยากจะซื้อมันมากินเหมือนกันแต่เนื่องด้วยราคาที่สูงลิ่วทำให้เขายอมอดใจเพื่อเก็บเงินไว้กินอย่างอื่นดีกว่า
อย่างว่าแม้ทางเวสปาร์ทาวเวอร์จะให้โควตาค่าขนมพวกเขามาแต่มันก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดจะมาสุรุ่ยสุร่าย
ร็อกแซนด์ไม่ตอบอะไร
เธอเพียงแต่ตักเค้กเข้าปากแล้วอมยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้มกับรสอร่อยของมัน
สีหน้านั่นมันแทบจะทำให้เขาอยากเดินไปสั่งเจ้าเค้กนี่ให้มันรู้แล้วรู้รอด
แต่ที่สำคัญมันกลับทำให้เขานึกอะไรบางอย่างออก
เลสเตอร์ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์
“หนึ่งครั้งต่อเค้กหนึ่งชิ้น”
“หือ?”
ร็อกแซนด์มองอย่างสงสัยหลังจากที่เลสเตอร์ชูนิ้วชี้ขึ้นมาแสดงหมายเลข
“ถ้าวันไหนเธอสอนฉันแล้วล่ะก็วันนั้นฉันจะซื้อเจ้าเค้กนี่ให้เธอชิ้นนึง
เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลยใช่มั้ย”
“นี่นายคิดว่าเค้กก้อนนึงจะซื้อฉันได้จริงเหรอ”
ร็อกแซนด์ย่นหน้าแต่ถึงอย่างนั้นเลสเตอร์กลับยิ้มยินดีเพราะแม้ร็อกแซนด์จะตีสีหน้าไม่พอใจในทันทีที่เขาพูดประโยคนี้ออกมาแต่สายตาของเธอมันกลับเต็มไปด้วยความสนอกสนใจในข้อเสนอนี้ของเขา
จริงอยู่ที่ว่าเค้กนี่มันแพงจัดแต่ถ้าเขาลดปริมาณขนมของตัวเองที่กินทุกวันล่ะก็ก็น่าจะพอแบ่งไปซื้อให้เธอได้ซักสัปดาห์ละสองสามชิ้น
“ฉันไม่รู้หรอกว่ามันจะซื้อเธอได้มั้ยเพราะเรื่องนั้นเธอต้องเป็นคนตัดสินใจเองใช่รึเปล่าล่ะ”
เลสเตอร์พูดจบก็ตัดสินใจเว้นช่วงไว้ให้เด็กสาวได้คิดแต่เมื่อผ่านไปหนึ่งนาทีแล้วเด็กสาวยังคงไม่มีการตอบสนองอะไรเขาจึงต้องกระตุ้นซักหน่อย
“ช่วยไม่ได้นะ ในเมื่อเธอไม่อยากทำ
งั้นเอาเป็นว่าข้อเสนอนี้ของฉันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”
เลสเตอร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับสีหน้าเบื่อหน่ายพร้อมกับหันหลังเตรียมเดินออกไปแต่ก่อนหน้านั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาขัดเขาซะก่อน
“หนึ่ง...ชิ้น ต่อ หนึ่งครั้ง
นั่นคือข้อตกลงใช่มั้ย” ร็อกแซนด์พูดด้วยใบหน้าบึ้งตึงของเธอ
“สรุปว่าเธอยอมรับข้อตกลงนี้แล้วรึเปล่าล่ะ”
“เค้กพรีเมี่ยมจากร้านแบล็คโรสเท่านั้น
ไม่มีข้อตุกติกใดๆเข้าใจรึเปล่า”
ร็อกแซนด์ไม่ตอบคำถามเพียงแต่พูดเสียงเข้มเพื่อยืนยันเท่านั้นซึ่งสำหรับเลสเตอร์แล้วนั่นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการตกลงรับข้อเสนอ
“งั้นสรุปว่า...”
เลสเตอร์ยื่นมือไปข้างหน้าซึ่งร็อกแซนด์เองก็ลังเลไปซักพักแต่สุดท้ายก็ยื่นมือไปจับด้วย
เลสเตอร์ฉีกยิ้มก่อนจะพูดออกมาสั้นๆว่า... “ดีล!”
“ล่อด้วยเค้กเนี่ยนะ?” เอลเลียตตีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ฉลาดใช่มั้ยล่ะ” เลสเตอร์ยิ้มอย่างภูมิใจ
“เหลือเชื่อดี
ตอนแรกที่ฉันบอกให้นายลองไปขอให้เธอคนนั้นสอน พูดตามตรงคือฉันพูดเล่นๆนะนั่น”
เอลเลียตหมายความอย่างงั้นจริงๆ เขาเองก็สงสัยตั้งนานว่าเลสเตอร์หายไปไหนตอนเช้า
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวแสบนี่ก็เดินมาพร้อมกับสีหน้าระรื่น
“อ้าว ฉันก็นึกว่านายจริงจัง”
“เอาเถอะ ก็ถือเป็นเรื่องดีล่ะนะ
จะได้แบ่งเบาภาระฉันด้วย” เอลเลียตพยักหน้าเบาๆ
เลสเตอร์แอบไม่พอใจเล็กตอนได้ยินคำว่าภาระแต่เขาก็ดันเถียงไม่ออกซะงั้น
“ว่าแต่นายพาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย” เลสเตอร์มองไปรอบๆ
ที่นี่คือห้องสีขาวขนาดใหญ่โล่งๆไม่มีอะไรนอกจากอาวุธขนาดใหญ่ซึ่งทำจากไม้วางติดไว้ตรงผนังห้อง
ห้องๆนี้ตั้งอยู่ที่ชั้นสี่สามของหอคอยแห่งนี้ซึ่งป้ายหน้าห้องมันได้เขียนไว้ว่า...
ห้องฝึกฝน
“นายรู้รึเปล่าว่านายในตอนนี้น่ะแพ้เจ้ามาเอลทุกด้านแบบหลุดลุ่ยน่ะ”
เอลเลียตถามคำถาม
“ไม่ต้องย้ำหรอกน่า”
“แต่รู้มั้ยในบรรดาวิชาทั้งหมดที่มีอยู่น่ะ
มีอยู่วิชานึงที่ฝีมือนายน่าจะยังห่างไกลกับเจ้านั่นมากที่สุดแต่ในทางกลับกันมันก็เป็นวิชาเดียวที่นายสามารถที่จะตามหมอนั่นทันด้วยเวลาอันสั้น”
“วิชา? วิชาอะไร”
“วิชาศิลปะการต่อสู้” เอลเลียตตอบสั้นๆแต่มันกลับทำให้เลสเตอร์ขมวดคิ้วแน่น
“นั่นมันวิชาสุดท้ายที่พวกเรายังเคยได้เรียนนี่” เลสเตอร์พูด
“ใช่
แม้จะชื่อว่าวิชาศิลปะการต่อสู้ก็เถอะแต่ความจริงแล้วเนื้อแท้ของวิชานี้น่ะไม่ใช่การเรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้หรอกนะ”
เอลเลียตพูดเว้นวรรคชั่ววินาทีก่อนจะพูดต่อ “วิชานี้น่ะคือวิชาที่จะสอนถึงทุกอย่างในการรับมือกับมังกรต่างหากล่ะ”
“รับมือกับมังกร” เลสเตอร์ทวนคำ
“ใช่
เพราะงั้นทุกๆคนนอกจากนักรบมังกรถึงสามารถเรียนด้วยได้
แม้พวกเขาจะไม่ได้ต่อสู้แต่ว่าพวกเขาก็ควรจะรู้วิธีรับมือกับพวกมันในแนวทางอื่นๆด้วย”
เอลเลียตอธิบายอย่างละเอียด “แต่แน่นอนว่าสำหรับพวกเรานักรบฝึกหัดแล้วหน้าที่ของพวกเรานั้นก็คือ...การต่อสู้”
“อืม นั่นก็คงเป็นหน้าที่ของนักรบมังกรจริงๆล่ะนะ”
“เพราะแบบนั้นวิชานี้ถึงได้ต้องสอนหลังจากที่พวกนักรบฝึกหัดอย่างพวกเราควบคุมพลาน่าได้ในระดับนึงแล้ว”
“ว่าแต่นายไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน”
เลสเตอร์สงสัยข้อนี้มาซักพักแล้วจึงถามออกไป
“ฉันไม่ได้ใช้เวลาที่อยู่ที่นี่ไปเฉยๆหรอกนะ
ฉันกับนีลก็ได้ข้อมูลเรื่องนี้มาได้ซักพักแล้ว”
เอลเลียตตอบโดยไม่ลืมที่จะแฝงคำแซะเข้าไปในประโยคเช่นเดิม
“ครับๆ พ่อคนเก่ง”
เลสเตอร์โบกมือปัดๆไปอย่างรำคาญ “ว่าแต่ว่าไอ้การที่นักรบฝึกหัดจะควบคุมพลาน่าได้ในระดับนึงของที่นี่เนี่ย
เขาตั้งเกณฑ์ไว้ประมาณไหนเหรอ”
“เท่าที่ได้ยินมาก็ประมาณราวสองเดือนกว่า”
“สองเดือน? นานพอดูเลยนะ”
เลสเตอร์ประหลาดใจพอสมควรเพราะตอนแรกเขานึกว่ามันจะแค่สัปดาห์สองสัปดาห์ซะอีก
“ไม่นานหรอก ถ้าเทียบระบะห่างของนายกับเจ้าหมอนั่นในตอนนี้”
เอลเลียตพูดจบเขาก็เดินไปที่ดาบไม้เล่มใหญ่ขนาดสองเมตรซึ่งติดอยู่ตรงผนัง
ก่อนจะหยิบมันขว้างมาจนเลสเตอร์ถึงกับสะดุ้งโหยง
เด็กหนุ่มลนลานแต่มือของเขาก็รับเจ้าดาบขนาดสองเมตรนั้นได้
“อะไรเนี่ย ดาบเบ้อเริ่มขนาดนี้ทำไมถึงเบาจัง”
เลสเตอร์จับด้ามดาบแล้วชูมันขึ้นมาสะบัดไปมาถึงมันจะเป็นดาบไม้ก็เถอะแต่มันก็ไม่น่าจะเบาได้ถึงขนาดนี้
“นี่เป็นดาบพิเศษที่ทำขึ้นมาเพื่อฝึกมันก็ต้องเบาอยู่แล้วล่ะ”
เอลเลียตยักไหล่ “พวกเราในตอนนี้น่ะยังควบคุมพลาน่าพื้นฐานของตัวเองได้ไม่ดีพอจะเพิ่มพละกำลังขนาดนั้น”
เลสเตอร์พยักหน้าเข้าใจ
นี่เป็นอีกสิ่งที่เขาได้ยินมาจากในคาบของเอลวินเหมือนกัน แม้พลังที่เหล่านักรบมังกรเลือกสรรจากหัวใจจะแตกต่างกันไปแต่พลาน่าพิเศษทุกชนิดนั้นนอกจากคุณสมบัติพิเศษที่มันให้ตามปกติแล้วมันก็ยังมีคุณสมบัติพื้นฐานของมันอยู่
เสริมสร้างพละกำลังอันเหนือมนุษย์นั่นคือคุณสมบัติพื้นฐานของพลาน่าที่เหล่านักรบมังกรทุกคนสามารถทำได้โดยไม่มีข้อแตกต่างระหว่างพรสวรรค์
ซึ่งเอลวินเองก็บอกไว้แล้วว่าหลังจากฝึกรับรู้พลังได้จนชินแล้วเขาจะเริ่มฝึกพลาน่าพื้นฐานทันที
“เรื่องฝึกรับมือกับมังกรน่ะหากยังทำเรื่องพื้นฐานอย่างอื่นไม่ได้เขาก็ยังไม่ให้ฝึก ซึ่งดูจากที่เห็นแล้วเจ้ามาเอลก็น่าจะยังไม่ได้ฝึกเรื่องนี้ดีพอเหมือนกัน” เอลเลียตพูดเบาๆ “แต่ฉันน่ะพิเศษหน่อย ท่านปู่พอจะฝึกฝนเรื่องนี้ให้ฉันมาบ้างแล้วเพราะงั้นคงพอจะแนะนำอะไรให้นายได้บ้าง”
“ไม่ค่อยจะอวดดีเลยนะ” เลสเตอร์ยิ้มแห้งๆแม้จะหมันใส้แต่หลังจากที่รู้จักเอลเลียตมาได้ซักพักมีอย่างนึงที่เขารู้ดีคือหมอนี่ไม่ใช่คนชอบพูดอะไรล้อเล่น
“อย่างแรกเลยคือทำให้คนที่ไม่เคยจับอาวุธอย่างนายใช้งานมันให้ได้ซะก่อน”
เอลเลียตหยิบดาบอีกอันที่อยู่ตรงกำแพงออกมาแล้วชี้มาทางเขา “ได้เวลาฝึกแล้ว
ยกดาบขึ้นมาซะ”
ความคิดเห็น