ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Raid of Drachen

    ลำดับตอนที่ #16 : Ep.1 Chapter 15 - สภาสูงแห่งเซ็นทรัล

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 844
      83
      18 ก.พ. 62

    Chapter 15

    High Council of the Central

    สภาสูงแห่งเซ็นทรัล

     

     

     

    อารันคาทรัช คือ ชื่อของสถานที่อันทรงอำนาจที่สุดในแอนทีค

    มันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในใจกลางของดราโกเนีย เมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเปรียบดั่งเมืองหลวงของแอนทีคซึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวทวีปแห่งนี้

    และยังเป็นสถานที่ที่เปรียบดังศูนย์บัญชาการใหญ่ขององกรณ์ที่ชื่อว่า เซ็นทรัล อีกด้วย

     “ท่านฮะการ์คะ...พาฉันมาที่นี่จะดีจริงๆเหรอคะ”

    “มาถึงแล้วยังจะบ่นอะไรอีกล่ะ เนลลี่ ที่สำคัญไม่ใช่ว่าเจ้ามาที่อารันคาทรัชครั้งแรกซักหน่อย” ฮะการ์พูดเรียบๆ พวกเขาทั้งสองคนกำลังเดินอยู่บนทางเดินยาวเหยียดที่เต็มไปของหรูหราประดับประดาเต็มทางในระดับที่เรียกได้ว่าทุกอย่างที่อยู่ในปราสาทสแตนฟอร์ดดูกระจอกไปเลย

    ที่แห่งนี้คืออาคารส่วนในสุดของอารันคาทรัชซึ่งเป็นสถานที่หวงห้ามสำหรับบุคคลทั่วไป เป็นสถานที่ที่มีเพียงคนระดับสุดยอดเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาได้

    “ต...แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเคยเข้ามาถึงด้านในนี้นี่คะ ท่านฮะการ์ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องพาฉันมาเลยนี่คะ ท่านเองก็ขี่มังกรมาเองก็ได้นี่” เนลลี่หันซ้ายๆหันขวาพร้อมกับพูดเบาๆเหมือนกระซิบเพราะให้ตายยังไงเธอก็ไม่กล้าส่งเสียงดังในที่ๆให้ความรู้สึกชั้นสูงแบบนี้

    “ก็กว่าจะเดินทางมาที่นี่ตั้งหลายชั่วโมง ฉันก็ไม่ใช่หนุ่มๆแล้วจะให้มานั่งบังคับมังกรตั้งนานแบบนั้นมันก็รู้สึกขี้เกียจน่ะ ก็ว่าเลยหาคนขี่มังกรให้แทนมันซะเลยซึ่งเจ้าก็ดันเป็นไม่กี่คนในปราสาทเราที่ขี่มังกรได้” ฮะการ์พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆจามปกติของเขาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร

    “นั่น...คือเหตุผลที่พาฉันมาเหรอคะ?” เนลลี่กะพริบตาปริบๆจริงอยู่ที่ระหว่างทางเธอเป็นคนบังคับมังกรเองทั้งหมดแต่เหตุผลแค่นั้นถึงกับพาเธอมาที่นี่นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ

    “ก็แค่นั้นแหละ จะมีอะไรมากมาย” ฮะการ์ตอบสั้นๆ

    “แต่คนอย่างฉันไม่ควรจะเข้ามาในที่แบบนี้นะคะ”

    “อย่าไปเกร็งกับที่แบบนี้มันนักเลย ข้าเป็นผู้อาวุโสของแอนทีคเพราะงั้นที่นี่มันก็ไม่ต่างอะไรจากสวนหลังบ้านของข้าหรอก ข้าจะพาคนของข้ามามันจะทำไมนักหนา ถ้ามีใครมาบ่นก็ให้มันมาบ่นข้านี่”

    เนลลี่ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเพราะตำแหน่งที่เรียกว่าผู้อาวุโสนั้นทั่วทั้งโลกมีเพียงแค่แปดคนเท่านั้น

    “ถึงแล้ว” ฮะการ์พูดขึ้นเมื่อเขามองเห็นประตูห้องที่อยู่สุดทางของทางเดินอันว่างเปล่าและหรูหรานี่ ฮะการ์บิดลูกบิดประตูอย่างไม่ลังเล

    เนลลี่กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอที่สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ทรงคุณค่าและชั้นสูงที่สุดของโลกนี้

    ห้องของสภาสูงแห่งเซ็นทรัล

    ด้านในห้องนั้นเป็นมีชายสองคนนั่งอยู่ทั้งบนโซฟาหนุ่มที่ทำจากหนังสัตว์ โดยชายคนหนึ่งเป็นชายชราที่มีผมขาวโพลนทั้งหัวส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่คาบบุหรี่มวนโตไว้ในปากโดยทั้งสองคนนั้นหันมาที่ผู้มาใหม่ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา

    “มาได้ซักทีนะ คุณเจ้าบ้านสแตนฟอร์ด” ชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก

    “เลิกทำเสียงแดกดันได้แล้ว บรามัน ทำอารมณ์ขึ้นมากๆเดี๋ยวก็ตายไวหรอก”

    “ท่านฮะการ์ที่นี่คือสถานที่ชั้นสูงของโลก ระวังคำพูดคำจาหน่อย” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก

    “กล้าพูดในขณะที่พ่นควันผิดออกจากปากเนี่ยนะ ข้าขอเตือนเจ้าอีกคนแล้วกันถ้าไม่อยากตายไวก็เพลาๆมันลงหน่อยเถอะ”

    “ท่านไม่จำเป็นต้องแนะนำอะไรผมหรอก”

    “หึ เจ้าเด็กน้อยในวันนั้น ปากกล้าขึ้นเยอะเลยนี่ ฮอลแลนด์” ฮะการ์ยิ้มบาง

    “นั่นมันนานเมื่อเกือบห้าสิบปีมาแล้วครับ เลือกย้อนอดีตกันดีกว่า” ฮอลแลนด์ไม่แม้แต่จะมองหน้าฮะการ์ด้วยซ้ำ

    “แล้วนี่ใครกัน?” บรามันถามพร้อมกับชี้นิ้วไปทางเนลลี่ที่ยืนเงียบๆอยู่ด้านหลังจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง

    “ค...คือ” เนลลี่เสียงสั่น บุคคลตรงหน้าของเธอคนนี้คือหนึ่งในบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดของเซ็นทรัล

    “คนจากของปราสาทข้าเอง”

    “ปัญหาคือทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ต่างหาก” บรามันชี้นิ้วไปที่หญิงสาวที่กำลังมือสั่นด้วยความกังวล

    “เธอมาในฐานะผู้ติดตามของข้า” ฮะการ์ยักไหล่

    “แล้วใครเป็นคนอนุญาต หา?” บรามันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ถึงเขาจะพอเดาๆคำตอบได้แล้วก็เถอะ

    “ก็ข้านี่แหละ เจ้ามีปัญหาอะไรรึเปล่า” ฮะการ์ตอบเรียบๆอย่างไม่ใส่ใจ บรามันเองก็ได้แต่ก่ายหน้าผากเพราะเขาก็เพิ่งจะคิดออกว่าเจ้าชายชราตรงหน้านี้เป็นคนตัดสินใจอะไรตามใจตัวเองขนาดไหน

    “งั้นก็ช่างเถอะ พูดอะไรไปยังไงเจ้าก็ไม่ฟังอยู่แล้วนี่” บรามันรู้สึกปลง “ว่าแต่อย่างน้อยเจ้าคงไม่ลืมใช่มั้ยว่าเราเรียกเจ้ามาทำไม”

    “อา ไม่ลืมหรอก” ฮะการ์ส่งสายตาไปทางเนลลี่ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้ารับแล้วล้วงหยิบของบางอย่างในกระเป๋าออกมายื่นให้ฮะการ์อย่างว่องไว

    หนังสือสันสีแดงที่มีเขี้ยวของมังกรฝังอยู่

    “เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี่ฮอลแลนด์ ลองตรวจสอบดูสิ” ฮะการ์ยื่นหนังสือให้ชายวัยกลางคนที่กำลังสูบบุหรี่มวนใหญ่อยู่

    “ผมไม่ใช่นักรบมังกรอีกต่อไปแล้ว การสัมผัสพลาน่าไม่ได้ดีเท่าไหร่นักหรอกให้พวกคนหนุ่มๆที่ดวงใจมังกรยังคุกรุ่นอยู่เช็คให้ไม่ดีกว่าเหรอ”

    “ให้เจ้าพวกที่รู้จักดราเชนแค่ไม่ถึงสิบตัวตรวจสอบอะนะ ข้าว่าให้เจ้าตรวจสอบดูดีมีภาษีมากกว่าเป็นไหนๆ” ฮะการ์ยังคงยืนยันที่จะให้ชายตรงหน้าเป็นผู้ตรวจ

    เมื่อเป็นอย่างงั้นฮอลแลนด์เองก็ไม่คิดจะคัดค้านอะไรเขารับหนังสือเล่มนั้นมาแล้วค่อยๆมองมันอย่างละเอียดโดยเริ่มจากเขี้ยวที่ฝังอยู่บนหน้าปกก่อน

    “เขี้ยวนี่...เก่าแก่มาก” ฮอลแลนด์วิเคราะห์แล้วพูดออกมา “เรื่องการย่อส่วนก็ทำได้ไม่เลว คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ต้องไม่ใช่มือสมัครเล่น”

    “มั่นใจรึเปล่า ว่าเป็นฝีมือของคนจริงๆ”

    “ท่านก็รู้ดีว่าการย่อส่วนน่ะเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของมนุษย์ถ้าไม่ใช่คนทำแล้วจะเป็นใครทำ”

    “สภาพล่ะ” บรามันถามขึ้นมาบ้าง

    “ดูดีจนเหลือเชื่อเลยล่ะ  ทั้งๆที่อายุของมันไม่น่าจะต่ำกว่าสองพันปีแน่ๆ” ฮอลแลนด์บอกแล้วพูดสรุปปิดท้าย “นี่เป็นเขี้ยวของดราเชนไม่ผิดแน่แถมน่าจะเป็นมังกรเก่าแก่ในยุคที่สองด้วย”

    “เขี้ยวของพวกมังกรชั้นสูงจริงๆงั้นรึนี่” บรามันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะสำหรับเขาแล้วนี่ถือเป็นเรื่องไม่ค่อยธรรมดาซักเท่าไหร่

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดราเชนในยุคที่สองด้วยแล้ว

    “งั้นก็เป็นอย่างงั้นจริงๆสินะ” ฮะการ์ถอนหายใจ

    “พูดอย่างกับว่าเจ้ารู้ว่ามันเป็นเขี้ยวของดราเชนอยู่แล้วเลยนะ ฮะการ์” บรามันพูด “ถึงกับเอามาตรวจสอบถึงที่นี่แสดงว่าพอจะมีชื่อในใจแล้วใช่มั้ยล่ะ”

    “แน่นอน มันออกมาจากปากของเจ้ามังกรตัวนั้นเองเลยด้วยซ้ำ” ฮะการ์ได้เคยอธิบายเรื่องราวกับทั้งสองคนนี้มาบ้างแล้วดังนั้นจึงไม่ต้องเท้าความอะไรให้มากมาย

    “งั้นดราเชนตัวไหนล่ะ”

    “มารามอส” ฮะการ์ตอบเรียบๆแต่มันทำให้ชายทั้งสองคนนั้นขมวดคิ้วแน่น

    “มารามอส...ท่านบอกว่ามารามอสงั้นเหรอ” ฮอลแลนด์ไม่ค่อยอยากชื่อหูของตัวเองที่ได้ยินซักเท่าไหร่

    “มารามอส บุตรีแห่งอิกนิสงั้นเหรอ ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องของเจ้านี่ซักเท่าไหร่ด้วยสิ” ชายชราอีกคนก็แปลกใจกับชื่อนี้เหมือนกันเพราะมันเป็นชื่อที่เขาไม่ค่อยจะได้ยินบ่อยนัก

    “มังกรประหลาดที่สร้างฐานอำนาจด้วยการสะกดจิตสิ่งมีชีวิตที่ถูกมองว่าชั้นต่ำในตอนนั้นอย่างมนุษย์มาเป็นทาส” ฮอลแลนด์พูดขึ้นพร้อมกับมองมันตาเป็นประกายพร้อมกับรอยยิ้มบางที่เผยออกมาให้เห็นชั่วครู่ “ไม่นึกว่าจะได้เห็นชิ้นส่วนจริงๆของมันกับตาตัวเอง”

    “หึ” ฮะการ์อุบหัวเราะจนคนทั้งห้องหันไปมองด้วยสีหน้างุนงง

    “ท่านหัวเราะทำไม” ฮอลแลนด์ถามอย่างข้องใจ

    “พอดีเห็นเจ้าทำท่าทางแบบนั้นแล้วก็รู้สึกว่าเวลาเกือบห้าสิบปีไม่ได้ทำให้เจ้าเปลี่ยนไปเลยนะ ฮอลแลนด์” ฮะการ์ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่ค่อยได้เห็นกันนัก “อายุเท่าไหร่แล้วนะเจ้าน่ะ...ห้าสิบสี่ใช่รึเปล่า แต่ดันทำท่าทางเหมือนเด็กพึ่งได้ของเล่นเลย”

    “เลิกทำเหมือนผมเป็นเด็กซักทีเถอะ ท่านฮะการ์ ผมไม่ได้อยู่ในสังกัดของตระกูลท่านอีกแล้วนะ”

    สังกัดสแตนฟอร์ด? คนๆนี้เคยอยู่ในสังกัดสแตนฟอร์ดเหรอ หญิงสาวคนเดียวในห้องนี้ถึงกับตกตะลึงเมื่อรู้ว่าคนใหญ่คนโตระดับนี้เคยอยู่ในสังกัดเดียวกับเธอด้วย

    “สำหรับข้าแล้วเจ้าก็แค่เด็กน้อยไม่รู้จักโตคนเดิมนั่นแหละนะ” ฮะการ์มองต่ำจนคนถูกว่าตีสีหน้าไม่พอใจออกมาชัดเจน

    “จะรำลึกความหลังกันอีกนานมั้ย อย่าลืมสิว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรอยู่” บรามันถอนหายใจแล้วพูดหยุดการข่มกันไปข่มกันมาของสองคนนี้ไว้

    “นั่นสินะ งั้นเลิกแกล้งเจ้านี่แค่นี้ก่อนละกัน”

    “จะยังไงก็เรื่องของพวกเจ้า ปัญหาสำคัญในตอนนี้คือเจ้าเขี้ยวนี่ถูกย่อส่วน พวกเจ้าเข้าใจความหมายใช่มั้ย”

    “อา...เจ้ากำลังจะบอกว่ามีมนุษย์อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สินะ” ฮะการ์เข้าใจสิ่งที่จะสื่ออยู่แล้ว ความจริงทุกคนในห้องก็พอจะเดาได้ไม่ยาก

    “ใช่ และจะเป็นใครก็ตามก็ต้องบอกว่าใจกล้ามากเลยล่ะ”

    “และที่สำคัญคือต้องฉลาดไม่เบาเลย ไม่รู้หรอกนะว่าใช้วิธีไหนแต่การที่พามังกรหนึ่งตัวหลบหนีไปสู่เวย์แลนด์ได้แบบนี้ ในยุคสมัยนี้...มันประทับใจมาก” ฮอลแลนด์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงไปด้วยความไคร่รู้

    “มาลองจำลองสถานการณ์กันดูดีมั้ย ถ้าเป็นพวกเจ้าจะทำยังไงล่ะ” บรามันยกนิ้วขึ้นเปิดประเด็น

    “อุปสรรคในการหลบหนีจากแอนทีคนั้นมีอยู่สามเรื่อง” ฮอลแลนด์ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วชี้ไปที่หญิงสาวที่อยู่คนเดียวในห้องนี้ “แม่สาวน้อยตรงนั้นน่ะ คิดว่ามีอะไรบ้างล่ะสามอย่างที่ว่าเนี่ย”

    “เอ๋? ฉันเหรอคะ” เนลลี่ที่พึ่งรู้ว่าตัวเองถูกเรียกชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยสีหน้ามึนงงแบบสุดๆเพราะเธอไม่คิดว่าเธอจะได้เข้าไปอยู่ในการสนทนาครั้งนี้ด้วย

    “ในห้องนี้มีผู้หญิงคนอื่นกันอีกเหรอ” ฮอลแลนด์พูดย้อน

    “เห็นสาวๆแล้วเพลาๆลงมั่งเถอะ ฮอลแลนด์” ฮะการ์ถอนหายใจในขณะที่บรามันกำลังหัวเราะชอบใจ

    “เอ่อ อย่างแรกน่าจะเป็นการตรวจตราของนักรบของปราสาทที่ประจำอยู่รอบชายแดนใช่มั้ยคะ” เนลลี่ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองทั้งๆที่เธอค่อนข้างมั่นใจในคำตอบพอสมควร

    “ใช่ นั่นคือข้อแรก”

    “ต่อมาก็น่าจะเป็นเรื่องของลิเวียธานสินะคะ” เนลลี่พูดชื่อบางอย่างขึ้นมา

    ลิเวียธาน คือ ชื่อของเหล่ามังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลหรือหากเรียกภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือมังกรทะเล ลิเวียธานเป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในการพันธสัญญาของเออร์มินและเหล่านักรบมังกรและพื้นที่ทะเลที่พวกมันอาศัยอยู่นั้นมีชื่อว่า...มิสทา

    พันธสัญญาในส่วนของลิเวียธานได้ระบุไว้ว่า มังกรทั้งหลายรวมถึงเหล่ามนุษย์จะไม่เข้าไปยุ่ยย่ามในอาณาเขตทะเลของลิเวียธานอย่างไม่จำเป็น

    นั่นหมายความว่ามนุษย์ทุกคนที่เข้าไปในเขตของมิสทาโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ได้รับอนุญาตินั้นย่อมมีสิทธิที่จะเป็นเหยื่อของเหล่ามังกรทะเลพวกนี้และนี่คือเหตุผลที่ทำไมมิสทาถึงได้ถูกเรียกว่าทะเลปีศาจเพราะเหล่ามนุษย์จากเวย์แลนด์แอบลองดีหลุดเข้าไปในเขตนั้นในอดีตย่อมมีชะตากรรมไม่ต่างจากอาหารอันโอชะ

    “แล้วอย่างที่สามล่ะ” ฮอลแลนด์ถามคำถามข้อสุดท้ายแต่เนลลี่กลับคิดข้อนี้ไม่ออกจนต้องปั้นหน้าหนักใจ

    “อุปสรรคข้อสุดท้ายคือหน้าด่านของชาวเวย์แลนด์” ฮะการ์เป็นคนตอบให้

    “หน้าด่านชาวเวย์แลนด์เหรอคะ?” เนลลี่ตีหน้างุนงงกับสิ่งที่ฮะการ์พูด

    “บอกไปจะดีเหรอครับ” ฮอลแลนด์หันไปหาบรามัน

    “ช่างเถอะ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรขนาดนั้นซักหน่อย ก็แค่เรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กันก็เท่านั้นเอง” บรามันโบกมือหยอยๆอย่างไม่ใส่ใจซึ่งความจริงฮะการ์เองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว

    “เนลลี่ เจ้าคิดว่าชาวเวย์แลนด์มองว่ามิสทาเป็นยังไงล่ะ”

    “พวกเขามองว่ามันเป็นทะเลปีศาจนี่ใช่มั้ยค่ะ ทั้งเรือและเครื่องบินไม่สามารถเดินทางข้ามผ่านไปได้” เนลลี่ตอบสั้นๆถึงแม้เธอจะยังไม่เคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าเครื่องบินซักครั้งในชีวิต

    “ใช่ หากไม่อยากเอาชีวิตไปทิ้งก็อย่าเดินทางไปมิสทา...นั่นเป็นสิ่งที่ชาวเวย์แลนด์เชื่อถือมาตลอดแต่เจ้าคิดเหรอว่าของแค่นั้นจะหยุดความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ได้”

    “หมายความว่ายังไงกันคะ”

    “มนุษย์น่ะไม่ว่าจะน่ากลัวหรือมีคำพูดอะไรใดๆมาตักเตือนก็มักจะแหกกฏเสมอ เพื่อหยุดยั้งคนพวกนั้นไม่ใช่แค่เตือนแต่ต้องมีป้องกันคนเข้ามาในมิสทาด้วย” ฮะการ์อธิบายอย่างใจเย็น “จากระยะร้อยกิโลเมตรห่างจากมิสทาจะมีป้อมตรวจตราที่ถูกสร้างขึ้นกลางทะเลและเรือตรวจตราจำนวนมากซึ่งในนั้นซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตรวจตราพวกนี้จะมีจากทั้งคนของแอนทีคและเวย์แลนด์และทั้งหมดเกือบกินดวงตามังกรไปแล้ว”

    “เอ๊ะ? มีคนจากเวย์แลนด์ด้วยเหรอคะ ไม่ใช่ว่าคนที่นั่นไม่รู้เรื่องของแอนทีคหรอกเหรอ” เนลลี่ก็รู้อยู่ว่าแอนทีคกับเวย์แลนด์นั้นเองก็ใช่ว่าจะแยกขาดจากกันแบบสมบูรณ์ ทั้งสองทวีปนี้ยังมีการติดต่อกันอยู่ตลอดเพียงแต่ประชาชนของเวย์แลนด์ไม่รู้เรื่องนี้เท่านั้นเอง

    แต่เธอไม่นึกว่าจะมีการใช้คนของเวย์แลนด์ในการเฝ้าตรวจตรามิสทาแบบนี้ด้วย

    “ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เราเริ่มทำแบบนี้เมื่อร้อยกว่าปีก่อนเพราะเทคโนโลยีของเวย์แลนด์สามารถใช้ช่วยในการตรวจสอบมังกรได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าสิ่งที่เรียกกันว่าเรดาร์หรือคลื่นโซน่า ถึงเครื่องจักรที่ไร้พลาน่าจะไม่สามารถมองเห็นมังกรได้แต่พวกมันก็ยังตรวจจับสัญญาณได้จากคลื่นความร้อนหรืออะไรหลายๆอย่าง” ฮะการ์พูดชื่อบางอย่างที่เนลลี่ไม่รู้จักออกมารัวๆ

     “ยิ่งเร็วๆนี้ยิ่งมีการสร้างโดรนตรวจตราซึ่งมีเซนเซอร์ตรวจจับความร้อนคอยตรวจตราในบริเวณมิสทาอีกเพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ในการลับลอบข้ามทวีปจึงต่ำมาก”

    “โดรน? มันคืออะไรเหรอคะ”

    “อากาศยานไร้คนขับเธอไม่ต้องสนใจมันเยอะหรอก” ฮอลแลนด์พูดปัดๆ

    “ล...แล้วถ้าเทคโนโลยีพวกนั้นมันสะดวกจริงๆ ทำไมเราถึงไม่นำเข้ามาใช้ในเวย์แลนด์ด้วยล่ะค่ะ”

    “เราก็รับเข้ามาแต่ไม่ได้รับเข้ามาทั้งหมด ถ้าเจ้าเคยศึกษาเรื่องพันธสัญญาของเออร์มินก็น่าจะเข้าใจนะ...เซ็นทรัลน่ะไม่ต้องการให้เวย์แลนด์กับแอนทีคมีความไกล้ชิดกันเกินไปเนื่องจากพันธสัญญาและที่สำคัญที่สุดก็คือเทคโนโลยีเหล่านั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนักหรอกหากเจอกับมังกรที่ทรงอำนาจจริงๆ” บรามันเป็นคนตอบคำถามข้อนี้ให้

    ใช่ ข้อห้ามทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลเดียว...พันธสัญญาของเออร์มิน

    “เรื่องแบบนี้มาบอกฉันจะดีเหรอคะ” เนลลี่ยิ้มเจื๋อนๆ

    “ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรเพราะนี่มันไม่ใช่ความลับอะไรซักหน่อย ฉันว่าเจ้านี่ก็น่าจะบอกหลานชายของมันบ้างแล้ว” บรามันชี้นิ้วใส่ฮะการ์ซึ่งเจ้าตัวก็ยักไหล่เบาๆเหมือนกับกำลังจะบอกว่าใช่

    “ในจำนวนทั้งหมดนี้ผมบอกได้เลยว่าหน้าด่านของชาวเวย์แลนด์คือขั้นตอนที่ยากที่สุด ทั้งตัวปราสาทและลิเวียธานนั้นยังพอจะลักลอบผ่านไปได้แต่หน้าด่านนี้เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ”

    “งั้นถ้าจะคิดก็ต้องคิดจากเรื่องนี้เป็นสำคัญสินะ” บรามันพูดสรุป  “แต่จะละเลยเรื่องลิเวียธานกับการตรวจตราของปราสาทไปก็คงไม่ดีเพราะถ้าหากคนที่ทำแบบนี้เป็นมนุษย์ที่รู้วิธีย่อส่วนชิ้นส่วนมังกรแล้วล่ะก็ มันก็เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนในสังคมนักรบมังกรของพวกเรานี่แหละ”

    “วิธีย่อส่วนนั้นเป็นงานที่แม้จะศึกษาได้เองแต่ก็ใช้เวลาในการฝึกฝนมาก ข้าคิดว่าคนที่ทำแบบนั้นได้มีไม่เยอะหรอก”

    “ข้าจะลองสืบสวนคนในดูให้ เรื่องนั้นไม่น่าจะยากมากนัก” บรามันยืนยันว่าเขาจะรับงานตรงนี้เอง “พวกเจ้าสองคนสืบอีกสองเรื่องที่เหลือก็แล้วกัน”

    “ให้ผมทำงานกับตาลุงนี่น่ะนะ...ท่าทางจะช่วยไม่ได้สินะ” ฮอลแลนด์พูดเหมือนไม่ค่อยอยาก ชายวัยกลางคนคาบบุหรี่แล้วสูดควันเข้าไปเต็มปอดอย่างปลงๆ “งั้นเรื่องต่อไปก็เป็นในหนังสือนี่สินะ”

    ฮอลแลนด์เปิดหนังสือเล่มนั้นออกแล้วพลิกไปที่หน้าๆหนึ่งแบบสุ่มๆ ภาพของมังกรตัวนึงก็ลอยออกมาจากหน้ากระดาษ

    “นี่มัน...น่าสนใจมาก” ฮอลแลนด์เบิกตากว้างแล้วมองมันด้วยความสนอกสนใจ

    “หนังสือเล่มนี้น่ะจะแสดงภาพมายาฉายออกมาวันละราวๆสิบนาที” ฮะการ์อธิบายคุณสมบัติของหนังสือเล่มนั้น

    ฮอลแลนด์ลองพลิกหน้ากระดาษแผ่นต่อไปก็พบว่าหน้าต่อไปนั้นดันไม่มีภาพฉายออกมา มันแทบไม่ต่างกับหน้ากระดาษธรรมดาๆ เขาจึงเปลี่ยนกลับไปที่หน้าเดิมภาพก็ฉายออกมาอีกครั้ง

    “ภาพพวกนั้นจะแสดงออกมาได้วันละเพียงหนึ่งหน้าเท่านั้นโดยหน้าที่ฉายภาพจะเป็นหน้าแรกที่เปิดและต้องการอยากดูเท่านั้น” ฮะการ์อธิบายต่อเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของฮะการ์

    “ต้องการอยากดูงั้นเหรอ?” ฮอลแลนด์เลิกคิ้ว “หมายความว่าหนังสือเล่มนี้เปลี่ยนผันความสามารถของไปมันตามความรู้สึกของผู้ถือเหรอ”

    “ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”

    “นี่คงเป็นพลาน่าพิเศษของมารามอสสินะ” ฮอลแลนด์กล่าวเบาๆ “ถึงผมจะรู้อยู่แล้วว่ามังกรตัวนี้เป็นมังกรที่ประหลาดแต่ก็ไม่คิดว่าพลาน่าพิเศษของมันจะประหลาดขนาดนี้”

    “เจ้าหมายถึงภาพมายาที่เจ้าเห็นนี่งั้นเหรอ?” บรามันถาม

    “ครับ จากตำนานของมารามอสนั้น คุณสมบัติพลาน่าพิเศษของมารามอสน่าจะมีอยู่สองอย่าง” ฮอลแลนด์พูดขึ้น “อย่างแรกคือการสร้างภาพมายาเคยมีคนกล่าวไว้ว่ามารามอสได้สร้างภาพมายาขนาดใหญ่เท่าเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งได้และอย่างที่สองคือการสะกดจิตซึ่งบันทึกตรงนี้มีบางอย่างที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน”

    “อะไรที่น่าสนใจงั้นเหรอ” ฮะการ์ถามขึ้นบ้างเหมือนกัน

    “มารามอสเคยสะกดจิตมนุษย์หนึ่งพันคนให้สร้างวิหารขนาดใหญ่ไว้คอยบูชาเธอและทำให้ตัวเองเป็นดั่งเทพเจ้าของพวกเขาเหล่านั้น ถ้าเธอต้องการอย่างงั้นจริงๆทำไมไม่สะกดจิตสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าอย่างมังกรซะเลยล่ะ ทำไมถึงได้เลือกที่จะควบคุมสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างมนุษย์”

    “การที่เจ้าพูดขึ้นมาแบบนี้ แสดงว่าเจ้าคงมีข้อสันนิษฐานบ้างแล้วสินะ” ฮะการ์เลิกคิ้วซึ่งฮอลแลนด์เองก็พยักหน้ารับ

    “ข้อสันนิษฐานของผมคือเธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้”

    “ไม่สามารถ?” ชายชราทั้งสองขมวดคิ้ว

    “ลองคิดดูสิว่าข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างมนุษย์กับมังกรคืออะไร” ฮอลแลนด์ยักไหล่พร้อมกับถามคำถามลองเชิงออกไป

    “อย่างนี้นี่เอง พลาน่าสินะ” ฮะการ์รู้คำตอบในทันที

    “ใช่ พลาน่าคือสิ่งที่สร้างความแตกต่างในข้อนั้น ผมเชื่อว่าการสะกดจิตของมารามอสคงใช้ได้กับเพียงมนุษย์ที่ไม่ได้มีพลาน่าอยู่ในตัวเท่านั้น”

    “อย่างนี้นี่เอง ก็พอฟังขึ้นอยู่นะ” บรามันพยักหน้าเห็นด้วย “ว่าแต่ก่อนที่เราจะรื้อฟื้นประวัติศาสตร์กัน เรามาพูดเรื่องสำคัญจริงๆกันก่อนดีมั้ย พวกเจ้าคงรู้ใช่มั้ยว่าข้าหมายถึงเรื่องอะไร”

    “เรื่องที่เจ้าเขี้ยวนี่มีพลาน่าพิเศษของมารามอสแฝงมาสินะ” ฮะการ์ค่อนข้างมั่นใจว่าบรามันกำลังพูดถึงเรื่องนี้

    “ใช่ เมื่อมังกรตายลงน่ะ พลาน่าพิเศษของมันจะไหลลงไปกองรวมที่หัวใจ” บรามันเอามือทาบอก “การทีเขี้ยวนี่มีพลาน่าพิเศษแฝงมาได้นั้นมีเหตุผลอยู่อย่างเดียว”

    ทุกๆคนนิ่งเงียบไปหมดเพราะสิ่งที่พูดนั่นทำให้พวกเขาถึงกับขนลุกซู่ไปตามๆ

    “หัวใจของมารามอสยังคงอยู่” ฮะการ์พูดสิ่งที่เขาไม่ค่อยอยากให้มันเป็นจริงซักเท่าไหร่ในตอนนี้ออกมา

    “ใช่ เขี้ยวนี่คงจะถูกใช้เป็นสื่อกลางในการส่งถ่ายพลาน่าของมนุษย์ ถ้างั้นก็หมายความง่ายๆว่า...”

    “มีมนุษย์บางคนรับพลาน่าพิเศษจากมารามอสไปอย่างงั้นเหรอ” ฮอลแลนด์ต่อคำพร้อมนึกถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดออกมา “อย่างนี้นี่เอง ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงก็คงบ่งบอกได้ว่าทำไมเขี้ยวอันนี้ถึงแสดงคุณสมบัติของพลาน่าพิเศษออกมาได้ ทางเดียวที่จะอธิบายคือการมีคนที่มีพลาน่าแบบเดียวกันควบคุมและตั้งคำสั่งกับมัน”

    “งั้นภาพมายาที่แสดงขึ้นมานี่...” ฮะการ์มองภาพของมังกรที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ

    “อา คงเป็นภาพมายาที่มนุษย์คนนั้นสร้างขึ้นล่ะนะ บางทีภาพพวกนี้คงมาจากจินตนาการของเขาเอง ส่วนที่ปรากฏได้วันละหน้าแล้วแสดงได้เฉพาะหน้าที่อยากดูเขาก็คงตั้งคำสั่งให้เป็นแบบนั้นเองเพราะพลาน่าที่อยู่ในเขี้ยวมีปริมาณจำกัดหากมีการสร้างภาพบ่อยๆคงจะทำให้พลาน่าอยู่ในเขี้ยวหมดเร็วขึ้นเผลอๆถ้าเป็นแบบนั้นคงฉายได้แค่วันละนาทีด้วยซ้ำ เขาคงไม่ต้องการแบบนั้นถึงได้ทำแบบนี้และจะได้เผื่อเวลาให้เขี้ยวฟื้นฟูพลาน่าด้วย”

    “พลาน่าของดราเชนไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายของใครๆจะสามารถรับได้ คนพรรค์นั้นต้องเป็นผู้ถูกเลือกเท่านั้น” ฮะการ์พูดขึ้น “ว่าแต่ส่งมังกรออกไปสู่เวย์แลนด์พร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มีเขี้ยวของมังกรโบราณฝังอยู่ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่นะ”

    “ข้ารู้แค่อย่างเดียว...ไอ้ผู้ถูกเลือกคนนั้นก็กำลังทำอะไรบ้าๆที่สร้างรอยร้าวให้กับพันธสัญญาของเออร์มิน” บรามันพูดเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยอำนาจ “มันจะเป็นใครหรือต้องการอะไรยังไงก็ช่าง ยังไงเราก็จำเป็นต้องหยุดมันลงเดี๋ยวนี้”

    “งั้นอย่างแรกที่ต้องทำก็คือการหาตัวของเจ้านี่สินะและวิธีเดียวที่จะสืบได้ก็คงเป็นการค้นหาก่อนว่าเขาพามังกรหนึ่งตัวออกไปสู่เวย์แลนด์ได้ยังไง” ฮอลแลนด์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หลังจากนั้นเราถึงจะค่อยหาร่องรอยที่สาวไปถึงตัวเขาได้”

    “ตามกำหนดการเดิมที่เราคุยกันไว้นะ ฮะการ์ ข้าจะตรวจสอบคนในองกรณ์และปราสาทต่างๆ เจ้ากับฮอลแลนด์ร่วมมือกันตรวจสอบเรื่องลิเวียธานกับหน้าด่านของเวย์แลนด์”

    “ให้ตายเถอะ ทำไมมนุษย์เราถึงอยู่กันอย่างสงบๆไม่ได้กันนะ” ฮอลแลนด์เกาหัวอย่างหงุดหงิด

    “งั้นก็หมดเรื่องแล้วสินะ เนลลี่...เรากลับกันได้แล้ว” ฮะการ์หันไปบอกหญิงสาวที่กำลังนิ่งอึ้งจากการได้ฟังบทสนทนาอันน่าเหลือเชื่อ

    “เดี๋ยวก่อนฮะการ์ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องถามก่อน”

    “เรื่องอะไรอีกล่ะ?

    “เรื่องของเด็กจากเวย์แลนด์ที่เจ้าพามาที่นี่ด้วยไง ข้าได้ข่าวแว่วมาว่าเจ้าให้เขาเป็นนักรบฝึกหัดงั้นเหรอ” บรามันกอดอกถาม ฮอลแลนด์ที่ฟังอยู่ตีสีหน้าอึ้งไปชั่วขณะกับคำพูดนั้น

    “เรื่องจริงเหรอ ท่านฮะการ์” ฮอลแลนด์หันไปถามด้วยสีหน้าข้องใจ

    “ก็ตามนั้นแหละนะ ข้าพาเขาไปฝึกที่เวสปาร์ทาวเวอร์แล้วด้วย” ฮะการ์พูดอย่างไม่ใส่ใจ

    “คิดบ้าอะไรถึงทำแบบนั้นไปน่ะ”

    “หึ คิดถึงวันวานเก่าๆนักรึไงฮอลแลนด์” ฮะการ์แสยะยิ้มกว้างจนฮอลแลนด์ต้องกัดฟันแน่น ไม่ว่าเมื่อไหร่ชายคนนี้ก็เป็นคนที่สร้างความหงุดหงิดให้คนอื่นได้อย่างไม่มีใครเทียบได้

    “ถึงตอนที่เจ้าพาเข้ามาแอนทีค ข้าจะบอกให้เจ้ารับผิดชอบดูแลเขาได้แต่การทำอะไรๆมันก็ต้องมีขอบเขตบ้างนะ” ชายชราอีกคนถอนหายใจ “อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าทำแบบนี้กันล่ะ”

    “ข้ามีเหตุผลของข้าก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีหรอก”

    “เจ้ายังไม่เลิกนิสัยชอบเก็บอะไรไว้ในใจอีกแล้วเหรอ” บรามันยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอีกครั้ง ฮะการ์เพียงยิ้มบางๆก่อนจะยื่นมือไปข้อหนังสือปริศนาเล่มนั้นจากฮอลแลนด์คืน

    “งั้นข้าลาล่ะนะ” ฮะการ์โบกมือเบาๆกแล้วเดนิอกจากห้องไปโดยมีเนลลี่เดินตามไปติดๆ

    ฮะการ์เข้าใจดีว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ระดับที่หลายสิบปีจะมีซักครั้งแต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องทั้งหมดนี่จะเป็นชนวนให้เหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เท่าที่โลกเคยมีมา

    บัดนี้กระจกแก้วใสที่โอบอุ้มโลกด้วยความสงบสุขกำลังค่อยๆพังทลายลง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×