คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Ep.1 Chapter 15 - สภาสูงแห่งเซ็นทรัล
Chapter 15
High Council of the Central
สภาสูงแห่งเซ็นทรัล
อารันคาทรัช คือ ชื่อของสถานที่อันทรงอำนาจที่สุดในแอนทีค
มันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในใจกลางของดราโกเนีย
เมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเปรียบดั่งเมืองหลวงของแอนทีคซึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวทวีปแห่งนี้
และยังเป็นสถานที่ที่เปรียบดังศูนย์บัญชาการใหญ่ขององกรณ์ที่ชื่อว่า
เซ็นทรัล อีกด้วย
“ท่านฮะการ์คะ...พาฉันมาที่นี่จะดีจริงๆเหรอคะ”
“มาถึงแล้วยังจะบ่นอะไรอีกล่ะ เนลลี่
ที่สำคัญไม่ใช่ว่าเจ้ามาที่อารันคาทรัชครั้งแรกซักหน่อย” ฮะการ์พูดเรียบๆ พวกเขาทั้งสองคนกำลังเดินอยู่บนทางเดินยาวเหยียดที่เต็มไปของหรูหราประดับประดาเต็มทางในระดับที่เรียกได้ว่าทุกอย่างที่อยู่ในปราสาทสแตนฟอร์ดดูกระจอกไปเลย
ที่แห่งนี้คืออาคารส่วนในสุดของอารันคาทรัชซึ่งเป็นสถานที่หวงห้ามสำหรับบุคคลทั่วไป
เป็นสถานที่ที่มีเพียงคนระดับสุดยอดเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาได้
“ต...แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเคยเข้ามาถึงด้านในนี้นี่คะ
ท่านฮะการ์ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องพาฉันมาเลยนี่คะ
ท่านเองก็ขี่มังกรมาเองก็ได้นี่”
เนลลี่หันซ้ายๆหันขวาพร้อมกับพูดเบาๆเหมือนกระซิบเพราะให้ตายยังไงเธอก็ไม่กล้าส่งเสียงดังในที่ๆให้ความรู้สึกชั้นสูงแบบนี้
“ก็กว่าจะเดินทางมาที่นี่ตั้งหลายชั่วโมง
ฉันก็ไม่ใช่หนุ่มๆแล้วจะให้มานั่งบังคับมังกรตั้งนานแบบนั้นมันก็รู้สึกขี้เกียจน่ะ
ก็ว่าเลยหาคนขี่มังกรให้แทนมันซะเลยซึ่งเจ้าก็ดันเป็นไม่กี่คนในปราสาทเราที่ขี่มังกรได้”
ฮะการ์พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆจามปกติของเขาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร
“นั่น...คือเหตุผลที่พาฉันมาเหรอคะ?”
เนลลี่กะพริบตาปริบๆจริงอยู่ที่ระหว่างทางเธอเป็นคนบังคับมังกรเองทั้งหมดแต่เหตุผลแค่นั้นถึงกับพาเธอมาที่นี่นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ก็แค่นั้นแหละ จะมีอะไรมากมาย” ฮะการ์ตอบสั้นๆ
“แต่คนอย่างฉันไม่ควรจะเข้ามาในที่แบบนี้นะคะ”
“อย่าไปเกร็งกับที่แบบนี้มันนักเลย
ข้าเป็นผู้อาวุโสของแอนทีคเพราะงั้นที่นี่มันก็ไม่ต่างอะไรจากสวนหลังบ้านของข้าหรอก
ข้าจะพาคนของข้ามามันจะทำไมนักหนา ถ้ามีใครมาบ่นก็ให้มันมาบ่นข้านี่”
เนลลี่ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเพราะตำแหน่งที่เรียกว่าผู้อาวุโสนั้นทั่วทั้งโลกมีเพียงแค่แปดคนเท่านั้น
“ถึงแล้ว”
ฮะการ์พูดขึ้นเมื่อเขามองเห็นประตูห้องที่อยู่สุดทางของทางเดินอันว่างเปล่าและหรูหรานี่
ฮะการ์บิดลูกบิดประตูอย่างไม่ลังเล
เนลลี่กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอที่สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ทรงคุณค่าและชั้นสูงที่สุดของโลกนี้
ห้องของสภาสูงแห่งเซ็นทรัล
ด้านในห้องนั้นเป็นมีชายสองคนนั่งอยู่ทั้งบนโซฟาหนุ่มที่ทำจากหนังสัตว์
โดยชายคนหนึ่งเป็นชายชราที่มีผมขาวโพลนทั้งหัวส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่คาบบุหรี่มวนโตไว้ในปากโดยทั้งสองคนนั้นหันมาที่ผู้มาใหม่ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา
“มาได้ซักทีนะ คุณเจ้าบ้านสแตนฟอร์ด”
ชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“เลิกทำเสียงแดกดันได้แล้ว บรามัน
ทำอารมณ์ขึ้นมากๆเดี๋ยวก็ตายไวหรอก”
“ท่านฮะการ์ที่นี่คือสถานที่ชั้นสูงของโลก
ระวังคำพูดคำจาหน่อย” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก
“กล้าพูดในขณะที่พ่นควันผิดออกจากปากเนี่ยนะ ข้าขอเตือนเจ้าอีกคนแล้วกันถ้าไม่อยากตายไวก็เพลาๆมันลงหน่อยเถอะ”
“ท่านไม่จำเป็นต้องแนะนำอะไรผมหรอก”
“หึ เจ้าเด็กน้อยในวันนั้น ปากกล้าขึ้นเยอะเลยนี่
ฮอลแลนด์” ฮะการ์ยิ้มบาง
“นั่นมันนานเมื่อเกือบห้าสิบปีมาแล้วครับ
เลือกย้อนอดีตกันดีกว่า” ฮอลแลนด์ไม่แม้แต่จะมองหน้าฮะการ์ด้วยซ้ำ
“แล้วนี่ใครกัน?” บรามันถามพร้อมกับชี้นิ้วไปทางเนลลี่ที่ยืนเงียบๆอยู่ด้านหลังจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง
“ค...คือ” เนลลี่เสียงสั่น บุคคลตรงหน้าของเธอคนนี้คือหนึ่งในบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดของเซ็นทรัล
“คนจากของปราสาทข้าเอง”
“ปัญหาคือทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ต่างหาก” บรามันชี้นิ้วไปที่หญิงสาวที่กำลังมือสั่นด้วยความกังวล
“เธอมาในฐานะผู้ติดตามของข้า” ฮะการ์ยักไหล่
“แล้วใครเป็นคนอนุญาต หา?” บรามันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ถึงเขาจะพอเดาๆคำตอบได้แล้วก็เถอะ
“ก็ข้านี่แหละ เจ้ามีปัญหาอะไรรึเปล่า”
ฮะการ์ตอบเรียบๆอย่างไม่ใส่ใจ บรามันเองก็ได้แต่ก่ายหน้าผากเพราะเขาก็เพิ่งจะคิดออกว่าเจ้าชายชราตรงหน้านี้เป็นคนตัดสินใจอะไรตามใจตัวเองขนาดไหน
“งั้นก็ช่างเถอะ
พูดอะไรไปยังไงเจ้าก็ไม่ฟังอยู่แล้วนี่” บรามันรู้สึกปลง
“ว่าแต่อย่างน้อยเจ้าคงไม่ลืมใช่มั้ยว่าเราเรียกเจ้ามาทำไม”
“อา ไม่ลืมหรอก”
ฮะการ์ส่งสายตาไปทางเนลลี่ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้ารับแล้วล้วงหยิบของบางอย่างในกระเป๋าออกมายื่นให้ฮะการ์อย่างว่องไว
หนังสือสันสีแดงที่มีเขี้ยวของมังกรฝังอยู่
“เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี่ฮอลแลนด์
ลองตรวจสอบดูสิ” ฮะการ์ยื่นหนังสือให้ชายวัยกลางคนที่กำลังสูบบุหรี่มวนใหญ่อยู่
“ผมไม่ใช่นักรบมังกรอีกต่อไปแล้ว
การสัมผัสพลาน่าไม่ได้ดีเท่าไหร่นักหรอกให้พวกคนหนุ่มๆที่ดวงใจมังกรยังคุกรุ่นอยู่เช็คให้ไม่ดีกว่าเหรอ”
“ให้เจ้าพวกที่รู้จักดราเชนแค่ไม่ถึงสิบตัวตรวจสอบอะนะ
ข้าว่าให้เจ้าตรวจสอบดูดีมีภาษีมากกว่าเป็นไหนๆ” ฮะการ์ยังคงยืนยันที่จะให้ชายตรงหน้าเป็นผู้ตรวจ
เมื่อเป็นอย่างงั้นฮอลแลนด์เองก็ไม่คิดจะคัดค้านอะไรเขารับหนังสือเล่มนั้นมาแล้วค่อยๆมองมันอย่างละเอียดโดยเริ่มจากเขี้ยวที่ฝังอยู่บนหน้าปกก่อน
“เขี้ยวนี่...เก่าแก่มาก” ฮอลแลนด์วิเคราะห์แล้วพูดออกมา “เรื่องการย่อส่วนก็ทำได้ไม่เลว
คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ต้องไม่ใช่มือสมัครเล่น”
“มั่นใจรึเปล่า ว่าเป็นฝีมือของคนจริงๆ”
“ท่านก็รู้ดีว่าการย่อส่วนน่ะเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของมนุษย์ถ้าไม่ใช่คนทำแล้วจะเป็นใครทำ”
“สภาพล่ะ” บรามันถามขึ้นมาบ้าง
“ดูดีจนเหลือเชื่อเลยล่ะ ทั้งๆที่อายุของมันไม่น่าจะต่ำกว่าสองพันปีแน่ๆ”
ฮอลแลนด์บอกแล้วพูดสรุปปิดท้าย “นี่เป็นเขี้ยวของดราเชนไม่ผิดแน่แถมน่าจะเป็นมังกรเก่าแก่ในยุคที่สองด้วย”
“เขี้ยวของพวกมังกรชั้นสูงจริงๆงั้นรึนี่” บรามันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะสำหรับเขาแล้วนี่ถือเป็นเรื่องไม่ค่อยธรรมดาซักเท่าไหร่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดราเชนในยุคที่สองด้วยแล้ว
“งั้นก็เป็นอย่างงั้นจริงๆสินะ” ฮะการ์ถอนหายใจ
“พูดอย่างกับว่าเจ้ารู้ว่ามันเป็นเขี้ยวของดราเชนอยู่แล้วเลยนะ
ฮะการ์” บรามันพูด
“ถึงกับเอามาตรวจสอบถึงที่นี่แสดงว่าพอจะมีชื่อในใจแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“แน่นอน มันออกมาจากปากของเจ้ามังกรตัวนั้นเองเลยด้วยซ้ำ”
ฮะการ์ได้เคยอธิบายเรื่องราวกับทั้งสองคนนี้มาบ้างแล้วดังนั้นจึงไม่ต้องเท้าความอะไรให้มากมาย
“งั้นดราเชนตัวไหนล่ะ”
“มารามอส”
ฮะการ์ตอบเรียบๆแต่มันทำให้ชายทั้งสองคนนั้นขมวดคิ้วแน่น
“มารามอส...ท่านบอกว่ามารามอสงั้นเหรอ” ฮอลแลนด์ไม่ค่อยอยากชื่อหูของตัวเองที่ได้ยินซักเท่าไหร่
“มารามอส บุตรีแห่งอิกนิสงั้นเหรอ
ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องของเจ้านี่ซักเท่าไหร่ด้วยสิ” ชายชราอีกคนก็แปลกใจกับชื่อนี้เหมือนกันเพราะมันเป็นชื่อที่เขาไม่ค่อยจะได้ยินบ่อยนัก
“มังกรประหลาดที่สร้างฐานอำนาจด้วยการสะกดจิตสิ่งมีชีวิตที่ถูกมองว่าชั้นต่ำในตอนนั้นอย่างมนุษย์มาเป็นทาส”
ฮอลแลนด์พูดขึ้นพร้อมกับมองมันตาเป็นประกายพร้อมกับรอยยิ้มบางที่เผยออกมาให้เห็นชั่วครู่
“ไม่นึกว่าจะได้เห็นชิ้นส่วนจริงๆของมันกับตาตัวเอง”
“หึ” ฮะการ์อุบหัวเราะจนคนทั้งห้องหันไปมองด้วยสีหน้างุนงง
“ท่านหัวเราะทำไม” ฮอลแลนด์ถามอย่างข้องใจ
“พอดีเห็นเจ้าทำท่าทางแบบนั้นแล้วก็รู้สึกว่าเวลาเกือบห้าสิบปีไม่ได้ทำให้เจ้าเปลี่ยนไปเลยนะ
ฮอลแลนด์” ฮะการ์ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่ค่อยได้เห็นกันนัก
“อายุเท่าไหร่แล้วนะเจ้าน่ะ...ห้าสิบสี่ใช่รึเปล่า แต่ดันทำท่าทางเหมือนเด็กพึ่งได้ของเล่นเลย”
“เลิกทำเหมือนผมเป็นเด็กซักทีเถอะ ท่านฮะการ์
ผมไม่ได้อยู่ในสังกัดของตระกูลท่านอีกแล้วนะ”
‘สังกัดสแตนฟอร์ด? คนๆนี้เคยอยู่ในสังกัดสแตนฟอร์ดเหรอ’
หญิงสาวคนเดียวในห้องนี้ถึงกับตกตะลึงเมื่อรู้ว่าคนใหญ่คนโตระดับนี้เคยอยู่ในสังกัดเดียวกับเธอด้วย
“สำหรับข้าแล้วเจ้าก็แค่เด็กน้อยไม่รู้จักโตคนเดิมนั่นแหละนะ”
ฮะการ์มองต่ำจนคนถูกว่าตีสีหน้าไม่พอใจออกมาชัดเจน
“จะรำลึกความหลังกันอีกนานมั้ย
อย่าลืมสิว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรอยู่”
บรามันถอนหายใจแล้วพูดหยุดการข่มกันไปข่มกันมาของสองคนนี้ไว้
“นั่นสินะ งั้นเลิกแกล้งเจ้านี่แค่นี้ก่อนละกัน”
“จะยังไงก็เรื่องของพวกเจ้า
ปัญหาสำคัญในตอนนี้คือเจ้าเขี้ยวนี่ถูกย่อส่วน พวกเจ้าเข้าใจความหมายใช่มั้ย”
“อา...เจ้ากำลังจะบอกว่ามีมนุษย์อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สินะ”
ฮะการ์เข้าใจสิ่งที่จะสื่ออยู่แล้ว ความจริงทุกคนในห้องก็พอจะเดาได้ไม่ยาก
“ใช่ และจะเป็นใครก็ตามก็ต้องบอกว่าใจกล้ามากเลยล่ะ”
“และที่สำคัญคือต้องฉลาดไม่เบาเลย ไม่รู้หรอกนะว่าใช้วิธีไหนแต่การที่พามังกรหนึ่งตัวหลบหนีไปสู่เวย์แลนด์ได้แบบนี้
ในยุคสมัยนี้...มันประทับใจมาก” ฮอลแลนด์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงไปด้วยความไคร่รู้
“มาลองจำลองสถานการณ์กันดูดีมั้ย
ถ้าเป็นพวกเจ้าจะทำยังไงล่ะ” บรามันยกนิ้วขึ้นเปิดประเด็น
“อุปสรรคในการหลบหนีจากแอนทีคนั้นมีอยู่สามเรื่อง”
ฮอลแลนด์ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วชี้ไปที่หญิงสาวที่อยู่คนเดียวในห้องนี้ “แม่สาวน้อยตรงนั้นน่ะ
คิดว่ามีอะไรบ้างล่ะสามอย่างที่ว่าเนี่ย”
“เอ๋? ฉันเหรอคะ”
เนลลี่ที่พึ่งรู้ว่าตัวเองถูกเรียกชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยสีหน้ามึนงงแบบสุดๆเพราะเธอไม่คิดว่าเธอจะได้เข้าไปอยู่ในการสนทนาครั้งนี้ด้วย
“ในห้องนี้มีผู้หญิงคนอื่นกันอีกเหรอ”
ฮอลแลนด์พูดย้อน
“เห็นสาวๆแล้วเพลาๆลงมั่งเถอะ ฮอลแลนด์”
ฮะการ์ถอนหายใจในขณะที่บรามันกำลังหัวเราะชอบใจ
“เอ่อ อย่างแรกน่าจะเป็นการตรวจตราของนักรบของปราสาทที่ประจำอยู่รอบชายแดนใช่มั้ยคะ”
เนลลี่ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองทั้งๆที่เธอค่อนข้างมั่นใจในคำตอบพอสมควร
“ใช่ นั่นคือข้อแรก”
“ต่อมาก็น่าจะเป็นเรื่องของลิเวียธานสินะคะ”
เนลลี่พูดชื่อบางอย่างขึ้นมา
ลิเวียธาน คือ
ชื่อของเหล่ามังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลหรือหากเรียกภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือมังกรทะเล
ลิเวียธานเป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในการพันธสัญญาของเออร์มินและเหล่านักรบมังกรและพื้นที่ทะเลที่พวกมันอาศัยอยู่นั้นมีชื่อว่า...มิสทา
พันธสัญญาในส่วนของลิเวียธานได้ระบุไว้ว่า
มังกรทั้งหลายรวมถึงเหล่ามนุษย์จะไม่เข้าไปยุ่ยย่ามในอาณาเขตทะเลของลิเวียธานอย่างไม่จำเป็น
นั่นหมายความว่ามนุษย์ทุกคนที่เข้าไปในเขตของมิสทาโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ได้รับอนุญาตินั้นย่อมมีสิทธิที่จะเป็นเหยื่อของเหล่ามังกรทะเลพวกนี้และนี่คือเหตุผลที่ทำไมมิสทาถึงได้ถูกเรียกว่าทะเลปีศาจเพราะเหล่ามนุษย์จากเวย์แลนด์แอบลองดีหลุดเข้าไปในเขตนั้นในอดีตย่อมมีชะตากรรมไม่ต่างจากอาหารอันโอชะ
“แล้วอย่างที่สามล่ะ” ฮอลแลนด์ถามคำถามข้อสุดท้ายแต่เนลลี่กลับคิดข้อนี้ไม่ออกจนต้องปั้นหน้าหนักใจ
“อุปสรรคข้อสุดท้ายคือหน้าด่านของชาวเวย์แลนด์”
ฮะการ์เป็นคนตอบให้
“หน้าด่านชาวเวย์แลนด์เหรอคะ?” เนลลี่ตีหน้างุนงงกับสิ่งที่ฮะการ์พูด
“บอกไปจะดีเหรอครับ” ฮอลแลนด์หันไปหาบรามัน
“ช่างเถอะ
มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรขนาดนั้นซักหน่อย ก็แค่เรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กันก็เท่านั้นเอง”
บรามันโบกมือหยอยๆอย่างไม่ใส่ใจซึ่งความจริงฮะการ์เองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว
“เนลลี่
เจ้าคิดว่าชาวเวย์แลนด์มองว่ามิสทาเป็นยังไงล่ะ”
“พวกเขามองว่ามันเป็นทะเลปีศาจนี่ใช่มั้ยค่ะ
ทั้งเรือและเครื่องบินไม่สามารถเดินทางข้ามผ่านไปได้” เนลลี่ตอบสั้นๆถึงแม้เธอจะยังไม่เคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าเครื่องบินซักครั้งในชีวิต
“ใช่
หากไม่อยากเอาชีวิตไปทิ้งก็อย่าเดินทางไปมิสทา...นั่นเป็นสิ่งที่ชาวเวย์แลนด์เชื่อถือมาตลอดแต่เจ้าคิดเหรอว่าของแค่นั้นจะหยุดความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ได้”
“หมายความว่ายังไงกันคะ”
“มนุษย์น่ะไม่ว่าจะน่ากลัวหรือมีคำพูดอะไรใดๆมาตักเตือนก็มักจะแหกกฏเสมอ
เพื่อหยุดยั้งคนพวกนั้นไม่ใช่แค่เตือนแต่ต้องมีป้องกันคนเข้ามาในมิสทาด้วย”
ฮะการ์อธิบายอย่างใจเย็น
“จากระยะร้อยกิโลเมตรห่างจากมิสทาจะมีป้อมตรวจตราที่ถูกสร้างขึ้นกลางทะเลและเรือตรวจตราจำนวนมากซึ่งในนั้นซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตรวจตราพวกนี้จะมีจากทั้งคนของแอนทีคและเวย์แลนด์และทั้งหมดเกือบกินดวงตามังกรไปแล้ว”
“เอ๊ะ? มีคนจากเวย์แลนด์ด้วยเหรอคะ
ไม่ใช่ว่าคนที่นั่นไม่รู้เรื่องของแอนทีคหรอกเหรอ”
เนลลี่ก็รู้อยู่ว่าแอนทีคกับเวย์แลนด์นั้นเองก็ใช่ว่าจะแยกขาดจากกันแบบสมบูรณ์
ทั้งสองทวีปนี้ยังมีการติดต่อกันอยู่ตลอดเพียงแต่ประชาชนของเวย์แลนด์ไม่รู้เรื่องนี้เท่านั้นเอง
แต่เธอไม่นึกว่าจะมีการใช้คนของเวย์แลนด์ในการเฝ้าตรวจตรามิสทาแบบนี้ด้วย
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เราเริ่มทำแบบนี้เมื่อร้อยกว่าปีก่อนเพราะเทคโนโลยีของเวย์แลนด์สามารถใช้ช่วยในการตรวจสอบมังกรได้
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าสิ่งที่เรียกกันว่าเรดาร์หรือคลื่นโซน่า
ถึงเครื่องจักรที่ไร้พลาน่าจะไม่สามารถมองเห็นมังกรได้แต่พวกมันก็ยังตรวจจับสัญญาณได้จากคลื่นความร้อนหรืออะไรหลายๆอย่าง”
ฮะการ์พูดชื่อบางอย่างที่เนลลี่ไม่รู้จักออกมารัวๆ
“ยิ่งเร็วๆนี้ยิ่งมีการสร้างโดรนตรวจตราซึ่งมีเซนเซอร์ตรวจจับความร้อนคอยตรวจตราในบริเวณมิสทาอีกเพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ในการลับลอบข้ามทวีปจึงต่ำมาก”
“โดรน? มันคืออะไรเหรอคะ”
“อากาศยานไร้คนขับ…เธอไม่ต้องสนใจมันเยอะหรอก” ฮอลแลนด์พูดปัดๆ
“ล...แล้วถ้าเทคโนโลยีพวกนั้นมันสะดวกจริงๆ
ทำไมเราถึงไม่นำเข้ามาใช้ในเวย์แลนด์ด้วยล่ะค่ะ”
“เราก็รับเข้ามาแต่ไม่ได้รับเข้ามาทั้งหมด ถ้าเจ้าเคยศึกษาเรื่องพันธสัญญาของเออร์มินก็น่าจะเข้าใจนะ...เซ็นทรัลน่ะไม่ต้องการให้เวย์แลนด์กับแอนทีคมีความไกล้ชิดกันเกินไปเนื่องจากพันธสัญญาและที่สำคัญที่สุดก็คือเทคโนโลยีเหล่านั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนักหรอกหากเจอกับมังกรที่ทรงอำนาจจริงๆ”
บรามันเป็นคนตอบคำถามข้อนี้ให้
ใช่
ข้อห้ามทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลเดียว...พันธสัญญาของเออร์มิน
“เรื่องแบบนี้มาบอกฉันจะดีเหรอคะ” เนลลี่ยิ้มเจื๋อนๆ
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรเพราะนี่มันไม่ใช่ความลับอะไรซักหน่อย
ฉันว่าเจ้านี่ก็น่าจะบอกหลานชายของมันบ้างแล้ว”
บรามันชี้นิ้วใส่ฮะการ์ซึ่งเจ้าตัวก็ยักไหล่เบาๆเหมือนกับกำลังจะบอกว่าใช่
“ในจำนวนทั้งหมดนี้ผมบอกได้เลยว่าหน้าด่านของชาวเวย์แลนด์คือขั้นตอนที่ยากที่สุด
ทั้งตัวปราสาทและลิเวียธานนั้นยังพอจะลักลอบผ่านไปได้แต่หน้าด่านนี้เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ”
“งั้นถ้าจะคิดก็ต้องคิดจากเรื่องนี้เป็นสำคัญสินะ”
บรามันพูดสรุป “แต่จะละเลยเรื่องลิเวียธานกับการตรวจตราของปราสาทไปก็คงไม่ดีเพราะถ้าหากคนที่ทำแบบนี้เป็นมนุษย์ที่รู้วิธีย่อส่วนชิ้นส่วนมังกรแล้วล่ะก็
มันก็เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนในสังคมนักรบมังกรของพวกเรานี่แหละ”
“วิธีย่อส่วนนั้นเป็นงานที่แม้จะศึกษาได้เองแต่ก็ใช้เวลาในการฝึกฝนมาก
ข้าคิดว่าคนที่ทำแบบนั้นได้มีไม่เยอะหรอก”
“ข้าจะลองสืบสวนคนในดูให้
เรื่องนั้นไม่น่าจะยากมากนัก” บรามันยืนยันว่าเขาจะรับงานตรงนี้เอง “พวกเจ้าสองคนสืบอีกสองเรื่องที่เหลือก็แล้วกัน”
“ให้ผมทำงานกับตาลุงนี่น่ะนะ...ท่าทางจะช่วยไม่ได้สินะ”
ฮอลแลนด์พูดเหมือนไม่ค่อยอยาก
ชายวัยกลางคนคาบบุหรี่แล้วสูดควันเข้าไปเต็มปอดอย่างปลงๆ
“งั้นเรื่องต่อไปก็เป็นในหนังสือนี่สินะ”
ฮอลแลนด์เปิดหนังสือเล่มนั้นออกแล้วพลิกไปที่หน้าๆหนึ่งแบบสุ่มๆ
ภาพของมังกรตัวนึงก็ลอยออกมาจากหน้ากระดาษ
“นี่มัน...น่าสนใจมาก” ฮอลแลนด์เบิกตากว้างแล้วมองมันด้วยความสนอกสนใจ
“หนังสือเล่มนี้น่ะจะแสดงภาพมายาฉายออกมาวันละราวๆสิบนาที”
ฮะการ์อธิบายคุณสมบัติของหนังสือเล่มนั้น
ฮอลแลนด์ลองพลิกหน้ากระดาษแผ่นต่อไปก็พบว่าหน้าต่อไปนั้นดันไม่มีภาพฉายออกมา
มันแทบไม่ต่างกับหน้ากระดาษธรรมดาๆ เขาจึงเปลี่ยนกลับไปที่หน้าเดิมภาพก็ฉายออกมาอีกครั้ง
“ภาพพวกนั้นจะแสดงออกมาได้วันละเพียงหนึ่งหน้าเท่านั้นโดยหน้าที่ฉายภาพจะเป็นหน้าแรกที่เปิดและต้องการอยากดูเท่านั้น”
ฮะการ์อธิบายต่อเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของฮะการ์
“ต้องการอยากดูงั้นเหรอ?” ฮอลแลนด์เลิกคิ้ว “หมายความว่าหนังสือเล่มนี้เปลี่ยนผันความสามารถของไปมันตามความรู้สึกของผู้ถือเหรอ”
“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”
“นี่คงเป็นพลาน่าพิเศษของมารามอสสินะ”
ฮอลแลนด์กล่าวเบาๆ
“ถึงผมจะรู้อยู่แล้วว่ามังกรตัวนี้เป็นมังกรที่ประหลาดแต่ก็ไม่คิดว่าพลาน่าพิเศษของมันจะประหลาดขนาดนี้”
“เจ้าหมายถึงภาพมายาที่เจ้าเห็นนี่งั้นเหรอ?” บรามันถาม
“ครับ จากตำนานของมารามอสนั้น
คุณสมบัติพลาน่าพิเศษของมารามอสน่าจะมีอยู่สองอย่าง” ฮอลแลนด์พูดขึ้น
“อย่างแรกคือการสร้างภาพมายาเคยมีคนกล่าวไว้ว่ามารามอสได้สร้างภาพมายาขนาดใหญ่เท่าเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งได้และอย่างที่สองคือการสะกดจิตซึ่งบันทึกตรงนี้มีบางอย่างที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน”
“อะไรที่น่าสนใจงั้นเหรอ”
ฮะการ์ถามขึ้นบ้างเหมือนกัน
“มารามอสเคยสะกดจิตมนุษย์หนึ่งพันคนให้สร้างวิหารขนาดใหญ่ไว้คอยบูชาเธอและทำให้ตัวเองเป็นดั่งเทพเจ้าของพวกเขาเหล่านั้น
ถ้าเธอต้องการอย่างงั้นจริงๆทำไมไม่สะกดจิตสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าอย่างมังกรซะเลยล่ะ
ทำไมถึงได้เลือกที่จะควบคุมสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างมนุษย์”
“การที่เจ้าพูดขึ้นมาแบบนี้
แสดงว่าเจ้าคงมีข้อสันนิษฐานบ้างแล้วสินะ”
ฮะการ์เลิกคิ้วซึ่งฮอลแลนด์เองก็พยักหน้ารับ
“ข้อสันนิษฐานของผมคือเธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้”
“ไม่สามารถ?” ชายชราทั้งสองขมวดคิ้ว
“ลองคิดดูสิว่าข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างมนุษย์กับมังกรคืออะไร”
ฮอลแลนด์ยักไหล่พร้อมกับถามคำถามลองเชิงออกไป
“อย่างนี้นี่เอง พลาน่าสินะ”
ฮะการ์รู้คำตอบในทันที
“ใช่ พลาน่าคือสิ่งที่สร้างความแตกต่างในข้อนั้น
ผมเชื่อว่าการสะกดจิตของมารามอสคงใช้ได้กับเพียงมนุษย์ที่ไม่ได้มีพลาน่าอยู่ในตัวเท่านั้น”
“อย่างนี้นี่เอง ก็พอฟังขึ้นอยู่นะ”
บรามันพยักหน้าเห็นด้วย “ว่าแต่ก่อนที่เราจะรื้อฟื้นประวัติศาสตร์กัน
เรามาพูดเรื่องสำคัญจริงๆกันก่อนดีมั้ย
พวกเจ้าคงรู้ใช่มั้ยว่าข้าหมายถึงเรื่องอะไร”
“เรื่องที่เจ้าเขี้ยวนี่มีพลาน่าพิเศษของมารามอสแฝงมาสินะ”
ฮะการ์ค่อนข้างมั่นใจว่าบรามันกำลังพูดถึงเรื่องนี้
“ใช่ เมื่อมังกรตายลงน่ะ
พลาน่าพิเศษของมันจะไหลลงไปกองรวมที่หัวใจ” บรามันเอามือทาบอก “การทีเขี้ยวนี่มีพลาน่าพิเศษแฝงมาได้นั้นมีเหตุผลอยู่อย่างเดียว”
ทุกๆคนนิ่งเงียบไปหมดเพราะสิ่งที่พูดนั่นทำให้พวกเขาถึงกับขนลุกซู่ไปตามๆ
“หัวใจของมารามอสยังคงอยู่”
ฮะการ์พูดสิ่งที่เขาไม่ค่อยอยากให้มันเป็นจริงซักเท่าไหร่ในตอนนี้ออกมา
“ใช่ เขี้ยวนี่คงจะถูกใช้เป็นสื่อกลางในการส่งถ่ายพลาน่าของมนุษย์
ถ้างั้นก็หมายความง่ายๆว่า...”
“มีมนุษย์บางคนรับพลาน่าพิเศษจากมารามอสไปอย่างงั้นเหรอ”
ฮอลแลนด์ต่อคำพร้อมนึกถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดออกมา “อย่างนี้นี่เอง
ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงก็คงบ่งบอกได้ว่าทำไมเขี้ยวอันนี้ถึงแสดงคุณสมบัติของพลาน่าพิเศษออกมาได้
ทางเดียวที่จะอธิบายคือการมีคนที่มีพลาน่าแบบเดียวกันควบคุมและตั้งคำสั่งกับมัน”
“งั้นภาพมายาที่แสดงขึ้นมานี่...”
ฮะการ์มองภาพของมังกรที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ
“อา คงเป็นภาพมายาที่มนุษย์คนนั้นสร้างขึ้นล่ะนะ
บางทีภาพพวกนี้คงมาจากจินตนาการของเขาเอง
ส่วนที่ปรากฏได้วันละหน้าแล้วแสดงได้เฉพาะหน้าที่อยากดูเขาก็คงตั้งคำสั่งให้เป็นแบบนั้นเองเพราะพลาน่าที่อยู่ในเขี้ยวมีปริมาณจำกัดหากมีการสร้างภาพบ่อยๆคงจะทำให้พลาน่าอยู่ในเขี้ยวหมดเร็วขึ้นเผลอๆถ้าเป็นแบบนั้นคงฉายได้แค่วันละนาทีด้วยซ้ำ
เขาคงไม่ต้องการแบบนั้นถึงได้ทำแบบนี้และจะได้เผื่อเวลาให้เขี้ยวฟื้นฟูพลาน่าด้วย”
“พลาน่าของดราเชนไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายของใครๆจะสามารถรับได้
คนพรรค์นั้นต้องเป็นผู้ถูกเลือกเท่านั้น” ฮะการ์พูดขึ้น “ว่าแต่ส่งมังกรออกไปสู่เวย์แลนด์พร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มีเขี้ยวของมังกรโบราณฝังอยู่
เขาคิดจะทำอะไรกันแน่นะ”
“ข้ารู้แค่อย่างเดียว...ไอ้ผู้ถูกเลือกคนนั้นก็กำลังทำอะไรบ้าๆที่สร้างรอยร้าวให้กับพันธสัญญาของเออร์มิน”
บรามันพูดเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยอำนาจ “มันจะเป็นใครหรือต้องการอะไรยังไงก็ช่าง
ยังไงเราก็จำเป็นต้องหยุดมันลงเดี๋ยวนี้”
“งั้นอย่างแรกที่ต้องทำก็คือการหาตัวของเจ้านี่สินะและวิธีเดียวที่จะสืบได้ก็คงเป็นการค้นหาก่อนว่าเขาพามังกรหนึ่งตัวออกไปสู่เวย์แลนด์ได้ยังไง”
ฮอลแลนด์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“หลังจากนั้นเราถึงจะค่อยหาร่องรอยที่สาวไปถึงตัวเขาได้”
“ตามกำหนดการเดิมที่เราคุยกันไว้นะ ฮะการ์
ข้าจะตรวจสอบคนในองกรณ์และปราสาทต่างๆ
เจ้ากับฮอลแลนด์ร่วมมือกันตรวจสอบเรื่องลิเวียธานกับหน้าด่านของเวย์แลนด์”
“ให้ตายเถอะ
ทำไมมนุษย์เราถึงอยู่กันอย่างสงบๆไม่ได้กันนะ” ฮอลแลนด์เกาหัวอย่างหงุดหงิด
“งั้นก็หมดเรื่องแล้วสินะ
เนลลี่...เรากลับกันได้แล้ว”
ฮะการ์หันไปบอกหญิงสาวที่กำลังนิ่งอึ้งจากการได้ฟังบทสนทนาอันน่าเหลือเชื่อ
“เดี๋ยวก่อนฮะการ์
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องถามก่อน”
“เรื่องอะไรอีกล่ะ?”
“เรื่องของเด็กจากเวย์แลนด์ที่เจ้าพามาที่นี่ด้วยไง
ข้าได้ข่าวแว่วมาว่าเจ้าให้เขาเป็นนักรบฝึกหัดงั้นเหรอ” บรามันกอดอกถาม
ฮอลแลนด์ที่ฟังอยู่ตีสีหน้าอึ้งไปชั่วขณะกับคำพูดนั้น
“เรื่องจริงเหรอ ท่านฮะการ์”
ฮอลแลนด์หันไปถามด้วยสีหน้าข้องใจ
“ก็ตามนั้นแหละนะ
ข้าพาเขาไปฝึกที่เวสปาร์ทาวเวอร์แล้วด้วย” ฮะการ์พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“คิดบ้าอะไรถึงทำแบบนั้นไปน่ะ”
“หึ คิดถึงวันวานเก่าๆนักรึไงฮอลแลนด์”
ฮะการ์แสยะยิ้มกว้างจนฮอลแลนด์ต้องกัดฟันแน่น
ไม่ว่าเมื่อไหร่ชายคนนี้ก็เป็นคนที่สร้างความหงุดหงิดให้คนอื่นได้อย่างไม่มีใครเทียบได้
“ถึงตอนที่เจ้าพาเข้ามาแอนทีค
ข้าจะบอกให้เจ้ารับผิดชอบดูแลเขาได้แต่การทำอะไรๆมันก็ต้องมีขอบเขตบ้างนะ”
ชายชราอีกคนถอนหายใจ “อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าทำแบบนี้กันล่ะ”
“ข้ามีเหตุผลของข้าก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วง
ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีหรอก”
“เจ้ายังไม่เลิกนิสัยชอบเก็บอะไรไว้ในใจอีกแล้วเหรอ”
บรามันยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอีกครั้ง
ฮะการ์เพียงยิ้มบางๆก่อนจะยื่นมือไปข้อหนังสือปริศนาเล่มนั้นจากฮอลแลนด์คืน
“งั้นข้าลาล่ะนะ”
ฮะการ์โบกมือเบาๆกแล้วเดนิอกจากห้องไปโดยมีเนลลี่เดินตามไปติดๆ
ฮะการ์เข้าใจดีว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ระดับที่หลายสิบปีจะมีซักครั้งแต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องทั้งหมดนี่จะเป็นชนวนให้เหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เท่าที่โลกเคยมีมา
บัดนี้กระจกแก้วใสที่โอบอุ้มโลกด้วยความสงบสุขกำลังค่อยๆพังทลายลง
ความคิดเห็น