ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Raid of Drachen

    ลำดับตอนที่ #14 : Ep.1 Chapter 13 - ประวัติศาสตร์มังกร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 878
      88
      24 ก.ค. 63

    Chapter 13

    Dragon History

    ประวัติศาสตร์มังกร

     

     

     

    ประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้เริ่มต้นขึ้นมาอย่างไม่แน่ชัด

    มันถูกบันทึกขึ้นผ่านเหล่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆและถูกเรียบเรียงโดยเหล่านักรบมังกรรุ่นแรก ประวัติศาสตร์ทั้งหมดถูกแบ่งเป็นทั้งหมดสี่ยุค

    ยุคที่หนึ่ง หรือ ยุคบรรพกาล คือ ช่วงเวลาเริ่มแรกของประวัติศาสตร์ที่ไร้ซึ่งเหล่ามนุษย์ ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะในช่วงเวลานั้นยังไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ก่อกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ เรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับการบันทึกนั้นมาจากคำบอกเล่าอันยาวนานของเหล่ามังกรเท่านั้น ยุคสมัยแห่งนี้ปกครองด้วยมังกรสามตนซึ่งถูกเรียกว่า “สามราชันย์” ซึ่งมีนามได้แก่ “เฮคเตอร์ ชิลฟิล่า และ อารอน” นี่คือนามของเหล่ามังกรที่ปกครองยุคสมัยนี้และในยามที่ราชันย์ทั้งสามคนสิ้นชีพลงเมื่อนั้นก็เป็นเวลาสิ้นสุดยุคสมัยที่หนึ่งของประวัติศาสตร์โลก

    แต่ก่อนที่จะสิ้นชีพนั้น เฮคเตอร์กับซิลฟิล่าได้ให้กำเนิดบุตรขึ้นมาหนึ่งคน บุตรคนนั้นได้เติบโตอย่างกล้าแข็งและทรงพลังจนเมื่อถึงการสิ้นชีพของบิดามารดาของตน มังกรตนนั้นก็ได้กลายเป็นราชันย์แห่งยุคต่อไปและมังกรตนนั้นมีนามว่า “อิกนิส”

    ยุคที่สอง หรือ ยุครุ่งเรืองสูงสุดของเหล่ามังกร ใต้การปกครองของอิกนิสผู้ได้รับการขนานนามมาจนถึงอนาคตว่ามังกรที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ แผ่นดินแอนทีคก็ได้กลายเป็นแดนสวรรค์ของเหล่ามังกร นี่คือยุคที่เหล่ามังกรแสนทรงพลังทั้งหลายได้ถือกำเนิดขึ้นมามากที่สุด และในขณะเดียวกันที่แผ่นดินแห่งนี้ก็ได้ก่อกำเนิดเผ่าพันธุ์ใหม่ เผ่าพันธุ์เล็กๆซึ่งไร้พลังอำนาจแต่แฝงไปด้วยปัญญาและชื่อของเผ่าพันธุ์นั้นก็คือ มนุษย์

    เหล่ามนุษย์ได้ใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆกับเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเสมือนเทพเจ้าเหล่านั้นมายาวนับพันปีและบันทึกประวัติศาสตร์ของโลกเรื่อยมาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ขึ้น เหตุการณ์นั้นเป็นชนวนที่ทำให้สิ้นสุดยุคที่สองลง

    เหตุการณ์นั้นมีนามว่า “สงครามเจ็ดวัน”

    เมื่อ “ไทราส และ เวสปาร์” บุตรทั้งสองของอิกนิสได้ตัดสินใจทำการกบฏเพื่อแย่งบัลลังค์ราชันย์ต่อบิดาของตน มังกรหลายหมื่นหลายแสนตนได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายและทำสงครามที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมาและคงไม่มีอีกแล้วในอนาคตซึ่งกินเวลาเพียงเจ็ดวัน กล่าวกันว่าสงครามในครั้งนี้นั้นได้ทำให้มังกรมากกว่าครึ่งต้องล้มหายตายจากไปและที่สำคัญคือบุตรทั้งสองผู้ทำการโค่นล้มบิดาตนเองอย่างไทราสและเวสปาร์หรือแม้กระทั่งตัวอิกนิสเองก็ได้สิ้นชีพลงจากสงครามครั้งนี้ เป็นการสิ้นสุดยุคที่สอง

    ยุคที่สาม หรือ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น กล่าวกันว่าในช่วงต้นของยุคนั้นเป็นช่วงเวลาที่ไร้ระเบียบที่สุดช่วงเวลาหนึ่งในสังคมของเหล่ามังกร เนื่องจากเหล่ามังกรทั้งหลายยังคงบอบช้ำจากสงครามในครั้งนั้นอยู่ในช่วงเวลานั้น ไร้ซึ่งผู้ปกครองและไร้ซึ่งราชันย์ จนในที่สุดก็มีมังกรตนหนึ่งได้แสดงอำนาจของตนเองและขึ้นปกครองเป็นราชันย์ซึ่งมังกรตนนั้นมีนามว่า “เออร์มิน”

     เออร์มินได้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปตลอดการนั่นคือ การแบ่งพลังให้เหล่ามนุษย์เพื่อให้เหล่ามนุษย์ของช่วยเหลือและดูแลสังคมของเหล่ามังกร ในตอนแรกนั้นเหล่ามนุษย์ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนัก พวกเขาไม่ได้ต่างอะไรกับมดแมลงสำหรับเหล่ามังกรแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนั้น เหล่ามนุษย์ก็ทรงพลังอำนาจมากขึ้นเรื่อย พวกเขาเริ่มสร้างสังคมและรากฐานบนแอนทีคแห่งนี้จนกระทั่งเมื่อเออร์มินสิ้นใจลงก็ถึงคราวสิ้นสุดของยุคที่สามและเริ่มต้นยุคใหม่

    ยุคที่สี่ หรือ ยุคแห่งมนุษย์ นั่นเอง

    นี่คือประวัติคร่าวๆของแอนทีคซึ่งเลสเตอร์ได้นั่งฟังในระหว่างคาบวิชาประวัติศาสตร์มังกรของศาตราจารย์เจอรัลซึ่งความจริงแล้วก็มีเรื่องที่ลงลึกกว่านี้พอสมควรแต่สำหรับเวลาสามชั่วโมงนี่เป็นจุดสูงสุดที่สมองของเขาสามารถรองรับได้แล้ว

    “ให้ตายเถอะ เหมือนหัวจะระเบิดเลยนะ” เลสเตอร์ถอนหายใจแล้วยืดมือบิดขี้เกียจไปบนโต๊ะเพราะแม้เรื่องพวกนี้ดีเลียจะเคยสอนเขามาบ้างแล้วแต่มันบางมากๆถ้าเทียบกับการที่เขาได้เรียนในคาบนี้

    นี่คือวันที่สองแล้วที่พวกเขาได้มาอยู่ที่เวสปาร์ทาวเวอร์ หลังจากคาบวิชาของเอลวินเมื่อวานก็ไม่ได้มีการเรียกตัวอีกเลยในวันนั้น เด็กๆทั้งสามคนใช้เวลาเดินเที่ยวในหอคอยแห่งนี้และรีบเข้านอนแต่หัวค่ำซึ่งเมื่อตื่นเช้ามาพวกเขาก็อาบน้ำกินข้าวตามปกติจนกระทั่งเมื่อเวลาเก้าโมงเช้าก็มีสัญญาณเรียกตัวจากศาตราจารย์เจอรัลเรียกพวกเขามาที่ห้องเรียนห้องหนึ่งที่ชั้นสิบสาม

    “ความจริงคนส่วนใหญ่กว่าครึ่งของที่สอนในคาบนี้ก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้วแต่สำหรับคนจากเวย์แลนด์อย่างนายก็คงต้องเหนื่อยหน่อยล่ะนะ” นีลลูบหลังเลสเตอร์ที่เหมือนจะล้มพับไปได้ทุกเมื่อ

    “แต่นายก็ฟังได้จนจบนะ บางคนนี่ถึงกับหลับไปแล้วด้วยซ้ำ” เอลเลียตมองไปรอบๆห้องเรียนก็เห็นเด็กบางคนถึงกับนอนหลับน้ำลายย้อยไปแล้วและผู้สอนอย่างเจอรัลเองก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ เขาแค่พูดเนื้อหาวิชาต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่สนใจ

    “ก็อย่างที่บอกสำหรับฉันเรื่องพวกนี้มันน่าสนใจดีก็เลยพอจะฟังได้ ลองเป็นวิชาอย่างเลขดูสิ ฉันก็มีสภาพไม่ต่างจากพวกนั้นหรอก”

    เอลเลียตกับนีลหันมามองหน้ากันชั่ววูบเพราะสำหรับพวกเขาแล้วการที่มีคนนั่งฟังวิชาประวัติศาสตร์มังกรได้ตลอดสามชั่วโมงโดยหลุดสมาธิเลยถือว่าเป็นเรื่องที่โคตรจะแปลก

    “เอาล่ะ คาบนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้วนะ ใครมีคำถามอะไรก็มาถามกับข้าได้” ชายชราผมหงอกยาวพูดด้วยสีหน้าเรียบๆเพราะเขารู้ดีว่าคงไม่มีใครมาหรอก “อ้อ แล้วข้ามีงานที่จะให้พวกเจ้าเป็นทำนอกเวลาซักหน่อยด้วย คงจะไม่มีปัญหาใช่มั้ย”

    เสียงโอดครวญดังระงมอีกครั้งเพราะยังไงก็ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับอาจารย์อยู่แล้ว

    “เรื่องภายในคาบที่เราเรียนไปวันนี้เป็นประวัติศาสตร์คร่าวๆของเหล่ามังกรและโลกใบนี้ พวกเจ้าคงได้ยินชื่อของมังกรบางตัวที่มีบทบาทสำคัญในนั้นแล้วสินะ”

    สามราชันย์ อิกนิส ไทราส เวสปาร์ และ เออร์มิน แน่นอนว่าชื่อเหล่านี้คือชื่อของ...

    “ดราเชน” เลสเตอร์พึมพำเบาๆ

    “ข้าต้องการให้พวกเจ้าทำรายงานมาส่งข้า เกี่ยวกับประวัติและข้อมูลเชิงลึกของดราเชนหนึ่งตนซึ่งพวกเจ้าจะเลือกตนไหนก็ได้สุดแล้วแต่เจ้าแต่มีข้อแม้ก็คือห้ามเป็นชื่อที่เรากล่าวกันไปในคาบนี้และดราเชนในยุคที่สี่เพราะเรื่องของพวกนั้นพวกเจ้าก็คงรู้ดีอยู่แล้วจะหามายังไงก็ได้เรื่องของพวกเจ้า ส่งภายในสองอาทิตย์ถัดไป”

    “อา...มีการบ้านด้วยเหรอเนี่ย” ความทรงจำในโรงเรียนของเลสเตอร์หวนกลับมา

    ต้นคาบเราก็เช็คชื่อกันไปแล้ว งั้นก็แค่นี้แหละ เลิกได้” พอสั่งงานจบเจอรัลก็สั่งปล่อยเด็กทุกคนทันที

    ในระหว่างที่เด็กคนอื่นๆกำลังเดินออกจากห้องอยู่ ก๊วนเด็กทั้งสามแห่งห้องหมายเลขห้าสิบห้าก็ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพราะไม่อยากเสียเวลาเดินเบียดออกจากห้อง

    “ดราเชนเหรอ? ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ด้วยสิ” นีลพูดขึ้น

    “มีชื่อไหนไว้ในใจบ้างรึเปล่า” เอลเลียตถามเพราะตอนนี้เขาเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเอาดราเชนตัวไหนดี

    “ดูจากท่าทางการสอนแล้วผมว่าศาตราจารย์เจอรัลน่าจะเป็นพวกจริงจังกับเนื้อหาพอสมควร ทำลวกๆไม่ได้แน่” นีลครุ่นคิดพิจารณาช้าๆ “ถ้าจะทำผมก็คงทำตัวที่เกี่ยวกับมารามล่ะนะ ว่าแต่เอลเลียตล่ะมีชื่อไหนไว้ในใจบ้างรึเปล่า”

    “ยังไม่มีเลย” เอลเลียตส่ายหน้า

    “แล้วเลสเตอร์ล่ะ”

    “อืม...ฉันก็รู้จักชื่อดราเชนมาเยอะอยู่ล่ะนะ แต่ว่าถ้าให้เลือกว่าจะเอาตัวไหนดีตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน” เลสเตอร์ส่ายหน้าอีกคน นีลแปลกใจเพราะเขานึกว่าเลสเตอร์จะบอกว่าไม่รู้จักซักชื่อเลยซะอีก

    “งั้นอย่างแรกที่ต้องทำก่อนคือหาดราเชนของแต่ละคนก่อนสินะ”

    “สรุปง่ายๆคือต้องหาแหล่งข้อมูลนั่นแหละ” เอลเลียตเห็นด้วย

    “ถ้าหนังสือของฉันยังอยู่ก็ดีสิ” เลสเตอร์คิดถึงหนังสือสีแดงแสนรักของเขาขึ้นมาทันใด

    “หนังสือ?” นีลเลิกคิ้ว

    “มันเป็นหนังสือชื่อ บันทึกประวัติศาสตร์มังกรน่ะ ในนั้นมีมีข้อมูลของดราเชนอยู่เป็นร้อยๆตัวเลย”

    “จริงสิ หากจะหาข้อมูลแล้วหาด้วยหนังสือน่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด”

    “พอพูดถึงหนังสือแล้ว ที่ที่น่าจะหามันได้ง่ายที่สุดก็คงเป็น...” เอลเลียตเหมือนจะพึ่งนึกอะไรบางอย่างออก

    “นายเองก็น่าจะคิดเหมือนผมใช่มั้ย?

    “อืม นี่กี่โมงแล้วล่ะ” เอลเลียคแหงนขึ้นไปดูนาฬิกาที่แขวนไว้ในห้อง “เที่ยงเหรอ หวังว่าคาบบ่ายจะไม่มีคาบเรียนแล้วกันนะพอกินข้าวเสร็จเราจะได้ไปกันเลย อย่างน้อยวันนี้ก็น่าจะได้ชื่อเหมาะๆมาซักชื่อ”

    “หือ? ไปไหนอีกล่ะ” คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องในที่นี้ถามออกมา เด็กหนุ่มอีกสองคนที่เหลือหันมาตอบแทนจะพร้อมกัน

    “ห้องสมุดไงล่ะ”

     

     

     

     

    ห้องสมุดของเวสปาร์ทาวเวอร์ได้รับการขนานนามว่าแหล่งความรู้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในแอนทีค ทั้งเอลเลียตและนีลต่างก็เคยได้ยินชื่อเสียงของที่นี่มานานแต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ไม่เคยมาเห็นของจริงซักที

    และเมื่อมาถึงสถานที่ดังกล่าวเด็กทั้งสามคนก็เข้าใจทันทีว่าทำไมมันถึงถูกเรียกแบบนั้น

    เพราะมันคือชั้นที่สิบห้าถึงยี่สิบสองของหอคอยแห่งนี้ทั้งชั้น

    “หนังสือโคตรเยอะเลย” เลสเตอร์มองไปรอบๆเขาก็ไม่เห็นอะไรนอกจากชั้นหนังสือและหนังสือนับหมื่นนับแสนเล่มทีเรียงรายอยู่ มิหนำซ้ำชั้นหนังสือแต่ละชั้นยังสูงมากอีกด้วย

    “ฉันก็ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ หนังสือที่ปราสาทเรายังน้อยไปเลย ไม่สิ เทียบกันไม่ได้เลยต่างหาก” แม้แต่เอลเลียตอดทึ่งไม่ได้

    “เหอะๆ ที่ปราสาทผมแทบจะไม่มีหนังสือเลยด้วยซ้ำ”

    “ที่บ้านฉันก็มีหนังสือเหมือนกันนะ” เลสเตอร์พูดแทรกขึ้นมา “หนังสือการ์ตูนน่ะ”

    พอได้ยินแบบนั้นเอลเลียตก็ถอนหายใจออกมา เลสเตอร์เองก็ได้ความรู้ใหม่มาดูเหมือนว่าที่ทวีปนี้ก็มีหนังสือการ์ตูนเหมือนกัน

    “ว่าแต่เยอะขนาดนี้เราจะหาหนังสือที่ต้องการกันยังไงไหว” เลสเตอร์ตั้งคำถามเพราะถ้าจะให้ไล่หาแค่ชั้นเดียวก็กินเวลาเป็นวันๆแล้ว

    “ไม่ยากหรอก ที่นี่เป็นห้องสมุดลองหาบรรณารักษ์ดูสิ” เอลเลียตชี้นิ้วไปทางเคาเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ก่อนทางเข้าโซนชั้นหนังสือ ที่นั่นมีชายแก่คนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่

    ว่าแล้วสามหน่อก็เดินเข้าไปหาชายชราคนนั้นซึ่งตัวบรรณารักษ์เองก็เหมือนจะสังเกตได้ถึงผู้มาใหม่ เอลเลียตก้มมองป้ายชื่อที่วางอยู่บนเคาเตอร์ ดูเหมือนชายชราคนนี้จะชื่อว่า จอห์น

    “พวกเจ้ามาหาหนังสือสินะ อยากถามอะไรถามได้เลยนะ” จอห์นยิ้มกว้างอย่างใจดีจนเด็กทั้งสามคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเพราะตั้งแต่พวกเขามาที่หอคอยแห่งนี้บอกได้เลยว่าไม่ค่อยมีคนใจดีๆแบบนี้มากนักหรอก เท่าที่นึกออกก็มีแค่คุณนายเพนเทลคนเดียว

    “เอ่อ พวกผมอยากได้หนังสือรวบรวมข้อมูลของดราเชนในยุคก่อนน่ะครับ” เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามสุภาพมา เลสเตอร์เลยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่เขาไม่ค่อยใช้บ่อยนัก

    “ดราเชนในยุคก่อน? แปลกดีนะเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้นักหรอก ดูๆแล้วคงเป็นการบ้านล่ะสิท่า” จอห์นจี้ได้อย่างตรงใจจนทั้งสามคนต้องยิ้มแห้งๆออกมา

    “เป็นรายงานของวิชาประวัติศาสตร์มังกรน่ะครับพึ่งโดนสั่งมาเดี๋ยวนี้เอง” นีลบอก

    “งานของศาตราจารย์เจอรัลน่ะเหรอ ถ้าทำไม่ดีรับรองโดยประเมินเสียๆหายๆแน่” จอห์นพูดเตือนไว้ซึ่งเอาจริงๆทั้งสามคนไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้มากซักเท่าไหร่เพราะยังไงพวกเขาก็มีสังกัดอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องกระเหี้ยนกระหือทำคะแนนเหมือนคนอื่นๆเขา

    ชายชราหยิบกระดาษเล็กๆที่ถูกตัดไว้ขึ้นมาแล้วบรรจงเขียนหมายเลขอะไรบางอย่างลงไป

    “ไปที่สุดทางขวามือของตรงนู้นนะ” จอห์นยื่นกระดาษให้พร้อมกับชี้นิ้ว “จากนั้นหาชั้นที่ฉันเขียนหมายเลขไว้ในกระดาษนี้ รับรองว่ามีหนังสือที่พวกเธอต้องการเต็มไปหมดเลยล่ะ”

    “ขอบคุณมากครับ” เอลเลียตเป็นคนรับไว้

    “แล้วก็อย่าส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นเขาด้วยล่ะ ที่นี่น่ะไม่ได้มีแต่นักเรียนของที่นี่หรอกนะ” จอห์นทิ้งท้ายทั้งสามคนพยักหน้าแล้วเดินออกมา

    อย่างที่จอห์นได้บอกไว้ ห้องสมุดของเวสปาร์ทาวเวอร์นั้นถือเป็นแหล่งความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเพราะงั้นจึงไม่แปลกที่มักจะมีคนจากทั่วสารทิศมาใช้งานกันซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นเหล่าผู้ที่อยู่ในสังคมนักรบมังกรเนี่ยแหละ

    พวกเขาเดินไปเรื่อยๆเพื่อค้นหาชั้นที่เขียนอยู่ในกระดาษ ในไม่นานพวกเขาก็พบกับชั้นหมายเลขที่ว่าจนได้

    “หมายเลขที่เขียนไว้มีหลายสิบหมายเลขแต่ก็อยู่ในโซนนี้แหละ” เอลเลียตพูดหลังจากมองชั้นจำนวนมาก

    “นี่แค่หนังสือหมวดเดียวเยอะได้ขนาดนี้เลยเหรอ ผมไม่อยากจะเชื่อเลย”

    “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะนะ ดูจากที่ลุงบรรณารักษ์คนนั้นบอกมาถ้าจะทำรายงานให้มันละเอียดก็คงต้องหาข้อมูลจากหนังสือหลายเล่มล่ะนะ” เลสเตอร์มองชั้นหนังสือจำนวนมากด้วยความเหนื่อยใจ

    “แต่ยังไงวันนี้เราก็แค่มาหาชื่อซักชื่อใช่มั้ยล่ะ หยิบๆมาซักเล่มที่เป็นรวมประวัติของดราเชนมาก็พอ” เอลเลียตเสนอซึ่งทั้งสองคนก็เห็นด้วยเพราะพวกเขาเองก็ไม่อยากจะเหนื่อยขนาดนั้นเหมือนกัน

    ในตอนนั้นเองเลสเตอร์ก็ดันบังเอิญเห็นสันหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตา เขาค่อยๆมองแล้วหยิบมันมาอย่างช้าๆ

    “ใช่จริงๆด้วย” เลสเตอร์มองหนังสือเล่มนั้นอย่างตกตะลึง

    มันเป็นหนังสือเล่มสีแดง บนหน้าปกของมันเขียนไว้ว่า “บันทึกประวัติศาสตร์มังกร”

    “เหมือนกันไม่มีผิดเลยนะกับหนังสือเล่มนั้นของนาย” เอลเลียตพูดขึ้นมา

    “อืม เห็นบอกว่าเป็นหนังสือธรรมดาๆที่ทำให้เด็กอ่านท่าทางจะเป็นอย่างงั้นจริงๆ” เลสเตอร์มองมันอย่างหวนคิดถึง มันเหมือนกับหนังสือเล่มนั้นของเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยนยกเว้นก็แต่มันไม่มีเขี้ยวของสัตว์ร้ายในตำนานฝังอยู่

    “หนังสือเล่มนั้น?” นีลขมวดคิ้วขึ้น

    “หนังสือของเจ้าหมอนี่น่ะ ปู่ฉันเป็นคนให้เอง” เอลเลียตบอกจนเลสเตอร์ถึงกับขมวดคิ้วแต่ก่อนที่เจ้าตัวแสบจะได้พูดอะไรเอลเลียตก็เดินเข้าไปกระซิบข้างหูเบาๆ “อย่าพูดเรื่องเขี้ยวของมารามอสออกไปพล่อยๆเชียวล่ะ เรื่องนั้นน่ะถือเป็นความลับสุดยอด”

    “นายรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?

    “ปู่บอกมาน่ะ เอาเป็นว่านายเข้าใจที่ฉันพูดนะ”

    เลสเตอร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเบาๆเป็นสัญญาณเข้าใจซึ่งโชคดีที่นีลเองจะไม่ได้ถามอะไรต่อ

    “งั้นเราใช้เล่มนี้อ้างอิงกันดีมั้ย เจ้าเล่มนี่น่ะเป็นหนังสือภาพแถมแบ่งหน้าไว้ตัวละหน้าดูง่ายดีด้วย”

    “ก็ไม่เลวนะ” เอลเลียตพยักหน้าเห็นด้วยซึ่งนีลเองก็ไม่ต่างกัน

    “แค่เลือกก็เหนื่อยแล้ว ดราเชนเองก็มีตั้งร้อยเจ็ดสิบแปดตัวนี่นา” เลสเตอร์พูดจากจำนวนหน้าของหนังสือที่เขาจะได้

    “เอ๋? แต่ดราเชนที่มีทั้งหมดมีแค่หนึ่งร้อยสิบแปดตัวเองนะ” นีลขมวดคิ้วสงสัย

    “แต่หนังสือเล่มนั้นมันตัวละหน้านี่นา...” เลสเตอร์ถึงกับสะอึกไป

    “บางทีหนังสือเล่มนี้อาจจะรวมมังกรที่มีชื่อเสียงอื่นๆนอกจากดราเชนไว้ก็ได้” เอลเลียตหยิบหนังสือเล่มนั้นมาจากมือเลสเตอร์แล้วพลิกหน้าไปเรื่อยๆก่อนจะยื่นหน้าที่มีภาพของมังกรตัวใหญ่คนหนึ่ง “นี่ไงกุงเนียร์ เป็นมังกรประจำตัวของออราส นักรบมังกรผู้มีชื่อเสียงในช่วงต้นของยุคนี้ เจ้านี่ไม่ได้เป็นมังกรดั้งเดิมด้วยซ้ำ”

    “นี่ฉันเข้าใจผิดมาซักพักใหญ่ๆเลยเหรอเนี่ย”

    “ในชั้นหนังสือนี้ดูเหมือนจะมีหนังสือเล่มนี้อีกหลายเล่มอยู่ เราหยิบไปคนละเล่มแล้วหาชื่อเหมาะๆเอาแล้วกัน” เอลเลียตหยิบหนังสือหน้าตาเหมือนกันอีกสองเล่มจากชั้นหนังสือแล้วหยิบให้ทั้งสองคน

    “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าตัวไหนเป็นดราเชนตัวไหนไม่ใช่อะ” เลสเตอร์มีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นมา เอลเลียตเปิดไปที่หน้าของเวสปาร์แล้วชี้นิ้วไปที่ข้างๆของภาพประกอบตรงนั้นก็มีสัญลักษณ์กรงเล็บของมังกรที่ถูกวาดด้วยสีแดงสดปรากฏอยู่

    “นี่เป็นสัญลักษณ์ของดราเชนถ้าหน้าไหนมีเจ้านี่ก็แปลว่าเจ้านั่นเป็นดราเชนล่ะนะ”

    “อย่างงี้นี่เอง” ในระหว่างที่เลสเตอร์ใช้เวลากับหนังสือเล่มนี้ตลอดครึ่งปี เขาก็เห็นสัญลักษณ์นี้มาได้ซักพักแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจความหมายของมัน

    เมื่อได้หนังสือแล้ว พวกเขาก็เดินออกมาแล้วนั่งกันบนโต๊ะๆหนึ่งซึ่งอยู่ในโซนอ่านหนังสือที่จัดเตรียมไว้แล้วเริ่มเปิดหนังสือเล่มนั้นเพื่อหาชื่อที่ถูกใจ

    เลสเตอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่อ่านหน้าที่เหลือที่เขายังไม่ได้อ่านแม้จะไม่ได้มีภาพทะยานออกมาจากหน้ากระดาษแต่เลสเตอร์ก็ยังคงให้ความสนใจกับมันอย่างดีโชคดีที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรที่ละเอียดมากนักจึงทำให้อ่านได้ง่ายและรวดเร็วมาก

    เด็กทั้งสามคนค่อยๆใช้เวลากับมันอย่างช้าๆ ทีละหน้า ทีละหน้า

     

     

     

     

    เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เอลเลียตก็เป็นคนแรกที่ปิดหนังสือลงหนุ่มอีกสองคนหันไปมอง

    “ได้ตัวที่ถูกใจแล้วเหรอ” เลสเตอร์ถาม

    “ก็นะ มีตัวที่น่าสนใจอยู่แถมข้อมูลก็ไม่น่าจะหายากด้วย”

    “ตัวไหนกันล่ะ บอกผมหน่อยสิ” นีลถามต่ออีกคนซึ่งเอลเลียตก็ยกหน้าหนังสือของตัวเองขึ้นมาชูให้ทั้งสองดูแล้วชี้ไปที่ภาพของมังกรตัวนั้น

    “สกาล่า” ทั้งสองคนทวนชื่อนั้น

    “เจ้านี่น่ะเป็นมังกรตัวหนึ่งที่กำเนิดในยุคที่สองแต่ดันสร้างชื่อพอสมควรในยุคที่สามแถมยังเป็นพ่อของมังกรของมังกรชื่อดังอย่างเฮเบรัสด้วย”

    เฮเบรัส มิน่าละ เลสเตอร์รู้แล้วว่าทำไมเอลเลียตถึงเลือกเจ้ามังกรตัวนี้ ง่ายๆก็เพราะเจ้ามังกรตัวนี้ดันมีความเกี่ยวเนื่องกับมังกรผู้เป็นเจ้าของพลาน่าที่เจ้าตัวใช้อยู่

    “ก็ฟังดูดีนี่ หากเป็นมังกรในยุคที่สามก็น่าจะหาข้อมูลง่ายด้วย” นีลเองก็มองว่านั่นเป็นตัวเลือกที่ดี

    “แล้วพวกนายล่ะได้ตัวเลือกที่น่าสนใจมาบ้างมั้ย”

    “อืม ผมกะไว้แต่แรกแล้วว่าจะทำตัวที่มีถิ่นอาศัยในมารามน่ะซึ่งถ้านับตัวที่มีชื่อเสียงเองก็มีไม่เยอะหรอก”  นีลพูดขึ้นซึ่งเอาจริงๆเขาเองก็เคยได้ยินชื่อของมังกรเหล่านี้จากที่ตระกูลเขาบ่อยพอสมควร

    “เน้นอะไรที่ไกล้ตัวก่อนสินะ”

    “ดราเชนที่เกี่ยวข้องกับมารามนั้นก็มีอยู่หลายตัวอยู่หรอกแต่ว่าตัวที่มีชื่อเสียงจริงๆเหมือนจะมีแค่สองตัวนั่นคือ ราดาเกีย กับ เซโรนอส ผมเองยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาตัวไหนดี”

    “สองชื่อนั้นฉันเคยอ่านเจอนะ หายนะสีเทา ราดาเกีย กับ ทรราชแห่งมาราม เซโรนอสใช่มั้ย” เลสเตอร์กล่าวขึ้นมาจนเอลเลียตถึงกับแปลกใจเพราะชื่อพวกนั้นเขาก็พึ่งเคยเห็นในหนังสือเล่มตะกี้แบบผ่านๆแต่เจ้าหมอนี่ดันจำรายละเอียดได้มากกว่านั้น

    “ใช่เลย สองตัวนั้นแหละ ว่าแต่นายพูดเหมือนนายรู้จักมันดีเลยนะ”

    “ก็บอกแล้วไงว่าเคยอ่านเจอไปแล้วน่ะ อะไรที่อ่านไปแล้วฉันจำได้หมดแหละ” เลสเตอร์ยิ้มอย่างภูมิใจเพราะความจริงเขาเห็นแม้กระทั่งภาพของพวกมันที่ลอยออกมาจากหน้ากระดาษเลยด้วยซ้ำ

    ความอยากรู้อยากเห็นอันมากมายและรวดเร็วในการเรียนรู้ของเลสเตอร์ ทำให้เอลเลียตที่มองอยู่เริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยว่าทำไมฮะการ์ถึงยอมให้เจ้าหมอนี่กินดวงตามังกร

    “งั้นผมถามกลับมั่ง นายมีชื่อที่สนใจแล้วรึยังล่ะ”

    “ก็มีไว้ตัวนึงล่ะนะ”

    “ตัวไหนเหรอ?

    พอนีลถามจบเลสเตอร์ก็กางกระดาษไปที่หน้าเขาเลือกไว้ ภาพขนาดใหญ่ของมังกรตนนั้นก็ฉายเข้าสู่ดวงตาของทั้งสองคน

    มังกรสีม่วง รูปร่างเพรียวบาง ปีกของมันนั้นดูงดงามมากกว่าที่จะดูน่ากลัวและน่าเกรงขาม

    “มารามอส...มิน่าล่ะ” เอลเลียตพูดจากที่เห็นโดยหรี่เสียงประโยคหลังลง

    “มารามอส? ผมไม่เคยได้ยินชื่อเลยนะ” นีลขมวดคิ้วแน่นซึ่งความจริงแล้วเอลเลียตก็ไม่ต่างกันเพราะเขาเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจะกระทั่งฮะการ์เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เวย์แลนด์ให้เขาฟัง

    “ไหนปู่นายบอกว่าเป็นมังกรที่มีบทบาทสำคัญตัวนึงในประวัติศาสตร์ไง” เมื่อเลสเตอร์ได้ยินคำสงสัยของนีลเขาก็หันไปถามคนเป็นหลายชาย

    “ขนาดตัวประวัติศาสตร์ง่ายๆคนยังไม่ค่อยสนใจกันเลยแล้วอะไรที่ทำให้นายการันตีได้ว่ามังกรที่มีบทบาทสำคัญจะมีชื่อเสียงโด่งดังตาม”

    “เออ...มันก็จริงอยู่” เลสเตอร์ถึงกับสะอึกกับการสวนกลับนั้น “ถึงเจ้านี่จะไม่ค่อยมีคนรู้จักก็เถอะแต่เจ้านี่น่ะเป็นในลูกของอิกนิสเลยนะ เจ้านั่นพวกนายน่าจะรู้จักกันดีนี่”

    “อิกนิสน่ะมีลูกตั้งเยอะแยะ ไม่มีไครจำได้หมดหรอก” นีลหัวเราะแห้งๆ “ว่าแต่เขามีชื่อเสียงอะไรในประวัติศาสตร์เหรอ”

    “ไม่ใช่เขาสิ เจ้านี่น่ะเป็นเพศเมียนะ” เลสเตอร์แก้คำสรรพนามให้ “อืม...เท่าที่อ่านมาเหมือนเจ้านี่จะมีชื่อเสียงทั้งด้านดีและด้านร้ายนะ”

    “ก็เป็นปกติของมังกรล่ะนะ”

    “ว่าแต่ทำไมถึงสนใจเจ้านี่เหรอ” นีลถามเพราะงานแบบนี้ควรจะเลือกมังกรดังๆที่หาข้อมูลง่ายๆมากกว่า

    “ปู่ฮะการ์เล่าให้ฟังแล้วสนใจน่ะ” เลสเตอร์โกหกไปแบบนั้น

    “ว่าแต่มันเป็นมังกรแบบไหนเหรอ” คราวนี้เอลเลียตเป็นถามขึ้นมา

    “ปู่นายไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ”

    “ฉันรู้แค่ชื่อนอกนั้นไม่ได้รู้อะไรเลย” คนเป็นหลานชายไหวไหล่ เลสเตอร์ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาเข้าใจดีว่าฮะการ์ก็มักจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

    “มารามอส บุตรีแห่งอิกนิสและอิมพีเรียล มังกรที่ได้รับการขนานนามว่า มังกรแห่งความฝัน” เลสเตอร์อ่านข้อมูลในหน้ากระดาษช้าๆ

    “มังกรแห่งความฝัน?” ทั้งสองคนทวนคำ

    “ในนี้มันไม่ได้เขียนอะไรไว้ละเอียดนักหรอกแต่เท่าที่อ่านมาเหมือนมันจะได้ฉายานี้มาเพราะเรื่องที่มันทำกับมนุษย์ในยุคที่สองน่ะนะ”

    “เรื่องอะไร?

    “กล่าวกันว่ามังกรตัวนี้น่ะสะกดจิตเหล่ามนุษย์มาเป็นทาสน่ะสิ” เลสเตอร์กล่าวเรียบๆแต่มันทำให้ทั้งสองคนขมวดคิ้วแน่น

    “สะกดจิตที่ว่านี่คือยังไง?” เอลเลียตจี้ข้อสงสัย

    “ไม่รู้สิ ในหนังสือเล่มนี้มันเป็นแค่ประวัติคร่าวๆถ้าจะให้ลงลึกไปกว่านี้คงต้องไปหาเพิ่มเอาล่ะนะ”

    “สะกดจิตเหรอ ดูเป็นพลาน่าพิเศษที่ประหลาดจัง”

    “ใช่ ประหลาดมากๆ” เอลเลียตเสริมอีกคน

    พลาน่าพิเศษของดราเช่นส่วนใหญ่แม้ว่าจะมีลักษณะเฉพาะที่แปลกแยกชัดเจนแต่ส่วนมากมักจะเป็นความสามารถที่เสริมพลังทางกายภาพเสียมากกว่า

    นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาได้ยินว่าพลาน่าสามารถใช้สะกดจิตคนได้ด้วย

    “ว่าแต่จะเอาตัวนี้จริงๆเหรอ มีหลายตัวที่น่าจะง่ายกว่านี้นะ” นีลถามเพื่อความแน่ใจ

    “อืม ตัวนี้แหละไม่เปลี่ยนหรอก” เลสเตอร์ยืนยันหนักแน่น

    “งั้นตอนนี้เราทุกคนก็ได้หัวข้อกันแล้วล่ะนะ เหลือแค่หาข้อมูลเชิงลึกจากหนังสือเล่มอื่นๆ” เอลเลียตลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบหนังสือเล่มสีแดงขึ้นมา “ยังไงตอนนี้เราก็ว่าง รีบๆใช้เวลานี้หาข้อมูลให้มากที่สุดละกัน”

    เลสเตอร์กับนีลพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อเออหนังสือเล่มนี้ไปเก็บและหาหนังสือเล่มอื่นที่ให้ข้อมูลละเอียดกว่านี้

    เลสเตอร์ก้มมองภาพของมังกรสีม่วงตัวนั้นอย่างจริงจัง มังกรที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตสิบสองปีของเขา มังกรที่เป็นต้นเหตุให้เขามาอยู่ที่นี่ มังกรที่เป็นคนผูกโชคชะตาประหลาดๆนี้มาให้เขา

    มารามอส มังกรแห่งความฝัน

    ประกายตาของเลสเตอร์ฉายแววจริงจัง เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะศึกษาเรื่องของมังกรตัวนี้อย่างจริงจัง ว่าแล้วก็นึกขำตัวเองเพราะตลอดมาทั้งชีวิตนี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเขาพยายามทำสิ่งที่คล้ายกับการตั้งใจเรียน

    “เอาล่ะ งั้นเรามาทำความรู้จักกันหน่อยแล้วกัน มารามอส” เด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์ปิดหนังสือลงแล้วเริ่มต้นปฏิบัติการหาข้อมูลทันที

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×