คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Ep.1 Chapter 13 - ประวัติศาสตร์มังกร
Chapter 13
Dragon History
ประวัติศาสตร์มังกร
ประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้เริ่มต้นขึ้นมาอย่างไม่แน่ชัด
มันถูกบันทึกขึ้นผ่านเหล่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆและถูกเรียบเรียงโดยเหล่านักรบมังกรรุ่นแรก
ประวัติศาสตร์ทั้งหมดถูกแบ่งเป็นทั้งหมดสี่ยุค
ยุคที่หนึ่ง หรือ ยุคบรรพกาล คือ
ช่วงเวลาเริ่มแรกของประวัติศาสตร์ที่ไร้ซึ่งเหล่ามนุษย์ ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะในช่วงเวลานั้นยังไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ก่อกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้
เรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับการบันทึกนั้นมาจากคำบอกเล่าอันยาวนานของเหล่ามังกรเท่านั้น
ยุคสมัยแห่งนี้ปกครองด้วยมังกรสามตนซึ่งถูกเรียกว่า “สามราชันย์”
ซึ่งมีนามได้แก่ “เฮคเตอร์ ชิลฟิล่า และ อารอน”
นี่คือนามของเหล่ามังกรที่ปกครองยุคสมัยนี้และในยามที่ราชันย์ทั้งสามคนสิ้นชีพลงเมื่อนั้นก็เป็นเวลาสิ้นสุดยุคสมัยที่หนึ่งของประวัติศาสตร์โลก
แต่ก่อนที่จะสิ้นชีพนั้น
เฮคเตอร์กับซิลฟิล่าได้ให้กำเนิดบุตรขึ้นมาหนึ่งคน
บุตรคนนั้นได้เติบโตอย่างกล้าแข็งและทรงพลังจนเมื่อถึงการสิ้นชีพของบิดามารดาของตน
มังกรตนนั้นก็ได้กลายเป็นราชันย์แห่งยุคต่อไปและมังกรตนนั้นมีนามว่า “อิกนิส”
ยุคที่สอง หรือ ยุครุ่งเรืองสูงสุดของเหล่ามังกร
ใต้การปกครองของอิกนิสผู้ได้รับการขนานนามมาจนถึงอนาคตว่ามังกรที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์
แผ่นดินแอนทีคก็ได้กลายเป็นแดนสวรรค์ของเหล่ามังกร
นี่คือยุคที่เหล่ามังกรแสนทรงพลังทั้งหลายได้ถือกำเนิดขึ้นมามากที่สุด
และในขณะเดียวกันที่แผ่นดินแห่งนี้ก็ได้ก่อกำเนิดเผ่าพันธุ์ใหม่
เผ่าพันธุ์เล็กๆซึ่งไร้พลังอำนาจแต่แฝงไปด้วยปัญญาและชื่อของเผ่าพันธุ์นั้นก็คือ
มนุษย์
เหล่ามนุษย์ได้ใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆกับเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเสมือนเทพเจ้าเหล่านั้นมายาวนับพันปีและบันทึกประวัติศาสตร์ของโลกเรื่อยมาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ขึ้น
เหตุการณ์นั้นเป็นชนวนที่ทำให้สิ้นสุดยุคที่สองลง
เหตุการณ์นั้นมีนามว่า “สงครามเจ็ดวัน”
เมื่อ “ไทราส และ เวสปาร์” บุตรทั้งสองของอิกนิสได้ตัดสินใจทำการกบฏเพื่อแย่งบัลลังค์ราชันย์ต่อบิดาของตน
มังกรหลายหมื่นหลายแสนตนได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายและทำสงครามที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมาและคงไม่มีอีกแล้วในอนาคตซึ่งกินเวลาเพียงเจ็ดวัน
กล่าวกันว่าสงครามในครั้งนี้นั้นได้ทำให้มังกรมากกว่าครึ่งต้องล้มหายตายจากไปและที่สำคัญคือบุตรทั้งสองผู้ทำการโค่นล้มบิดาตนเองอย่างไทราสและเวสปาร์หรือแม้กระทั่งตัวอิกนิสเองก็ได้สิ้นชีพลงจากสงครามครั้งนี้
เป็นการสิ้นสุดยุคที่สอง
ยุคที่สาม หรือ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น
กล่าวกันว่าในช่วงต้นของยุคนั้นเป็นช่วงเวลาที่ไร้ระเบียบที่สุดช่วงเวลาหนึ่งในสังคมของเหล่ามังกร
เนื่องจากเหล่ามังกรทั้งหลายยังคงบอบช้ำจากสงครามในครั้งนั้นอยู่ในช่วงเวลานั้น
ไร้ซึ่งผู้ปกครองและไร้ซึ่งราชันย์ จนในที่สุดก็มีมังกรตนหนึ่งได้แสดงอำนาจของตนเองและขึ้นปกครองเป็นราชันย์ซึ่งมังกรตนนั้นมีนามว่า
“เออร์มิน”
เออร์มินได้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปตลอดการนั่นคือ
การแบ่งพลังให้เหล่ามนุษย์เพื่อให้เหล่ามนุษย์ของช่วยเหลือและดูแลสังคมของเหล่ามังกร
ในตอนแรกนั้นเหล่ามนุษย์ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนัก
พวกเขาไม่ได้ต่างอะไรกับมดแมลงสำหรับเหล่ามังกรแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนั้น
เหล่ามนุษย์ก็ทรงพลังอำนาจมากขึ้นเรื่อย
พวกเขาเริ่มสร้างสังคมและรากฐานบนแอนทีคแห่งนี้จนกระทั่งเมื่อเออร์มินสิ้นใจลงก็ถึงคราวสิ้นสุดของยุคที่สามและเริ่มต้นยุคใหม่
ยุคที่สี่ หรือ ยุคแห่งมนุษย์ นั่นเอง
นี่คือประวัติคร่าวๆของแอนทีคซึ่งเลสเตอร์ได้นั่งฟังในระหว่างคาบวิชาประวัติศาสตร์มังกรของศาตราจารย์เจอรัลซึ่งความจริงแล้วก็มีเรื่องที่ลงลึกกว่านี้พอสมควรแต่สำหรับเวลาสามชั่วโมงนี่เป็นจุดสูงสุดที่สมองของเขาสามารถรองรับได้แล้ว
“ให้ตายเถอะ เหมือนหัวจะระเบิดเลยนะ”
เลสเตอร์ถอนหายใจแล้วยืดมือบิดขี้เกียจไปบนโต๊ะเพราะแม้เรื่องพวกนี้ดีเลียจะเคยสอนเขามาบ้างแล้วแต่มันบางมากๆถ้าเทียบกับการที่เขาได้เรียนในคาบนี้
นี่คือวันที่สองแล้วที่พวกเขาได้มาอยู่ที่เวสปาร์ทาวเวอร์
หลังจากคาบวิชาของเอลวินเมื่อวานก็ไม่ได้มีการเรียกตัวอีกเลยในวันนั้น
เด็กๆทั้งสามคนใช้เวลาเดินเที่ยวในหอคอยแห่งนี้และรีบเข้านอนแต่หัวค่ำซึ่งเมื่อตื่นเช้ามาพวกเขาก็อาบน้ำกินข้าวตามปกติจนกระทั่งเมื่อเวลาเก้าโมงเช้าก็มีสัญญาณเรียกตัวจากศาตราจารย์เจอรัลเรียกพวกเขามาที่ห้องเรียนห้องหนึ่งที่ชั้นสิบสาม
“ความจริงคนส่วนใหญ่กว่าครึ่งของที่สอนในคาบนี้ก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้วแต่สำหรับคนจากเวย์แลนด์อย่างนายก็คงต้องเหนื่อยหน่อยล่ะนะ”
นีลลูบหลังเลสเตอร์ที่เหมือนจะล้มพับไปได้ทุกเมื่อ
“แต่นายก็ฟังได้จนจบนะ
บางคนนี่ถึงกับหลับไปแล้วด้วยซ้ำ”
เอลเลียตมองไปรอบๆห้องเรียนก็เห็นเด็กบางคนถึงกับนอนหลับน้ำลายย้อยไปแล้วและผู้สอนอย่างเจอรัลเองก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ
เขาแค่พูดเนื้อหาวิชาต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่สนใจ
“ก็อย่างที่บอกสำหรับฉันเรื่องพวกนี้มันน่าสนใจดีก็เลยพอจะฟังได้
ลองเป็นวิชาอย่างเลขดูสิ ฉันก็มีสภาพไม่ต่างจากพวกนั้นหรอก”
เอลเลียตกับนีลหันมามองหน้ากันชั่ววูบเพราะสำหรับพวกเขาแล้วการที่มีคนนั่งฟังวิชาประวัติศาสตร์มังกรได้ตลอดสามชั่วโมงโดยหลุดสมาธิเลยถือว่าเป็นเรื่องที่โคตรจะแปลก
“เอาล่ะ คาบนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้วนะ ใครมีคำถามอะไรก็มาถามกับข้าได้”
ชายชราผมหงอกยาวพูดด้วยสีหน้าเรียบๆเพราะเขารู้ดีว่าคงไม่มีใครมาหรอก “อ้อ
แล้วข้ามีงานที่จะให้พวกเจ้าเป็นทำนอกเวลาซักหน่อยด้วย คงจะไม่มีปัญหาใช่มั้ย”
เสียงโอดครวญดังระงมอีกครั้งเพราะยังไงก็ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับอาจารย์อยู่แล้ว
“เรื่องภายในคาบที่เราเรียนไปวันนี้เป็นประวัติศาสตร์คร่าวๆของเหล่ามังกรและโลกใบนี้
พวกเจ้าคงได้ยินชื่อของมังกรบางตัวที่มีบทบาทสำคัญในนั้นแล้วสินะ”
สามราชันย์ อิกนิส ไทราส เวสปาร์ และ เออร์มิน
แน่นอนว่าชื่อเหล่านี้คือชื่อของ...
“ดราเชน” เลสเตอร์พึมพำเบาๆ
“ข้าต้องการให้พวกเจ้าทำรายงานมาส่งข้า
เกี่ยวกับประวัติและข้อมูลเชิงลึกของดราเชนหนึ่งตนซึ่งพวกเจ้าจะเลือกตนไหนก็ได้สุดแล้วแต่เจ้าแต่มีข้อแม้ก็คือห้ามเป็นชื่อที่เรากล่าวกันไปในคาบนี้และดราเชนในยุคที่สี่เพราะเรื่องของพวกนั้นพวกเจ้าก็คงรู้ดีอยู่แล้วจะหามายังไงก็ได้เรื่องของพวกเจ้า
ส่งภายในสองอาทิตย์ถัดไป”
“อา...มีการบ้านด้วยเหรอเนี่ย”
ความทรงจำในโรงเรียนของเลสเตอร์หวนกลับมา
ต้นคาบเราก็เช็คชื่อกันไปแล้ว งั้นก็แค่นี้แหละ
เลิกได้” พอสั่งงานจบเจอรัลก็สั่งปล่อยเด็กทุกคนทันที
ในระหว่างที่เด็กคนอื่นๆกำลังเดินออกจากห้องอยู่
ก๊วนเด็กทั้งสามแห่งห้องหมายเลขห้าสิบห้าก็ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพราะไม่อยากเสียเวลาเดินเบียดออกจากห้อง
“ดราเชนเหรอ? ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ด้วยสิ” นีลพูดขึ้น
“มีชื่อไหนไว้ในใจบ้างรึเปล่า”
เอลเลียตถามเพราะตอนนี้เขาเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเอาดราเชนตัวไหนดี
“ดูจากท่าทางการสอนแล้วผมว่าศาตราจารย์เจอรัลน่าจะเป็นพวกจริงจังกับเนื้อหาพอสมควร
ทำลวกๆไม่ได้แน่” นีลครุ่นคิดพิจารณาช้าๆ
“ถ้าจะทำผมก็คงทำตัวที่เกี่ยวกับมารามล่ะนะ ว่าแต่เอลเลียตล่ะมีชื่อไหนไว้ในใจบ้างรึเปล่า”
“ยังไม่มีเลย” เอลเลียตส่ายหน้า
“แล้วเลสเตอร์ล่ะ”
“อืม...ฉันก็รู้จักชื่อดราเชนมาเยอะอยู่ล่ะนะ
แต่ว่าถ้าให้เลือกว่าจะเอาตัวไหนดีตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน”
เลสเตอร์ส่ายหน้าอีกคน นีลแปลกใจเพราะเขานึกว่าเลสเตอร์จะบอกว่าไม่รู้จักซักชื่อเลยซะอีก
“งั้นอย่างแรกที่ต้องทำก่อนคือหาดราเชนของแต่ละคนก่อนสินะ”
“สรุปง่ายๆคือต้องหาแหล่งข้อมูลนั่นแหละ”
เอลเลียตเห็นด้วย
“ถ้าหนังสือของฉันยังอยู่ก็ดีสิ”
เลสเตอร์คิดถึงหนังสือสีแดงแสนรักของเขาขึ้นมาทันใด
“หนังสือ?” นีลเลิกคิ้ว
“มันเป็นหนังสือชื่อ บันทึกประวัติศาสตร์มังกรน่ะ
ในนั้นมีมีข้อมูลของดราเชนอยู่เป็นร้อยๆตัวเลย”
“จริงสิ
หากจะหาข้อมูลแล้วหาด้วยหนังสือน่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด”
“พอพูดถึงหนังสือแล้ว
ที่ที่น่าจะหามันได้ง่ายที่สุดก็คงเป็น...”
เอลเลียตเหมือนจะพึ่งนึกอะไรบางอย่างออก
“นายเองก็น่าจะคิดเหมือนผมใช่มั้ย?”
“อืม นี่กี่โมงแล้วล่ะ”
เอลเลียคแหงนขึ้นไปดูนาฬิกาที่แขวนไว้ในห้อง “เที่ยงเหรอ
หวังว่าคาบบ่ายจะไม่มีคาบเรียนแล้วกันนะพอกินข้าวเสร็จเราจะได้ไปกันเลย
อย่างน้อยวันนี้ก็น่าจะได้ชื่อเหมาะๆมาซักชื่อ”
“หือ? ไปไหนอีกล่ะ” คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องในที่นี้ถามออกมา
เด็กหนุ่มอีกสองคนที่เหลือหันมาตอบแทนจะพร้อมกัน
“ห้องสมุดไงล่ะ”
ห้องสมุดของเวสปาร์ทาวเวอร์ได้รับการขนานนามว่าแหล่งความรู้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในแอนทีค
ทั้งเอลเลียตและนีลต่างก็เคยได้ยินชื่อเสียงของที่นี่มานานแต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ไม่เคยมาเห็นของจริงซักที
และเมื่อมาถึงสถานที่ดังกล่าวเด็กทั้งสามคนก็เข้าใจทันทีว่าทำไมมันถึงถูกเรียกแบบนั้น
เพราะมันคือชั้นที่สิบห้าถึงยี่สิบสองของหอคอยแห่งนี้ทั้งชั้น
“หนังสือโคตรเยอะเลย” เลสเตอร์มองไปรอบๆเขาก็ไม่เห็นอะไรนอกจากชั้นหนังสือและหนังสือนับหมื่นนับแสนเล่มทีเรียงรายอยู่
มิหนำซ้ำชั้นหนังสือแต่ละชั้นยังสูงมากอีกด้วย
“ฉันก็ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้
หนังสือที่ปราสาทเรายังน้อยไปเลย ไม่สิ เทียบกันไม่ได้เลยต่างหาก” แม้แต่เอลเลียตอดทึ่งไม่ได้
“เหอะๆ ที่ปราสาทผมแทบจะไม่มีหนังสือเลยด้วยซ้ำ”
“ที่บ้านฉันก็มีหนังสือเหมือนกันนะ”
เลสเตอร์พูดแทรกขึ้นมา “หนังสือการ์ตูนน่ะ”
พอได้ยินแบบนั้นเอลเลียตก็ถอนหายใจออกมา
เลสเตอร์เองก็ได้ความรู้ใหม่มาดูเหมือนว่าที่ทวีปนี้ก็มีหนังสือการ์ตูนเหมือนกัน
“ว่าแต่เยอะขนาดนี้เราจะหาหนังสือที่ต้องการกันยังไงไหว”
เลสเตอร์ตั้งคำถามเพราะถ้าจะให้ไล่หาแค่ชั้นเดียวก็กินเวลาเป็นวันๆแล้ว
“ไม่ยากหรอก
ที่นี่เป็นห้องสมุดลองหาบรรณารักษ์ดูสิ” เอลเลียตชี้นิ้วไปทางเคาเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ก่อนทางเข้าโซนชั้นหนังสือ
ที่นั่นมีชายแก่คนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
ว่าแล้วสามหน่อก็เดินเข้าไปหาชายชราคนนั้นซึ่งตัวบรรณารักษ์เองก็เหมือนจะสังเกตได้ถึงผู้มาใหม่
เอลเลียตก้มมองป้ายชื่อที่วางอยู่บนเคาเตอร์ ดูเหมือนชายชราคนนี้จะชื่อว่า จอห์น
“พวกเจ้ามาหาหนังสือสินะ อยากถามอะไรถามได้เลยนะ”
จอห์นยิ้มกว้างอย่างใจดีจนเด็กทั้งสามคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเพราะตั้งแต่พวกเขามาที่หอคอยแห่งนี้บอกได้เลยว่าไม่ค่อยมีคนใจดีๆแบบนี้มากนักหรอก
เท่าที่นึกออกก็มีแค่คุณนายเพนเทลคนเดียว
“เอ่อ พวกผมอยากได้หนังสือรวบรวมข้อมูลของดราเชนในยุคก่อนน่ะครับ”
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามสุภาพมา
เลสเตอร์เลยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่เขาไม่ค่อยใช้บ่อยนัก
“ดราเชนในยุคก่อน? แปลกดีนะเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้นักหรอก
ดูๆแล้วคงเป็นการบ้านล่ะสิท่า” จอห์นจี้ได้อย่างตรงใจจนทั้งสามคนต้องยิ้มแห้งๆออกมา
“เป็นรายงานของวิชาประวัติศาสตร์มังกรน่ะครับพึ่งโดนสั่งมาเดี๋ยวนี้เอง”
นีลบอก
“งานของศาตราจารย์เจอรัลน่ะเหรอ
ถ้าทำไม่ดีรับรองโดยประเมินเสียๆหายๆแน่” จอห์นพูดเตือนไว้ซึ่งเอาจริงๆทั้งสามคนไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้มากซักเท่าไหร่เพราะยังไงพวกเขาก็มีสังกัดอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องกระเหี้ยนกระหือทำคะแนนเหมือนคนอื่นๆเขา
ชายชราหยิบกระดาษเล็กๆที่ถูกตัดไว้ขึ้นมาแล้วบรรจงเขียนหมายเลขอะไรบางอย่างลงไป
“ไปที่สุดทางขวามือของตรงนู้นนะ”
จอห์นยื่นกระดาษให้พร้อมกับชี้นิ้ว
“จากนั้นหาชั้นที่ฉันเขียนหมายเลขไว้ในกระดาษนี้ รับรองว่ามีหนังสือที่พวกเธอต้องการเต็มไปหมดเลยล่ะ”
“ขอบคุณมากครับ” เอลเลียตเป็นคนรับไว้
“แล้วก็อย่าส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นเขาด้วยล่ะ
ที่นี่น่ะไม่ได้มีแต่นักเรียนของที่นี่หรอกนะ”
จอห์นทิ้งท้ายทั้งสามคนพยักหน้าแล้วเดินออกมา
อย่างที่จอห์นได้บอกไว้ ห้องสมุดของเวสปาร์ทาวเวอร์นั้นถือเป็นแหล่งความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเพราะงั้นจึงไม่แปลกที่มักจะมีคนจากทั่วสารทิศมาใช้งานกันซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นเหล่าผู้ที่อยู่ในสังคมนักรบมังกรเนี่ยแหละ
พวกเขาเดินไปเรื่อยๆเพื่อค้นหาชั้นที่เขียนอยู่ในกระดาษ
ในไม่นานพวกเขาก็พบกับชั้นหมายเลขที่ว่าจนได้
“หมายเลขที่เขียนไว้มีหลายสิบหมายเลขแต่ก็อยู่ในโซนนี้แหละ”
เอลเลียตพูดหลังจากมองชั้นจำนวนมาก
“นี่แค่หนังสือหมวดเดียวเยอะได้ขนาดนี้เลยเหรอ
ผมไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะนะ
ดูจากที่ลุงบรรณารักษ์คนนั้นบอกมาถ้าจะทำรายงานให้มันละเอียดก็คงต้องหาข้อมูลจากหนังสือหลายเล่มล่ะนะ”
เลสเตอร์มองชั้นหนังสือจำนวนมากด้วยความเหนื่อยใจ
“แต่ยังไงวันนี้เราก็แค่มาหาชื่อซักชื่อใช่มั้ยล่ะ
หยิบๆมาซักเล่มที่เป็นรวมประวัติของดราเชนมาก็พอ”
เอลเลียตเสนอซึ่งทั้งสองคนก็เห็นด้วยเพราะพวกเขาเองก็ไม่อยากจะเหนื่อยขนาดนั้นเหมือนกัน
ในตอนนั้นเองเลสเตอร์ก็ดันบังเอิญเห็นสันหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตา
เขาค่อยๆมองแล้วหยิบมันมาอย่างช้าๆ
“ใช่จริงๆด้วย”
เลสเตอร์มองหนังสือเล่มนั้นอย่างตกตะลึง
มันเป็นหนังสือเล่มสีแดง
บนหน้าปกของมันเขียนไว้ว่า “บันทึกประวัติศาสตร์มังกร”
“เหมือนกันไม่มีผิดเลยนะกับหนังสือเล่มนั้นของนาย”
เอลเลียตพูดขึ้นมา
“อืม
เห็นบอกว่าเป็นหนังสือธรรมดาๆที่ทำให้เด็กอ่านท่าทางจะเป็นอย่างงั้นจริงๆ”
เลสเตอร์มองมันอย่างหวนคิดถึง
มันเหมือนกับหนังสือเล่มนั้นของเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยนยกเว้นก็แต่มันไม่มีเขี้ยวของสัตว์ร้ายในตำนานฝังอยู่
“หนังสือเล่มนั้น?” นีลขมวดคิ้วขึ้น
“หนังสือของเจ้าหมอนี่น่ะ ปู่ฉันเป็นคนให้เอง” เอลเลียตบอกจนเลสเตอร์ถึงกับขมวดคิ้วแต่ก่อนที่เจ้าตัวแสบจะได้พูดอะไรเอลเลียตก็เดินเข้าไปกระซิบข้างหูเบาๆ
“อย่าพูดเรื่องเขี้ยวของมารามอสออกไปพล่อยๆเชียวล่ะ
เรื่องนั้นน่ะถือเป็นความลับสุดยอด”
“นายรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
“ปู่บอกมาน่ะ เอาเป็นว่านายเข้าใจที่ฉันพูดนะ”
เลสเตอร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเบาๆเป็นสัญญาณเข้าใจซึ่งโชคดีที่นีลเองจะไม่ได้ถามอะไรต่อ
“งั้นเราใช้เล่มนี้อ้างอิงกันดีมั้ย เจ้าเล่มนี่น่ะเป็นหนังสือภาพแถมแบ่งหน้าไว้ตัวละหน้าดูง่ายดีด้วย”
“ก็ไม่เลวนะ”
เอลเลียตพยักหน้าเห็นด้วยซึ่งนีลเองก็ไม่ต่างกัน
“แค่เลือกก็เหนื่อยแล้ว
ดราเชนเองก็มีตั้งร้อยเจ็ดสิบแปดตัวนี่นา”
เลสเตอร์พูดจากจำนวนหน้าของหนังสือที่เขาจะได้
“เอ๋? แต่ดราเชนที่มีทั้งหมดมีแค่หนึ่งร้อยสิบแปดตัวเองนะ”
นีลขมวดคิ้วสงสัย
“แต่หนังสือเล่มนั้นมันตัวละหน้านี่นา...”
เลสเตอร์ถึงกับสะอึกไป
“บางทีหนังสือเล่มนี้อาจจะรวมมังกรที่มีชื่อเสียงอื่นๆนอกจากดราเชนไว้ก็ได้”
เอลเลียตหยิบหนังสือเล่มนั้นมาจากมือเลสเตอร์แล้วพลิกหน้าไปเรื่อยๆก่อนจะยื่นหน้าที่มีภาพของมังกรตัวใหญ่คนหนึ่ง
“นี่ไงกุงเนียร์ เป็นมังกรประจำตัวของออราส นักรบมังกรผู้มีชื่อเสียงในช่วงต้นของยุคนี้ เจ้านี่ไม่ได้เป็นมังกรดั้งเดิมด้วยซ้ำ”
“นี่ฉันเข้าใจผิดมาซักพักใหญ่ๆเลยเหรอเนี่ย”
“ในชั้นหนังสือนี้ดูเหมือนจะมีหนังสือเล่มนี้อีกหลายเล่มอยู่
เราหยิบไปคนละเล่มแล้วหาชื่อเหมาะๆเอาแล้วกัน”
เอลเลียตหยิบหนังสือหน้าตาเหมือนกันอีกสองเล่มจากชั้นหนังสือแล้วหยิบให้ทั้งสองคน
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าตัวไหนเป็นดราเชนตัวไหนไม่ใช่อะ”
เลสเตอร์มีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นมา
เอลเลียตเปิดไปที่หน้าของเวสปาร์แล้วชี้นิ้วไปที่ข้างๆของภาพประกอบตรงนั้นก็มีสัญลักษณ์กรงเล็บของมังกรที่ถูกวาดด้วยสีแดงสดปรากฏอยู่
“นี่เป็นสัญลักษณ์ของดราเชนถ้าหน้าไหนมีเจ้านี่ก็แปลว่าเจ้านั่นเป็นดราเชนล่ะนะ”
“อย่างงี้นี่เอง” ในระหว่างที่เลสเตอร์ใช้เวลากับหนังสือเล่มนี้ตลอดครึ่งปี
เขาก็เห็นสัญลักษณ์นี้มาได้ซักพักแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจความหมายของมัน
เมื่อได้หนังสือแล้ว
พวกเขาก็เดินออกมาแล้วนั่งกันบนโต๊ะๆหนึ่งซึ่งอยู่ในโซนอ่านหนังสือที่จัดเตรียมไว้แล้วเริ่มเปิดหนังสือเล่มนั้นเพื่อหาชื่อที่ถูกใจ
เลสเตอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่อ่านหน้าที่เหลือที่เขายังไม่ได้อ่านแม้จะไม่ได้มีภาพทะยานออกมาจากหน้ากระดาษแต่เลสเตอร์ก็ยังคงให้ความสนใจกับมันอย่างดีโชคดีที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรที่ละเอียดมากนักจึงทำให้อ่านได้ง่ายและรวดเร็วมาก
เด็กทั้งสามคนค่อยๆใช้เวลากับมันอย่างช้าๆ
ทีละหน้า ทีละหน้า
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง
เอลเลียตก็เป็นคนแรกที่ปิดหนังสือลงหนุ่มอีกสองคนหันไปมอง
“ได้ตัวที่ถูกใจแล้วเหรอ” เลสเตอร์ถาม
“ก็นะ มีตัวที่น่าสนใจอยู่แถมข้อมูลก็ไม่น่าจะหายากด้วย”
“ตัวไหนกันล่ะ บอกผมหน่อยสิ” นีลถามต่ออีกคนซึ่งเอลเลียตก็ยกหน้าหนังสือของตัวเองขึ้นมาชูให้ทั้งสองดูแล้วชี้ไปที่ภาพของมังกรตัวนั้น
“สกาล่า” ทั้งสองคนทวนชื่อนั้น
“เจ้านี่น่ะเป็นมังกรตัวหนึ่งที่กำเนิดในยุคที่สองแต่ดันสร้างชื่อพอสมควรในยุคที่สามแถมยังเป็นพ่อของมังกรของมังกรชื่อดังอย่างเฮเบรัสด้วย”
‘เฮเบรัส มิน่าละ’
เลสเตอร์รู้แล้วว่าทำไมเอลเลียตถึงเลือกเจ้ามังกรตัวนี้
ง่ายๆก็เพราะเจ้ามังกรตัวนี้ดันมีความเกี่ยวเนื่องกับมังกรผู้เป็นเจ้าของพลาน่าที่เจ้าตัวใช้อยู่
“ก็ฟังดูดีนี่
หากเป็นมังกรในยุคที่สามก็น่าจะหาข้อมูลง่ายด้วย” นีลเองก็มองว่านั่นเป็นตัวเลือกที่ดี
“แล้วพวกนายล่ะได้ตัวเลือกที่น่าสนใจมาบ้างมั้ย”
“อืม
ผมกะไว้แต่แรกแล้วว่าจะทำตัวที่มีถิ่นอาศัยในมารามน่ะซึ่งถ้านับตัวที่มีชื่อเสียงเองก็มีไม่เยอะหรอก”
นีลพูดขึ้นซึ่งเอาจริงๆเขาเองก็เคยได้ยินชื่อของมังกรเหล่านี้จากที่ตระกูลเขาบ่อยพอสมควร
“เน้นอะไรที่ไกล้ตัวก่อนสินะ”
“ดราเชนที่เกี่ยวข้องกับมารามนั้นก็มีอยู่หลายตัวอยู่หรอกแต่ว่าตัวที่มีชื่อเสียงจริงๆเหมือนจะมีแค่สองตัวนั่นคือ
ราดาเกีย กับ เซโรนอส ผมเองยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาตัวไหนดี”
“สองชื่อนั้นฉันเคยอ่านเจอนะ หายนะสีเทา ราดาเกีย
กับ ทรราชแห่งมาราม เซโรนอสใช่มั้ย”
เลสเตอร์กล่าวขึ้นมาจนเอลเลียตถึงกับแปลกใจเพราะชื่อพวกนั้นเขาก็พึ่งเคยเห็นในหนังสือเล่มตะกี้แบบผ่านๆแต่เจ้าหมอนี่ดันจำรายละเอียดได้มากกว่านั้น
“ใช่เลย สองตัวนั้นแหละ
ว่าแต่นายพูดเหมือนนายรู้จักมันดีเลยนะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าเคยอ่านเจอไปแล้วน่ะ
อะไรที่อ่านไปแล้วฉันจำได้หมดแหละ” เลสเตอร์ยิ้มอย่างภูมิใจเพราะความจริงเขาเห็นแม้กระทั่งภาพของพวกมันที่ลอยออกมาจากหน้ากระดาษเลยด้วยซ้ำ
ความอยากรู้อยากเห็นอันมากมายและรวดเร็วในการเรียนรู้ของเลสเตอร์
ทำให้เอลเลียตที่มองอยู่เริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยว่าทำไมฮะการ์ถึงยอมให้เจ้าหมอนี่กินดวงตามังกร
“งั้นผมถามกลับมั่ง
นายมีชื่อที่สนใจแล้วรึยังล่ะ”
“ก็มีไว้ตัวนึงล่ะนะ”
“ตัวไหนเหรอ?”
พอนีลถามจบเลสเตอร์ก็กางกระดาษไปที่หน้าเขาเลือกไว้
ภาพขนาดใหญ่ของมังกรตนนั้นก็ฉายเข้าสู่ดวงตาของทั้งสองคน
มังกรสีม่วง รูปร่างเพรียวบาง
ปีกของมันนั้นดูงดงามมากกว่าที่จะดูน่ากลัวและน่าเกรงขาม
“มารามอส...มิน่าล่ะ”
เอลเลียตพูดจากที่เห็นโดยหรี่เสียงประโยคหลังลง
“มารามอส? ผมไม่เคยได้ยินชื่อเลยนะ”
นีลขมวดคิ้วแน่นซึ่งความจริงแล้วเอลเลียตก็ไม่ต่างกันเพราะเขาเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจะกระทั่งฮะการ์เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เวย์แลนด์ให้เขาฟัง
“ไหนปู่นายบอกว่าเป็นมังกรที่มีบทบาทสำคัญตัวนึงในประวัติศาสตร์ไง”
เมื่อเลสเตอร์ได้ยินคำสงสัยของนีลเขาก็หันไปถามคนเป็นหลายชาย
“ขนาดตัวประวัติศาสตร์ง่ายๆคนยังไม่ค่อยสนใจกันเลยแล้วอะไรที่ทำให้นายการันตีได้ว่ามังกรที่มีบทบาทสำคัญจะมีชื่อเสียงโด่งดังตาม”
“เออ...มันก็จริงอยู่”
เลสเตอร์ถึงกับสะอึกกับการสวนกลับนั้น “ถึงเจ้านี่จะไม่ค่อยมีคนรู้จักก็เถอะแต่เจ้านี่น่ะเป็นในลูกของอิกนิสเลยนะ เจ้านั่นพวกนายน่าจะรู้จักกันดีนี่”
“อิกนิสน่ะมีลูกตั้งเยอะแยะ
ไม่มีไครจำได้หมดหรอก” นีลหัวเราะแห้งๆ “ว่าแต่เขามีชื่อเสียงอะไรในประวัติศาสตร์เหรอ”
“ไม่ใช่เขาสิ เจ้านี่น่ะเป็นเพศเมียนะ”
เลสเตอร์แก้คำสรรพนามให้
“อืม...เท่าที่อ่านมาเหมือนเจ้านี่จะมีชื่อเสียงทั้งด้านดีและด้านร้ายนะ”
“ก็เป็นปกติของมังกรล่ะนะ”
“ว่าแต่ทำไมถึงสนใจเจ้านี่เหรอ”
นีลถามเพราะงานแบบนี้ควรจะเลือกมังกรดังๆที่หาข้อมูลง่ายๆมากกว่า
“ปู่ฮะการ์เล่าให้ฟังแล้วสนใจน่ะ” เลสเตอร์โกหกไปแบบนั้น
“ว่าแต่มันเป็นมังกรแบบไหนเหรอ”
คราวนี้เอลเลียตเป็นถามขึ้นมา
“ปู่นายไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ”
“ฉันรู้แค่ชื่อนอกนั้นไม่ได้รู้อะไรเลย”
คนเป็นหลานชายไหวไหล่
เลสเตอร์ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาเข้าใจดีว่าฮะการ์ก็มักจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
“มารามอส บุตรีแห่งอิกนิสและอิมพีเรียล
มังกรที่ได้รับการขนานนามว่า มังกรแห่งความฝัน”
เลสเตอร์อ่านข้อมูลในหน้ากระดาษช้าๆ
“มังกรแห่งความฝัน?” ทั้งสองคนทวนคำ
“ในนี้มันไม่ได้เขียนอะไรไว้ละเอียดนักหรอกแต่เท่าที่อ่านมาเหมือนมันจะได้ฉายานี้มาเพราะเรื่องที่มันทำกับมนุษย์ในยุคที่สองน่ะนะ”
“เรื่องอะไร?”
“กล่าวกันว่ามังกรตัวนี้น่ะสะกดจิตเหล่ามนุษย์มาเป็นทาสน่ะสิ”
เลสเตอร์กล่าวเรียบๆแต่มันทำให้ทั้งสองคนขมวดคิ้วแน่น
“สะกดจิตที่ว่านี่คือยังไง?” เอลเลียตจี้ข้อสงสัย
“ไม่รู้สิ
ในหนังสือเล่มนี้มันเป็นแค่ประวัติคร่าวๆถ้าจะให้ลงลึกไปกว่านี้คงต้องไปหาเพิ่มเอาล่ะนะ”
“สะกดจิตเหรอ ดูเป็นพลาน่าพิเศษที่ประหลาดจัง”
“ใช่ ประหลาดมากๆ” เอลเลียตเสริมอีกคน
พลาน่าพิเศษของดราเช่นส่วนใหญ่แม้ว่าจะมีลักษณะเฉพาะที่แปลกแยกชัดเจนแต่ส่วนมากมักจะเป็นความสามารถที่เสริมพลังทางกายภาพเสียมากกว่า
นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาได้ยินว่าพลาน่าสามารถใช้สะกดจิตคนได้ด้วย
“ว่าแต่จะเอาตัวนี้จริงๆเหรอ
มีหลายตัวที่น่าจะง่ายกว่านี้นะ” นีลถามเพื่อความแน่ใจ
“อืม ตัวนี้แหละไม่เปลี่ยนหรอก”
เลสเตอร์ยืนยันหนักแน่น
“งั้นตอนนี้เราทุกคนก็ได้หัวข้อกันแล้วล่ะนะ
เหลือแค่หาข้อมูลเชิงลึกจากหนังสือเล่มอื่นๆ”
เอลเลียตลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบหนังสือเล่มสีแดงขึ้นมา “ยังไงตอนนี้เราก็ว่าง
รีบๆใช้เวลานี้หาข้อมูลให้มากที่สุดละกัน”
เลสเตอร์กับนีลพยักหน้าเห็นด้วย
พวกเขาลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อเออหนังสือเล่มนี้ไปเก็บและหาหนังสือเล่มอื่นที่ให้ข้อมูลละเอียดกว่านี้
เลสเตอร์ก้มมองภาพของมังกรสีม่วงตัวนั้นอย่างจริงจัง
มังกรที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตสิบสองปีของเขา
มังกรที่เป็นต้นเหตุให้เขามาอยู่ที่นี่
มังกรที่เป็นคนผูกโชคชะตาประหลาดๆนี้มาให้เขา
มารามอส มังกรแห่งความฝัน
ประกายตาของเลสเตอร์ฉายแววจริงจัง
เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะศึกษาเรื่องของมังกรตัวนี้อย่างจริงจัง ว่าแล้วก็นึกขำตัวเองเพราะตลอดมาทั้งชีวิตนี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเขาพยายามทำสิ่งที่คล้ายกับการตั้งใจเรียน
“เอาล่ะ งั้นเรามาทำความรู้จักกันหน่อยแล้วกัน
มารามอส” เด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์ปิดหนังสือลงแล้วเริ่มต้นปฏิบัติการหาข้อมูลทันที
ความคิดเห็น