ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Raid of Drachen

    ลำดับตอนที่ #11 : Ep.1 Chapter 10 - เพื่อนร่วมห้อง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 940
      90
      11 ก.ค. 63

    Chapter 10

    Roommate

    เพื่อนร่วมห้อง

     

     

     

    ความบ้าคลั่งยังคงดำเนินต่อไป เสียงพูดคุยดังไปทั่วจนแทบไม่ได้ยินอย่างอื่น

    “คนเป็นบ้ากันขนาดนี้ ตระกูลนายคงเป็นคนดังจริงๆสินะ” เลสเตอร์ยิ้มกระตุกให้กับภาพที่เห็น

    “ฉันก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอก วุ่นวายจะตายชัก” เอลเลียตตอบเบาๆ ด้านโจเซฟที่ยืนอยู่ข้างก็ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้นเพราะความจริงเขาก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าถ้าเอลเลียตแนะนำตัวไปจะเกิดเรื่องแบบนี้

    ป้าบ!

    “เงียบ! ทุกคนอยู่ความสงบ” โจเซฟตบมือเสียงดังเรียกสติของทุกคนกลับคืนมา แม้จะอยากพูดคุยกันอย่างไรแต่เด็กๆทุกคนที่นี่ก็ให้ความเคารพโจเซฟพอสมควร พวกเขาทุกคนจึงได้แต่หุบปากเงียบลงเท่านั้น “จะโวยวายอะไรกันนักหนา หือ? ไม่เคยเจอสแตนฟอร์ดตัวเป็นๆเหรอไง”

    “ก็พึ่งเคยเจอนี่แหละครับ” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้นมาเบาๆจากฝูงชนแต่ก็ต้องหุบปากเงียบไปเมื่อเห็นสายตาแข็งกร้าวของโจเซฟ

    “ยังมีนักรบฝึกหัดอีกคน ข้าจะให้เขาแนะนำตัวล่ะนะ” โจเซฟพูดจบก็ส่งสายตามาทางเลสเตอร์

    “ผมเหรอ?

    “ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครล่ะ”

    “โอเคๆ ผมเลสเตอร์ เอลมอล” เลสเตอร์ถอนหายใจพยายามคิดถึงรูปแบบการแนะนำตัวที่ทั้งสองคนพูดมาเมื่อครู่แล้วพูดออกมา “จากปราสาทสแตนฟอร์ดใต้สังกัดตระกูลสแตนฟอร์ดครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

    “หะ?” เสียงของหลายๆคนดังขึ้นมาก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิม

    “สแตนฟอร์ดอีกคนเหรอ!

    “ปกติพวกนั้นเขาไม่รับคนนอกตระกูลนี่นา?

    “แปลว่าท่านฮะการ์เลือกมาเองเหรอ หมอนั่นต้องสุดยอดๆแน่ๆ”

    “หมอนั่นเป็นใครกัน?

     “อา ฮะๆๆๆ” เลสเตอร์หัวเราะจางๆออกมาอย่างยากลำบาก เขาเองก็พอจะเดาได้ว่าจากเมื่อครู่ว่าถ้าเขาแนะนำตัวไปต้องเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นแน่ๆ

    วุ่นวายเป็นบ้า วุ่นวายเหลือเกิน

    “เงียบซักที! ใครจะมาก็แล้วแต่มันไม่สำคัญหรอก พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อมาดูคนจากตระกูลดังเหรอไง แทนที่จะสนใจเรื่องนี้เอาเวลาไปแสดงฝีมือแล้วเข้าตระกูลดังๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอไง” ลำบากโจเซฟต้องพูดหยุดความวุ่นวายนี้อีกครั้ง เขาถอนหายใจก่อนจะบ่นอุบอิบปิดท้าย “เจ้าฮะการ์ พาเรื่องวุ่นวายมาตั้งแต่วันแรกที่เปิดเลย”

     ในตอนนั้นเหล่าผู้ฝึกสอนที่ยืนอยู่รอบๆก็เดินมาแจกหนังสือเล็กๆเล่มหนึ่งให้แก่เด็กทุกคนรวมถึงเหล่านักรบฝึกหัดที่มีสังกัดทั้งสามคนด้วย

    “นี่คือหนังสือรวบรวมกฏทั้งหลายที่ผู้เข้าฝึกของเวสปาร์ทาวเวอร์จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทั้งข้อห้ามและบทลงโทษต่างๆถูกเขียนไว้หมดแล้ว ลองเอาไปอ่านกันเองละกันแต่วันนี้พวกเราจะอธิบายกฏสำคัญๆไว้ละกัน” โจเซฟพูดจบก็กระดิกนิ้วเรียกผู้ฝึกสอนที่ยืนอยู่รอบนอกของห้องโถงคนหนึ่งออกมา เลสเตอร์จำได้ว่าคนๆนั้นคือคนที่มาเรียกโจเซฟไปขึ้นเวทีในตอนนั้น

    “นี่คืออาจารย์เอลวิน รีเอนิส เขาเป็นหัวหน้าของอาจารย์ผู้ฝึกสอนที่นี่ ข้าจะให้เขาเป็นคนอธิบายเรื่องกฏข้อสำคัญของที่นี่” โจเซฟผายมือไปทางชายผมสีทองหน้าตาเคร่งขรึมคนนั้นซึ่งบัดนี้ขึ้นมายืนอยู่กลางเวทีข้างๆโจเซฟ

    “สวัสดีๆ เหล่าเด็กๆทุกคนซึ่งได้รับการคัดเลือกจาเซ็นทรัลทั้งเหล่านักรบฝึกหัดและผู้สนับสนุนฝึกหัด นับแต่บัดนี้พวกเธอทุกคนได้กลายเป็นนักเรียนของเวสปาร์ทาวเวอร์แห่งนี้แล้ว” เอลวินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่อ่อนนุ่มชวนให้เคลิบเคลิ้ม “ฉันอยากพวกเธอเข้าใจกฏสำคัญของที่นี่สามข้อด้วยกันซึ่งเป็นกฏหลักที่อยากให้ทุกคนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ข้อแรกคือการเข้าชั้นเรียน ฉันอยากให้ทุกคนมองดูนั่น”

    เอลวินชี้ไปที่บางอย่างซึ่งถูกผูกติดกับผนังเพดาน มันคือกระดิ่งเหล็กสีทองขนาดใหญ่จนเกือบจะเรียกว่าระฆังได้

    “กระดิ่งนั่นจะผู้อยู่ทั่วหอคอยแห่งนี้ เมื่อกระดิ่งนั่นดังหมายถึงสัญญาณเริ่มคาบเรียน พวกเธอต้องมารวมตัวกันในที่ที่กำหนดไว้ให้ตรงเวลาทุกครั้งโดยทางเราจะแจ้งสถานที่นัดรวมผ่านทางโทรโข่งที่ติดอยู่ทั่วหอคอยนี้เช่นกัน ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่เราอนุญาตให้พวกเธอลาหยุดได้เพียงห้าครั้งเท่านั้นซึ่งห้าครั้งนั้นเธอจะใช้ทำอะไรก็ได้ตามสะดวกไม่ว่าจะเป็นกลับบ้านหรือขี้เกียจเรียนเลยโดดเรียนก็ตามสบายแต่จำไว้อย่างนึง...ได้แค่ห้าครั้งเท่านั้นนะ...แต่ถ้าอยากลองครั้งที่หกก็เชิญเลย” เอลวินหรี่ตาลงแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังจนทุกคนที่ฟังอยู่มั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีใครหน้าไหนกล้าลองครั้งที่หกนั้นแน่ๆ

    “แล้วถ้าเราป่วยล่ะครับ” เด็กผู้ชายคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม

    “ถ้าป่วยต้องการนอนพักรักษา เรามีห้องพยาบาลไว้ที่นี่แล้วแต่นั่นก็นับเป็นการหยุดเรียนหนึ่งครั้งเช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น” เอลวินกล่าวตอบจนทุกคนส่งเสียงระงมด้วยความเซ็งจนเขาต้องถอนหายใจออกมา “แค่เราให้โอกาสหยุดห้าครั้งก็นับว่าดีมากแล้ว ความจริงพวกเธอทุกคนก็จะได้หยุดอาทิตย์ละสองวันอยู่แล้ว...อ้อ สำหรับคนที่ยังไม่ทราบในวันเสาร์และอาทิตย์จะไม่มีการเรียนการสอนภาคใดๆทั้งสิ้นเว้นแต่คาบพิเศษซึ่งอาจารย์ของที่นี่จัดสอนไว้ซึ่งพวกเธอจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ไม่มีผลต่อการประเมินอะไรใดๆทั้งสิ้น”

    “หมายความว่าคนที่ต้องการเป็นนักรบมังกรกับผู้สนับสนุนก็ฝึกร่วมกันเหรอครับ” เด็กคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม

    “ใช่แล้ว ทั้งหมดจะจะเรียนร่วมกันหมดยกเว้นเหล่านักรบฝึกหัดที่ต้องเรียนวิชาการควบคุมพลาน่าด้วยเป็นพิเศษ หลังจากนั้นเราจะมีการวัดผลกันที่ราวเดอร์หนึ่งครั้งแล้วพวกเธอจึงจะสามารถเลือกสาขาวิชาเฉพาะได้ในครึ่งปีหลัง” เอลวินอธิบาย

    “ราวเดอร์? ราวเดอร์ที่ว่าตะกี้คือราวเดอร์อันเดียวกับที่ปู่บอกเราว่าให้อยู่จนถึงตอนนั้นรึเปล่า” เลสเตอร์หันไปกระซิบข้างๆเอลเลียตผู้มาจากปราสาทเดียวกัน

    “ก็ตามนั้นแหละ แต่ความจริงฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียดเท่าไหร่หรอกเพราะฉันเองก็พึ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก” เอลเลียตตอบโดยไม่ได้หันมามอง เลสเตอร์รู้สึกเซ็งๆเพราะถึงแม้หมอนี่จะตอบคำถามของเขาแต่มันก็ยังมีกำแพงบางๆระหว่างพวกเขาสองคนที่ทำให้รู้สึกห่างเหินแปลกๆ

    “กฏข้อสำคัญข้อที่สองคือพวกเธอไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้นอกเหนือจากเวลาวันหยุดที่เรากำหนดหรือไม่ก็ต้องมีคำยืนยันจากผู้รับผิดชอบและในระหว่างการฝึกพวกเธอจะต้องเข้าออกจากที่พักของตัวเองตามเวลาที่กำหนดไว้ ห้ามฝ่าฝืนโดยเด็ดขาด” เอลวินพูดถึงกฏข้อต่อไป หลายๆคนไม่ค่อยแปลกใจเรื่องนี้โดยเฉพาะเลสเตอร์ที่มองว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับโรงเรียนประจำทั่วไป “และกฏข้อสุดท้ายคือห้ามการกระทำที่มีการใช้ความรุนแรงใดๆทั้งสิ้นหากไม่ได้รับอนุญาต ไหนมีใครที่คิดว่าทำสิ่งพวกนี้ไม่ได้ขอให้ยกมือขึ้นเพราะคนๆนั้นคงจะไม่เหมาะกับการฝึกสอนที่นี่และคงไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในสังคมของอาชีพนักรบมังกร”

    แน่นอนว่าไม่มีใครกล้ายกมือขึ้นมา ไม่ใช่แค่เพราะกลัวแต่เพราะทุกคนที่นี่ล้วนแต่มีความจริงจังของตัวเอง

    “ดี ต้องอย่างงี้สิเหล่าเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่” เอลวินยิ้มอย่างพอใจ “สิ่งสำคัญที่สุดคือความมั่นใจและความตั้งใจ ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ฉันคาดหวังว่าพวกเธอทุกคนจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขอให้โชคดีทุกคน”

    เมื่อพูดจบเอลวินก็เดินออกมาจากกลางเวทีไปยืนอยู่ด้านหลังโจเซฟ เอลเลียตและเลสเตอร์ที่มองอยู่ข้างๆพากันแอบคิดในใจว่าชายคนนี้ช่างเป็นนักพูดที่ให้อารมณ์ร่วมดีเหลือเกิน

    “ได้ยินที่พูดอาจารย์เอลวินพูดแล้วนะ ตั้งใจแต่จงมีความมั่นใจในตนเองด้วยสิ่งที่พวกข้าอยากจะพูดก็มีเท่านี้นั่นแหละ นี่ก็เกือบสามโมงเย็นแล้ว ก่อนอื่นข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าทุกคนได้เข้าไปพักผ่อนที่ห้องพักของพวกเจ้าก่อนหรือไม่ก็ใช้เวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ก่อนก็ได้เพราะพวกเจ้าจะต้องอยู่กับมันไปอีกนานนี่นะ”

    “ได้ข่าวว่าห้องพักเป็นห้องพักรวมจริงรึเปล่าคะ” เด็กสาวที่นั่งอยู่ถามขึ้นมา

    “ใช่แล้ว ศึกษามาดีนี่ ห้องพักหนึ่งห้องจะมีเตียงนอนสามเตียงเพราะฉะนั้นพวกเจ้าได้จะได้เพื่อนร่วมห้องสองคนสำหรับชีวิตหนึ่งปีต่อจากนี้และแน่นอนว่าทางเราได้จัดไว้ให้แล้ว พวกเจ้าทุกคนลองเปิดหนังสือกฏที่พวกเจ้าพึ่งได้รับไปดูสิ” โจเซฟบอกกับเด็กทุกคนซึ่งเด็กเหล่านั้นก็ทำตาม พวกเขาเปิดหนังสือออกมาแล้วก็พบกับกระดาษแผ่นเล็กแผ่นหนึ่ง “พวกเจ้าคงเห็นกระดาษแผ่นเล็กๆนั่นใช่มั้ย ในนั้นจะมีชื่อของเพื่อนร่วมของพวกเจ้าอีกสองคนเขียนไว้”

    เด็กหลายคนทำหน้าเซ็งเพราะตอนแรกพวกเขานึกว่าจะตัวเองจะได้จับกลุ่มกันเอง ที่คิดแบบนี้ก็เพราะเด็กบางคนนั้นสนิทกันก่อนจะมาที่นี่เลยคาดหวังว่าจะได้อยู่ห้องพักเดียวกัน

    “ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าบางคนอยากอยู่กับคนที่สนิทอยู่แล้วแต่ที่นี่ไม่ใช่สวนสนุกเพราะงั้นอย่าคาดหวังว่าอะไรๆมันจะเป็นไปตามที่พวกเจ้าคิดแต่ถ้าใครมีปัญหาเรื่องเพื่อนร่วมห้องจริงๆก็ข้อให้มาแจ้งกับผู้ฝึกสอนได้ ข้าจะทำเรื่องเปลี่ยนห้องให้...ถ้าเหตุผลของพวกเจ้ามันดีพอล่ะนะ” ผู้อำนวยการแห่งเวสปาร์ทาวเวอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบก่อนที่วินาทีต่อมาเขาจะสะบัดมือไปข้างหน้าแล้วออกคำสั่งต่อไป “ข้าจะให้เวลาตอนนี้สิบนาทีในการหาเพื่อนร่วมห้องของพวกเจ้า เริ่มเดี๋ยวนี้เลย!

    พอโจเซฟพูดจบทุกคนก็ลุกจากเก้าอี้ของตัวเองแล้วตะโกนเรียกหาชื่อเพื่อนร่วมห้องในระดับที่โคตรของโคตรจะวุ่นวาย

    ในระหว่างที่เด็กคนอื่นๆกำลังวุ่นอยู่กับการหาเพื่อนร่วมห้องนั้น เหล่านักรบฝึกหัดที่มีสังกัดทั้งสามคนกลับกำลังงุนงงสุดขีด

    “นี่...ไม่เห็นมีกระดาษในหนังสือของพวกผมเลยอ่ะ” เลสเตอร์ชูหนังสือกฏเล่มเล็กไปทางโจเซฟแล้วชี้สลับไปมากับหนังสือของเอลเลียต

    “ของผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ” นีลไล่เปิดหนังสือทีละหน้าแต่ก็ไม่พบกับกระดาษที่ว่าเลย

    “พวกเจ้าทั้งสามคนเป็นแขกพิเศษที่ไม่ได้มาจากการคัดเลือกของเซ็นทรัลแต่ดันมากันเองตามอำเภอใจเพราะงั้นทางเราเลยยังไม่ได้เตรียมเพื่อนร่วมห้องไว้ให้พวกเจ้าซึ่งข้าก็มีวิธีแก้ปัญหาง่ายๆอยู่”

    “วิธีแก้ปัญหาอะไรครับ” เลสเตอร์ถาม

    “ง่ายนิดเดียว พวกเจ้าสามคนก็อยู่ด้วยกันแค่นั้น พวกเจ้าสองคนมาจากปราสาทเดียวกันอยู่แล้วนี่โชคดีจะตาย”

    “ไม่เห็นจะโชคดีตรงไหนเลย มีตัววุ่นวายอยู่ด้วย” เอลเลียตถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดเบาๆแต่ถึงอย่างงั้นก็ยังมีคนหูนรกได้ยินอยู่และดันเป็นคนที่ถูกพาดพิงเสียด้วยสิ

    ไอ้เวรนี่ เลสเตอร์รู้ดีว่าตัววุ่นวายที่เอลเลียตว่านั้นหมายถึงใคร ในวินาทีนี้เลสเตอร์ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าถึงหมอนี่จะทำเป็นคุยกับเขาเหมือนปกติแต่ความจริงแล้ว...

    หมอนี่เหม็นขี้หน้าเขาแบบชัดเจนเลยนี่หว่า

    “หรือว่าพวกเจ้าไม่ชอบใจกันล่ะ” โจเซฟเลิกคิ้ว

    “ฉันไม่มีปัญหาหรอก...ว่าแต่นายโอเครึเปล่า” เอลเลียตหันไปถามนีลซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

    “ผมไม่มีปัญหานะ โชคดีซะอีกที่จะได้รู้จักคนของสแตนฟอร์ด” นีลยิ้มตอบเมื่อเอลเลียตเห็นว่าฝั่งนี้ไม่มีปัญหาอะไร เขาก็หันไปหาคนที่มาจากปราสาทเดียวกัน

    เลสเตอร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อเห็นแบบนั้น ในเมื่อสองคนนั้นไม่มีปัญหา คำตอบของเขาจะเป็นอะไรไปได้นอกจาก...

    “ผมก็ไม่มีปัญหาครับ”





    เวสปาร์ทาวเวอร์นั้นเป็นหอคอยสูงราวสองร้อยเมตร แบ่งเป็นชั้นทั้งหมดหกสิบชั้นพอดิบพอดี โดยยี่สิบชั้นแรกนั้นจะเป็นสถานที่ฝึกฝนรวมถึงห้องเรียนต่างๆ ส่วนสิบห้าชั้นต่อมานั้นจะเป็นห้องพักของนักเรียนผู้ฝึกฝนและในส่วนที่เหลือจะเป็นห้องพักของอาจารย์ผู้ฝึกสอนและสถานที่สำคัญอื่นๆซึ่งเป็นเขตหวงห้ามสำหรับพวกนักเรียนทั้งหลาย

    “ห้องนี้สินะ” เอลเลียตพูดขึ้นหลังจากมองกุญแจในมือซึ่งพวกอาจารย์แจกให้เด็กๆทุกคน

    “ที่กุญแจเขียนเลขห้าสิบห้าไว้ งั้นก็ต้องห้องนี้แหละ” นีลชี้นิ้วไปที่เลขห้าสิบห้าซึ่งติดอยู่ตรงประตูหน้าห้อง

    “งั้นก็เข้าไปกันเถอะ” เอลเลียตเสียบกุญแจเข้าไปที่ลูกบิดประตูแล้วเปิดออก

    ห้องข้างในนั้นเป็นห้องที่ทำดูสะอาดตาซึ่งแบ่งออกเป็นสองโซนใหญ่ๆได้แก่โซนห้องนั่งเล่นซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากและโซนที่ซึ่งมีเตียงนอนอยู่สองเตียงโดยหนึ่งเตียงนั้นเป็นเตียงนอนสองชั้น

    “ห้องกว้างกว่าที่คิดนะ” เลสเตอร์พิจารณาเสร็จก็พูดออกมา

    “อืม ก็ดูไม่เลว” เอลเลียตพยักหน้าเห็นด้วยเพราะตอนแรกเขาคิดไว้ว่าห้องจะเล็กกว่านี้

    “เราสามคนต้องอยู่ห้องนี้ไปพักใหญ่ๆเลยล่ะนะ” นีลพูดขึ้นแล้วเสนออะไรบางอย่างขึ้นมา “งั้นก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนมั้ย ถึงผมจะได้ยินทั้งสองคนแนะนำตัวไปแล้วก็เถอะ”

    “ดีๆ ฉันเห็นด้วย” เลสเตอร์พยักหน้ารัวๆเพราะดูๆไปแล้วนีลน่าจะเป็นคนอัธยาศัยดีน่าทำความรู้จักด้วย พอตกลงกันอย่างนั้นเสร็จทั้งสามคนก็นั่งลงที่โต๊ะเล็กๆในห้องนั่งเล่น

    “งั้นผมก่อนเลยนะ ผมชื่อเนลิอุส ลอว์เลนซ์ อย่างที่บอกไปตอนนั้นเรียกผมง่ายๆว่านีลจะดีที่สุด ผมเองพึ่งจะเป็นนักรบฝึกหัดมาได้สองเดือน พูดตรงๆก็คือยังไม่มีฝีมืออะไรโดดเด่นแต่ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะ”

    “ลอว์เลนซ์ นี่ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นตระกูลที่ประจำอยู่ที่เกาะมารามใช่มั้ย” เอลเลียตถามซึ่งเลสเตอร์ก็เคยได้ยินชื่อของมารามมาแล้วในตอนที่ดีเลียสอนเขาเรื่องสถานที่ต่างๆบนแผนที่

    “รู้จักด้วยเหรอ?” นีลทำหน้าแปลกใจไปชั่ววูบ

    “เคยได้ยินจากปู่น่ะ” เอลเลียตพยักหน้า

    มาราม ถือเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอนทีคซึ่งบอกกันว่าเป็นเกาะที่ค่อนข้างแห้งแล้งและเป็นถิ่นที่อยู่ของเหล่ามังกรดินทั้งหลาย ปัจจุบันมีปราสาทที่ประจำอยู่ที่นั้นทั้งหมดสามปราสาท

    “รู้สึกเป็นเกียรติจังที่คนจากสแตนฟอร์ดรู้จักด้วย ทั้งที่เป็นตระกูลเล็กๆที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักแท้ๆ” นีลยิ้มออกมาอย่างยินดี

    “นี่ๆ อย่าหาว่างั้นว่างี้เลยนะแต่ตระกูลของเจ้าหมอนี่น่ะมันดังอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนนั้นทุกคนถึงได้เป็นบ้ากันแบบนั้น” เลสเตอร์ชี้นิ้วไปที่เอลเลียตซึ่งคนที่ถูกชี้เองก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ

    “เอ๋? นี่นายไม่รู้เหรอ ไม่ใช่ว่านายก็มาจากสแตนฟอร์ดเหมือนกันหรือ” นีลแสดงสีหน้างุนงงสุดขีดเพราะก่อนหน้านี้เจ้าคนตรงหน้าเองก็พึ่งพูดแนะนำตัวว่ามาจากปราสาทดังกล่าว

    “หมอนี่น่ะพึ่งเข้าสังกัดสแตนฟอร์ดได้ไม่ถึงอาทิตย์เอง ยิ่งกว่านั้นคือหมอนั่นไม่รู้ว่ามีแอนทีคอยู่บนแผนที่โลกจนกระทั่งเร็วๆนี้ ถ้าเขาไม่รู้อะไรล่ะก็ไม่ต้องแปลกใจนักหรอก” เอลเลียตสะบัดนิ้วไปทางเลสเตอร์

    “หมายความว่าไง?

    “คือฉันมาจากเวย์แลนด์น่ะ” เด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์ตอบเรียบๆ แน่นอนคำตอบนั้นทำให้นีลนิ่งอึ้งไปซักพักใหญ่ๆ

    “จริงๆเหรอ นายคือเด็กที่มาจากเวย์แลนด์คนนั้นจริงๆเหรอ!” 

    “คนนั้น? ทำไมนายพูดอย่างกับว่านายรู้อยู่แล้ว” เลสเตอร์สะดุดใจกับคำพูดของนีล

    “เขาลือกันไปทั่วว่ามีเด็กจากเวย์แลนด์คนนึงที่ถูกพายังแอนทีคจากเหตุการณ์มังกรหลบหนีครั้งนั้นแต่เรื่องที่ว่าเด็กคนนั้นกลายเป็นนักรบมังกรฝึกหัดเนี่ยมันเหลือเชื่อมากๆเลยนายรู้รึเปล่าแถมยังเป็นสแตนฟอร์ดอีก” นีลพูดอย่างตื่นเต้นจนเจ้าเด็กคนนั้นที่ว่าต้องยกมือห้ามปราม

    “อย่าพูดให้มันเวอร์วังอลังการเลยน่า ฉันก็แค่ถูกปู่ของเจ้านี้จับมาเป็นแบบไม่ถงไม่ถามอะไรซักคำมันก็เท่านั้นเอง ถึงมันจะดูน่าส...” เลสเตอร์รีบหุบปากเพราะเมื่อครู่นี้เขาเกือบจะหลุดคำว่า น่าสนุก ออกไปอีกแล้ว

    ถึงแม้เลสเตอร์จะหุบปากได้ทันแต่เอลเลียตเองก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังจะพูดอะไรตะกี้ เขาเลยได้แต่มองตาขวางและถอนหายใจ

    “ก...ก็เป็นแบบนั้นแหละ สรุปว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรใดๆทั้งสิ้นเลย” เลสเตอร์สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจที่ลอยผ่านอากาศจึงรีบพูดต่อ “สรุปนายรู้เรื่องตระกูลสแตนฟอร์ดใช่มั้ย เล่าให้ฟังหน่อยสิ”

    “อืม ต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว สแตนฟอร์ดน่ะเป็นตระกูลที่สร้างนักรบมังกรที่มีชื่อเสียงมาช้านานแล้ว เหล่าคนที่มาจากตระกูลนั้นมักถูกเรียกว่าอัจฉริยะเสมอๆ ถ้าให้พูดล่ะก็สแตนฟอร์ดเป็นตระกูลนักรบมังกรที่มีอิทธิพลอันดับต้นๆในประวัติศาสตร์เลยเชียวล่ะ” นีลอธิบายอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มพูดบางอย่างที่ทำให้เลสเตอร์สนใจยิ่งกว่าเดิมขึ้นมา “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของท่านผู้อาวุโสฮะการ์ ถือได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของสแตนฟอร์ดเชียวล่ะ”

    “ปู่อะนะ!?” เลสเตอร์เบ้ปาก “เดี๋ยวๆ ตาแก่นั่นเป็นคนยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวเหรอ”

    “พูดจะอะไรให้เกียรติหลานชายของเขาที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย” เอลเลียตกล่าวเตือนจนเจ้าตัวแสบต้องผงกหัวขอโทษกับความไร้มารยาทของตัวเอง

    “แน่นอนสิ ในตอนที่ท่านฮะการ์เป็นนักรบมังกรน่ะ ท่านได้สร้างผลงานไว้มากมายในระดับที่ว่านายจดไว้เป็นหนังสือได้เลยล่ะและนอนจากนี้ท่านยังเคยได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในนักรบมังกรที่ทรงคุณค่าที่สุดคนหนึ่งที่เคยมีมา”

    ปู่ฮะการ์อะนะ ถึงหน้าตาจะดูเข้มพอสมควรก็เถอะแต่นิสัยอย่างงั้นนี่นะ เลสเตอร์รู้สึกเหลือเชื่อเสียจนไม่กล้าออกเสียงออกมา

    สุดท้ายเลสเตอร์ก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกครั้งว่าแต่ทำไมคนระดับนั้นถึงเอาคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรแถมยังนอกคอกอย่างเขามาเป็นนักรบมังกรกันล่ะ

    “แต่ถ้านายคิดว่าฉันจะมีฝีมือขนาดนั้นล่ะก็คิดใหม่ได้เลยเพราะฉันไม่ได้มีพื้นฐานเป็นนักรบมังกรอะไรทั้งนั้น เผลอๆคุณสมบัติก็ยังไม่มีเลยมั้ง” เลสเตอร์รีบพูดก่อนที่นีลจะคาดหวังว่าเขาซึ่งอยู่ตระกูลเดียวกันจะต้องเก่งแบบสุดๆ

    เขาไม่ได้โกหก เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆเพราะความรู้ที่ดีเลียสอนเขานั้นมันก็แค่ความรู้พื้นฐานธรรมดาๆซึ่งน่าจะน้อยกว่าที่คนทั่วไปรู้ด้วยซ้ำ

    “หือ? ไม่จริงหรอกมั้ง ถ้าไม่มีคุณสมบัติจริงนายไม่มีทางรับพลังจากดวงตาของมังกรดั้งเดิมได้หรอก”

    “หะ? หมายความว่ายังไง” เลสเตอร์ไม่เข้าใจสิ่งที่นีลพูด

    “ร่างกายของมนุษย์น่ะก่อนที่จะได้รับพลังจากดวงตามังกรจำเป็นต้องได้รับการปรับสภาพก่อน” เอลเลียตเป็นคนพูด

    “ปรับสภาพ?

    “พูดง่ายๆก็คือร่างกายของมนุษย์ผู้นั้นจำเป็นต้องมีพลาน่าอ่อนๆสะสมอยู่ในร่างกายซะก่อนหรือก็คือมนุษย์คนนั้นจำเป็นต้องอยู่ไกล้ชิดมังกรหรือชิ้นส่วนของมังกรชั่วระยะเวลานึงเสียก่อนน่ะ แปลกนะที่คนเวย์แลนด์อย่างนายมีคุณสมบัติแบบนั้น” นีลพูดต่อ เขาดันขาแว่นขอตัวเองขึ้นแล้วมองเลสเตอร์อย่างสงสัย

    ในตอนนั้นเลสเตอร์ก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง พลาน่าจางๆของมารามอสที่ไหลอยู่ในร่างกายของเขานี่เองที่ทำให้เขามีคุณสมบัตินั้น

    เรียกได้ว่าโคตรของโคตรบังเอิญ

    “ว่าแต่มาจากมารามแบบนี้ นีลน่ะคงได้รับพลังมาแล้วใช่มั้ยเป็นพลาน่าพิเศษของมังกรตัวไหนล่ะ” เลสเตอร์ถามไปซึ่งนีลก็พยักหน้าตอบ

    “ของผมเป็นพลาน่าพิเศษของมังกรดินตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในมารามที่พึ่งได้ดวงใจมาไม่กี่ปีนี้เอง มังกรตัวนั้นชื่อ กัลวิทท์ น่ะได้มาซักพักแล้วแต่ยังควบคุมพลังแทบไม่ได้เลย” นีลหัวเราะแห้งๆ

    “มารามเป็นถิ่นของมังกรดินนี่นะ” เอลเลียตเองก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลดี

    มังกรดิน เรื่องนี้ดีเลยเองก็เคยบอกเขามาเหมือนกัน ความจริงมังกรดินนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากมังกรทั่วไปนักเพียงแค่พวกมันสร้างรังอยู่ใต้ดินและมักจะรักสงบและส่วนใหญ่จะมีพลังในการควบคุมผืนดินหรือสภาพแวดล้อมรอบๆ

    “ยังดี ฉันพึ่งได้พลังมาเมื่อสองสามวันที่แล้วเอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องใช้ได้เลย”

    “พลาน่าพิเศษของเลสเตอร์เป็นพลังแบบไหนล่ะ” นีลถามกลับมาบ้าง

    “ของฉันเป็นมังกรแปลกๆจากภูเขาหินภูเขาหินวอลลี่ชื่อ เบลสตีน น่ะเห็นว่าตอนมีชีวิตอยู่แสบไม่ใช่เล่น” เลสเตอร์ยิ้มตอบ

    “เบลสตีนเหรอ? สรุปพลังที่นายได้เป็นของเบลสตีนงั้นเหรอ ได้ของแปลกไม่ใช่เล่นเลยนะ” เอลเลียตพูดคล้ายๆกับฮะการ์และคอครัส

    “นายไม่รู้เหรอ?” เลสเตอร์ตกใจกับเรื่องนี้พอสมควรเพราะเขาคิดว่าฮะการ์น่าจะบอกเรื่องนี้กับเอลเลียตแล้วซะอีก

    “ท่านปู่ ไม่ได้บอกอะไรฉันเลย เรื่องที่พาพวกเรามาเวสปาร์ทาวเวอร์ก็พึ่งบอกฉันเมื่อเช้าสดๆตะกี้นี้เอง”

    “เข้าใจความรู้สึกเลย” เลสเตอร์แอบสงสัยว่าหมอนี่เติบโตมาได้ยังไงโดยที่ไม่หัวใจวายเพราะเรื่องต่างๆที่ปู่ของตัวเองประเคนมาให้โดยไม่บอกล่วงหน้า

    “แล้วเอลเลียตล่ะ เป็นพลาน่าของมังกรอะไร” นีลพยายามจะทั้งสองคนด้วยชื่อต้นเพื่อสร้างความสนิทชิดเชื้อซึ่งทั้งสองคนเองก็เห็นดีด้วย

    “พลาน่าของฉันเหรอ? โทษทีนะ ท่านปู่ไม่ค่อยอยากให้เที่ยวเอาชื่อมังกรตัวนี้ไปป่าวประกาศซักเท่าไหร่ ฉันคงบอกตอนนี้ไม่ได้หรอก” เอลเลียตผงกขอโทษเล็กๆ

    “ไม่เป็นไรหรอก คงเป็นความลับระหว่างตระกูลใช่มั้ยล่ะ มีบ่อยไปนายไม่ต้องคิดมากหรอก” นีลหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ เขาไม่ได้โกรธเอลเลียตเลยแม้แต่น้อย

    เด็กทั้งสามคนใช้เวลานั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกราวชั่วโมงกว่าๆ สัญญาณกระดิ่งก็ดังขึ้นจนพวกเขาทั้งสามสะดุ้งโหยงเพราะไม่นึกว่าพวกจะได้ยินเสียงนี้ตอนเกือบห้าโมงเย็นแบบนี้

    “นี่ประกาศจากทางอาจารย์ผู้ฝึกสอน ขอให้นักเรียนทุกคนมารวมกันที่สนามฝึกใหญ่ที่ชั้นเก้าภายในยี่สิบนาที ขอย้ำขอให้นักเรี....”

    นั่นสินะ ถึงบอกว่าให้กลับไปก่อนได้แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยให้ใช้เวลาที่เหลือนอนอยู่เฉยๆนี่นา เลสเตอร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เด็กหนุ่มทั้งสามลุกขึ้นจากโต๊ะสนทนาแล้วเดินออกไปยังสถานที่ที่ได้รับมอบหมาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×