ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fanfic] หัวขโมยแห่งบารามอส เรื่องราว หลังจากนั้น

    ลำดับตอนที่ #59 : อ่านเล่นๆ ตอนแรกของRxFที่สัญญาไว้

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.4K
      13
      25 เม.ย. 49

    เอามาให้อ่านกันเล่นๆฮะ

    เห็นเรียกร้องกันเหลือเกิน

    บอกไว้ก่อนว่าเราแต่งไว้แค่นี้

    แล้วก็พับเก็บเลย เพราะตอนนี้กำลังปั่นออริอยู่

    แต่เห็นทุกท่านมาจิกเรื่อยๆ เลยเอามาให้ดูก่อนฮะ

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------

    "ให้ตายเหอะ ปิดเทอมนี่แทนที่จะได้ไปเที่ยวให้หัวโล่งหน่อย ที่ไหนได้ ใช้ให้ไปทำงาน" คำบ่นดังขึ้นในห้องพักสี่เหลี่ยมแห่งหนึ่ง ขณะที่มือกำลังจัดการเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆนานาของตัวเองยัดลงใส่เป้ ก่อนจะหันไปถามเพื่อนร่วมชะตากรรม "เฮ้ แกรู้มั้ยว่าพวกเราจะต้องไปที่ไหนกัน"

    "เอาน่า ไปแล้วนายจะรู้ว่ามันดีกว่าที่นายคิด" เสียงหนึ่งดังขึ้นปลอบ พร้อมรอยยิ้มบางตามแบบฉบับของเจ้าตัว

    "ไม่ได้ให้ปลอบโว้ย ถามว่าไปที่ไหน" แต่คำถามกลับไม่ได้รับคำตอบ เจ้าตัวคนถามจึงหันไปถามกับอีกคนที่นั่งเงียบอ่านหนังสือรอเพื่อนอีกสองคนแทน

    "แล้วแกรู้บ้างมั้ยวะ ว่าพวกเราจะต้องไปไหน" นัยน์ตาสีฟ้าปรายตาขึ้นมาจากหนังสือ แล้วจึงเอ่ยตอบเรียบๆ

    "เดมอส" คำตอบที่ทำให้คนได้รับคำตอบถึงกับทิ้งมาดขี้บ่นของตัวเองไปในทันที นัยน์ตาฉายประกายระยับ แล้วจึงหันไปถามเพื่อนข้างตัวอีกหน

    "แล้วแกเคยไปมั้ยวะ เดมอสเนี่ย" เด็กหนุ่มอีกคนไม่ตอบ เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับแย้มรอยยิ้มบางของตัวเองให้มากขึ้นอีกนิด

    "เยี่ยม แกรู้มั้ย ที่เดมอสมีอะไรดี" เด็กหนุ่มคนแรกยังคงถามต่อไปอย่างไม่ได้เจียมตัวเลยว่า ตนเองไม่ได้ไปเที่ยว

    "อืม..... เยอะแยะ" คำตอบที่ได้รับทำให้นัยน์ตาสีม่วงฉายประกายแวววับมากขึ้น ก่อนที่ความฝันจะพังทลาย "แต่คิล เราไม่ได้ไปเที่ยวกัน เราต้องไปทำงาน" ราวกับฝันสลาย นัยน์ตาสีม่วงที่ฉายประกายระยับแห่งความเพ้อฝันอยู่ชั่วครู่ กลับกลายมาเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด สภาพที่เพื่อนข้างตัวรู้สึกว่าน่าสงสารซะเหลือเกิน

    "คิดในแง่ดีสิคิล ไม่ได้ไปเที่ยว แต่อย่างน้อยก็ได้เข้าเมืองหลวงเดมอสนา" คำปลอบใจที่นอกจากจะทำให้เจ้าคนที่อยู่ในสภาพน่าสงสารเมื่อครู่เปลี่ยนมาเป็นร่าเริงอีกครั้งแล้ว ยังทำให้เพื่อนร่วมห้องพูดน้อยอีกคนหันขึ้นมามองอย่างแปลกใจอีกด้วย

    "เข้าเมืองหลวง หมายความว่า......"

    "อ้าว นายยังไม่รู้หรอกเหรอ คาโล" นัยน์ตาสีเขียวรอบรู้หันกลับไปยังเพื่อนร่วมห้องที่นั่งเงียบมานานอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเห็นแววตาแห่งความสงสัยยังไม่คลายไปจากดวงตาสีฟ้า เขาจึงถอนใจ แล้วจึงบอกจุดประสงค์แห่งการเดินทางครั้งนี้

    "เราต้องไปเชิญเจ้าหญิงเฟลิโอน่ามาเรียนที่เอดินเบิร์ก" จุดประสงค์ที่ได้รับรู้ ทำให้สองบุคคลในห้องพักตาเบิกกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนไปด้วยอาการที่แตกต่าง คนหนึ่งหลุบตาลง แล้วแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ขณะที่อีกคนเขย่าตัวเขาอย่างที่แทบจะเรียกได้ว่า บ้าคลั่ง พลางเอ่ยคำถามไม่หยุด

    "เจ้าหญิงแห่งเดมอสคนนั้นน่ะเหรอ โร เราต้องไปพายัยเจ้าหญิงธิดาแห่งความมืดคนนั้นมาเรียนที่เอดินเบิร์กเหรอ ทำไมวะ แล้วพามายัยเจ้าหญิงนั่นจะได้เรียนปีไหน" และคำถามอีกต่างๆนานาที่พรั่งพรูออกมาจากปาก จนเขาต้องเอ่ยปราม

    "พอๆ คิล นายจะทำให้ฉันตายซะก่อนที่จะได้ตอบคำถามนาย" คำปรามที่ได้ผลชะงัก คิลหยุดเขย่าตัวเพื่อน ก่อนจะนั่งนิ่งรอคอยคำตอบ

    "เอาใหม่ซิ นายถามอะไรก่อน เอาทีละคำถาม" เขาเสริมท้ายคำอย่างหนักแน่น

    "สรุปว่าเราต้องไปพายัยเจ้าหญิงแห่งเดมอส ธิดาแห่งความมืดคนนั้นมาเรียนที่เอดินเบิร์กงั้นเหรอ" คำถามแสนยาว แต่คำตอบที่ได้รับกลับสั้นนิดเดียว

    "ใช่"

    "แล้วทำไมวะ" คำถามต่อไปถูกส่งออกมาในทันที แต่คราวนี้ คนตอบกลับไม่ใช่คนเดิม กลายเป็นคนที่นั่งเงียบอยู่นานแทน

    "เจ้าหญิงเฟลิโอน่ามีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงแห่งบารามอสด้วย เพราะเจ้าหญิงอลิเซีย แห่งบารามอสเป็นพระมารดาของเธอ แล้วเมื่อมีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงแห่งบารามอส ตามกฎบัญญัติแล้ว เจ้าหญิง เจ้าชายทุกพระองค์ในเอเดนจะต้องมาเรียนที่เอดินเบิร์ก" คำตอบที่เรียกนัยน์ตาสองสีให้เหลียวกลับไปมองเป็นตาเดียว แล้วเอ่ยคำถามเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง

    "นายรู้จักเธอด้วยเหรอ คาโล" แต่สิ่งที่ได้รับหาใช่คำตอบไม่ กลับเป็นการพยักหน้านิดๆรับ ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับหนังสือในมือต่อไป เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะสอบถามต่อไป คิลจึงหันมายิงคำถามใส่เพื่อนอีกคนแทน

    "พามาแล้วยัยเจ้าหญิงนั่นจะได้เรียนปีไหน"

    "คงจะปีเดียวกับเราล่ะมั้ง ความจริงหญิงต้องเข้าเรียนปีนี้ ปีเดียวกับพวกเราเนี่ยแหละ แต่ไม่ยอมมา คงจะเป็นเพราะท่านจ้าว แต่ก็ยังไม่แน่เสมอไป" คำตอบที่ใช้สรรพนามสนิทสนมเกินควร เรียกความแปลกใจให้กับผู้ฟังได้เป็นอย่างดี คิ้วเรียวมุ่นลงเล็กน้อย ก่อนที่จะปล่อยผ่านไป แล้วยิงคำถามต่อไป

    "เข้าเรียนปีเดียวกับเรา งั้นก็แสดงว่ายัยเจ้าหญิงนั่นก็อายุเท่ากับเราน่ะสิ"

    "ก็งั้นแหละคิล" โรอตบคำถาม "แก่เดือนกว่านายนิดหน่อยมั้ง ถ้าจำไม่ผิด นายเกิดฤดูใบไม้ร่วงใช่มั้ย"

    "ใช่ กลางใบไม้ร่วง ทำไมเหรอ" เด็กหนุ่มผมดำตอบรับอย่างไม่เข้าใจ มือเกาหัวแกรกๆ

    "หญิงเกิดต้นฤดูใบไม้ร่วง"

    "รู้สึกนายจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับแม่เจ้าหญิงนี่ดีเหลือเกิน" คำถามตั้งข้อสงสัยดังออกมาจากปาก เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวรอบรู้ขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    "ก็เธอเป็นเจ้านายแห่งทริสทอร์ ทาสคนนี้จะรู้จักก็ไม่เห็นแปลก" เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ปรายสายตาขึ้นมามองเพื่อนร่วมห้องที่มีอะไรประหลาด ก่อนจะปล่อยผ่านไปอย่างไม่คิดจะใส่ใจ

    "คำถามสุดท้าย พวกแกว่าเจ้าหญิงคนนี้สวยมั้ยวะ" คำตอบที่ได้รับมีเพียงนัยน์ตาสองสีที่หันมาสบกันชั่วครู่ ก่อนจะขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกันเสียอีก

    "นายเห็นแล้วก็จะรู้เอง" คำตอบที่เหมือนกันทุกคำพูด ดังออกมาพร้อมกันจากทั้งสองคน ไอ้ความเหมือนที่แตกต่างนี้ทำให้เขาเคยคิดว่า สองคนนี้ บางทีมันอาจจะเป็นแฝดคนละฝามาก่อนก็เป็นได้ ถ้าไม่ติดว่า ฐานะของพวกมันสองตัวต่างกันราวฟ้ากับเหวอ่ะนะ

    "อย่ามัวงงอยู่คิล เราต้องรีบทำเวลาหน่อย กว่าจะถึงเดมอสใช้เวลาเป็นอาทิตย์ เก็บของเร็วเข้า" เด็กหนุ่มเรือนผมสีชาเอ่ยเร่งเพื่อน พลางปิดเป้ของตัวเอง แล้วโยนขึ้นไปบนเตียง ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งรอเพื่อนผมดำ นักฆ่าเจ้าปัญหาเก็บของอย่างรวดเร็ว

                    ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในห้อง ผ้าม่านสีลาเวนเดอร์ปลิวไสว แสงแดดรำไรลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาเลียเฟอร์นิเจอร์ไม้บางชิ้นในห้อง ทั้งโต๊ะเขียนหนังสือ เตียง หรือแม้แต่ตู้เสื้อผ้า ขณะนี้ทั้งโรงเรียนอาจจะเหลือนักเรียนแค่พวกเขาเพียงกลุ่มเดียวที่ยังไม่ออกไปจากโรงเรียน ด้วยถูกเรียกไปรับหน้าที่ในตอนเช้า ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางเสียหมด แต่อย่างไรก็ตามที คงต้องโทษความไม่รอบคอบของพวกเขาทั้งสองด้วย ที่ทำให้ลืมเก็บของ เป็นผลให้ทุกอย่างล่าช้าลงไป

                    เด็กหนุ่มผมดำปิดเป้ แล้วยกขึ้นสะพายหลัง เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มผมสีชา ขณะที่อีกคนปิดหนังสือในมือ แล้วคว้าเป้ของตัวเองขึ้นมาบ้าง ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องพัก ที่อยู่หลับนอนมากว่าหนึ่งปี

                    เกวียนไม้สีซีดเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางสู่เดมอส ขณะที่บุคคลโดยสารในเกวียนมีเพียงแค่เด็กหนุ่มที่เพิ่งจบการศึกษาชั้นปีหนึ่งโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กหมาดๆเท่านั้น ไม่รู้ว่ามหาปราชญ์เลโมธีคิดอย่างไร จึงให้หัวหน้าชั้นปีหนึ่งทั้งสามเป็นคนไปเชิญตัวเจ้าหญิงเฟลิโอน่ามาที่เอดินเบิร์ก

                    คิล หรือ คิลมัส ฟีลมัส นักฆ่าแห่งซาเรส ที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างฉายา เป็นแค่เด็กหนุ่มหน้าตาดีที่รักสนุกคนหนึ่งเท่านั้น เรือนผมสีดำยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง นัยน์ตาสีม่วงฉายประกายระริกอยู่ตลอดเวลาที่พร้อมที่จะหาเรื่องสนุกๆมาใส่ตัวเสมอ สอดส่ายออกไปมองรอบๆนอกเกวียนอยู่เป็นระยะ

                    คาโล วาเนบลี เดอะ ปรินซ์ ออฟ คาโนวาล เจ้าชายเมืองนักรบที่พูดน้อย จนแทบจะเรียกได้ว่า ไม่พูด แต่น่าคบ ผู้ที่โดยสารอยู่ในตัวเกวียน รอเวลาโดนเรียกขึ้นมาผลัดเวร แม้นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยจะจับจ้องไปยังหนังสือในมือ มือยกขึ้นเสยผมสีเงินปรกหน้าที่ลงมาเป็นระยะๆ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะเหม่อลอยกว่าที่เคยพอสมควร

                    และบุรุษคนสุดท้าย โร เซวาเรส เดอะ แบกการ์ ออฟ ทริสทอร์ หรืออีกฉายา ห้องสมุดเคลื่อนที่ประจำป้อมอัศวิน เจ้าของเรือนผมสีชาและนัยน์ตาสีเขียวที่ฉายแววประหลาด รอยยิ้มบางอมภูมิที่มีอยู่เป็นนิจบนดวงหน้า วันนี้ดูเหมือนจะหายไป เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอารมณ์ดีแทนเมื่อได้มาจับบังเหียนคุมเกวียนให้แล่นไปตามทาง

                    เส้นทางสู่เดมอสที่คนทั่วไปดูจะไม่รู้จัก แต่ไอ้คนคุมบังเหียนนี่ดูจะรู้จักดีกว่าใคร เมื่อมันคุมทางอย่างมั่นใจเต็มที่ว่าไม่มีหลง แถมยังชี้นกชี้ไม้ให้เพื่อนอีกคนดูไปตลอดทางอีกต่างหาก

                    การเดินทางดำเนินไปอย่างมีความสุข เสียงพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะมีไปตลอดเส้นทาง แม้การออกเดินทางช้ากว่าที่คิดไว้จะทำให้การเดินทางล่าช้าลง แต่ดูเหมือนว่าคนคุมเส้นทางจะไม่ได้วิตกเลยซักนิด ดวงตาสีเขียวเพียงเบือนไปมองยังพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินชั่วครู่ ก่อนถอนใจแล้วหันไปตะโกนบอกคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง

    "โอ๊ส!! ทุกท่านโปรดทราบ ขณะนี้กระผมกำลังจะเร่งความเร็ว กรุณาเตรียมตัวด้วย เพราะถ้าไม่รีบมีหวังวันนี้เราไปไม่ถึงฟรอนเทียร์แหง" คำเตือนติดตลกเล็กน้อยจากผู้คุมบังเหียนที่ไม่รอคำตอบรับ มือตวัดบังเหียนในมือลงในทันทีที่เตือนเสร็จ เป็นผลให้ม้าโจนทะยานไปข้างหน้าในทันที และทำให้สองบุรุษที่นั่งอยู่ข้างหลังถึงกับเซถลา หาที่ยึดเกาะแทบไม่ทัน

    "ไอ้บ้า มีเวลาให้เตรียมตัวหน่อยสิวะ" เสียงด่าดังมาจากข้างหลัง โรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะว่ากลับ

    "ก็บอกให้เตรียมตัวแล้วไง เราต้องรีบนะคิล อย่าลืมสิ ว่าที่เราต้องรีบแบบนี้ก็เพราะนายจัดของช้าเอง" คำว่าที่ทำให้อีกฝ่ายต้องยอมสงบปากสงบคำ ยึดขอบหน้าต่างเกวียนไว้แน่น ด้วยม้ากลุ่มนี้วิ่งด้วยความเร็วอันแสนน่ากลัวเหลือเกิน

                    ขณะที่เด็กหนุ่มอีกคนต้องยอมปิดหนังสือในมือลงแล้วนั่งพิงข้างเกวียนอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อแสงสว่างน้อยลง และเกวียนสีซีดเล่มนี้เพิ่มความเร็วขึ้นจนน่าตกใจ ถอนหายใจเบา ก่อนตะโกนไปถามคนนั่งข้างหน้าถึงเวลาที่จะต้องใช้เดินทางอีก

    "อีกนานมั้ย กว่าเราจะถึงฟรอนเทียร์"

    "พอสมควร แต่กว่าจะถึงมันก็คงมืดแล้วล่ะ คาโล" โรตะโกนตอบกลับมาจากข้างหน้า "ทำใจเอาแล้วกันนะ ท่านเจ้าชาย บางทีคืนนี้เราอาจต้องนอนในเกวียนกัน" คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะสบประมาทกันอย่างเต็มที่ ทำให้นัยน์ตาสีฟ้าวาวโรจน์ ก่อนจะสงบลง เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า มันต้องการจะยั่ว

    "ก็ถ้าขอทานยังเรียนกับเจ้าชายได้ แล้วทำไมเจ้าชายจะนอนข้างทางไม่ได้" คำเปรยกับทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างหน้าหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ

    "เอาน่า ฉันจะพยายามให้ถึงฟรอนเทียร์ให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน เราจะนอนข้างทางต่อเมื่อสถานการณ์บังคับเท่านั้นแหละ หรือนายว่าไงคิล" โรให้คำตอบกลับที่เปรยไปถามเพื่อนร่วมทางอีกคนหนึ่ง

    "นอนข้างทาง ความจริงมันก็ไม่เลวหรอกนะ" แต่ก่อนที่อะไรจะเลยเถิด คาโลก็รีบขัดขึ้นมาเสียก่อน

    "เอาเป็นว่า รีบเร่งการเดินทางเข้าแล้วกัน ถ้าไปถึงช้ากว่ากำหนดก็จะทำให้เดินทางกลับช้ากว่ากำหนดด้วย"

    "อา"

    "ไหนแกว่า วันนี้ก็อาจจะไม่ถึงฟรอนเทียร์ไง" เด็กหนุ่มผมดำถามเสียงเครียด ด้วยคิดว่าเพื่อนคนนี้หลอกเขาเข้าอีกแล้ว เมื่อเห็นแสงไฟอยู่ข้างหน้า และรวมถึงไอ้คนคุมบังเหียนชะลอความเร็วลง

    "ก็ไม่ถึงน่ะสิ" โรตอบกลับด้วยน้ำเสียงเดียวกัน มือกระตุกบังเหียนให้ม้าหยุดวิ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้ลงไปดูต้นทางของแสงไฟข้างหน้า เขาก็ต้องกระซิบห้ามเพื่อนทั้งสองเสียงเครียด

    "ห้ามใครลงไปจากเกวียน" นัยน์สีเขียวหรี่ลง คิ้วเรียวมุ่นเข้าอย่างใช้ความคิด เดินทางตอนกลางคืนนี่มันอันตรายจริงๆ ให้ตายสิ

                    โรคว้าบังเหียนขึ้นมากุมอย่างรวดเร็ว เมื่อสมองประมวลถึงต้นเหตุของแสงไฟข้างหน้า แล้วตวัดครั้งหนึ่ง ให้เหล่าอาชาทั้งหลายวิ่งห้อไปข้างหน้า

    "เตรียมตัวให้ดี ดูเหมือนว่า เราจะต้องมีการปะทะกับผู้ที่อยู่ข้างหน้าเราเสียหน่อย" เด็กหนุ่มเรียกเพื่อนให้เตรียมตัว เพื่อนอีกสองคนพยักหน้ารับ เรียกอาวุธของตัวเองเข้ามาอยู่ในมือ เช่นเดียวกับคนกุมบังเหียน ที่กระชับดาบเรียวในมือ

    "นับสาม แล้วพวกนายกระโดดลงจากเกวียน จัดการให้เรียบได้ตามต้องการ มีเวลาให้ประมาณห้านาที ฉันจะบังคับให้เจ้าหนูพวกนี้วิ่งวนอยู่แค่ห้านาทีเท่านั้น ทำเวลาเข้า ไม่งั้นเราจะไปไม่ถึงฟรอนเทียร์แน่นอนวันนี้"

    "หนึ่ง..." เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังกุบกับ กุบกับ ราวกับต้องการจะเตือนกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าให้รู้ตัว

    "สอง..." ฝุ่นตลบฟุ้งไปตลอดทางที่เกวียนสีซีดเล่มนี้วิ่งผ่าน บางคนในกลุ่มคนข้างหน้าชี้ไม้ชี้มือมายังที่พวกเขาอยู่

    "สาม!!! ตอนนี้เลย!!" เด็กหนุ่มสองคนกระโจนลงจากเกวียนในทันทีที่สิ้นเสียงสัญญาณ เด็กหนุ่มผมดำพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มีดสั้นในมือถูกใช้เป็นอาวุธอย่างคล่องแคล่ว ชายฉกรรจ์หลายร่างล้มลงตลอดเส้นทางที่เด็กหนุ่มวิ่งผ่าน

                    ขณะที่เด็กหนุ่มอีกคนยืนนิ่งอยู่กับที่ มือปักคทาลงกับพื้น ปากบริกรรมร่ายคาถา หอกน้ำแข็งหลายอันพุ่งลงมาใส่กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นที่หลบกันแทบไม่ทัน หลายคนล้มลงด้วยโดนหอกน้ำแข็งทรงพลังทำร้าย แต่หลายคนก็ยังอยู่รอดปลอดภัย แล้วพุ่งเข้ามาใส่หมายจะปลิดชีพเด็กหนุ่มตรงหน้า

       !!เคร้ง!!

                    เสียงดาบปะทะดาบ เด็กหนุ่มผู้บังคับเกวียนสอดดาบเข้าขวางทางดาบของชายฉกรรจ์ที่ต้องการจะทำร้ายเพื่อนของตน โรตวัดข้อมือครั้งหนึ่งเพื่อสะท้อนแรงดาบ ก่อนจะวิ่งผ่านไป แล้วส่งเสียงกระเซ้า

    "เฮ้ๆ อย่าให้ฉันต้องโผล่เข้ามาช่วยนายบ่อยนักสิ" นัยน์ตาสีฟ้าปรายสายตาดุๆไปมองเจ้าขอทานปากไม่เจียม ไม่ได้ดูเลยว่า ตัวเองก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังไล่ทำลายเกวียนของพวกตน

    "นายก็ควรจะดูตัวเองซะบ้าง" ปากตอกกลับ แต่ก็ยังเรียกกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาป้องการการโจมตีครั้งต่อไปได้ทันการ

    "อย่าลืม ฉันมีเวลาให้ห้านาที คิล!! เร็วเข้า เลิกเล่น แล้วรีบจัดการให้เสร็จซะที" โรส่งเสียงไปบอกเพื่อนอีกคนที่อยู่กลางวงล้อมของเหล่าชายฉกรรจ์ ดวงตาสีม่วงฉายประกายระริก แล้วรีบจัดการตามคำขอของเพื่อน

    "เออน่า"

                    จังหวะเดียวกัน มีดสั้นเล่มหนึ่งได้พุ่งเข้ามายังเกวียนที่กำลังวิ่งไปรอบๆพื้นที่ อาจจะต้องการขู่ม้าให้ตื่น หรือไม่ก็หมายจะจัดการเจ้าคนที่บังคับเกวียนอยู่เสียเลย โรหรี่ตาไปมองมีดเล่มนั้น ขยับข้อมือเพียงนิด แล้วมีดเล่มนั้นก็ถูกความมืดดูดกลืนหายไป ด้วยพลังอันแปลกประหลาดของชาวทริสทอร์

    "แก.... ทริสทอร์...!?" เสียงของชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นหัวหน้าดังขึ้นแผ่วเบา เด็กหนุ่มปรายสายตาไปมอง แล้วขยับรอยยิ้มบาง มือกระตุกบังเหียนให้เหล่าม้าที่กำลังวิ่งอยู่ให้หยุด กระโดดลงจากเกวียน แล้วเดินเข้าไปหาพร้อมกับความคิดสนุกๆ

    "จำกันได้รึเปล่าครับ" โรถามอย่างสุภาพ เสียงคำถามของเด็กหนุ่มเรียกให้ทุกการเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง

    "แก..... ไอ้เด็กทริสทอร์เมื่อตอนนั้น" นิ้วอ้วนป้อมที่ชี้มายังเด็กหนุ่มสั่นระริก เขาขยับรอยยิ้มนิด แล้วเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย

    "เป็นเกียรติที่ยังจำกันได้" คำพูดที่ออกมาจากปากบอกได้เลยว่ามันตั้งใจพูด แต่จะประชดหรือไม่ นั่นมันอีกเรื่อง

                    ดูเหมือนว่า ไอ้คำว่าเด็กทริสทอร์จะไปกระตุ้นความทรงจำของกลุ่มคนทั้งหมด หลายคนในที่นั้นตาเบิกกว้างด้วยความกลัวจับใจ ความทรงจำเมื่อคราวที่คนกลุ่มนี้พบกับโรคราวที่แล้วเข้ามาในหัวสมอง

    "ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าถ้าฉันพบยังพบพวกแกในดินแดนแถบของเดมอสอีก ฉันจะไม่ให้อภัย" เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ขณะที่เพื่อนทั้งสองคนลดอาวุธลง แล้วรอดูว่าโรจะจัดการกับคนกลุ่มนี้อย่างไร

    "แต่นี่ไม่ใช่ดินแดนเดมอส ที่นี่คือเอเดน..... แล้ว....แล้ว" ชายผู้ที่เป็นหัวหน้าระล่ำระลักกล่าว

    "อืมๆ ฉันก็ยังไม่ได้บอกนี่ ว่าฉันจะทำอะไรพวกแกในเขตของเอเดน" โรเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของชายฉกรรจ์ที่ตัวโตกว่าเด็กหนุ่มเกือบครึ่งฟุต แล้วแย้มรอยยิ้มกว้าง

    "เพียงแต่ ถ้าฉันพบว่าแก หรือคนของแก ทำอะไรเพื่อนของฉัน หรือว่าคิดจะทำอะไรหญิงอีก ฉันจะไม่ให้อภัย เด็ดขาด" น้ำเสียงช่วงปลายคำพูดถูกเปลี่ยนจากเรียบๆให้กลายเป็นเย็นชา จนน่ากลัว ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง แล้วเดินหันหลังกลับไป

                    โรให้สัญญาณแก่เพื่อนๆให้เดินกลับไปขึ้นเกวียน คิลและคาโลพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามเพื่อนของตนไป แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ไปถึงตัวเกวียน ชายคนที่เป็นหัวหน้าก็พุ่งตัวเอามีดสั้นเข้ามาเสียบที่กลางหลังของเด็กหนุ่มด้วยความคับแค้นใจ

                    โรที่ประมาทเกินไปล้มลงด้วยถูกมีดสั้นแทงเข้าที่กลางหลัง มือกุมบาดแผลที่ถูกแทงไว้ตามสัญชาตญาณ โลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากบาดแผล เปลือกตาปิดลง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

    "อย่าทำมาเป็นลำพอง ไอ้หนู คราวที่แล้วแกรอดไปได้อย่างหวุดหวิดก็ใช่ว่าคราวนี้แกจะเป็นอย่างนั้นอีก" ชายผู้เป็นหัวหน้าพูดเสียงสั่น เหงื่อกาฬไหลท่วมตัว ด้วยความกดดันจากเด็กรุ่นลูก สายตาจับจ้องไปยังร่างของเด็กหนุ่มที่ล้มลง ไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

    "เหอะ ทำมาเป็นวางอำนาจ แค่รอดน้ำมือของพวกเราได้แค่นี้.....ทำเป็น......" เสียงพูดของชายฉกรรจ์ร่างท้วมค่อยๆหายไป เมื่อรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่ข้างหลัง

                    คทาในมือของคาโลที่เคยลดลงด้วยไว้ใจฝีมือของเพื่อนที่ล้มลงไปในขณะนี้ ปักลง ณ พื้นดิน ปากบริกรรมร่ายคาถาที่คิดว่ารุนแรงและโจมตีได้เป็นวงกว้างที่สุด นัยน์ตาสีฟ้าวาวโรจน์ด้วยความโกรธสุดจะกลั้นเมื่อคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนอันน้อยนิดถูกทำร้ายบาดเจ็บ

                    เช่นเดียวกับคิลที่หายไปจากพื้นที่ที่เคยยืนอยู่ กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหมดล้มลงเพียงแค่เงาดำวูบผ่าน เสียงสีแดงไหลออกมาจากเส้นเลือดใหญ่ที่ซอกคออย่างแม่นยำ ดวงตาสีม่วงฉายแววโกรธแค้น

                    ชายร่างท้วมที่เป็นหัวหน้าตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเหล่าลูกน้องทั้งหลายค่อยๆล้มลงทีละคน สองคน แล้วยังมีเวทย์ของไอ้หนูผมเงินอีกคนหนึ่งอีก ทุกอย่างในบริเวณนั้นกลายไปน้ำแข็งไปในพริบตา เหลือเพียงแต่เด็กหนุ่มสามคน และตัวเขาอีกคนเดียวเท่านั้น คาโลเดินเข้าไปใกล้ร่างที่ล้มลงของเพื่อนคนแรก มือจับชีพจร ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อรับรู้ได้ว่าเพื่อนของตนยังไม่ตาย แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เมื่อสิ่งที่เขาจับได้ นอกจากจังหวะชีวิตของโรแล้ว ยังมีพิษที่แล่นไปทั่วร่างของเด็กหนุ่ม ร่างสูงของเจ้าชายแห่งคาโนวาลลุกขึ้นไปยืนเคียงข้างกับเพื่อนนักฆ่าที่กำลังย่างสามขุมเข้าไปหาหัวหน้าโจรขี้ขลาด

                เหงื่อกาฬที่หยุดไหลไปแล้วได้ไหลขึ้นมาอีกรอบ ด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มรุ่นลูกอีกสองคนที่เหลือ เด็กหนุ่มทั้งสองที่หมายจะจัดการเขาลง ไม่เหมือนกับไอ้เด็กคนแรกที่เขาจัดการไปที่ต้องการแค่ขู่ให้เปิดทาง คราวนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เขาได้รู้สึกว่า ตัวเองได้ทำผิดพลาดไปอย่างร้ายแรงที่สุด ความผิดพลาดที่เป็นผลให้ชีวิตของเขากำลังจะถึงฆาต

    "ยาแก้พิษของโร ส่งมา แล้วฉันจะปล่อยแกไป" คำพูดของคาโลเรียกสายตาของคิลตวัดกลับไปมองได้ในทันที

    "แกหมายความว่า ไอ้เดนมนุษย์นี่ใช้มีดอาบยาพิษ" เมื่อคำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้ายืนยันจากคาโล เป็นผลให้นัยน์ตาสีม่วงนั้นวาวโรจน์ขึ้นอีก

    "ส่งมา อย่าให้ต้องพูดซ้ำ" คาโลย้ำคำพูดอีกครั้ง ขณะที่ชายฉกรรจ์ยืนไม่ขยับ

    "แกจะส่งมาดีๆ แล้วไปดีๆ หรือแกจะให้ฉันฆ่าแกซะ แล้วค่อยค้นเอายาแก้พิษออกมาจากศพของแก" คิลเอ่ยขู่บ้าง มือเดาะมีดสั้นในมือ อย่างหมายจะบอกว่า ตนไม่ได้พูดเล่น

                    ชายฉกรรจ์ร่างท้วมค่อยๆล้วงเข้าไปหยิบขวดยาในกระเป๋า แล้วยื่นส่งมาให้ คิล เดินเข้าไปคว้าขวดยามาจากมือ และทิ้งรอยมีดไว้ที่สีข้างของชายฉกรรจ์

    "นี่ ตอบแทนที่แกเอามีดแทงโร"

    "ไปได้!! ฉันนับแค่ห้า ถ้าแกยังไม่เอาตัวของแกไปให้พ้นหน้าฉัน ก็อย่าหวังว่าจะฉันจะปล่อยแกไปอีกครั้ง" คิลเอ่ยไล่ชายฉกรรจ์ ที่วิ่งกุมบาดแผลวิ่งหนีไปอย่างหน้าสมเพช

                    เขตอาคมของคาโลคลายลงแล้ว พื้นที่โดยรอบกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง คิลส่งขวดยาแก้พิษไปให้คาโล ที่กำลังเตรียมตัวจัดการกับบาดแผลของโร ที่ล้มลงไปด้วยพิษบาดแผล กระเป๋ายาพระราชาถูกเรียกออกมาให้ปรากฏข้างตัว

                    พิษที่กำลังแล่นไปทั่วทั้งร่างของโรค่อยๆถูกกำจัดไปทีละนิด ด้วยยาแก้พิษที่ถูกส่งเข้าไปในร่างกายของโร เลือดเริ่มแข็งเป็นลิ่มตัวเนื่องจากทิ้งเอาไว้นาน คาโลค่อยๆร่ายเวทย์ปิดบาดแผล แล้วใช้ผ้าพันแผลที่ใส่ยาแก้ปวดพันทับลงไป

                    เด็กหนุ่มทั้งสองค่อยๆประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกของโรให้ไปยังบริเวณเกวียน แล้วตัดสินใจพักผ่อน ณ ที่ตรงนี้ ด้วยคนนำทางได้บาดเจ็บลงไปเสียแล้ว กองไฟขนาดย่อมที่กลุ่มโจรเมื่อครู่ได้ก่อเอาไว้ได้ดับไปแล้ว แต่ก็ยังพอใช้เป็นเชื้อไฟได้อยู่ คาโลก่อกองไฟใหม่ด้วยเวทย์มนตร์อย่างรวดเร็ว กองไฟกองใหม่ถูกก่อใหม่บนเชื้อไฟของกองไฟเดิม คิลและคาโลนั่งอยู่ข้างหน้ากองไฟด้วยตาสว่างเกินกว่าจะหลับลงได้ ภาพของโรที่ล้มลงเมื่อครู่ยังคงติดตาไม่หาย เพื่อนคนแรกของพวกเขาถูกทำร้ายจนพวกเขาเลือดขึ้นหน้า

    "แกว่ามันจะตายมั้ยวะ" คิลถามขึ้นถามกลางเสียงปะทุของกองไฟ แต่คาโลเพียงแค่มองกลับมาแล้วไม่พูดเท่านั้น

    "ตอนมันล้มลงไปงี้ ฉันนี่ล่ะเสียวจริงๆว่ามันจะตาย" คิลยังพูดต่อไป

    "มันจะไม่ตาย" คาโลพูดขึ้นมาในที่สุด

    "ใช่ นั่นสินะ ถ้ามันตาย แล้วใครจะนำทางพวกเราไปเดมอสล่ะ" คิลพูดเหมือนจะเห็นแก่ตัว แต่เขารู้ คาโลรู้ว่าความจริงมันก็ห่วงเพื่อนคนนี้ไม่น้อยไปกว่าเขา บางทีอาจจะมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ก็โรเป็นเพื่อนคนแรกของมันนี่

                    เสียงพูดคุยดังเป็นระยะๆตลอดทั้งคืน ด้วยไม่สามารถข่มตาลงนอนได้ ดูเผินๆมันก็เหมือนกับที่เคยเป็นในบางคืนที่ห้องอัศวิน แต่เมื่อคราวที่ขาดเจ้าขอทานจอมแสนรู้คนนั้น มันก็ทำให้รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไปเช่นเดียวกัน

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                    ยามเช้ามาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองมานอนอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี่ได้อย่างไร เมื่อคิดจะยันตัวให้ลุกขึ้นดูสภาพรอบๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นที่กลางหลัง มือแตะไปยังบริเวณที่รู้สึกเจ็บ ก็พบว่ามีผ้าพันแผลพันไว้รอบๆ สมองค่อยๆกลับมาใช้การได้อีกครั้ง ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ค่อยแล่นเข้ามาในความคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกพรวดขึ้นมาอย่างลืมเจ็บ สายตามองไปยังรอบตัว เพื่อหาอะไรบางอย่าง เกวียนสีซีดที่โดยสารมายังอยู่ แต่ม้าหายไปบางตัว และคนที่อยากจะเห็นก็ไม่อยู่อีกด้วย

    "ค่อยยังชั่ว แกหายแล้วใช่มั้ย" เสียงถามดังขึ้นจากข้างหลัง เด็กหนุ่มเหลียวกลับมามองที่ต้นเสียง ก่อนความรู้สึกโล่งใจจะเข้ามาในจิตใจ

                คิลที่กลับมาจากสำรวจบริเวณโดยรอบ แล้วเห็นเพื่อนของตนฟื้นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกโล่งใจ ดีใจ ที่มันยังไม่ตาย ความกลัวจากเมื่อคืนยังไม่จางหาย ภาพของเพื่อนคนแรกในชีวิตที่ล้มลงไปยังไม่ยอมถูกลบไปจากดวงตา

    "นาย....คิล นี่ฉันถูกแทง แล้ว หลังจากนั้นล่ะ" โรถามถึงเหตุการณ์หลังจากที่ตนเองสลบไป

                    คิลค่อยๆเล่าเหตุการณ์หลังจากนั้นให้เพื่อนขอทานฟัง ทั้งเรื่องที่พวกเขาจัดการกับคนกลุ่มนั้นยังไง เรื่องมีดที่แทงเขามานั้นอาบยาพิษ และเรื่องที่พวกเขาตัดสินใจพักแรมที่นี่เพื่อให้เขาได้พักผ่อน

    "แล้วนี่ คาโลล่ะ" โรถามถึงเพื่อนอีกคนที่จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็น

    "มันพาม้าออกไปกินหญ้าน่ะ แล้วเมื่อกี้มันก็ให้ฉันไปสำรวจพื้นที่รอบๆ เดี๋ยวมันก็คงกลับมา นั่นไง พูดถึงก็มาเลย"

                    ร่างของเจ้าชายแห่งคาโนวาลเดินจูงม้าจำนวนหนึ่งกลับมายังพื้นที่บริเวณที่พวกเขาพักผ่อนกันเมื่อคืน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าคนที่นอนสลบไม่ได้สติเมื่อคืนนี้ลุกขึ้นมาพูดคุยได้เป็นปกติ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วนำม้ากลุ่มนั้นกลับไปเทียมเกวียนเช่นเดิม

    "ไง อรุณสวัสดิ์คาโล เมื่อคืนขอบใจมาก" โรทักยิ้มๆ พร้อมทั้งขอบคุณไปในคราวเดียว เจ้าของชื่อหันกลับมามองยังคนทัก สาวเท้าเข้ามาดูอาการของคนเจ็บ ก่อนจะบอกอาการ

    "แผลยังไม่หายสนิทดี แต่ดูจะไม่มีพิษเหลืออยู่ในตัวแล้ว พักผ่อนให้มากๆ เดี๋ยวก็คงหายเป็นปกติ"

    "ครับ คุณหมอ" คนเจ็บตอบรับด้วยคำกระเซ้าอยู่ในที คุณหมอหัวเงินตวัดสายตาดุๆมาปราม ก่อนที่จะไปจัดข้าวของเข้าในเกวียนให้เรียบร้อย

    "ถ้ามีแรงเล่นก็แสดงว่าอาการดีแล้ว รีบเดินทางต่อได้แล้ว"

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×