คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : อุบัติปักษา
ร้านค้ามากมายตั้งหนาแน่นอยู่บนจัตุรัสใจกลางเมือง จัตุรัสที่มีของขายตั้งแต่ของหายากต่างๆ จำพวกเครื่องลายครามโบราณ สัตว์หายาก ของใต้ดิน อาวุธสงคราม หรือแม้กระทั่งยาพิษต่างๆ
จัตุรัสเซอเรส
ผู้คนมากมายเดินแน่นขนัดอยู่ในจัตุรัสราวกับว่ามีเทศกาลแจกทานหรืองานเทกระจาดก็ไม่ปาน วันนี้มันดูวุ่นวายและหนาแน่นกว่าทุกครั้ง
คนที่กำลังเดินหาอะไรบางอย่างถอนใจ เดินเบียดเสียดกลุ่มคนหนาแน่นมาอยู่ตรงบ่อน้ำพุกลางจัตุรัส
นี่เธอเดินหามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วทำไมไม่เจอ ทั้งที่คลาดสายตาไปเพียงครู่เดียวแต่คนที่ไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้ออกมากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ให้ตายสิท่านแม่...ทำกันได้
แคร์ซินเดียถอนใจแล้วถอนใจอีก นั่งลงที่ขอบบ่อน้ำพุ นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เธอจะดึงท่านแม่จอมเกเรกลับวังไปซะตั้งแต่เมื่อสามสิบนาทีก่อนซะเลย
“อยากกินไอติม” คำขอแบบเด็กๆ อย่างที่ราชินีเอาแต่ใจชอบใช้ทำเอาคนมาด้วยใจอ่อน แคร์ซินเดียมองหน้าแม่ตัวเองแล้วก็ถอนใจ เดินเข้าไปยังร้านขายไอศกรีม
“เอารสสตอเบอรี่นะ” สั่งไล่หลัง ก่อนยิ้มหวานราวกับให้กำลังใจ
ใช่สิ! ในเมื่อคนที่ต้องเข้าแถวซื้อเป็นเธอ และที่สำคัญแถวที่ต้องเข้ามันยาวซะจนเว่อร์ ทำอย่างกับเจ้าของร้านเอาไอติมมาแจกฟรีซะงั้น เฮ้อ! ตั้งแต่ออกมาจากวังท่านแม่ของเธอก็ร้องกินนั่นอยากได้นี่ จนเธอวิ่งหาให้ซะหัวหมุน เมื่อกี้ก็กินซาลาเปา โดนัท ขนมเค้กไปหยกๆ เผลอแป๊บเดียวร้องอยากกินไอติมอีกแล้ว
“ไอติมได้แล้วคะ ท่าน...” คนเอาแต่ใจที่นั่งยิ้มอยู่เมื่อครู่ไม่อยู่ซะแล้ว “ท่านแม่”
ใช่ท่านแม่เธอหายไป
“วันนี้มันวันอะไรกันนะ” เสียงตะโกนที่ดังสนั่นเรียกสายตานับร้อยให้หันมามอง แคร์ซินเดียหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะลุกยืนพาตัวเองออกมาจากบ่อน้ำพุกลางจัตุรัส
ท่านแม่นะท่าน นี่ถ้าท่านพ่อรู้เข้าจะทำยังไง ให้ตายสิแคร์ซินเดีย
คิ้วเรียวเข้มขมวดขึ้นครุ่นคิดถึงสถานที่ที่ท่านแม่ของเธอจะไป แต่คิดยังไงก็คิดไม่ตกในเมื่อท่านแม่เธอออกมาบ่อยซะที่ไหน
“ป้าจ๋าป้า ถ้วยใบนี้ราคาเท่าไหร่กันจ๊ะ” เสียงหวานคุ้นหูทำให้ต้องหันไปมอง
หญิงสาวในชุดขาวพิสุทธิ์นั่งย่องๆ อยู่หน้าร้านขายถ้วยโบราณ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มรอฟังคำตอบจากสิ่งที่ตนถาม ทว่าหญิงชราเจ้าของร้านกลับหน้าซีดหน้าเซียวทำท่าราวกับลมจะจับ
“ป้าไม่สบายเหรอจ๊ะ” ถามต่อไม่พอยังลุกเข้ามาช่วยประคอง ทำเอาหญิงชราตัวสั่น “เป็นอะไรมากไหมจ๊ะป้า”
“ปะ ปะ ปล่อย” เสียงสั่นตะกุกตะกัก ก่อนออกแรงสะบัดตัวออกและทรุดลงนั่งทันที การกระทำที่คนช่วยขมวดคิ้วถอนใจเล็กน้อยแล้วถอยออกมา
“ขอโทษป้าด้วยนะ ฉันมันคงเป็นตัวปัญหาจริงๆ ขนาดป้ายังรังเกียจ” หญิงสาวทำหน้าเศร้า “สมควรแล้วที่เจ้านั่นจะไม่สนใจ”
“ไม่ใช่นะจ๊ะหนู เอ้ย ไม่ใช่นะเพคะองค์ราชินี” คนถูกเรียกว่าองค์ราชินีเลิกคิ้วมองหญิงชราเจ้าของร้านแล้วคลี่ยิ้ม
“ป้าจำผิดคนมั้ง” ปฏิเสธทันควัน แล้วหันไปสนใจถ้วยตรงหน้าต่อ “ฉันว่าฉันดูถ้วยต่อดีกว่า แล้วสรุปว่าใบนี้ราคาเท่าไหร่กันจ๊ะป้า”
ถ้วยชาสีขาวขุ่นถูกยกขึ้นมา แม้มันจะดูแสนธรรมดาแต่คนถือกลับถูกใจอย่างบอกไม่ถูก
“ 1,000 ฟรังเซียร์ เพคะ”
“อืม! แพงเหมือนกันแฮะ”
“เพคะ ถ้วยนั้นดูธรรมดาก็จริงแต่ความจริงแล้วมันมีความวิเศษซ่อนอยู่”
“อะไรล่ะจ๊ะป้า” อเดลล่ากระตือรือร้นถาม ดีถ้ามันใช้แก้เผ็ดคนได้ เจ้าคนบ้างานได้เห็นดีกันแน่
“ป้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่ามันมีกล่องใส่มานะเพคะ แล้วก็คล้ายๆ กับมีจดหมายอะไรติดมาด้วย” กล่องไม้ขนาดเล็กถูกยกออกมาจากตะกร้าด้านหลัง ตัวกล่องเป็นสีน้ำตาลซีดจนเกือบขาว เนื้อไม้ละเอียดเนียนวาวราวกับช่างทำกล่องบรรจงขัดเป็นอย่างดี ทว่าฝากล่องด้านบนกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในเมื่อฝากล่องด้านบนเป็นไม้เนื้อหยาบสีน้ำตาลแดงที่สำคัญมีรอยสลักประหลาดคล้ายตัวอักษรบางๆ ปรากฏอยู่
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองกล่องไม้ในมือหญิงชราก่อนเอื้อมไปสัมผัส และรับรู้ได้ถึงความนุ่มประหลาดที่ไม่คาดว่าจะได้รับจากกล่องไม้ตรงหน้า ความนุ่มที่ทำให้ต้องขมวดคิ้วและแทบหลุดกรี๊ดออกมายามที่สัมผัสกับฝากล่องด้านบน
“ฉันขอซื้อ” เสียงที่พูดออกไปไม่เป็นดั่งที่คิด เมื่อความสนใจทั้งหมดถูกโละทิ้งยามที่สัมผัสฝากล่องนั่น ริมฝีปากบางขยับคล้ายๆ จะพูดอะไรต่อ ทว่าดูเหมือนยิ่งพยามที่จะเปล่งเสียงมันก็ดูไร้ผล เมื่อเสียงที่จะเปล่งออกหายไปทุกครั้งที่ขยับปาก
“งั้นป้าให้ฟรีเลยก็แล้วกัน” หญิงชราขยับยิ้ม มองหน้าราชินีคนสวยที่มีสีหน้าตื่นตะหนก “ส่วนของจะไปส่งทีหลังนะเพคะ”
มือบางที่เผลอกำแน่นมาตั้งแต่เมื่อครู่ยกขึ้นมาปิดปาก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสั่นระริกน้ำใสๆ วาวอยู่คล้ายจะรินไหลได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกกลัวแบบที่ไม่เคยได้เจอมานานกำลังคลอบงำส่วนลึกของจิตใจ ไม่! เธอจะไม่ให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด
ร่างงามสง่าที่ยืนนิ่งอยู่เมื่อครู่วิ่งออกไป ก่อนที่คนดูเหตุการณ์ทั้งหมดจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ใช่เธอมาตามตัวท่านแม่ แล้วเมื่อกี้มันอะไรกัน ทำไม่เธอไม่เข้าไปล่ะแคร์ซินเดีย ไม่! ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เข้า แต่มันก้าวออกไปไม่ได้ คล้ายๆ ถูกสะกด นี่เธอถูกสะกดหรือนี่
ดวงตาสีทองกวาดมองทั่วบริเวณอย่างถี่ถ้วนหวังเจอคนน่าสงสัย แต่ดูเหมือนจะไร้ความหมายเมื่อทั่วทั้งตลาดมีคนมากมายเกินกว่าที่จะคาดเดาได้ว่าใครคือคนที่น่าสงสัย ในเมื่อเมืองแห่งนี้เป็นเมืองเปิดให้อิสระเสรีทางการค้า คนทั่วทุกภูมิภาคสามารถเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้อย่างสบาย
มันเป็นเรื่องดีที่เมืองแห่งนี้จะมีตัวเงินเดินสะพัดแต่ก็เป็นเรื่องแย่ถ้าใครสักคนหรือกลุ่มคนสักกลุ่มจะคิดเข้ามาแฝงตัวสืบข้อมูล หรือหมายชีวิตคนในราชสำนัก
โธ่! เว้ย แคร์ซินเดียพยายามออกแรงดึงขาตัวเองให้ขยับ และโครม!
ร่างบางที่หลุดจากการสะกดปะทะเข้ากับใครบางคนจังๆ แม้จะรู้สึกเจ็บแต่มันก็เจ็บน้อยกว่าที่คิดไว้มาก แปลกที่พื้นถนนมันไม่แข็งอย่างที่เธอคิด และทันทีที่ลืมตาตื่นเธอก็แทบอยากจะกระโดดออกมา
“เจ้าเป็นใคร” แคร์ซินเดียถามเสียงขุ่น พลางมองคนแปลกหน้าอย่างพินิจ
เด็กหนุ่มในชุดสีดำสนิทกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่พื้น ผมสีเงินภายใต้ฮูทดำหลุดออกมาจนเจ้าของต้องกระชับฮูทคลุมผมใหม่ ภาพที่ทำให้แคร์ซินเดียนึกแปลกใจ แล้วก็แทบสะดุ้งกับสายตาของคนต่างถิ่นที่ลุกขึ้นยื่น
ดวงตาฟ้าใสเมื่อครู่เข้มขึ้นราวกับสีน้ำทะเลชั่วครู่ก่อนจะจางหายเป็นฟ้าใสดั่งเดิม ทว่าสายตาที่มองมากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิด สายตาคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความไม่สบอารมณ์ผสมกับรอยรำคาญอะไรบางอย่าง
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร” สติที่หลุดลอยเริ่มกลับมา คำถามชัดเจนหนักแน่นถามออกไปทว่าไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจากบุรุษแปลกหน้า คนต่างถิ่นยังคงนิ่งเงียบ ค่อยๆ ก้มลงไปหยิบสัมภาระที่ทำหล่นมาแบกไว้ดังเดิม
“นี่เจ้า...” มือที่เอื้อมไปคว้าได้เพียงธาตุอากาศเมื่อเป้าหมายเบี่ยงตัวหลบ และก่อนที่เธอจะได้ล้มหน้าคว่ำอีกรอบ คนถูกหมายทำร้ายกลับช่วยรั้งคนที่เสียการทรงตัวได้ทัน
ราวกับไร้ซึ่งผู้คน เมื่อโสตรับเสียงไม่ได้ยินเสียงใดๆ นอกเหนือจากเสียงหัวใจของคนที่โอบกอดเธอไว้ เสียงเต้นที่เต้นสม่ำเสมอคล้ายนาฬิกาเดินบอกเวลา กับความใกล้ที่ทำเอาหายใจติดขัดรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ปล่อยข้านะ” คำสั่งวางอำนาจอย่างที่คนถูกสั่งไม่นึกชอบ ทว่าก็ยอมปล่อยโดยดีในเมื่อดวงตาคู่สีทองสวยสั่นคล้ายๆ กลัวอะไรบางอย่าง
ร่างบางที่ถูกปล่อยเป็นอิสระเริ่มสั่น จากที่สั่นน้อยๆ ก็สั่นหนักเข้าราวกับความเหน็บหนาวซึมเข้าสู่หัวใจ ภาพที่เด็กหนุ่มไม่อาจละสายตาไปได้ ฮูทดำตัวใหญ่จึงถูกถอดออกคลุมให้กับเด็กสาวตรงหน้า
ไออุ่นภายใต้เสื้อฮูทช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวได้บาง แม้จะน้อยนิดแต่ก็พอจะเรียกสติของเธอคืนมาได้ แคร์ซินเดียพ่นลมหายใจใส่ฝ่ามือหวังว่าจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นขึ้นได้อีก ทว่ากลับมีมือใหญ่ของใครบางคนมากุมมือเธอไว้ จนต้องเงยหน้าขึ้นมอง
ผมสีเงินสลวยยาวสยายยามที่ไร้การปกปิด ผิวขาวภายใต้ฮูทตัวใหญ่ก่อนหน้านี้ดูขาวจัดติดซีด ทว่าดวงตาสีฟ้าใสกลับดูคมดุอยู่ตลอดเวลา จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากหยักได้รูปที่พึมพำอะไรบางอย่างทำเอาคนสั่นร้อนราวกับกำลังอยู่หน้ากองเพลิง และรู้สึกตัวเกร็งทันทีเมื่อมือที่กุมอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนมาอุ้มช้อนร่างเธอขึ้นไป แม้นึกอยากประท้วงหรือต่อว่าก็หยุดความคิดได้เท่านั้นเมื่อคนที่อุ้มเธอส่งสายตาดุข่มอย่างที่ไม่กล้าขยับปาก
ผู้คนมากมายดูบางตาลงจนกระทั่งไม่มีใครสักคน ถนนอิฐก่อนหน้านี้เปลี่ยนมาเป็นพื้นดินและมีต้นหญ้าปกคลุมอยู่จนทั่ว มิหนำซ้ำยังมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ใช่ที่นี่คือป่าหลังวัง ป่าชั่วนิรันด์
“เจ้าพาข้ามาที่นี่...” ถามได้เพียงเท่านั้นก็ต้องสงบปากสงบคำ ความสงสัยถูกเก็บไว้ในใจดังเดิมเมื่อคนพามาส่งสายตาดุมาแทนคำตอบ ทว่าความรู้สึกเหน็บหนาวเมื่อครู่ที่เกือบจางหายเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของบุรุษแปลกหน้ากลับก่อตัวขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้มันกลับทวีคูณขึ้นเป็นสองเท่า มือบางซีดขาวชาจนเกือบไร้ความรู้สึก หัวใจเหน็บหนาวราวกับถูกแช่แข็ง สีหน้าทรมานที่คนอุ้มอยู่ขมวดคิ้ว
ชายหนุ่มผมเงินวางร่างในอ้อมแขนลงช้าๆ แล้วเริ่มพึมพำอะไรบางอย่างอีกรอบ เพียงชั่วอึดใจร่างบางที่หนาวสั่นก็ค่อยๆ สงบ ดวงหน้าดูมีเลือดฝาดและมือซีดก็ซับสีเลือดเพิ่มขึ้น แรงที่หายไปก็ค่อยๆ ฟื้นคืน
“ยังไหวไหม” ประโยคแรกที่ถามทำเอาคนถูกถามขมวดคิ้ว และไม่ทันได้ตอบ สิ่งที่เกิดต่อมาก็เฉลยให้อย่างกระจ่างแจ่มแจ้ง
มือใหญ่สอดเข้าไปใต้ชายเสื้อ ฝ่ามือหนาติดหยาบนิดๆ ไล้ผิวใต้เนื้อผ้าจนคนถูกล่วงเกินสะดุ้ง ทว่าไม่ทันที่จะได้พูดอะไรออกไป ชายหนุ่มตรงหน้าที่เอามือไล้อยู่ที่หน้าท้องเธอก็อัดพลังใส่เต็มๆ
ร่างบางกระแทกเข้ากับต้นเรเชีย ริมฝีปากบางที่เผลอเม้มแน่นคลายออกพร้อมๆ กับเลือดสีแดงข้นที่กระอักออกมาจนเต็มพื้น ต้นหญ้าสีเขียวตรงหน้าชุ่มไปด้วยเลือด ทว่าเพียงครู่เดียวเลือดที่ถูกชโลมเมื่อครู่กลับจางหาย ภาพที่เจ้าของเลือดเบิกตากว้างและเบิกกว้างขึ้นอีกกับการกระทำของเด็กหนุ่มต่างถิ่น
มือบางที่ออกแรงดันดูเหมือนไม่เป็นผล เมื่อคนแรงเยอะกว่าจัดการรวบข้อมือบางไปด้านหลัง เด็กสาวที่ถูกล่วงเกินดิ้นประท้วงส่งสายตาปราม ทว่าคนหลวมตัวเข้าช่วยตั้งแต่ต้นก็ไม่คิดจะให้การช่วยเหลือสูญเปล่า ร่างบางของคนดิ้นจึงถูกรั้งเข้ามา ริมฝีปากที่เพียงแต่สัมผัสเบาๆ ประกบแนบแน่นขึ้นก่อนที่ไอเย็นๆ จะไหลเวียนอยู่ภายในปาก และไหลไปตามทิศทางยามที่มืออีกข้างที่ว่างอยู่ช่วยบังคับทิศทางราวกับหางเสือไล้ผิวตั้งแต่ช่วงลำคอผ่านกลางอกไล่เลยมาจนถึงท้องน้อย
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือน้อยประทานให้ทันทีที่หลุดเป็นอิสระ ดวงตาสีทองสั่นระริกหยาดน้ำใสๆ ที่คลออยู่เรียกแววไหวหวูบจากดวงตาสีฟ้าใสได้ชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาดุดันดังเดิม
“กินยานี่ตามไปซะจะได้ดีขึ้น” ยาน้ำสีฟ้าครามในขวดแก้วสีขาวใสถูกยื่นมาให้ ทว่ากลับถูกปัดกระเด็นจนหมอจำเป็นส่งสายตาดุปราม หากดวงตาสีทองคู่สวยกลับมองมาที่เขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ คนให้จึงได้แต่ส่ายหน้าก้มลงหยิบขวดยาแล้วเปิดออกดื่ม
เหมือนมุขเดิมจะใช้ไม่ได้ผลเมื่อคนรู้ทันขยับตัวลุกขึ้น หมอจำเป็นจึงจำใจก้มลงหยิบสัมภาระที่วางไว้ แล้วพุ่งประชิดคนป่วยที่เริ่มมีแรง แรงเบียดชิดทำให้ขยับตัวไปไหนไม่ได้เมื่อด้านหลังเป็นลำต้นของต้นเรเชียและคนด้านหน้าก็โอบกระชับแน่น
ยาน้ำสีฟ้าถูกป้อนให้คนป่วยไหลลงลำคอไปจนหมด ดวงหน้าซีดแลซับสีเลือดเหมือนปกติ จังหวะหัวใจเต้นคงที่สม่ำเสมอหากเร็วกว่าตอนปกติเมื่อคนตรงหน้าเขาคงจะโกรธขึ้นมาจริงๆ ริมฝีปากที่แนบอยู่ของคนถือวิสาสะจึงถอนออกช้าๆ และก็เป็นดังที่เขาคาด ฝ่ามือบางก็ตบมาเป็นการตอบแทน หากคราวนี้กลับเบิ้ลเป็นสอง
“คนสารเลว” เสียงว่าสั่นเครือ น้ำตาที่พยายามกลั่นมาตลอดจู่ๆ ก็รินไหลออกมา “ข้าจะฆ่าเจ้า” มือเล็กทุบระรัวลงมาที่อกแบบไม่ยั้ง เสียงร้องไห้ที่คนฟังรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ คนตัวใหญ่จึงเผลอคว้าคนร้องมากอด ทว่าคนถูกกอดกลับฝืนดันตัวออกมา
“งั้นก็ฆ่าข้าซะสิ” มีดสั้นสีเงินวาวถูกยื่นมาให้ “เชิญ” คำเชิญกับแววตาที่มองมาทำเอาคนโกรธอยู่แล้วโมโหหนัก แคร์ซินเดียยื่นมือไปคว้ามีดแล้วแทงไปที่กลางอกซ้ายอย่างไม่ลังเลออกแรงดันจนมีดมิดด้าม เลือดสีแดงไหลซึมออกมาราวกับสายน้ำ เปอะเปื้อนมือคนปักจนชุ่ม ภาพที่คนโกรธตกใจตัวสั่น ทว่าคนตรงหน้ากลับมองมาทางเธอแววตาอ่อนโยนแบบที่เพิ่งเคยได้เห็น
“เจ้าคงรู้สึกดีขึ้นบ้าง” คนถูกแทงทรุดลงนั่งที่พื้น ภาพที่แคร์ซินเดียเข่าอ่อนทรุดตามลงไป
“อย่าให้มือของเจ้าต้องชุ่มไปด้วยเลือดของข้าเลย หญ้าปีศาจจะจัดการให้เอง” ขาดคำมือบางที่ชุ่มเลือดถูกกุมวางไว้บนพื้นหญ้า เลือดที่ชุ่มติดมือแห้งหายไปราวกับระเหยไปในอากาศ
“ฝันดีนะ” เหมือนดั่งมนต์สะกดเพียงสิ้นเสียงคนตรงหน้า เปลือกตาก็หนักราวกับถูกถ่วงด้วยตุ้มเหล็ก ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ หายไปเหลือเพียงความมืดมิด และโสตรับเสียงก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีกเลย
“จะเริ่มวันนี้เลยเหรอ” คำถามดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“มันคงต้องเป็นอย่างนั้น” เสียงที่ตอบนุ่มหวานทว่าแผ่วเบาคล้ายรำพึงรำพัน
“แต่นางเพิ่งคลายคำสาปได้เองนะ” เสียงเล็กๆ เปรยพลางมองเด็กสาวใต้ต้นเรเชียที่หลับไม่รู้สึกตัว เด็กน้อยผู้น่าสงสาร
“เจ้าสงสารนางเหรอ” คนข้างตัวถาม ทอดมองคนหลับใหลด้านล่าง
“เปล่า ข้าก็แค่นึกเวทนา”
“งั้นก็ดี” เสียงหวานราวกับถูกใจ “ต่อไปงานจะได้ง่ายขึ้น เจ้าเองก็จะได้ไม่ลำบากใจ” ขาดคำต้นเรเชียต้นใหญ่ก็สั่นไหว ร่างทั้งสองบนยอดไม้แวบหายไปในพริบตา
“ตื่นเถิด ทายาทแห่งข้า จงตื่น...ตื่นมาเถิด” เสียงแห้งหยาบพร่าดังกวนโสตรับเสียงจนนึกรำคาญ “จงตื่น ตื่นมาเถิด ทายาทเอ๋ย” เสียงนั้นยังคงดังและดังขึ้นเรื่อยคล้ายมีใครมาพูดอยู่ข้างหู เปลือกตาบางที่ปิดสนิทจึงค่อยๆ เปิดขึ้น
คนงัวเงียขยี้ตาก่อนปรับโฟกัสให้เข้าที่ สอดส่ายสายตามองไปทั่วบริเวณก็ไม่พบใคร ใช่! ในเมื่อไม่พบใครแสดงว่าเธอฝัน เรื่องทั้งหมดเป็นความฝัน เธอเองคงหาท่านแม่จนเพลียเลยเผลอมาหลับอยู่ตรงนี้
“แคร์ซินเดียเอ๋ยแคร์ซินเดียเจ้าคงฝันไป” เจ้าหญิงน้อยยิ้มขยับตัวลุก และไม่ทันที่จะได้ก้าวเดิน เสียงแหบแห้งที่เรียกก็ทำเอาชะงัก
“ทายาทแห่งข้าเอ๋ย จงมา...จงมาหาข้า”
“ใครกัน” ถามออกไปทั้งที่เริ่มใจคอไม่ดีถาม
“ข้าอยู่ทางนี้” เสียงเรียกดังมาจากอีกฟากฝั่งของต้นเรเชีย แคร์ซินเดียกัดริมฝีปาก ก่อนจะเดินอ้อมไปยังแหล่งที่มาของเสียง
โพลงไม้ขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏอยู่เบื้องหน้า เสียงแหบแห้งยังคงดังซ้ำไปซ้ำมาเสียงที่ดังมาจากข้างในโพลงไม้ และเหมือนราวถูกสะกด เมื่อขาที่ไม่คิดจะเดินเข้าไปกลับก้าวเดินเข้าไปใกล้และยังมือที่ยื่นออกไปอีก
หากเป็นเพียงโพลงธรรมดามันคงจะกลวงเป็นพื้นที่ว่าง ทว่านี่มันไม่ใช่ ทันทีที่เอื้อมมือเข้าไปก็เหมือนกับสัมผัสกับแผ่นไม้เรียบๆ หากแต่ชั่วอึดใจไม้แผ่นเรียบกลับมีเหมือนดั่งเสี้ยนเล็กๆ อยู่เต็มแผ่น และไม่ทันที่จะได้ชักมือออกเสี้ยนอันเล็กก็ทิ่มเข้าที่นิ้วนาง
เลือดสีแดงไหลออกมาจนคนไม่ชอบเลือดต้องรีบกดแผลไว้ และเลือดที่ไหลคงหยุดโดยง่ายถ้าหากมันเป็นเพียงเสี้ยนธรรมดาๆ เหมือนที่เคยโดนตำ ไม่ใช่...
เลือดข้นๆ ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดไหลง่ายๆ ชายเสื้อจึงถูกกระชากออกมาพันแผลต่างผ้าพันแผล สีแดงสดยังคงไหลซึมเนื้อผ้าจนชุ่ม ภาพที่คนเสียเลือดนึกอยากเป็นลม ทว่ากลับเป็นไม่ได้เมื่อความรู้สึกแปลกๆ เริ่มคืบคลานเข้ามา
อาการเจ็บแปลบเกิดที่ปลายนิ้วก่อนจะเคลื่อนตัววิ่งเข้าแปลบที่หัวใจ คล้ายๆ พิษที่กระจายเข้ากระแสเลือดแล้ววิ่งสู่หัวใจ ความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นปวด ปวดราวกับหัวใจถูกบีบ
ดวงหน้าขาวบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด คิ้วเรียวขมวดยุ่ง ในขณะที่เลือดก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหล คนเจ็บจึงตัดสินใจดึงผ้าพันแผลออก และทันทีที่แสงอาทิตย์สาดส่องถูกบาดแผล เลือดข้นๆ ก็จับตัวกันเป็นก้อนบิดเบี้ยวลอยอยู่กลางอากาศ
หัวใจเจ็บปวดร้อนดั่งถูกไฟสุม เหงื่อเม็ดโตผุดพรายเต็มดวงหน้า มือที่ถูกเสี้ยนตำชาด้านแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเงิน
ก้อนเลือดที่ลอยอยู่กลางอากาศทิ้งตัวลงสู่มือสีเงินบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปเป็นดวงอาทิตย์เล็กๆ ก่อนที่ควันสีขาวจะพวยพุ่งออกมาแล้วดวงอาทิตย์ก็ผุดหายเข้าไปในฝ่ามือ
ร่างบางสั่นชั่วครู่ก่อนที่ทุกอย่างจะคืนสู่ความปกติ มือที่โดนเสี้ยนตำไร้เลือดและบาดแผล หากปลายนิ้วนางมีคล้ายๆ รอยสักรูปดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่
“อุบัติปักษา วิหคสายฟ้าคืนถิ่น”
ความคิดเห็น