คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : งอน (รีไรท์)
งอน
“โอ๊ย! ให้ตายสิ” เสียงบ่นดังมาจากเจ้าของเรือนผมสีทองที่นั่งกุมขมับอยู่บนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลจางๆ มองกองกระดาษสีซีดบนโต๊ะ มือขาวนวลหยิบแผ่นกระดาษพลิกไปมาจนทั้งโต๊ะแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง “ให้ตายจริงๆ”
“งั้นเจ้าก็ไปตายสิ” คำอนุญาตดังขึ้นอย่างที่เจ้าตัวคนบ่นไม่ได้นึกขอ
“ข้าไม่ได้ขอ” เจ้าของดวงตาหวานจ้องคนอนุญาต สายตาที่ราวกับจะเผาไหม้ให้คนพูดถูกแผดเผาไปซะ ทว่าคนถูกจ้องกลับดูไม่ยี่หระมิหนำซ้ำยังล้มตัวลงนอนซะเฉยๆ
“ตาเจ้าจะถลนออกมาแล้ว” ปากกล้ายังทำงานต่ออย่างดีเยี่ยม “แล้วนี่เจ้าจะเดินเป็นหนูติดจั่นไปถึงเมื่อไหร่ ข้าเวียนหัว”
“เจ้าเด็กบ้า” เด็กชายร่างเล็กหาวหวอดๆ โบกไม้โบกมือให้ราวกับจงใจยั่ว “ไอ้เจ้า...”
“อเดล” ราวกับพระเจ้าเมตตาหรือเพราะคนที่นั่งเงียบอยู่นานรำคาญใจก็ไม่ทราบได้ ชื่อของคนที่ได้ชื่อว่าชอบสร้างเรื่องปวดหัวจึงถูกเรียกรั้งไว้
“โธ่! บรีท เจ้าปรามข้าแบบนี้ไม่ถูกนะ เจ้านั่นต่างหากที่เจ้าควรปรามไม่ใช่ข้า” หญิงสาวที่ถูกปราบโวยวายเสียงดัง ดวงหน้าหวานก่อนหน้านี้งอง้ำจนแทบไม่เหลือเค้าความหวานให้เห็น
“พอเถอะน่า โตๆ กันแล้ว”
“แต่เจ้านั่น...”
ปัง
เสียงตบโต๊ะดังมาจากหญิงสาวอีกคนที่นั่งเงียบอยู่นานหน้ากองหนังสือกองใหญ่ ดวงตาสีน้ำทะเลลึกมองคนมีปัญหาสองคนสลับไปมา ก่อนที่มือบางจะยกขึ้นเกล้าแพรไหมสีครามเข้ม ผมเส้นเล็กละเอียดถูกมัดเกล้าด้วยเชือกป่านสีน้ำตาลเก่าๆ ทว่ากลับมิได้บดบังหรือทำลายความงามลงได้ หางม้าสีครามเข้มแกว่งไปมายามที่หญิงสาวส่ายหน้า แอบลอบถอนหายใจเบาๆ บ่อยครั้งที่เธอมักจะได้ยินเสียงทะเลาะของสองคนตรงหน้า แต่...นี่มักชักจะถี่เกินไป มือบางพลิกหน้ากระดาษถัดไปพยายามค้นหาสิ่งที่เธอตามหา
“แต่บรีท...”
“ราชินีอเดลล่า” ชื่อและตำแน่งที่คนถูกเรียกหน้าง้ำลงไปอีก
“งั้นก็ได้ ข้าไม่ต่อความยาวสาวความยืดก็ได้ แต่เจ้าหันมาคุยกับข้าหน่อยสิบรีท” เมื่อเห็นว่าวิธีเอาแต่ใจใช้ไม่ได้ผล ราชินีคนสวยจึงงัดบทลูกอ้อนมาใช้แทน
“มีอะไรก็ว่ามาสิ” บีทริกซ์พูดขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้ละสายตาจากหนังสือในมือ ดวงตาสีน้ำทะเลสวยกวาดมองตัวอักษรในหนังสือตรงหน้า ก่อนจะละสายตามามองเพื่อนสาวคนสนิท
“นี่” กระดาษสีน้ำตาลซีดเกือบเหลืองถูกวางแผ่ลงบนโต๊ะตรงหน้า “เจ้าว่าชื่อไหนมันถูกกันแน่ เทพธิดาปักษา เทพีสกุลณา หรือปักษาราตรี ข้านะปวดหัวไปหมด” ฉนวนต้นเหตุความปวดหัวถูกเฉลย คำเฉลยที่บีทริกซ์ถึงกับถอนใจดังๆ
เรื่องมดๆ ที่ราชินีเห็นเป็นเรื่องช้าง
“จะชื่อไหนมันก็คือโจร”
“แล้วจะบ้าเขียนกันซะเยอะแยะวุ่นวายทำไม เอาซะตั้งหลายชื่อข้าอ่านแล้วมึนชะมัด”
“คนหัวทึบมันก็สมควรอยู่หรอก” เสียงเล็กๆ ดังแทรกเข้ามา พร้อมๆ กับอารมณ์ที่เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง
“เคโอฬีฟ!” อเดลล่าตะคอกกลับ เสียงหวานของราชินีที่ไม่ได้ทำให้เจ้าของชื่อนึกสะดุ้งสะเทือนสักนิด เคโอฬีฟค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มือเล็กจัดการปัดผมหน้าม้าสีดำที่ยาวจนทิ่มตาไปด้านข้าง ดวงตาสีแดงเพลิงฉายแววเบื่อหน่ายอย่างชัดเจน
“โทษทีนะ ข้าไม่ได้หูตึง” ขยับเอียงคอไปมาพลางหาวอีกรอบ “อ้อ! ข้าลืมไปว่าเจ้ามันแก่แล้ว” หลังประโยคเน้นหนักชนิดที่คนถูกกล่าวหาว่าแก่ควันออกหู
หนังสือปกหนังสีดำจึงถูกขว้างออกไป ความหนาที่ไม่น่าจะน้อยไปกว่าสองนิ้ว
ตุ๊บ!
เป้าหมายหลบได้อย่างคล่องแคล่ว เด็กชายตัวเล็กหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ราชินีที่อารมณ์กำลังคุกรุ่น ทว่าคราวนี้คู่กรณีกลับแสยะยิ้มพร้อมๆ กับมีวัตถุสีเงินพุ่งออกไป
ตุ๊บ!
แรงอัดจากวัตถุทรงกลมขนาดเหมาะมือสร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อย มือเล็กแหวกผมสีดำสนิทออกแล้วนวดเบาๆ
“เกินไปแล้ว”
“เจ้าน่ะสิที่เกินไป” ร่างบางไปถึงคนเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มือขาวของราชินีที่อารมณ์แปรปรวนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเด็กชายตรงหน้า เด็กชายที่ดูยังไงก็อายุไม่น่าเกิน 3 ขวบ
“อเดลล่า!” บีทริกซ์ร้องตกใจ วางหนังสือในมือลง แล้วรีบวิ่งเข้าไปห้ามราชินี ราชินีที่มีศักดิ์เป็นทั้งเพื่อนและพี่สะใภ้ “ใจเย็นน่า เคโอก็แค่แหย่เล่นสนุกๆ”
“แต่ข้าไม่สนุก”
“ใช่เจ้าคนเดียวซะเมื่อไหร่” ข้อมือเล็กที่ถูกจับกุมถูกสะบัดออก รอยแดงห้านิ้วบนผิวขาวจัดปรากฏเด่นชัด ดูก็รู้ว่าคนบีบโกรธแค่ไหน “ข้าล่ะนึกสงสารประชาชนเมืองนี้จริงเชียว”
“สงสารอะไร” มือที่ถูกสะบัดออกกลับเข้าไปกระชากเด็กชายให้หันมา
“ก็สงสารที่มีราชินีงี่เง่าแบบเจ้าไง”
เพี๊ยะ!
แรงตบทำเอาหน้าทั้งหน้าด้านชา
เคโอฬีฟหัวเราะในรำคอมองคนตบอย่างนึกสมเพช ราชินีที่นับวันอารมณ์ก็ดูจะแปรปรวนไปใหญ่ ทั้งๆ ที่อาการแบบนี้มันควรจะหายไปนานแล้ว
“มองอะไร” อเดลล่าออกแรงบีบข้อมือเคโอฬีฟแน่นขึ้นอีก ยามที่เห็นสายตาเวทนาแกมคับแค้นใจ สายตาแบบที่เธอไม่นึกชอบ และเมื่อไม่มีแม้เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดหรือคำขอโทษใดๆ ต่อมอารมณ์ที่แปรปรวนอยู่แล้วจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง
ร่างเล็กตรงหน้าถูกยกขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ร่างทั้งร่างลอยไปตามแรงเหวี่ยงและก่อนที่จะได้ลอยหลุดออกนอกหน้าต่าง ปีกสีขาวราวกับปีกนกก็งอกออกจากกลางหลังกระพรือสองสามทีก่อนที่ร่างนั้นจะทรงตัวอยู่แล้วบินไปยังหลังชั้นหนังสือที่อยู่ห่างออกไป
“เจ้าเด็กปีศาจ” คนอารมณ์เดือดยังคงไม่หายเคือง และดูเหมือนอารมณ์จะทวีคูณขึ้นยามถูกขัดใจ
“อเดล พอเถอะ พอได้แล้ว”
“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า บีทริกซ์” ชื่อเต็มอย่างที่ราชินีคนสวยไม่นิยมเรียกทำเอาเจ้าของชื่อชะงัก ดวงตาสีน้ำทะเลลึกมีแววหวาดหวั่นครู่หนึ่งก่อนที่สายตาจะเบือนไปเห็นใครบางคน
ผมสีทองยาวสลวยสยายกลางหลังในขณะที่เจ้าตัวเกาหัวแกร็กๆ ขยี้ตางัวเงียราวกับพึ่งตื่นนอน ดวงตาสีทองเฉกเช่นเดียวกับสีผมมีแววหงุดหงิดใจนิดๆ ทว่าพอสายตาสบประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำทะเลลึกแววหงุดหงิดใจกลับหายไปจนสิ้น
“อรุณสวัสดิ์ท่านอา” คำทักที่อาสาวนึกปวดหัว ทั้งที่สายจนเกือบเที่ยงแต่หลานสาวตัวดีกลับกล่าวอรุณสวัสดิ์ ถอนหายใจยาวพลางนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“แคร์ หลานมานี่” แคร์ซินเดียทำตาปริบๆ แต่ก็ยอมเดินไปตามคำเรียก และทุกอย่างก็กระจ่างในสายตา
ท่านแม่ของเธอกำลังอารมณ์ไม่ดี ใช่เธอรู้ตั้งแต่แรก ได้ยินทั้งหมด เพียงแต่เธอไม่อยากตื่นขึ้นมา เพราะ
ความฝันประหลาดที่เธอยังอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อ ความฝันที่สลายไปเพราะเสียงทะเลาะเสียงที่ปลุกเธอจากความฝัน เธอรู้ดีว่าท่านแม่และเด็กผู้ชายบนชั้นหนังสือไม่ค่อยจะกินเส้นกันนัก แต่ว่าวันนี้มันมากกว่าทุกครั้ง หรือบางทีมันทวีคูณขึ้นทุกครั้งก็ว่าได้
“ท่านแม่” ลูกสาวคนสวยเข้าไปโอบกอดแม่ของตน ดวงตาสีทองจ้องลึกลงไปยังดวงตาลสีน้ำตาลจางๆ และเหมือนเห็นอะไรบางอย่างอ้อมกอดจึงถูกกระซับแน่นขึ้นอีก
“แคร์” อเดลล่ากอดตอบลูกสาวตัวเอง แววตาคุกรุนเมื่อครู่แลอ่อนลง
“อย่ามีเรื่องกันเลยท่านแม่ เคโอก็แค่แหย่ท่านเล่นแบบคนเคยปาก อย่าใส่ใจนักเลย”
“เพราะเจ้าไม่โดน” ประโยคติดปากที่ท่านแม่คนสวยชอบใช้ ทำเอาลูกสาวสะอึก
“เอ่อ...เอางี้ไหมเพื่อให้ท่านแม่สบายใจขึ้นข้าจะพาออกไปเที่ยว”
“ไปไหน” เสียงทุ้มเข้มดังมาก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาในห้อง แคร์ซินเดียแทบสบถ ความวัวไม่ทันหายความความเข้ามาแทรกซะแล้ว
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า บีซัส” ราชินีหนึ่งเดียวในห้องเริ่มไม่สบอารมณ์อีกครั้งยามเห็นชัดว่าคนที่เข้ามาใหม่เป็นใคร
“จะไม่ใช่เรื่องของข้าได้ไง ในเมื่อเจ้างอนข้าอยู่ก่อนแล้ว” ชายหนุ่มร่างสูงสง่าเดินเข้ามาหาราชินีคนสวย ดวงตาคู่คมสีส้มประกายทองทอแววตำหนิส่งไปยังหญิงสาวเจ้าปัญหา มือใหญ่เชยคางคนที่เป็นราชินีคู่ใจ แล้วจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สีน้ำตาจางๆ สายตาจริงจังที่อเดลล่าไม่เคยนึกชอบ
สายตาที่เธอแพ้ทุกที
“ปล่อยข้า” แรงสะบัดทำให้คนตัวใหญ่ต้องรีบคว้าคนฤทธิ์มากเข้ามากอด
“อย่างอนมากนักจะได้ไหม ข้าเหนื่อย”
“เหนื่อยนักก็ไม่ต้องง้อ เชิญไปประชุมบ้าบอของเจ้าต่อเถอะ” คำประชดที่คนง้อนึกปวดหัว
“ประชุมเสร็จแล้ว และนี่ข้าก็มาง้อเจ้าแล้วนะ อเดลล่า” บทง้อที่ไม่น่าภิรมย์สักเท่าไหร่
“ถ้าลำบากเจ้านักก็ไม่ต้องง้อ” คนถูกง้อสะบัดตัวทุบอกคนง้อให้อักใหญ่ ก่อนวิ่งออกไป
“ทั้งที่ข้ามาง้อ แต่ก็ดันถูกงอนรอบสอง” บีซัสส่ายหน้า แล้วพลันสายตาก็หันมาเห็นคนที่ทำท่าจะวิ่งหนี “ว่าไงลูกสาว”
“ไม่ไงนี่ท่านพ่อ” แคร์ซินเดียหน้าซีดฉีกยิ้มแหยๆ ก่อนจะนึกหาคำแก้ตัวเอาตัวรอด “ข้าว่าท่านรีบไปง้อท่านแม่ดีกว่านะ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“ถือว่าเจ้าโชคดีก็แล้วกัน” กษัตริย์ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อพูดยิ้มๆ แล้วออกวิ่งตามราชินีแสนงอนไป
“โชคดีนะท่านพ่อ” แคร์ซินเดียโบกมือให้กำลังใจ ทว่ากลับรู้สึกถึงความเงียบแปลกๆ ของห้อง
เงียบ วังเวง ทั้งๆ ที่มีคนอยู่
“ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไป” เสียงเรียบของหญิงสาวที่ติดขี้เล่นดึงความสนใจให้หันไปมอง แคร์ซินเดียมองอาสาวที่กลับไปตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือกองโตตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ทว่าแววขี้เล่นทุกครั้งที่อยู่กับเธอแทบไม่มีให้เห็น
“ไม่นึกว่าท่านหัวหน้าราชองครักษ์จะหูตึง” คำแหนบแหนมที่ไม่ได้นึกกลัวสายตาดุของราชองครักษ์สักนิด
“ขออภัยที่ข้ามารบกวน” ชายหนุ่มในชุดโค้ทสีดำสนิทเดินก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา โค้งตัวคำนับหญิงสาวที่ดูไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่ ผมสีเงินเรียบสนิทไม่ขยับแม้ว่าคนตรงหน้าจะโค้งคำนับแล้วเงยหน้าขึ้นมาก็ตาม “ข้าเพียงแต่มาตามตัวลูกศิษย์”
ดวงตาสีสนิมเสมองไปทางลูกศิษย์ก่อนที่จะก้าวเดินช้าๆ พู่สีทองบนหน้าอกข้างซ้ายสั่นไหวไปตามแรงเดิน ภาพที่ทำเอาลูกศิษย์ตัวดีตัวสั่น รีบขยับตัวเข้าหาที่พึ่ง
“ท่านอาช่วยข้าด้วยสิ” แคร์ซินเดียเขย่าแขนอาสาวเบาๆ นึกถึงสิ่งที่จะโดนหลังจากนี้ ให้ตายยังไงเธอก็ไม่ไปเรียนเด็ดขาด
“องค์หญิงแคร์ซินเดีย” เสียงเรียกทุ้มเรียบน่าฟัง ทว่าคนถูกเรียกกลับสะดุ้งกำแขนอาสาวแน่น
“ในเมื่อคนเรียนไม่อยากเรียน ก็อย่ามาบังคับ” ดวงตาสีน้ำทะเลคู่สวยสบมองดวงตาสีสนิมของคนเย็นชาตรงหน้า “อาจารย์สอนไม่ดี ลูกศิษย์ที่ไหนก็ไม่อยากเรียน” คำดูถูกกับสายตาดูแคลนไม่ได้ทำให้คนเย็นชาหน้าตายนึกโมโหหรือรู้สึกอะไรสักนิด กลับกันคนพูดกลับเป็นฝ่ายโมโหซะเอง
“ซาวิจ ซาซาเรส” ชื่อและสกุลที่เจ้าของชื่อโค้งคำนับรับรู้ มองหญิงสาวที่ลุกขึ้นมาแล้วคำนับให้อีกครั้ง ก่อนที่จะคว้าข้อมือบางของลูกศิษย์แล้วดึงออกมา ทว่ากลับมีอีกคนดึงรั้งไว้
“ปล่อยแคร์ซะ”
“คงไม่ได้” คำปฏิเสธกับแรงดึงทำเอาคนสั่งกัดริมฝีปากแน่น ออกแรงดึงไม่แพ้กัน แรงดึงที่แคร์ซินเดียถึงกับร้องโอดโอย
“โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ”
“นั่นสิๆ ดึงกันอย่างนี้แคร์ก็เจ็บแย่” เสียงทุ้มๆ ของใครบางคนดึงความสนใจให้หันไปมอง ชายหนุ่มผมสีทองแดงยาวสลวยนั่งไขว้ห้างยิ้มอยู่บนชั้นหนังสือข้างๆ เคโอฬีฟ ดวงตาสีทองเป็นประกายระยิบระยับราวกับกำลังดูเรื่องสนุก “เจ้าไม่คิดจะช่วยแคร์หน่อยเหรอ” หันมาถามเด็กผมแดงข้างตัวที่นอนเอาหนังสือคลุมหน้าอย่างไม่นึกสนใจ ทว่าคำตอบที่ได้กลับเป็นราวฉนวนจุดระเบิด
“เรื่องไร้สาระของเด็กงี่เง่าน่ะเหรอ ข้าไม่สนใจหรอก”
“เจ้าบ้าเคโอฬีฟ ไม่มีน้ำใจเอาซะเลย เมื่อกี้ข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้านะเจ้าบ้า”
“ข้าไม่ได้ขอ”
“เจ้า...” แคร์ซินเดียสบถแล้วสบถอีก นึกแช่งชักหักกระดูกเจ้าลูกครึ่งปีศาจอยู่ในใจ เธอรึอุตส่าห์ช่วยเกลี้ยกล่อมปลอบท่านแม่ ไม่มีสำนึกบุญคุณกันซะบ้าง
“อ้าวๆ นั่นเจ้าไม่เจ็บแล้วเหรอแคร์ พวกเจ้าก็ด้วยดึงแย่งกันเหมือนเด็กๆ แคร์น่ะคนนะไม่ใช่สิ่งของ” ราวกับคิดได้ คนที่กำลังดึงเด็กสาวอยู่จึงปล่อยมือออก
“เจ้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” คำถามถูกถามออกไปยามที่คิดได้ว่าคนที่นั่งยิ้มอยู่นั่นจะเข้ามาตอนไหน
“ก็ตั้งแต่แรกน่ะบรีท พวกเจ้านี่เหมือนเด็กกันจริงเชียว”
“หุบปากไปซะเซาห์เร”
“อะไรๆ เจ้านี่พูดน้อยคนเดียวไม่พอ ยังมาสั่งให้คนอื่นพูดน้อยตามอีกเหรอ ไม่ไหวๆ เลยนะซาส” ชายหนุ่มบนชั้นหนังสือกระโดดลงมา “เจ้านี่ก็จริงเชียวขยันโดดเรียนได้โดดเรียนดี” บ่นพลางหยิบตลับยาสีเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายใต้แถบพู่สีเงิน
“เอาแขนมานี่” คนสูงวัยกว่าดึงมือเด็กสาวเข้ามาหา ข้อมือขาวมีรอยนิ้วมือแดงช้ำทั้งสองข้าง ฝาตลับยาสีเงินถูกเปิดออกช้าๆ นิ้วเรียวยาวของเจ้าของตลับยาป้ายเนื้อยาสีขาวใสแล้วบรรจงทาบนข้อมือของเด็กสาวตรงหน้า “เจ้าก็อย่าทำตัวงี่เง่าเหมือนที่เคโอว่าจะได้ไหม”
“ท่านเซาห์เร”
“พูดเล่นน่า” รอยยิ้มสดใสของคนที่ทายาให้ทำเอาโกรธไม่ลง แคร์ซินเดียถอนหายใจ มองตามหลังอาสาวที่เดินไปนั่งบนเก้าอี้ดังเดิม ก่อนหันมามองท่านอาจารย์จอมเย็นชาที่อุตส่าห์มาตามตัวเธอถึงนี่แล้วก็ถอนหายใจหนักเข้าไปอีก
ให้ตายสิ
“เป็นเด็กเป็นเล็กถอนใจอะไรนักหนา” มือใหญ่ที่ลูบลงมาทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น “แล้ววันนี้ทำไมโดดเรียนวิชาศาสตร์การปกครองของเจ้านั่น คราวก่อนที่โดดเรียนวิชาของข้า เจ้าสัญญาไว้แล้วนี่ว่าจะไม่โดดเรียนอีก”
“ก็ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าจะไม่โดดเรียนวิชาคนอื่น”
“แคร์ซินเดีย” ชื่อเต็มที่คนพูดไม่นิยมเรียกนักทำเอาเจ้าของชื่อยิ้มแหย “เจ้านี่มันจริงๆ เลย”
“ถ้าไม่มีอะไรก็ไปเรียนได้แล้ว องค์หญิง” คนเป็นอาจารย์พูดเสียงเรียบ
“แต่ข้าไม่อยากเรียนนี่ วิชานี้ความจริงก็ไม่เห็นเกี่ยวกับข้าสักหน่อย” คนไม่อยากเรียนหน้ามุ่ย “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบังคับข้าเรียน นะท่านซาวิจ ข้าไม่เรียนนะ”
“ไม่ได้”
“ทำไม”
“เพราะท่านเป็นรัชทายาท”
“อันดับสองนี่นะ” เด็กสาวลากเสียง “ไม่เอาหรอกข้าไม่เห็นจำเป็นต้องรู้”
“คนเกียจคร้านไม่อยากเรียน เจ้าก็อย่าไปทู่ซี้นักเลยซาวิจ ข้าล่ะสงสารประชาชนเมืองนี้จริงเชียว มีราชินีงี่เง่าเอาแต่ใจไม่พอ ยังมีรัชทายาทที่งี่เง่าเกียจคร้านไม่แพ้กัน หึ” เคโอฬีฟหัวเราะในลำคอ “เชื้อไม่ทิ้งแถว”
“เงียบไปเลยเจ้าเด็กปีศาจ ข้าไม่ได้งี่เง่าเกียจคร้านนะ และอีกอย่างท่านแม่ก็ไม่ใช่ด้วย”
“งั้นเหรอ เจ้าเด็กเกียจคร้าน”
“เจ้าเคโอบ้า เจ้า...”
“พอสักทีได้ไหม ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไป ออกไปให้หมดทุกคน” คำสั่งดังมาจากหญิงสาวผมสีครามจอมขี้เล่น คนขี้เล่นไม่มีเค้าความขี้เล่นหลงเหลืออยู่เลย ทว่าคราวนี้กลับดูจริงจังกว่าทุกครั้ง โดยเฉพาะหนังสือตรงหน้า
“อ่านอะไรอยู่เหรอบรีท” คนที่ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรสักนิดยิ้มระรื้น เดินเข้ามาคว้าหนังสือที่บีทริกซ์อ่านขึ้นมาดู “แค่อาทิตย์เดียวก็ปล้นไปกว่าครึ่งอาณาจักร ปล้นคนรวยช่วยคนจนงั้นเหรอ” รอยยิ้มระรื้นดูจะยิ้มถูกใจขึ้นไปอีก “ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ไม่ธรรมดาอะไรกันคะ ท่านเซาห์เร”
“ก็มัวแต่หลับซะอย่างนี้” คำตอบกลับดังมาจากคนที่ไม่ได้ถูกถาม แคร์ซินเดียยู่หน้ามองเด็กปีศาจที่สอดมาได้ทุกเวลา “ปักษา สกุณา หรือวิหค เจ้าก็คงไม่รู้จักสินะ”
“มันยังไงคะท่านอา” คนไม่รู้เรื่องเริ่มงง หันไปหาอาสาวที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ชายหนุ่มที่ดึงหนังสือในมือเธอไปอ่าน
“จอมโจรสาว” คำตอบสั้นๆ ของคนเป็นอาไม่ได้ไขความกระจ่างให้สักนิด
“ก็แค่โจรธรรมดาไม่ใช่เหรอ แค่ตามตัวจับให้ได้ก็น่าจะจบ”
“มันคงจะใช่ ถ้าไม่เกิดเรื่องประหลาดซะก่อน” หัวหน้าราชองครักษ์ขัด “ถ้าองค์หญิงเข้าเรียนก็คงรู้เรื่องเยอะกว่านี้” แคร์ซินเดียยิ้มแห้งๆ ไม่ว่ายังไงท่านซาวิจก็พาวกกลับมาเรื่องเดิมได้ทุกทีสิน่า
“แล้วเรื่องประหลาดอะไรล่ะคะ”
“เลือดสีเงิน-เลือดสีทอง”
“ท่านรู้ได้ไงว่านั่นคือเลือด” บีทริกซ์ถามทันควัน เธอนั่งอ่านหนังสือ หาข้อมูลอยู่นานยังสรุปไม่ได้ว่านั่นคือเลือด แต่ผู้ชายตรงหน้าเธอกลับพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“กลิ่นคาว”
“มันไม่มีหรอกเลือดสีเงิน-เลือดสีทอง เกิดมาข้าก็ยังไม่เคยเห็น” คนไม่ยอมแพ้เถียง
“แต่มันมี อีกอย่างเจ้าก็เคยเห็นมาแล้ว” เซาห์เรสมทบ ส่งหนังสือคืนเจ้าหญิงคนงาม คำพูดและสีหน้าจริงจังที่ไม่ค่อยได้เห็นนักทำเอาคนที่ถูกกล่าวหาว่าเคยเห็นขมวดคิ้ว
“ก็ในหนังสือพิมพ์นั่นไง ลองเปิดหน้าต่อไปสิ บางทีเจ้าอาจยังอ่านไม่ถึง” รอยยิ้มที่มีอยู่เสมอผุดมาแทนที่สีหน้าจริงจังเมื่อครู่ เซาห์เรยิ้มหวานแล้วหันมายิ้มกรุ่มกริ่มให้เจ้าหญิงน้อยในห้อง “วันนี้โชคเป็นของเจ้านะองค์หญิง” ประโยคพูดทิ้งท้ายของคนที่เดินออกไปสร้างความสงสัยไม่นาน เมื่อประตูปิดลงเสียงของนาฬิกาโบราณด้านหน้าปราสาทก็ตีดังบอกเวลาทันที
ตึง ตึง...ตึง เสียงของนาฬิกาตีสิบสองครั้ง บอกถึงเวลาเที่ยงตรง
หมดเวลาเรียน
ดีไม่ดียังไงติชมได้ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ เราจะได้ปรับปรุงพัฒนาตัวเองอีก
-ขอขอบคุณทุกกำลังใจนะขอรับ
-comment ของท่านคือกำลังใจของเรา
ความคิดเห็น